ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นพ่อตา กู้จิ่งซีเป็นลูกเขย เป็นผู้เยาว์กว่าเขา ทว่ากลับไม่มีความเคารพแก่ผู้อาวุโสเช่นเขาเลยสักนิดแม้ว่าเขาจะไม่พอใจ แต่ก็ไม่กล้าพูดอันใดออกไป ทำเพียงตอบรับด้วยใบหน้าเหยเก จากนั้นก็เดินไปทางกู้จิ่งซีแล้วยื่นมือออกไปรับสร้อยเส้นนั้นมา ทั้งยังกำชับพ่อบ้านให้ออกไปส่งพวกเขาสองสามีภรรยา......อีกด้านหนึ่ง เพิ่งก้าวออกมาจากจวนหย่งชางป๋อไม่นานเมิ่งจิ่นเหยาก็ปล่อยมือที่คล้องแขนกู้จิ่งซีออกอย่างเป็นธรรมชาติ นางก้าวเท้ายาว ๆ ไปทางรถม้า เพียงมองแค่ย่างก้าวที่เดินเหินอย่างกระฉับกระเฉงแล้ว จึงรู้ได้ทันทีว่ายามนี้นางกำลังอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่งกู้จิ่งซีหลุบตามองแขนของตนเองแล้วอดรู้สึกไม่ได้ว่าช่างน่าขบขันยิ่งนัก เมื่อครู่แม่นางผู้นี้ยังเป็นฝ่ายเข้ามาคล้องแขนเขาอย่างสนิทสนมเองแท้ ๆ ทั้งยังแสดงท่าทางเป็นคู่สามีภรรยาที่รักใคร่กันปานจะกลืนกินกับเขา ยามนี้ใช้ประโยชน์เรียบร้อยแล้ว ถึงได้ปล่อยแขนเขาอย่างไม่ลังเลแม้แต่นิดเดียวชิงชิวและหนิงตงคอยประคองเจ้านายของตนขึ้นรถม้าไป พวกนางลังเลก็ยังไม่ตามขึ้นไป หันไปดูว่าท่านโหวจะนั่งรถม้าคันเดียวกับเจ้านายของพวกตนหรือไม่ ครั้นเห็นว่าท่านโหวเดิม
เมิ่งจิ่นเหยาฟังออกว่าน้ำเสียงของเขาผิดแผกไป ไม่ค่อยเข้าใจนักว่าเป็นเพราะเหตุใดยามเงยหน้าขึ้นมองเขาจนดวงตาทั้งสี่ประสานกัน นางพลันสะดุ้งได้สติ เมิ่งจิ่นเหยาถึงเพิ่งตระหนักได้ว่าจนเองพูดจาไม่สมควรอันใดออกไปนางมีมีความผิด นางไม่ควรปากมากสำหรับคนทั่วไปแล้ว คำพูดเมื่อครู่นี้ถือเป็นคำชม ทว่าสำหรับกู้จิ่งซีนั้นกลับดูเหมือนว่าจะกลายเป็นความอัปยศอดสู อดีตคู่หมั้นขอถอนหมั้นเพียงเพราะกู้จิ่งซีเป็นโรคที่ไม่อาจบอกใครได้ จึงไม่อยากแต่งไปแล้วต้องครองตนเป็นม่ายตลอดชีวิตนางปั้นหน้ายิ้มแย้มแข็งทื่อ แล้วพูดอึก ๆ อัก ๆ กระท่อนกระแท่นไปว่า “ชะ ใช่เจ้าค่ะ”กู้จิ่งซีเอ่ยถามอีก “เช่นนั้นฮูหยินคิดว่า เจ้าแต่งกับข้าแล้วคือความโชคดีหรือว่าโชคร้าย?”เมิ่งจิ่นเหยาสงบสติอารมณ์ได้แล้ว นางจึงแย้มยิ้มไร้ที่ติออกมาอีกครั้ง “ได้แต่งให้ท่านพี่ ย่อมเป็นความโชคดีอยู่แล้วเจ้าคะ”เป็นโรคร้ายไม่อาจรับอนุจนให้กำเนิดบุตรธิดาอนุภรรยาได้ ทั้งยังมอบเงินให้นางได้ใช้จ่าย พอนางเจอปัญหาก็มาช่วยนาง เช่นนี้ช่างดียิ่งนัก ข้อบกพร่องเพียงประการเดียวก็คือซื้อตัวใหญ่แล้วดันได้ตัวเล็กมาด้วย ตัวเล็กที่ว่าก็คือเจ้าบุตรชายเนรคุณผู้นั
