ใครจะไปคาดคิดว่าเมิ่งจิ่นเหยาจะไม่ไว้หน้ากันถึงเพียงนี้ ถึงขั้นให้เปิดหีบตรวจนับของด้านในต่อหน้าบ่าวรับใช้สกุลกู้ในจวนฉางซินโหว เอาเกียรติของสกุลเมิ่งไปเหยียบย่ำลงบนพื้น หาเรื่องทะเลาะกันตามอำเภอใจเช่นนี้?หากตรวจนับดูแล้วว่าไม่มีของสิ่งใดขาดหายไปก็ดี แต่นี่บังเอิญว่ามีของขาดหายไป รายการของหายใบนี้ทำให้เหล่าผู้อาวุโสสกุลเมิ่งหน้าชาราวกับถูกตบโดยมือที่มองไม่เห็นอย่างไรอย่างนั้นฮูหยินผู้เฒ่าเมิ่งโกรธจนเลือดลมตีขึ้นขนใบหน้าแดงเถือกไปหมด สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ อยู่หลายคราจึงสงบสติอารมณ์ลงมาได้ นางโบกมือไหว ๆ ให้พ่อบ้านกับสาวใช้ถอยออกไป กัดฟันแสนคลอนแคลนของตนแล้วพูดลอดไรฟันออกมาด้วยความเคียดแค้น “หากรู้แต่แรกว่านางตัวกาลกิณีผู้นี้จะทำให้ทั้งสกุลเมิ่งต้องเสียหาย ตอนแรกไม่น่าปล่อยให้นางได้มีโอกาสเติบโตมาเลย นี่นางถึงกับต้องทำร้ายคนทั้งตระกูลเพียงเพื่อของเล็กน้อยแค่นี้”นางซุนน้ำตานองหน้า พลางสะอึกสะอื้น “ท่านแม่ ตอนนี้ควรทำเช่นไรดีเจ้าคะ?”ยามนี้นางกลัวแล้วจริง ๆ ความหวาดหวั่นที่ไม่เคยประสบพบเจอมาก่อนแทบจะกลืนกินนางไปทั้งตัวครั้นได้ประสบกับเรื่องนี้ วันข้างหน้ายามนางออกไปข้างนอกคงจะถูกผู้
ทั่วทั้งร่างของนางซุนตกอยู่ในอาการตกตะลึง ความไม่เต็มใจถูกเปิดเผยออกมาทางสีหน้าโดยไม่ปิดบังแม้แต่น้อย เมื่อเมิ่งตงหย่วนเห็นเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วทันที ถามด้วยสีหน้าไม่พอใจว่า “หรือฮูหยินเจ้าไม่เต็มใจ?” นางซุนได้สติกลับมา เมื่อเผชิญกับท่าทีแข็งกร้าวของมารดาของสามีและผู้เป็นสามี นางก็พูดอย่างกระอักกระอ่วนว่า “ท่านพี่ สิน สินเดิมนี่เป็นทรัพย์สินส่วนตัวของข้า จะให้…จะให้ข้านำสินเดิมไปเสริมส่วนที่ขาดได้อย่างไร?” เมื่อฟังออกถึงความไม่เต็มใจจากน้ำเสียงทั้งที่แสดงมาและเก็บงำไว้ ฮูหยินผู้เฒ่าเมิ่งก็ชักสีหน้า ถามกลับไปว่า “นางซุน ในเมื่อเจ้าแต่งเข้ามาในจวนหย่งชางป๋อ ก็เท่ากับเป็นคนของจวนหย่งชางป๋อแล้ว คนครอบครัวเดียวกันจะพูดจาแบ่งแยกเช่นนี้ได้อย่างไร” นางซุนลำคอตีบตัน บ่นในใจว่านางโจวก็แต่งเข้าจวนหย่งชางป๋อเช่นกัน ก็เป็นคนของจวนหย่งชางป๋อเหมือนกัน แล้วเหตุใดสินเดิมของนางโจวจึงสามารถปล่อยให้นังเด็กสารเลวเมิ่งจิ่นเหยานั่นเอาไปได้ตามใจ? ถึงอย่างไรก็เป็นสตรีที่ตนฝืนต่อแรงกดดันของบิดาแต่งเข้ามา เมื่อเมิ่งตงหย่วนเห็นสีหน้าของนางซุนเต็มไปด้วยความน้อยใจ ก็ยังคงผ่อนน้ำเสียงลงว่า “ฮูหยิน นี่ก็เป็นเพ
