วันถัดมาคือวันที่สิบห้า ตามกฎแล้วต้องไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าที่โถงโซ่วอันดังนั้น เมิ่งจิ่นเหยาและกู้จิ่งซีจึงตื่นเช้ากว่าปกติ เพราะต้องกินข้าวเช้าในเรือนตนเองเร็วขึ้นหน่อย เพื่อไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าต่อฮูหยินผู้เฒ่าบ้านอื่นชื่นชอบให้ลูกหลานรายล้อมอยู่รอบกาย จะได้คึกคักมีชีวิตชีวา แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากู้กับขึ้นชื่อเรื่องรักความสงบ นางไม่ชอบความครึกครื้น แม้แต่การกินอาหารเช้ากับลูกหลานก็งดเว้นไปแล้ว เพราะรำคาญว่าวุ่นวาย จะยกเว้นก็แต่เป็นวันสำคัญเท่านั้นกู้จิ่งซีรอให้นางจัดการตัวเองเสร็จอยู่ด้านนอก จากนั้นค่อยกินข้าวพร้อมกัน ในตอนที่เห็นคนก้าวออกมาจากในห้อง เขาก็ตะลึงไปครู่หนึ่ง ในก้นบึ้งของดวงตามีความประหลาดใจและชื่นชมวาบผ่านเขารู้มาตลอดว่า ภรรยาตัวน้อยของเขาเป็นสาวน้อยที่มีรูปโฉมเป็นเลิศ เพียงแต่ยามปกติมักแต่งกายให้ดูมีอายุ จนกลบความงดงามแจ่มใสที่แม่นางน้อยควรมีลงไป ฝืนให้ดูสง่ามีความมั่นคง จนดูแก่ขึ้นอีกหลายปี สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นผลงานของเมิ่งฮูหยินหรือนางซุน ที่เตรียมเสื้อผ้าประเภทนี้ไว้ให้สาวน้อยอย่างมีเจตนาแอบแฝงวันนี้ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด จึงได้เปลี่ยนรูปแบบการแต่งตัวในอดีตสาวน้
เมื่อเห็นเขาไม่มีความเห็นอื่น เมิ่งจิ่นเหยาจึงวางใจ ยอมรับการทำดีด้วยของเขาไว้อย่างสบายใจ เพียงแต่ในใจก็ยังถูกทำให้หวั่นไหวเล็กน้อยเช่นกัน นางเบิกตากว้างมองเขาอยู่ช่วงสองลมหายใจ จากนั้นจึงได้หลุบตาไปนอกจากท่านตากับท่านปู่แล้ว ยังไม่เคยมีผู้ใดเต็มใจจับจ่ายเงินเพื่อนางเช่นนี้ กู้จิ่งซีนับเป็นคนแรกพูดไปแล้วก็น่าขำนัก แม้แต่บิดาที่เลี้ยงดูนางมาหลายปี เงินที่หลายปีมานี้ใช้ไปบนตัวนางรวมกันแล้วยังไม่ถึงสองพันตำลึงเลย ทว่า สามีที่ไม่มีความรู้สึกใดต่อนางแม้แต่น้อยผู้นี้ เพียงครั้งเดียวก็มอบเงินให้นางไปจัดแจงเองถึงสามหมื่นตำลึงหากมิใช่เพราะปัญหาเรื่องฐานะ จะให้นางเปลี่ยนบิดา มาเป็นลูกสาวของกู้จิ่งซีเสียเดี๋ยวนี้ นางก็เต็มใจอย่างยิ่งเลยล่ะโถงโซ่วอันคนของบ้านใหญ่และบ้านรองมาถึงกันพร้อมหน้าแล้ว