ครั้นพ่อบ้านได้ยินเช่นนั้น ทั้ง ๆ ที่เขาไม่ได้แอบเก็บของไว้กับตัว ทว่ากลับกระวนกระวายใจ เขากำชับกำชาบ่าวรับใช้ที่แบกหามหีบอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะด้วยใจที่ถือคติสหายตายได้ แต่ข้าขอยากจนดีกว่าสิ้นชีพ [1] ว่า “เปิดหีบทุกใบออก ให้คุณหนูตรวจดูให้เต็มที่เสีย”หากนายท่านกับฮูหยินแอบเก็บของสิ่งใดไว้แล้วไม่ยอมคืนคุณหนูใหญ่ เช่นนั้นก็จะโทษเขาไม่ได้ ในเมื่อคุณหนูใหญ่ออกปากแล้วว่าจะตรวจดูต่อหน้า หากเขาปฏิเสธ นั่นย่อมหมายความว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลกระทั่งหีบทั้งหมดถูกเปิดออก เมิ่งจิ่นเหยาจึงยื่นรายการสินเดิมไปให้ชิงชิวกับหนิงตง ชุดหนึ่งเป็นรายการฉบับจริง ส่วนอีกชุดเป็นฉบับคัดลอก ให้พวกนางไปตรวจนับว่าของได้มาครบถ้วนหรือไม่ หากขาดสิ่งใดไปก็ให้ชุนหลิ่วจดบันทึกไว้พ่อบ้านมองดูพวกนางตรวจนับ จนเหงื่อเย็นผุดออกมาจากหน้าผาก จึงต้องรีบยกแขกเสื้อขึ้นไปเช็ดให้เรียบร้อย เขาคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าของจะมาไม่ครบถ้วน ทั้งยังเกิดสถานการณ์ที่หาของไม่เจออยู่บ่อยครั้ง เขาถึงกับลอบว่านายท่านกับฮูหยินอยู่ในใจว่าช่างไม่กลัวขายขี้หน้าคนอื่นเอาเสียเลย ถึงตอนนี้แล้วยังคิดจะยึดเอาของที่มารดาบังเกิดเกล้าของคุณหนูใหญ่เก็บไว้ส่วน
เจอกันที่ศาล?ครั้นพ่อบ้านได้ยินคำพูดสั้น ๆ เบา ๆ สี่พยางค์นี้แล้ว พลันใจสั่นขึ้นมาในบัดดล เขามองนางด้วยสายตาไม่อยากเชื่อบุตรธิดาฟ้องร้องบิดามารดา เขาไม่เคยได้ยินอะไรเช่นนี้มาก่อนจริง ๆ นี่คือพฤติกรรมอกตัญญู ต่อให้บิดามารดาจะผิดมากเพียงไร ก็ไม่ควรทำเช่นนี้ หากคุณหนูใหญ่จะยอมทุ่มสุดตัวเพื่อเป็นบุตรสาวอกตัญญูเช่นนี้จริง ๆ หรือเพียงชั่วครู่ พ่อบ้านก็อึก ๆ อัก ๆ ขึ้นมาว่า “คุณหนูใหญ่ จะอย่างไรแล้วนายท่านกับฮูหยินก็เป็นท่านพ่อท่านแม่ของคุณหนูนะขอรับ”เมิ่งจิ่นเหยาพูดแก้ให้ถูกต้องด้วยสีหน้าเย็นชา “เมิ่งตงหย่วนเป็นท่านพ่อของข้า แต่นางซุนไม่ใช่ท่านแม่ของข้า ท่านแม่ข้าแซ่โจวมิได้แซ่ซุน”มารดาเลี้ยงก็คือมารดาเหมือนกันนะขอรับท้ายที่สุดแล้วพ่อบ้านก็ไม่กล้าเอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกไป คุณหนูใหญ่เป็นถึงบุตรสาวสายตรงคนโต ทว่ากลับได้รับการปรนนิบัติย่ำแย่เสียยิ่งกว่าคุณชายรองที่ถือกำเนิดจากอนุภรรยาเสียอีก คุณชายรองยังจะพอได้รับความชมชอบจากนายท่านกับฮูหยินอยู่บ้าง แต่คุณหนูใหญ่กลับถูกผู้อาวุโสรังเกียจเดียดฉันท์ข่มเหง ก็ไม่แปลกใจที่คุณหนูใหญ่จะตัดไมตรีถึงขนาดนี้“ในเมื่อตอนนี้ยังไม่มีเรื่องอื่นใด ก็ให