กู้จิ่งซีเงียบงัน แววตาที่มองนาง มีความเอ็นดูสงสารของผู้ใหญ่ที่มีต่อรุ่นเยาว์ที่เคราะห์ร้ายดวงตาทั้งสี่ข้างของเมิ่งจิ่นเหยากับกู้จิ่งซีประสานกัน จากนั้นก็เงียบงันไปเช่นกัน ไม่จำเป็นต้องใช้สายตาเช่นนี้มองนางก็ได้ นี่ทำให้นางแทบอดไม่ไหวที่จะเรียก ‘ท่านลุงกู้’ ออกมาที่จริงแล้วนางไม่ได้น่าสงสารอะไร อย่างน้อยก็ไม่เคยต้องหิวโหย เทียบกับขอทานน้อยข้างถนนแล้วยังโชคดีกว่ามากคนเราเมื่อเกิดมานั้น ก็ไม่มีสิ่งใดได้ดังใจไปทั้งหมด หากอยากมีชีวิตอย่างเป็นสุข ก็ต้องรู้จักลดข้อเรียกร้องไปตามสถานการณ์ในความเป็นจริง แม้จะไม่ได้รับความอบอุ่นจากครอบครัว แต่ก็สามารถเรียกร้องให้กินอิ่มสวมอุ่น เมื่อท้องได้กินอิ่ม ร่างกายได้สวมใส่จนอบอุ่นแล้ว ตนก็พึงพอใจแล้วเช่นกันผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็เก็บสายตากลับมา กล่าวว่า “ข้ากินเสร็จแล้ว เชิญท่านพี่ทานต่อเถอะ” กล่าวจบ นางก็ลุกจากโต๊ะอาหารไปเมื่อเมิ่งจิ่นเหยากลับมาถึงห้อง ก็ถือโอกาสพลิกดูสินเดิมของมารดา ทั้งบัญชีของที่ดินและร้านค้า จากนั้นหางตาก็เหลือบไปเห็นกล่องไม้จื่อถานที่อยู่ด้านข้าง นั่นเป็นของที่มู่จิ่งซีมอบให้นาง มีทั้งตั๋วเงิน กุญแจห้องเก็บของ และทรัพย์สินส
วันถัดมาคือวันที่สิบห้า ตามกฎแล้วต้องไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าที่โถงโซ่วอันดังนั้น เมิ่งจิ่นเหยาและกู้จิ่งซีจึงตื่นเช้ากว่าปกติ เพราะต้องกินข้าวเช้าในเรือนตนเองเร็วขึ้นหน่อย เพื่อไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าต่อฮูหยินผู้เฒ่าบ้านอื่นชื่นชอบให้ลูกหลานรายล้อมอยู่รอบกาย จะได้คึกคักมีชีวิตชีวา แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากู้กับขึ้นชื่อเรื่องรักความสงบ นางไม่ชอบความครึกครื้น แม้แต่การกินอาหารเช้ากับลูกหลานก็งดเว้นไปแล้ว เพราะรำคาญว่าวุ่นวาย จะยกเว้นก็แต่เป็นวันสำคัญเท่านั้นกู้จิ่งซีรอให้นางจัดการตัวเองเสร็จอยู่ด้านนอก จากนั้นค่อยกินข้าวพร้อมกัน ในตอนที่เห็นคนก้าวออกมาจากในห้อง เขาก็ตะลึงไปครู่หนึ่ง ในก้นบึ้งของดวงตามีความประหลาดใจและชื่นชมวาบผ่านเขารู้มาตลอดว่า ภรรยาตัวน้อยของเขาเป็นสาวน้อยที่มีรูปโฉมเป็นเลิศ เพียงแต่ยามปกติมักแต่งกายให้ดูมีอายุ จนกลบความงดงามแจ่มใสที่แม่นางน้อยควรมีลงไป ฝืนให้ดูสง่ามีความมั่นคง จนดูแก่ขึ้นอีกหลายปี สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นผลงานของเมิ่งฮูหยินหรือนางซุน ที่เตรียมเสื้อผ้าประเภทนี้ไว้ให้สาวน้อยอย่างมีเจตนาแอบแฝงวันนี้ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด จึงได้เปลี่ยนรูปแบบการแต่งตัวในอดีตสาวน้