กำลังคุยเล่นเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากู้แม้ฮูหยินผู้เฒ่ากู้จะเป็นมารดาเอก ที่ไม่ได้ปฏิบัติต่อบ้านใหญ่และบ้านรองเฉกเช่นบุตรชายในอุทร ทว่านางก็ไม่เคยปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างโหดร้าย กับหลานชายหลานสาวที่มิได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับนาง ก็ยังนับได้ว่าโอบอ้อมอารีในเวลานี้ มีสาวใช้เข้ามารายงาน “เรียนฮู
เมื่อเห็นคนในครอบครัวอยู่ร่วมกันอย่างปรองดอง อารมณ์ของฮูหยินผู้เฒ่ากู้ก็ปลอดโปร่งสบายใจ โดยเฉพาะเมื่อเห็นเมิ่งจิ่นเหยาที่อยู่ข้างกายบุตรชายแท้ๆ ซึ่งเป็นทายาทสายตรงของตน ยามสาวน้อยพูดคุยกับเย่าหลิงนั้นดูอ่อนโยนเป็นอย่างมากด้วยความเบิกบาน นางจึงมอบรางวัลให้สะใภ้ทุกคนเป็นปิ่นปักผมคนละด้ามอย่างเท่าเทียมโดยมิได้ลำเอียง ทุกชิ้นล้วนเป็นของที่สลักเสลาจากหยกน้ำงาม ปิ่นทุกด้ามมีมูลค่าไม่น้อยเลยนางจางและนางเฉินล้วนตกใจต่อความเมตตานี้ พวกนางเคยได้รับของขวัญพบหน้าจากแม่สามี แค่ในตอนที่ไปยกน้ำชาให้แม่สามีในวันที่สองหลังแต่งเข้ามาเท่านั้น ยามอื่นแม่สามีก็ไม่เคยมอบรางวัลใดให้พวกนางอีกเลย แต่ลูกของพวกนางกลับเคยได้รับรางวัลอยู่“สะใภ้ขอบพระคุณท่านแม่เจ้าค่ะ”คนทั้งสามขอบคุณฮูหยินผู้เฒ่ากู้อย่างพร้อมเพรียงด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มฮูหยินผู้เฒ่ากู้มองพวกนาง กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “สะใภ้ข้างบ้านของพวกเราคอยแก่งแย่งชิงดีกันทั้งในที่ลับและที่แจ้ง ทำเอาในบ้านวุ่นวายไปหมด จนพวกผู้ชายไม่มีแก่ใจจะไปต่อสู้เพื่ออนาคต โชคดีที่สะใภ้ของสกุลเราล้วนเป็นสะใภ้ที่ดี เมื่อเห็นพวกเจ้า ในใจของแม่ก็รู้สึกปลาบ
เมิ่งจิ่นเหยาพยักหน้า ราวกับกำลังพูดเรื่องเล็กน้อยทั่วไป “เรื่องมารดาเลี้ยงยึดครองสินเดิมของลูกเลี้ยงมีอยู่ไม่น้อย ข้าเพียงบังเอิญโชคร้ายเข้าเท่านั้น แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด แค่ทวงคืนกลับมาได้ก็พอแล้ว”นางจางกล่าวอย่างกระอักกระอ่วนอยู่บ้างว่า “นั่นสิ โชคดีนะที่น้องสะใภ้สามทวงกลับมาได้แล้ว”เมิ่งจิ่นเหยาพยักหน้าอีกครั้ง จากนั้นก็ยกจอกชาขึ้นมาจิบอีกคำ หากนางอายุน้อยกว่านี้อีกสองสามปี ไม่แน่ว่าจะรู้สึกอับอาย