ใครจะไปคาดคิดว่าเมิ่งจิ่นเหยาจะไม่ไว้หน้ากันถึงเพียงนี้ ถึงขั้นให้เปิดหีบตรวจนับของด้านในต่อหน้าบ่าวรับใช้สกุลกู้ในจวนฉางซินโหว เอาเกียรติของสกุลเมิ่งไปเหยียบย่ำลงบนพื้น หาเรื่องทะเลาะกันตามอำเภอใจเช่นนี้?หากตรวจนับดูแล้วว่าไม่มีของสิ่งใดขาดหายไปก็ดี แต่นี่บังเอิญว่ามีของขาดหายไป รายการของหายใบนี้ทำให้เหล่าผู้อาวุโสสกุลเมิ่งหน้าชาราวกับถูกตบโดยมือที่มองไม่เห็นอย่างไรอย่างนั้นฮูหยินผู้เฒ่าเมิ่งโกรธจนเลือดลมตีขึ้นขนใบหน้าแดงเถือกไปหมด สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ อยู่หลายคราจึงสงบสติอารมณ์ลงมาได้ นางโบกมือไหว ๆ ให้พ่อบ้านกับสาวใช้ถอยออกไป กัดฟันแสนคลอนแคลนของตนแล้วพูดลอดไรฟันออกมาด้วยความเคียดแค้น “หากรู้แต่แรกว่านางตัวกาลกิณีผู้นี้จะทำให้ทั้งสกุลเมิ่งต้องเสียหาย ตอนแรกไม่น่าปล่อยให้นางได้มีโอกาสเติบโตมาเลย นี่นางถึงกับต้องทำร้ายคนทั้งตระกูลเพียงเพื่อของเล็กน้อยแค่นี้”นางซุนน้ำตานองหน้า พลางสะอึกสะอื้น “ท่านแม่ ตอนนี้ควรทำเช่นไรดีเจ้าคะ?”ยามนี้นางกลัวแล้วจริง ๆ ความหวาดหวั่นที่ไม่เคยประสบพบเจอมาก่อนแทบจะกลืนกินนางไปทั้งตัวครั้นได้ประสบกับเรื่องนี้ วันข้างหน้ายามนางออกไปข้างนอกคงจะถูกผู้
ทั่วทั้งร่างของนางซุนตกอยู่ในอาการตกตะลึง ความไม่เต็มใจถูกเปิดเผยออกมาทางสีหน้าโดยไม่ปิดบังแม้แต่น้อย เมื่อเมิ่งตงหย่วนเห็นเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วทันที ถามด้วยสีหน้าไม่พอใจว่า “หรือฮูหยินเจ้าไม่เต็มใจ?” นางซุนได้สติกลับมา เมื่อเผชิญกับท่าทีแข็งกร้าวของมารดาของสามีและผู้เป็นสามี นางก็พูดอย่างกระอักกระอ่วนว่า “ท่านพี่ สิน สินเดิมนี่เป็นทรัพย์สินส่วนตัวของข้า จะให้…จะให้ข้านำสินเดิมไปเสริมส่วนที่ขาดได้อย่างไร?” เมื่อฟังออกถึงความไม่เต็มใจจากน้ำเสียงทั้งที่แสดงมาและเก็บงำไว้ ฮูหยินผู้เฒ่าเมิ่งก็ชักสีหน้า ถามกลับไปว่า “นางซุน ในเมื่อเจ้าแต่งเข้ามาในจวนหย่งชางป๋อ ก็เท่ากับเป็นคนของจวนหย่งชางป๋อแล้ว คนครอบครัวเดียวกันจะพูดจาแบ่งแยกเช่นนี้ได้อย่างไร” นางซุนลำคอตีบตัน บ่นในใจว่านางโจวก็แต่งเข้าจวนหย่งชางป๋อเช่นกัน ก็เป็นคนของจวนหย่งชางป๋อเหมือนกัน แล้วเหตุใดสินเดิมของนางโจวจึงสามารถปล่อยให้นังเด็กสารเลวเมิ่งจิ่นเหยานั่นเอาไปได้ตามใจ? ถึงอย่างไรก็เป็นสตรีที่ตนฝืนต่อแรงกดดันของบิดาแต่งเข้ามา เมื่อเมิ่งตงหย่วนเห็นสีหน้าของนางซุนเต็มไปด้วยความน้อยใจ ก็ยังคงผ่อนน้ำเสียงลงว่า “ฮูหยิน นี่ก็เป็นเพ
กู้จิ่งซีเงียบงัน แววตาที่มองนาง มีความเอ็นดูสงสารของผู้ใหญ่ที่มีต่อรุ่นเยาว์ที่เคราะห์ร้ายดวงตาทั้งสี่ข้างของเมิ่งจิ่นเหยากับกู้จิ่งซีประสานกัน จากนั้นก็เงียบงันไปเช่นกัน ไม่จำเป็นต้องใช้สายตาเช่นนี้มองนางก็ได้ นี่ทำให้นางแทบอดไม่ไหวที่จะเรียก ‘ท่านลุงกู้’ ออกมาที่จริงแล้วนางไม่ได้น่าสงสารอะไร อย่างน้อยก็ไม่เคยต้องหิวโหย เทียบกับขอทานน้อยข้างถนนแล้วยังโชคดีกว่ามากคนเราเมื่อเกิดมานั้น ก็ไม่มีสิ่งใดได้ดังใจไปทั้งหมด หากอยากมีชีวิตอย่างเป็นสุข ก็ต้องรู้จักลดข้อเรียกร้องไปตามสถานการณ์ในความเป็นจริง