เมื่อเห็นเขาไม่มีความเห็นอื่น เมิ่งจิ่นเหยาจึงวางใจ ยอมรับการทำดีด้วยของเขาไว้อย่างสบายใจ เพียงแต่ในใจก็ยังถูกทำให้หวั่นไหวเล็กน้อยเช่นกัน นางเบิกตากว้างมองเขาอยู่ช่วงสองลมหายใจ จากนั้นจึงได้หลุบตาไปนอกจากท่านตากับท่านปู่แล้ว ยังไม่เคยมีผู้ใดเต็มใจจับจ่ายเงินเพื่อนางเช่นนี้ กู้จิ่งซีนับเป็นคนแรกพูดไปแล้วก็น่าขำนัก แม้แต่บิดาที่เลี้ยงดูนางมาหลายปี เงินที่หลายปีมานี้ใช้ไปบนตัวนางรวมกันแล้วยังไม่ถึงสองพันตำลึงเลย ทว่า สามีที่ไม่มีความรู้สึกใดต่อนางแม้แต่น้อยผู้นี้ เพียงครั้งเดียวก็มอบเงินให้นางไปจัดแจงเองถึงสามหมื่นตำลึงหากมิใช่เพราะปัญหาเรื่องฐานะ จะให้นางเปลี่ยนบิดา มาเป็นลูกสาวของกู้จิ่งซีเสียเดี๋ยวนี้ นางก็เต็มใจอย่างยิ่งเลยล่ะโถงโซ่วอันคนของบ้านใหญ่และบ้านรองมาถึงกันพร้อมหน้าแล้ว กำลังคุยเล่นเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากู้แม้ฮูหยินผู้เฒ่ากู้จะเป็นมารดาเอก ที่ไม่ได้ปฏิบัติต่อบ้านใหญ่และบ้านรองเฉกเช่นบุตรชายในอุทร ทว่านางก็ไม่เคยปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างโหดร้าย กับหลานชายหลานสาวที่มิได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับนาง ก็ยังนับได้ว่าโอบอ้อมอารีในเวลานี้ มีสาวใช้เข้ามารายงาน “เรียนฮู
เมื่อเห็นคนในครอบครัวอยู่ร่วมกันอย่างปรองดอง อารมณ์ของฮูหยินผู้เฒ่ากู้ก็ปลอดโปร่งสบายใจ โดยเฉพาะเมื่อเห็นเมิ่งจิ่นเหยาที่อยู่ข้างกายบุตรชายแท้ๆ ซึ่งเป็นทายาทสายตรงของตน ยามสาวน้อยพูดคุยกับเย่าหลิงนั้นดูอ่อนโยนเป็นอย่างมากด้วยความเบิกบาน นางจึงมอบรางวัลให้สะใภ้ทุกคนเป็นปิ่นปักผมคนละด้ามอย่างเท่าเทียมโดยมิได้ลำเอียง ทุกชิ้นล้วนเป็นของที่สลักเสลาจากหยกน้ำงาม ปิ่นทุกด้ามมีมูลค่าไม่น้อยเลยนางจางและนางเฉินล้วนตกใจต่อความเมตตานี้ พวกนางเคยได้รับของขวัญพบหน้าจากแม่สามี แค่ในตอนที่ไปยกน้ำชาให้แม่สามีในวันที่สองหลังแต่งเข้ามาเท่านั้น ยามอื่นแม่สามีก็ไม่เคยมอบรางวัลใดให้พวกนางอีกเลย แต่ลูกของพวกนางกลับเคยได้รับรางวัลอยู่“สะใภ้ขอบพระคุณท่านแม่เจ้าค่ะ”คนทั้งสามขอบคุณฮูหยินผู้เฒ่ากู้อย่างพร้อมเพรียงด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มฮูหยินผู้เฒ่ากู้มองพวกนาง กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “สะใภ้ข้างบ้านของพวกเราคอยแก่งแย่งชิงดีกันทั้งในที่ลับและที่แจ้ง ทำเอาในบ้านวุ่นวายไปหมด จนพวกผู้ชายไม่มีแก่ใจจะไปต่อสู้เพื่ออนาคต โชคดีที่สะใภ้ของสกุลเราล้วนเป็นสะใภ้ที่ดี เมื่อเห็นพวกเจ้า ในใจของแม่ก็รู้สึกปลาบ