รู้สึกว่าน่าขายหน้า แต่บัดนี้ นางไม่สนใจเรื่องเหล่านี้แล้ว ดังนั้นไม่ว่าผู้ใด ก็ไม่อาจมาสร้างความระคายใจให้นางได้เดิมฮูหยินผู้เฒ่ากู้ก็พอใจในตัวลูกสะใภ้คนนี้อยู่แล้ว ยามนี้เมื่อเห็นว่านางใช้คำพูดไม่กี่คำก็คลี่คลายสถานการณ์ชวนขายหน้าไปได้ ก็รู้สึกพึงพอใจยิ่งกว่าเดิม แม่นางที่ดีงามเช่นนี้ เจ้าเด็กดื้อซิวหมิงนั่นไม่คู่ควร คู่กับเย่าหลิงจึงดีที่สุดฮูหยินผู้เฒ่ากู้ถอนใจเบาๆ ทีหนึ่ง “พออายุมากแล้วก็ใช้การไม่ค่อยได้ ยังไม่ทันไรก็รู้สึกเหนื่อยเสียแล้ว พวกเจ้าจงกลับไปกันเถอะ”เมื่อนางกล่าวจบ นางจางก็รู้สึกประหม่ากังวลขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อครู่ยังดีอยู่เลย เหตุใดเพียงครู่เดียวก็เหนื่อยเ
เพียงแค่ช่วงเช้าของวันเดียว เมิ่งจิ่นเหยาก็คำนวณรายได้ของโรงนาและร้านค้าในหลายปีมานี้ออกมาได้อย่างชัดเจนในตอนนี้ แม้ฐานะของสกุลโจวจะไม่ดีเท่าจวนหย่งชางป๋อ แต่ก็ไม่ด้อยเลย มารดาของนางเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของสกุลโจว ที่บ้านจึงมอบสินเดิมให้อย่างคับคั่ง ไม่ว่าจะเป็นที่ดินหรือร้านค้า รายได้ล้วนไม่เลวส่วนจวนหย่งชางป๋อนอกจากจะมีผีพนันที่ติดการพนันแบบอารองของนางแล้ว ยังเป็นเพราะมีท่านย่าของนางคอยให้ท้าย ทำให้เขาแพ้พนันจนสูญเสียทรัพย์สินไปไม่น้อย รวมกับที่หลายปีมานี้จวนหย่งชางป๋อตกต่ำลง จึงเป็นสินสอดของท่านแม่นาง ที่ช่วยพยุงเกียรติยศของจวนหย่งชางป๋อมาตลอดหลายปีรายได้จากที่ดินและร้านค้าพวกนั้น ตอนอยู่ในมือของนางซุนก็ถูกใช้ออกไปกว่าครึ่งแล้วหนิงตงดูยอดรวมที่ผู้เป็นนายคำนวณออกมา ก็พูดอย่างตะกุกตะกักว่า “พวกเขา…พวกเขาทำเกินไปแล้ว จวนหย่งชางป๋ออันใหญ่โตนั่น ใช้เงินของฮูหยินคนก่อนหล่อเลี้ยงให้อยู่รอดหรืออย่างไร? ”เมิ่งจิ่นเหยาหัวเราะเบาๆ “ท่านพ่อที่แสนดีคนนั้นของข้ารักศักดิ์ศรีหน้าตา ใช้จ่ายมือเติบ ย่อมสิ้นเปลืองเงินทองน่ะสิ”เพียงครู่เดียว ชุนหลิ่วก็ถือถาดเข้ามา แล้วหยิบขนมจานนั้นออกมาว