แม้จะไม่ได้รับความอบอุ่นจากครอบครัว แต่ก็สามารถเรียกร้องให้กินอิ่มสวมอุ่น เมื่อท้องได้กินอิ่ม ร่างกายได้สวมใส่จนอบอุ่นแล้ว ตนก็พึงพอใจแล้วเช่นกันผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็เก็บสายตากลับมา กล่าวว่า “ข้ากินเสร็จแล้ว เชิญท่านพี่ทานต่อเถอะ” กล่าวจบ นางก็ลุกจากโต๊ะอาหารไปเมื่อเมิ่งจิ่นเหยากลับมาถึงห้อง ก็ถือโอกาสพลิกดูสินเดิมของมารดา ทั้งบัญชีของที่ดินและร้านค้า จากนั้นหางตาก็เหลือบไปเห็นกล่องไม้จื่อถานที่อยู่ด้านข้าง นั่นเป็นของที่มู่จิ่งซีมอบให้นาง มีทั้งตั๋วเงิน กุญแจห้องเก็บของ และทรัพย์สินส
วันถัดมาคือวันที่สิบห้า ตามกฎแล้วต้องไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าที่โถงโซ่วอันดังนั้น เมิ่งจิ่นเหยาและกู้จิ่งซีจึงตื่นเช้ากว่าปกติ เพราะต้องกินข้าวเช้าในเรือนตนเองเร็วขึ้นหน่อย เพื่อไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าต่อฮูหยินผู้เฒ่าบ้านอื่นชื่นชอบให้ลูกหลานรายล้อมอยู่รอบกาย จะได้คึกคักมีชีวิตชีวา แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากู้กับขึ้นชื่อเรื่องรักความสงบ นางไม่ชอบความครึกครื้น แม้แต่การกินอาหารเช้ากับลูกหลานก็งดเว้นไปแล้ว เพราะรำคาญว่าวุ่นวาย จะยกเว้นก็แต่เป็นวันสำคัญเท่านั้นกู้จิ่งซีรอให้นางจัดการตัวเองเสร็จอยู่ด้านนอก จากนั้นค่อยกินข้าวพร้อมกัน ในตอนที่เห็นคนก้าวออกมาจากในห้อง เขาก็ตะลึงไปครู่หนึ่ง ในก้นบึ้งของดวงตามีความประหลาดใจและชื่นชมวาบผ่านเขารู้มาตลอดว่า ภรรยาตัวน้อยของเขาเป็นสาวน้อยที่มีรูปโฉมเป็นเลิศ เพียงแต่ยามปกติมักแต่งกายให้ดูมีอายุ จนกลบความงดงามแจ่มใสที่แม่นางน้อยควรมีลงไป ฝืนให้ดูสง่ามีความมั่นคง จนดูแก่ขึ้นอีกหลายปี สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นผลงานของเมิ่งฮูหยินหรือนางซุน ที่เตรียมเสื้อผ้าประเภทนี้ไว้ให้สาวน้อยอย่างมีเจตนาแอบแฝงวันนี้ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด จึงได้เปลี่ยนรูปแบบการแต่งตัวในอดีตสาวน้
กู้จิ่งซีค่อนข้างประหลาดใจ “เจ้าใช้วิธีใด ถึงทำให้เขารับสารภาพเร็วขนาดนั้น?”ฉีอวิ้นเหวินหยักไหล่ หัวเราะพลางกล่าว “นั่นไม่ใช่ความดีความชอบของข้า เมื่อวานมีแม่นางคนหนึ่งมาพบเขา ไม่รู้พูดอะไร เขาก็รับสารภาพแล้ว”เมื่อได้ยิน กู้จิ่งซีก็ขมวดคิ้วแน่น และสัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติบางอย่าง “แม่นางผู้นั้นรู้ได้อย่างไรว่าเขาถูกจับตัว?”