เมิ่งจิ่นเหยาพยักหน้า ราวกับกำลังพูดเรื่องเล็กน้อยทั่วไป “เรื่องมารดาเลี้ยงยึดครองสินเดิมของลูกเลี้ยงมีอยู่ไม่น้อย ข้าเพียงบังเอิญโชคร้ายเข้าเท่านั้น แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด แค่ทวงคืนกลับมาได้ก็พอแล้ว”นางจางกล่าวอย่างกระอักกระอ่วนอยู่บ้างว่า “นั่นสิ โชคดีนะที่น้องสะใภ้สามทวงกลับมาได้แล้ว”เมิ่งจิ่นเหยาพยักหน้าอีกครั้ง จากนั้นก็ยกจอกชาขึ้นมาจิบอีกคำ หากนางอายุน้อยกว่านี้อีกสองสามปี ไม่แน่ว่าจะรู้สึกอับอาย รู้สึกว่าน่าขายหน้า แต่บัดนี้ นางไม่สนใจเรื่องเหล่านี้แล้ว ดังนั้นไม่ว่าผู้ใด ก็ไม่อาจมาสร้างความระคายใจให้นางได้เดิมฮูหยินผู้เฒ่ากู้ก็พอใจในตัวลูกสะใภ้คนนี้อยู่แล้ว ยามนี้เมื่อเห็นว่านางใช้คำพูดไม่กี่คำก็คลี่คลายสถานการณ์ชวนขายหน้าไปได้ ก็รู้สึกพึงพอใจยิ่งกว่าเดิม แม่นางที่ดีงามเช่นนี้ เจ้าเด็กดื้อซิวหมิงนั่นไม่คู่ควร คู่กับเย่าหลิงจึงดีที่สุดฮูหยินผู้เฒ่ากู้ถอนใจเบาๆ ทีหนึ่ง “พออายุมากแล้วก็ใช้การไม่ค่อยได้ ยังไม่ทันไรก็รู้สึกเหนื่อยเสียแล้ว พวกเจ้าจงกลับไปกันเถอะ”เมื่อนางกล่าวจบ นางจางก็รู้สึกประหม่ากังวลขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อครู่ยังดีอยู่เลย เหตุใดเพียงครู่เดียวก็เหนื่อยเ
เพียงแค่ช่วงเช้าของวันเดียว เมิ่งจิ่นเหยาก็คำนวณรายได้ของโรงนาและร้านค้าในหลายปีมานี้ออกมาได้อย่างชัดเจนในตอนนี้ แม้ฐานะของสกุลโจวจะไม่ดีเท่าจวนหย่งชางป๋อ แต่ก็ไม่ด้อยเลย มารดาของนางเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของสกุลโจว ที่บ้านจึงมอบสินเดิมให้อย่างคับคั่ง ไม่ว่าจะเป็นที่ดินหรือร้านค้า รายได้ล้วนไม่เลวส่วนจวนหย่งชางป๋อนอกจากจะมีผีพนันที่ติดการพนันแบบอารองของนางแล้ว ยังเป็นเพราะมีท่านย่าของนางคอยให้ท้าย ทำให้เขาแพ้พนันจนสูญเสียทรัพย์สินไปไม่น้อย รวมกับที่หลายปีมานี้จวนหย่งชางป๋อตกต่ำลง จึงเป็นสินสอดของท่านแม่นาง ที่ช่วยพยุงเกียรติยศของจวนหย่งชางป๋อมาตลอดหลายปีรายได้จากที่ดินและร้านค้าพวกนั้น ตอนอยู่ในมือของนางซุนก็ถูกใช้ออกไปกว่าครึ่งแล้วหนิงตงดูยอดรวมที่ผู้เป็นนายคำนวณออกมา ก็พูดอย่างตะกุกตะกักว่า “พวกเขา…พวกเขาทำเกินไปแล้ว จวนหย่งชางป๋ออันใหญ่โตนั่น ใช้เงินของฮูหยินคนก่อนหล่อเลี้ยงให้อยู่รอดหรืออย่างไร? ”เมิ่งจิ่นเหยาหัวเราะเบาๆ “ท่านพ่อที่แสนดีคนนั้นของข้ารักศักดิ์ศรีหน้าตา ใช้จ่ายมือเติบ ย่อมสิ้นเปลืองเงินทองน่ะสิ”เพียงครู่เดียว ชุนหลิ่วก็ถือถาดเข้ามา แล้วหยิบขนมจานนั้นออกมาว
ท่านพ่อรักเมิ่งจิ่นเหยามากเพียงนั้น ก็ไม่แน่เมิ่งจิ่นเหยาอาจคอยพูดข้างหมอน ท่านพ่อถึงได้ช่วยพาเมิ่งเฉิงจางเข้าสำนักศึกษาหลิงซานด้วย สำนักศึกษาหลิงซาน แม้แต่เขาที่เป็นบุตรชายยังไม่สามารถเข้าเรียนได้เลยด้วยซ้ำ แต่ท่านพ่อกลับพาคนอื่นเข้าไป หนำซ้ำยังช่วยพาเข้าไปถึงสองคน ในใจเขารู้สึกไม่ยินยอม กวาดสายตาประเมินเมิ่งเฉิงจางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าไปหนึ่งที ส่งเสียงฮึ่มออกมาเบาๆ “จริงอย่างที่ว่าหนึ่งคนบรรลุเซียน หมูหมากาไก่ก็พลอยได้ขึ้นสวรรค์ด้วย