ฉีอวิ้นเหวินเหลือบมองเขาด้วยสายตาแปลก ๆ และถามกลับว่า “โจรขโมยหญิงงามที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ และชั่วร้ายถูกจับตัวได้แล้ว เป็นเรื่องที่ใหญ่มาก เมื่อคืนข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวงแล้ว หรือว่าเจ้าไม่รู้หรือ? ก็จริง น้องสะใภ้ป่วยแล้ว เจ้าไม่มีกระจิตกระใจจะสนใจเรื่องอื่นก็ปกติ”กู้จิ่งซีปรากฏสายตาที่รู้ทันออกมาฉีอวิ้นเหวินกล่าวอีกว่า “ข้าเห็นแม่นางผู้นั้นแต่งกายเป็นสาวชาวยุทธจักร ซึ่งน่าจะเป็นชาวยุทธจักร และคาดว่าจะมีความเกี่ยวข้องอะไรกับเขา แต่ว่าเรื่องนี้ไม่สำคัญมากนัก เพราะตอนนี้ไขคดีได้ก็พอแล้ว”......จวนฉางซินโหวกู้ซิวหมิงมาคารวะยามเช้าให้เมิ่งจิ่นเหยา เขามาสายก้าวหนึ่ง กู้จิ่งซีเพิ่งออกไป เขาก็เพิ่งจะมาถึงนับตั้งแต่การกักบริเวณสิ้นสุดลง ตราบใดที
เมิ่งจิ่นเหยาก็ไม่ปิดบัง และเล่าเรื่องที่พบหญิงวัยกลางคนในวัดหลินอวิ๋นเมื่อวานตอนบ่ายให้ฟังรอบหนึ่งพูดถึงช่วงสุดท้าย นางก็หัวเราะออกมาเบา ๆ “สวรรค์มีตาจริง ๆ จู่ ๆ ข้าก็ฉุกคิดอยากจะไปจุดธูปให้ท่านแม่ที่โถงหว่างเซิงของวัดหลิงอวิ๋น จึงได้พบอดีตบ่าวรับใช้ของท่านแม่ ท่านป้าท่านนั้นป่วยหนักมาก และเหลือเวลาไม่มากแล้ว หากเมื่อวานข้าไม่ได้ไปเจอนางที่วัดหลิงอวิ๋น ความลับนั้นคาดว่าข้าจะไม่มีทางรู้ไปตลอดกาลเจ้าค่ะ”กู้จิ้งซีสีหน้ามืดมนลง พลางละอายใจต่อวิธีที่พ่อตานั้นทำอย่างมาก แม้จะแต่งงานตามคำสั่งของบิดามารดาและการจับคู่ของแม่สื่อ พลางไม่มีความรักระหว่างชายหญิงต่อแม่ยายเขา จะปิดบังความจริงเพราะรู้สึกผิดก็ช่าง ยังปล่อยให้มารดาและแม่เลี้ยงปฏิบัติต่อบุตรสาวที่บริสุทธิ์อย่างรุนแรงอีกเขาเห็นแม่นางน้อยที่โกรธแค้นผสมปนเปกัน ก็ตบหลังมือของแม่นางน้อยเหมือนจะปลอบใจ และกล่าวอย่างเป็นนัยว่า “ฮูหยิน วิญญาณของแม่ยายที่อยู่บนสวรรค์จะไม่ปล่อยพวกเขาไปแน่”เมื่อได้ยิน สีหน้าของเมิ่งจิ่นเหยาก็ชะงักไป พลางสบตาเข้ากับสายตาที่มีความหมายลึกซึ้งของเขา ก็เข้าใจความหมายของเขา และยกรอยยิ้มที่อันตรายขึ้น “จริงด้วย
เมิ่งจิ่นเหยาถามเสียงเบาว่า “ท่านหมอ เป็นอย่างไรบ้าง?”หมอประจำจวนเก็บนิ้วมือทั้งสามข้อที่อยู่บนแขนของเมิ่งจิ่นเหยากลับลงไป พลางตอบกลับ “ฮูหยิน ท่านมีปมในใจจนเกิดอาการซึมเศร้า แถมยังได้รับความเย็นเกินไปอีก จึงทำให้จู่ ๆ ก็ไข้ขึ้นสูง และจำเป็นต้องใช้ยาคลายเครียดเสียหน่อยก็จะดีขึ้นขอรับ”เมิ่งจิ่นเหยาพยักหน้า “รบกวนท่านหมอแล้ว”“ไม่รบกวนขอรับ” หมอประจำจวนรีบส่ายหน้า และกล่าวอีกว่า “แต่ว่า ฮูหยินร่างกายอ่อนแอ ควรจะบำรุงร่างกายให้ดีตั้งแต่ยังสาวถึงจะได้นะขอรับ”มิ่งจิ่นเหยาฟังจบ ก็ไม่แปลกใจแม้แต่น้อย เพราะนางรู้มาโดยตลอดว่าตนเองร่างกายอ่อนแอ เจ็บป่วยง่าย โดยเฉพาะช่วงที่อากาศเย็น หากไม่ระวังนิดหน่อยก็จะเป็นหวัด เมื่อก่อนตอนอยู่บ้านมารดา นางไม่มีความพร้อมที่จะดูแลตนเอง ตอนนี้อยู่บ้านสามี นางใส่ใจเรื่องการกินมากขึ้น และได้ดื่มน้ำแกงบำรุงร่างกายอยู่เป็นประจำ ช่วงนี้นางจึงรู้สึกดีมาก สีหน้าก็ดูดีขึ้นแล้วนางกล่าวเสียงอ่อนโยน “ปกติข้าก็ดูแลตนเองอยู่แล้ว รบกวนท่านหมอจัดยาคลายเครียดให้ข้าก็พอ”หมอประจำจวนฟังจบ ก็จ่ายยาคลายเครียดให้นาง และให้สาวใช้ตามเขาไปเอายากลับมาต้มหลังหมอประจำจวนจากไป
บนรถม้าชิงชิวกับหนิงตงที่แทบไม่ได้นอนทั้งคืนนั่งพิงกัน และเผลอหลับไปเมิ่งจิ่นเหยาหายป่วยได้ไม่นาน ยังรู้สึกมึนศีรษะ คนทั้งคนก็หมดเรี่ยวแรง จึงเอนหลังพิงผนังรถม้าและหลับตาพักสมองทันใดนั้น รถม้าก็สั่นสะเทือน ท้ายทอยของนางกระแทกเล็กน้อย จึงรีบนั่งตัวตรง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ศีรษะกระแทกอีกกู้จิ่งซีเห็นแม่นางน้อยขมวดคิ้ว พยายามฝืนให้มีชีวิตชีวาขึ้น นั่งตัวหลังตรง ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงยื่นมือโอบนางเข้ามาในอ้อมแขน และให้นางพิงหน้าอกของตนเอง เมื่อสบตาเข้ากับสายตาที่ตกใจของนาง ก็กล่าวด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “หากฮูหยิน อ่อนเพลีย ก็พิงข้าแล้วนอนเสียเถอะ”ตอนนี้เมิ่งจิ่นเหยารู้สึกทั้งตัวไม่มีแรง ศีรษะยังมึน ๆ อยู่ จึงไม่เกรงใจเขา และพิงอยู่บนตัวเขาด้วยความสบายใจอย่าดูถูกแม้กู้จิ่งซีดูจะตัวไม่ใหญ่มาก แต่หน้าอกกว้างใหญ่ พิงอยู่บนตัวเขาอบอุ่นสบายตัว แถมได้กลิ่นดอกกล้วยไม้ที่หอมละมุนจากตัวของเขา ก็รู้สึกสบายใจอย่างอธิบายไม่ถูก แต่กลับไม่มีอาการง่วงเลยบางทีเพราะถูกผู้ชายกอดไว้ในอ้อมแขนเช่นนี้ เลยรู้สึกไม่คุ้นชินหรืออาจเป็นเพราะได้ยินเสียงหัวใจของเขาเต้นตึกตักอยู่ข้างหู มันดังก้องอยู่ที่หู
ท่าทางที่ดูป่วยเช่นนี้ ดูน่าเป็นห่วงยิ่งนักคนที่มีไข้ขึ้นสูง ไม่ควรห่มผ้าจนอบอ้าว ไม่เช่นนั้นอาการป่วยจะแย่ลง เขาจึงเปิดผ้าห่มบางออกให้แม่นางน้อยผ่านไปไม่นาน หนิงตงก็ยกอ่างน้ำอุ่นมาด้วยความรีบร้อน โชคดีที่วัดหลิงอวิ๋นมีคนเข้ามาสักการะอย่างเนืองแน่น ปกติจะมีผู้แสวงบุญมาค้างคืน และมีผู้แสวงบุญจำนวนไม่น้อยที่มาจากครอบครัวร่ำรวย ดังนั้นเพื่อความสะดวกสบายของแขก ตอนกลางคืนภายในวัดก็มีกักเก็บน้ำร้อนไว้หนิงตงวางอ่างทองแดง พลางถาม “ท่านโหว น้ำอุ่นยกเข้ามาแล้ว ต้องทำอย่างไรหรือเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีตอบกลับ “เช็ดหน้าผาก คอ รักแร้ และแขนขาให้ฮูหยินเพื่อระบายความร้อน”หนิงตงตอบรับ ยกอ่างทองแดงมาข้างหน้าทันที พลางวางอ่างน้ำไว้บนเก้าอี้ที่อยู่หน้าเตียง และเตรียมจะถอดเสื้อผ้าให้นายหญิง ก็มองไปทางกู้จิ่งซีโดยไม่รู้ตัว พบว่าเขาหันหลังให้พวกนาง นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างโต๊ะน้ำชาเมื่อเห็นดังนั้น หนิงตงก็ตกตะลึงเล็กน้อย และแอบพูดในใจว่า ท่านโหวเป็นสุภาพบุรุษจริง ๆ แม้จะเป็นสามีภรรยากับฮูหยิน ก็ไม่ได้ฉวยโอกาสเอาเปรียบหนิงตงไม่คิดอะไรมาก ก็ถอดเสื้อผ้าให้เมิ่งจิ่นเหยาด้วยความเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว และเช็ดตั