พอพี่สาวไต่เต้าขึ้นมาจนได้ดี คนเป็นน้องชายก็พลอยได้รับผลประโยชน์ไปด้วย” ถ้อยคำนี้แม้มิได้ชี้ชัด ทว่าความหมายกลับชัดเจนในตัว ว่ากำลังถากถางเมิ่งเฉิงจางที่อาศัยความสัมพันธ์ของพี่สาว เพื่อให้พี่เขยช่วยพาตนเองเข้าเรียนที่สำนักศึกษาหลิงซาน เมิ่งเฉิงจางสีหน้ามืดครึ้มลงในทันใด สีหน้าของกู้ซิวเหวินก็ดูย่ำแย่เช่นกัน พี่สามไม่เข้าใจเรื่องราวอะไร ทว่าเขาเข้าใจกระจ่าง น้องชายของน้าสะใภ้สามท่านนี้แม้อายุยังน้อย แต่ก็เป็นคนที่เก่งกาจมีพรสวรรค์อย่างแท้จริง พี่สามไม่ทำความเข้าใจให้ดี แต่อาศัยจินตนาการเพ้อเจ้อของตนเองเข้าใจผิดไปว่าอีกฝ่ายต้องใช้เส้นสาย เขาดึงหน
แสงอาทิตย์ยามเช้าตรู่ช่างอ่อนโยน เหมาะสำหรับเดินเล่นยิ่งนัก กู้ซิวเหวินต้อนรับผู้มาเยือนอย่างกระตือรือร้นและเป็นมิตร พาเมิ่งเฉิงจางเข้ามาเยี่ยมชมภายในจวน ทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมภายในจวนได้ครู่หนึ่ง ระหว่างทางก็ถูกใครบางคนเรียกให้เข้าไปหา ก่อนจะขอปลีกตัวออกไปสักพัก ก็ได้บอกให้เมิ่งเฉิงจางเดินชมสภาพแวดล้อมไปก่อนพลาง ๆ เมิ่งเฉิงจางเห็นทัศนียภาพงดงามโดดเด่น ครู่เดียวก็หลงใหลไปกับความงดงามของทัศนียภาพ คิดไม่ถึงว่าเดินไปเดินมาสุดท้ายจะหลงทาง มีเส้นทางอยู่มากมาย ไม่รู้ว่าควรเดินเส้นทางใดเพื่อกลับไปจุดเดิม ครั้นกู้ซิวเหวินกลับมาไม่เห็นคน ก็รู้ทันทีว่าเขาน่าจะหลงทางแล้ว จึงรีบออกตามหาทันที ระหว่างทางบังเอิญเจอกู้ซิวหมิงและหลี่อี๋เหนียงเดินเข้ามา สองคนกำลังเดินเล่นอย่างสบายใจ คุยกันบ้าง หัวเราะกันบ้าง ในแววตาเจือความพิสมัยลุ่มลึกหวานชื่น บุรุษเก่งกาจมีความสามารถสตรีโฉมงามเพริศพริ้ง มองปราดเดียวก็เห็นถึงความเหมาะสมอย่างยิ่ง เขาเดินเข้าไปทักท่าน “พี่สาม หลี่อี๋เหนียง” หลายวันที่ผ่านมาหลี่อี๋เหนียงได้เรียนรู้ระเบียบประเพณีแล้ว เข้าใจชัดเจนว่าเมื่อใดที่ตนพบเจ้านายไม่ว่าเป็นท่านใดในจวนล
คล้ายว่าการนอนหงายจะทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัย นางจึงพลิกตัวนอนตะแคงข้าง ขดตัว และยังคงร้องไห้ไม่หยุด นี่คงจะกำลังฝันร้ายอยู่สินะ กู้จิ่งซีมองแม่นางน้อยกำลังร้องไห้ และเสียงสะอื้นไห้ยิ่งดังขึ้นทุกเสี้ยวขณะ เขาที่ไม่เคยมีประสบการณ์ปลอบโยนเด็กน้อยมาก่อนค่อนข้างทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรก่อนดี หากเป็นเช่นนี้ต่อไป จนสาวใช้ที่อยู่เฝ้ายามดึกข้างนอกได้ยินเข้า อาจจะคิดไปไกลถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ เขาครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเลื่อนมือไปลูบแผ่นหลังของแม่นางน้อยอย่างประดักประเดิด และปลอบโยนด้วยเสียงอบอุ่นว่า “ฮูหยินอย่าร้องไห้เลย ไม่เป็นอะไรแล้ว