ในวินาทีนั้น เมิ่งจิ่นเหยาทำจิตใจให้สงบ ก้มหน้าลงมอง เห็นว่าบาดแผลที่มือซ้ายใช้ผ้าพันแผลพันไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อมองเพียงแวบแรกดูท่าทางเหมือนว่าบาดเจ็บสาหัส จึงกล่าวออกมาอย่างอดไม่ได้ว่า “ตอนนี้เลือดไม่ซึมออกมาแล้ว อันที่จริงไม่พันแผลก็ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”กู้จิ่งซีเหลือบมองนาง พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ถึงแม้ไม่ใช่บาดแผลสาหัส แต่หากไม่พันแผล เมื่อชนหรือกระแทกเข้าโดยไม่ระวังแล้วเลือดไหลออกมาอีก ไม่เป็นผลดีต่อการฟื้นตัว โดยเฉพาะบาดแผลที่ข้อศอก เนื้อผ้าเสียดสีก็อาจเจ็บได้เช่นกัน”เมิ่งจิ่นเหยาตะลึงเล็กน้อย แล้วพยักหน้าในทันทีหลังจากนั้นไม่นาน นางก็ถูกมือของกู้จิ่งซีดึงดูดความสนใจไป มือคู่นั้นเรียวยาวและขาวสะอาด ข้อต่อชัดเจน ราวกับหยกขาวที่แกะสลักอย่างประณีต ดูแล้วสบายตาสบายใจนักเมื่อหลุดออกจากความคิด นางก็ใจลอยอีกครั้งผ่านไปเป็นเวลานาน กู้จิ่งซีช่วยนางพันแผลจนเสร็จ และปล่อยมือของนาง เมื่อเห็นว่ามือขวาของนางยังยกอยู่ ก็กล่าวว่า “ฮูหยิน เสร็จแล้ว”แต่เมิ่งจิ่นเหยาดูเหมือนจะไม่ได้ยินคำพูดของเขา เขาจึงเรียกอีกครั้ง “ฮูหยิน?”เวลานี้ เมิ่งจิ่นเหยาถึงค่อย ๆ ได้สติกลับมา และพบกับส
เขากำลังเตรียมจะปลอบโยนนางสักหลายประโยค ทำให้อารมณ์ของแม่นางน้อยสงบลง แล้วค่อยถามให้ชัดเจนอีกครั้งว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่ ทว่าเวลานี้ หนิงตงได้ยกอ่างน้ำสะอาดเข้ามา เขาจึงกลืนคำพูดที่ติดอยู่ตรงริมฝีปากกลับเข้าไปหนิงตงนำอ่างน้ำมาวางไว้บนโต๊ะ ถามด้วยน้ำเสียงนอบน้อมว่า “นายท่าน ให้ใช้น้ำในอ่างเช่นไรเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีกล่าวกำชับ “ไปหาผ้าสะอาด ๆ มา”หนิงตงรับคำ ไม่นานก็หาผ้าเช็ดหน้าสะอาดที่อยู่ในสัมภาระมาหนึ่งผืน ผ้านี้เตรียมไว้สำหรับให้นายหญิงของนางใช้ล้างหน้ากู้จิ่งซีเหลือบมองไปที่แม่นางน้อย ลังเลอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็รับผ้าเช็ดหน้ามา กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ข้าคนเดียวก็พอแล้ว เจ้าออกไปก่อนเถิด”หนิงตงเหลือบมองนายหญิง เมื่อเห็นว่านายหญิงไม่ได้เอ่ยปากบอกให้นางอยู่ต่อ ก็รับคำแล้วถอยออกไปกู้จิ่งซีกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “มาล้างบาดแผลสักหน่อย ตอนที่เจ้าล้มลงไปเนื้อหนังถลอก แล้วบาดแผลก็เปื้อนฝุ่นด้วย”เมื่อได้ฟังดังนั้น เมิ่งจิ่นเหยาไม่ได้ลังเล ลุกขึ้นแล้วเดินมากู้จิ่งซีดึงมือของนาง ช่วยนางทำความสะอาดบาดแผลที่ฝ่ามือด้วยท่าทีที่อ่อนโยนเมื่อบาดแผลสัมผัสกับน้ำ เมิ่งจิ่นเหยาเจ็บปวดเส