อย่าร้องไห้เลย” ไม่รู้ใช่เพราะได้ยินเสียงนี้หรือไม่ เมิ่งจิ่นเหยาเขยิบเข้ามาข้างกายเขาตามสัญชาตญาณ อิงแอบเขาไว้และยังคงร้องไห้ต่อไป กู้จิ่งซีจำต้องยอมรับชะตากรรมไป ได้แต่ภาวนาให้นางรีบหยุดสะอื้น ไม่เช่นนั้นหากคนอื่นได้ยินเข้าจะดูไม่งาม กลางดึกผู้คนเงียบสงัดหากมีเสียงสะอื้นไห้ของนางแว่วดังออกมาจากห้องนอน ต่อให้จะไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ก็หนีไม่พ้นต้องถูกเข้าใจผิดแน่ “ฮูหยินอย่าร้องไห้เลย ไม่ต้องร้องแล้ว มันก็แค่ฝันร้าย” กู้จิ่งซีปลอบโยนด้วย
คืนนั้น เมิ่งจิ่นเหยาฝัน ในฝันเฉิงอวี่กำลังร้องไห้โยเยไม่ยอมดื่มยา ตู้อี๋เหนียงแม้ใช้เสียงนุ่มนวลปลอบโยนอยู่นานครู่ใหญ่แล้วแต่ก็ยังไม่เป็นผล เห็นเจ้าตัวเล็กร้องไห้จนหน้าแดง แม้กระทั่งลมหายใจก็เริ่มไม่เป็นจังหวะ ตู้อี๋เหนียงกลัวว่าเจ้าเด็กน้อยร้องไห้จนขาดใจ ก็ไม่กล้าบังคับให้เจ้าเด็กน้อยดื่มยาอีก ได้แต่ปลอบโยนด้วยเสียงนุ่มนวล “เฉิงอวี่เด็กดี เฉิงอวี่ไม่อยากกิน เช่นนั้นก็ไม่ต้องกินแล้วนะ” เอ่ยพลางก็หันไปส่งสายตาให้สาวใช้ข้างกาย สาวใช้ผงกศีรษะ รีบออกไปตามหาคนช่วยกู้สถานการณ์ ทว่าสาวใช้แค่คิดจะออกไป เมิ่งจิ่นเหยาตัวน้อยก็เข้ามาพอดี ตู้อี๋เหนียงเห็นนาง ราวกับเห็นดวงดาวช่วยชีวิต เผยรอยยิ้มอบอุ่นออกมา “คุณหนูใหญ่ท่านมาแล้ว เฉิงอวี่ไม่ยอมดื่มยาอีกแล้ว ท่านช่วยมาปลอบโยนเขาหน่อยเถิด เขาเชื่อฟังท่านที่สุดแล้ว” “พี่…แค่ก…พี่หญิงใหญ่” เฉิงอวี่เห็นนาง ทันใดนั้นก็หยุดร้อง และยื่นมือออกมาขอให้นางกอด เมิ่งจิ่นเหยาตัวน้อยก้าวขาสั้น ๆ วิ่งเข้าไปหา ให้สาวใช้อุ้มขึ้นเตียงแล้ว นางก็ยื่นมือออกไปกอดน้องชายที่ป่วยอยู่ พลางเอ่ยวาจาปลอบโยนด้วยเสียงอ้อแอ้ของเด็กน้อย “เฉิงอวี่เด็กดี ดื่มยานี่อีกแค่
เมิ่งจิ่นเหยาหน้าถอดสี คิดถึงท่าทางหมดอาลัยตายอยากเมื่อสักครู่ของตนเองขึ้นมา ช่างน่าอับอายขายหน้าเสียจริง นางลดมือลงอย่างกระอักกระอ่วน เอ่ยด้วยใบหน้าเหยเก “แล้วอย่างไร คนเราก็ต้องมีช่วงเวลาที่ความคิดเพี้ยนผิดไปบ้าง ฟังถ้อยคำตักเตือนของท่านพี่แล้ว ข้าเองก็คงไม่ทำอะไรเช่นนั้นอีกแล้วเจ้าค่ะ” นางเอ่ยพลาง ก็ผินใบหน้าไปทางอื่น ขอบตาแดงรื้น รีบกะพริบตารัว ๆ หวังจะไล่น้ำตาให้ไหลย้อนกลับไป ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุขุมว่า “แม้เฉิงอวี่จะวัยเพียงสองขวบ แต่เขาก็รักทะนุถนอมข้ามาก ๆ ตอนเด็กที่ข้าเคยสะดุดก้อนหิน จนตนเองหกล้มเขายังเจ็บปวดหัวใจอย่างกับอะไรดี เด็กน้อยคนนั้นด่าทอสาปแช่งเจ้าหินก้อนนั้นอยู่นานเชียว ด่าว่ามันนิสัยไม่ดี หากเขาเห็นข้าได้รับบาดเจ็บ เขาต้องเจ็บหัวใจแน่” กู้จิ่งซีฟังอยู่อย่างเงียบเชียบ แม้เขาจะอาศัยในครอบครัวที่พอจะเรียกได้ว่ารักใคร่ปรองดองกันบ้าง แต่ก็ไม่เคยมีน้องชายแบบนี้มาก่อน เขากับพี่ชายมิได้มีความผูกพันกันแน่นแฟ้นอะไร พี่ชายทั้งสองคนแม้อาวุโสกว่า แต่ก็ยำเกรงเขา ให้ความเคารพเขามาก ความสนิทสนมใกล้ชิดจึงมีไม่เพียงพอ เขาเอ่ยด้วยเสียงอบอุ่น “เช่นนั้นฮูหยินโปรดจำใส่ใจ อย่าให
ผ่านไปนานครู่ใหญ่ เมิ่งจิ่นเหยาช้อนสายตาขึ้น มองกู้จิ่งซีตาไม่กะพริบ สายตาคู่นั้นเป็นประกายจนน่าตกใจ คล้ายกับมองเห็นหญ้าฟางช่วยชีวิตในยามเข้าตาจน ก็ถามด้วยความตื่นเต้น “สำหรับเรื่องการหาเรื่องให้ผู้อื่นอารมณ์เสีย ท่านพี่มีความคิดเห็นว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ?” กู้จิ่งซีเห็นแม่นางน้อยกลับมาฮึกเหิมมีพลังได้รวดเร็วเพียงนั้น ก็แอบถอนหายใจโล่งอกออกมากับตนเอง มีเรี่ยวแรงกลับมาสู้ต่อนั่นก็ดีแล้ว ท่าทางหมดอาลัยตายอยากเมื่อครู่ ทำให้กลัวว่านางจะคิดสั้นมากเสียจริง ดรุณีน้อยวัยเพียงสิบกว่าขวบ ชีวิตเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น หากต้องจบลงไปแบบนั้นแล้วก็น่าเสียดายเหลือเกิน เขาครุ่นคิดบางอย่าง “ฮูหยินต้องรับความผิดโดยไม่เป็นธรรมเช่นนั้นแล้ว ถึงคราวต้องคืนความผิดนี้กลับสู่คนร้ายตัวจริง” เมิ่งจิ่นเหยามุ่นหัวคิ้วขึ้น พริบตาเดียวก็ห่อเหี่ยวลงมา “เรื่องผ่านไปตั้งสิบเอ็ดปีแล้ว เบาะแสจากเมื่อปีก่อนนั้นคงจะถูกลบเลือนจางหายไปตามเวลาแล้ว อาศัยเพียงลมปากไม่มีหลักฐาน คิดจะจับตัวคนทำผิดกลับมาคงไม่ง่ายแล้วเจ้าค่ะ” กู้จิ่งซีถาม “เรื่องนี้นอกจากเจ้าแล้ว ยังมีผู้ใดรู้อีกบ้าง?” เมิ่งจิ่นเหยาตอบตามความจริง “ท่านปู่รู้
นางตอบคำถามที่กู้จิ่งซีถามมาก่อนหน้านี้ “ถูกกระทำเจ้าคะ”เมื่อกล่าวจบ น้ำเสียงของนางก็สะอื้นเล็กน้อย พลางกล่าวต่อว่า “ตอนนั้นไม่มีคนบังคับข้า เป็นเพียงความผิดพลาดที่ให้เกิดขึ้นเท่านั้น ข้าถึงได้รู้ว่าตนเองตกหลุมพรางโดยไม่ได้เตรียมตัวป้องกันเลยแม้แต่น้อย อยากจะแก้ไขแต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว”กู้จิ่งซีตอบกลับ “ผู้ที่ไม่รู้ย่อมไม่มีความผิด นั่นมิใช่ความผิดของเจ้า เป็นความผิดของผู้ที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมด”“มิใช่งั้นหรือเจ้าคะ?”เมิ่งจิ่นเหยากระซิบแผ่วเบา แววตาว่างเปล่า ท่าทางเหม่อลอยเล็กน้อย เมื่อนึกถึงร่างเย็นยะเยียบเล็ก ๆ ที่นอนอยู่ภายในโลงศพ ในใจของนางก็บีบรัดจนเจ็บขึ้นมา เดิมทีเฉิงอวี่ไม่จำเป็นต้องตาย“ต้องไม่ใช่อยู่แล้ว”กู้จิ่งซีให้คำตอบยืนยัน เมื่อเห็นนางจมอยู่ในความโศกเศร้า โทษตนเองและรู้สึกผิด เกลียดชังอย่างถึงที่สุด ก็สามารถคาดเดาได้ว่าคนผู้นั้นจะต้องสำคัญกับนางมากเป็นแน่ จึงถามนางต่อ “มิสู้ฮูหยินลองบอกกับข้าก่อนสักหน่อยได้หรือไม่ ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?”เมิ่งจิ่นเหยาเงยหน้ามองบุรุษที่อยู่อยู่ตรงหน้า คิดในใจว่าผู้ที่ชอบธรรมและน่าเกรงขามเช่นเสนาบดีกู้คงไม่แพร่เรื่องนี้อ