กู้จิ่งซีจับจ้องนางอย่างไม่วางตา พลางถามด้วยเสียงอ่อนโยน “ฮูหยิน วันนี้เกิดเรื่องอันใดขึ้นงั้นหรือ?”เมื่อได้ฟังดังนั้น ใบหน้าของเมิ่งจิ่นเหยาก็เต็มไปด้วยความงุนงง พลางถามกลับไปว่า“เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ท่านพี่ก็เห็นหมดแล้วมิใช่หรือเจ้าคะ?”นางกล้าพูดได้เลยว่า นางโตถึงเพียงนี้แล้ว ยังไม่เคยเจอเรื่องที่ตื่นเต้นระทึกขวัญเช่นนี้มาก่อน เพียงชั่วพริบตาเดียวที่รอดพ้นจากความตาย ชีวิตนี้ไม่คิดจะพบเจออีกเป็นครั้งที่สองกู้จิ่งซีเห็นสีหน้าของนางงุนงง ไม่ได้จงใจแสร้งทำเป็นฟังไม่เข้าใจ จึงสัมผัสที่ฝ่ามือของนางอย่างแผ่วเบา พลางถามต่อว่า “เกิดอันใดขึ้นกับมือนี้ของเจ้า? ล้มลงไม่สามารถเกิดบาดแผลเช่นนี้ได้”เมิ่งจิ่นเหยาตกตะลึงไปชั่วขณะ ก้มหน้ามองฝ่ามือของตนเอง บนฝ่ามือยังมีผลงานชิ้นเอกของตนเองเมื่อบ่ายอยู่ เมื่อคิดถึงเรื่องที่พบกับสตรีวัยกลางคนผู้นั้นขึ้นมาได้ ดวงตาของนางก็หม่นลงในฉับพลัน และอยากจะกำมือของตนเองแน่นอีกครั้งโดยไม่รู้ตัวกู้จิ่งซีที่สายตาเฉียบคมและมือไว รีบกุมมือทั้งสองข้างของนางไว้แน่น ขัดขวางการกระทำของนาง เล็บของนางจะได้ไม่บาดบาดแผลและมีเลือดไหลซึมออกมาอีกเล็บของแม่นางน้อยไ
เมื่อกู้จิ่งซีได้ฟังก็รู้สึกใจอ่อน พลางกล่าวอย่างอ่อนโยน “ให้ข้าดูหน่อย” เมื่อกล่าวจบ เขาก็ยอบกายลง ยกชายกระโปรงของนางขึ้น เตรียมจะดูอาการบาดเจ็บของนาง เมิ่งจิ่นเหยาสีหน้าชะงักค้าง กำลังจะเอ่ยปากขัดขวาง ทว่าเมื่อกลับมาคิดดูอีกทีแล้ว ต่างก็เป็นสามีภรรยาที่นอนหลับอยู่บนเตียงเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องรักษาขอบเขตระหว่างชายหญิงอันใดหลังจากกู้จิ่งซียกชายกระโปรงของนางขึ้นแล้ว มือหนึ่งก็จับไปที่ข้อเท้าขวาของนาง ส่วนอีกข้างม้วนขากางเกงของนางขึ้น เมื่อม้วนขากางเกงไปจนถึงเหนือหัวเข่า ก็จะเห็นได้ว่าตรงหัวเข่าที่ถูกกระแทกตอนล้ม เป็นรอยฟกช้ำไปเรียบร้อยแล้ว ทว่าไม่ได้ร้ายแรงนักกู้จิ่งซีเห็นว่าบาดแผลไม่หนักมาก จึงวางขานางลง แล้วไปดูบาดแผลที่ข้อศอกของนางนางล้มลงไปข้างหน้า บาดแผลตรงข้อศอกจึงชัดเจนมากนัก เสื้อผ้าในฤดูร้อนจะค่อนข้างบางเบา เสื้อผ้าบริเวณข้อศอกล้วนมีร่องรอยขีดข่วนอย่างชัดเจนพอพับแขนเสื้อของนาง ก็เผยให้เห็นแขนที่ขาวราวกับหิมะ เมื่อพลิกข้อศอกก็สามารถมองเห็นได้ว่าผิวหนังถลอกและมีเลือดออกที่แขนทั้งสองข้างของนาง ผิวหนังโดยรอบบวมแดงเล็กน้อย บาดแผลนี้เมื่ออยู่บนมือที่เดิมทีขาวสะอาดไร้ที่ติรา