แม่นางน้อยนั่งอย่างงงงัน ก็ไม่รู้ว่าภายในใจกำลังคิดอะไรอยู่ ทว่าอารมณ์ค่อนข้างมั่นคงกู้จิ่งซีถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ฮูหยิน ตอนนี้สามารถบอกได้แล้วหรือไม่?”บอกอันใดเจ้าคะ?เมิ่งจิ่นเหยาเงยหน้ามองเขาอย่างไม่เข้าใจเหตุผลกู้จิ่งซีตอบกลับไปว่า “บอกว่าวันนี้เจ้าไปที่ไหนและทำอันใดมาบ้าง?”เมิ่งจิ่นเหยาก้มศีรษะลง เงียบงันไปชั่วครู่แล้วตอบด้วยเสียงแผ่วเบา “กลับไปบ้านมารดามาเจ้าค่ะ”มีคับข้องใจปกคลุมอยู่ในน้ำเสียง รวมถึงความเกลียดชังที่ยากจะดูออกสีหน้าของกู้จิ่งซีชะงักไปชั่วครู่ ดูเหมือนแม่นางน้อยจะไม่เคยรู้สึกน้อยใจเพราะเรื่องของบ้านมารดามาก่อน เพราะว่าไม่ใส่ใจ ดังนั้นจิตใจจึงสงบนิ่งดังสายน้ำ จากนั้นจึงถามต่อว่า “เหตุใดอยู่ ๆ ถึงได้กลับไปบ้านมารดาเล่า?”เมิ่งจิ่นเหยาตอบตามความจริง “พ่อบ้านบอกว่าท่านย่าล้มป่วย จึงกลับไปดูสักหน่อยเจ้าคะ คิดไม่ถึงว่าจะทำเพื่อเรื่องอื่น น้องรองผ่านการประเมินของสำนักศึกษาหลิงซาน และใกล้จะได้ไปร่ำเรียนที่สำนักศึกษาหลิงซาน เมิ่งเฉิงซิงกลับไม่ผ่านการประเมิน พวกท่านย่าของข้ารู้ว่าท่านกับหัวหน้าสำนักศึกษาหลิงซานเป็นสหายต่างวัยกัน จึงให้ข้ามาพูดกับท่าน ให้ไปห
ยามที่บุรุษดูแลใครสักคนท่าทางอ่อนโยน พิถีพิถัน การเคลื่อนไหวชำนิชำนาญ ราวกับเคยทำมาแล้วหลายครั้งหลายคราเมิ่งจิ่นเหยาดูเหมือนจะมองเห็นเงาร่างของท่านปู่ผ่านกู้จิ่งซีได้อย่างเลือนราง ท่านปู่ตามใจเพียงแค่นางเท่านั้น ไม่เพียงแต่ตัดแต่งเล็บให้นาง ยังมัดผมเป็นเปียเล็ก ๆ สองข้างให้นาง และเล่านิทานให้นางฟังด้วยกู้จิ่งซีในเวลานี้ดูคล้ายกับท่านปู่อยู่บ้าง แต่กลับไม่ใช่ท่านปู่ เขาอ่อนโยน ส่วนท่านปู่คือความรักและเมตตาเมิ่งจิ่นเหยาอยากรู้ “ก่อนหน้านี้ท่านพี่เคยดูแลเด็กอยู่บ่อยครั้งหรือเจ้าคะ?”เด็กที่นางพูด หมายถึงกู้ซิวหมิงการเคลื่อนไหวของกู้จิ่งซีหยุดชะงักไปชั่วครู่ มองดูนางพลางยิ้มแล้วกล่าวว่า “เปล่าหรอก นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าดูแลเด็ก โชคดีที่เด็กว่านอนสอนง่าย ไม่ก่อกวนเท่าใดนัก มิเช่นนั้นข้าคงดูแลไม่ไหว” เมื่อเมิ่งจิ่นเหยาได้ฟัง ก็ก้มหน้าลงไม่มองเขา ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่สบายใจ พลางกล่าวเสียงแผ่วเบา “ท่านพี่เป็นท่านโหว จะมาดูแลผู้อื่นได้อย่างไรกัน? ให้สาวใช้มาทำให้ก็พอแล้วเจ้าค่ะ”กู้จิ่งซียิ้มมุมปาก กล่าวตามเหตุตามผล “หากว่าเจ้าอยากให้สาวใช้มาดูแล จะอยู่ภายในห้องเพียงลำพังได้อย่างไร