รอจนชุนหลิ่วจากไป เมิ่งตงหย่วนก็คลี่จดหมายออกดู ทันใดนั้นความโมโหก็พุ่งขึ้นมา เขาถีบเก้าอี้ที่อยู่เบื้องหน้าจนพลิกคว่ำไปในเท้าเดียว จากนั้นก็คำรามอย่างโมโหว่า “นังลูกอกตัญญู!”นางซุนเพิ่งมาถึงก็ได้ยินเสียงคำรามด้วยความโกรธนี้เข้าพอดี ทำเอาตกใจจนคอหด ทว่าอย่างรวดเร็วก็ได้สติขึ้นมาว่า สามีน่าจะกำลังด่าทอเมิ่งจิ่นเหยา จึงรีบก้าวเข้าไปในห้องโถงอย่างรวดเร็ว แล้วส่งเสียงถามว่า “ท่านพี่ระงับโทสะเถิดเจ้าค่ะ ระวังจะโมโหจนเสียสุขภาพ ที่แท้เกินเรื่องใดขึ้นกันแน่”เมิ่งตงหย่วนโมโหจนใบหน้าแดงก่ำลำคอแข็งเกร็ง เขายื่นจดหมายในมือให้นาง โมโหอย่างที่สุดว่า “เจ้าดูเจ้าลูกอกตัญญูนี่สิ นางคิดจะบีบบังคับบ้านมารดาจนตาย ตอนนั้นทำไมคนที่ตายถึงเป็นนางโจวไม่ใช่นางนะ? เลี้ยงนางมาจนโตขนาดนี้ไม่รู้จักสำนึกบุญคุณก็ช่างแล้ว นี่ยังจะมาทวงหนี้กับบ้านมารดาของตัวเองอีก”เมื่อนางซุนได้ยิน ก็รีบรับจดหมายไปดูอย่างละเอียดทีหนึ่ง พบว่าเป็นจดหมายทวงหนี้ฉบับหนึ่ง ในตอนที่เห็นจำนวนบนนั้น นางก็แทบจะหน้ามืดหมดสติไปทันทีครอบครัวของพวกนางใช้สินเดิมของนางโจวไปมากขนาดนั้นเชียวหรือ?นี่ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เลย ต่อให้นำสินเดิมทั้งหมดข
วันนี้เป็นวันที่แสงอาทิตย์อบอุ่น รัศมีแห่งฤดูใบไม้ผลิเปล่งประกายอย่างสดใสวันหยุดช่วงแต่งงานของกู้จิ่งซีได้จบลงแล้ว ยามเหม่าสี่เค่อเขาก็ออกจากบ้านแล้ว จวบจนพลบค่ำในยามจุดไฟจึงกลับมา ถึงตอนนั้นก็เป็นช่วงเวลาอาหารค่ำพอดีเมิ่งจิ่นเหยาได้พบเขาเพียงช่วงจุดคบไฟเท่านั้น และมีบางครั้งที่ถึงเวลาจุดไฟแล้วก็ยังไม่เห็นคน รอจนนางหลับไปแล้ว กู้จิ่งซีจึงกลับมาจากการทำงานอย่างดึกดื่นมืดค่ำ ทว่านางก็มิได้สนใจ เพียงทำเรื่องของตนเองให้ดีเท่านั้นเวลานี้ เมิ่งจิ่นเหยากำลังพลิกดูสมุดบัญชีทรัพย์สินส่วนตัวพวกนั้นของกู้จิ่งซี ทำความเข้าใจว่าแต่ละปีเขามีรายรับเท่าใด จะได้ทำหน้าที่ดูแลเรือนให้เขาในฐานะภรรยาชุนหลิ่วนำเทียบฉบับหนึ่งเข้ามามอบให้เมิ่งจิ่นเหยาอย่างนอบน้อม “ฮูหยินเจ้าคะ นี่เป็นเทียบเชิญที่จวนหรงกั๋วกงส่งมาเจ้าค่ะ”ความเคลื่อนไหวในการพลิกสมุดบัญชีของเมิ่งจิ่นเหยาชะงักลง นางแต่งเข้าจวนฉางซินโหวได้ครึ่งเดือนกว่าแล้ว ยังคงเป็นครั้งแรกที่ได้รีบเทียบเชิญจากสกุลอื่น คิดว่าคนพวกนั้นคงยึดท่าทีรอดูก่อน เมื่อเห็นว่าจวนฉางซินโหวปฏิบัติต่อนางไม่เลว จึงได้เชิญนางไปเป็นแขกนางรับเทียบเชิญมาดู เป็นงานเลี้ยงน
นางคิดว่าตนเองไม่นับว่ามาสาย แต่เมื่อไปถึงแล้วจึงพบว่าตนเองไปสายนัก ในห้องโถงมีฮูหยินของขุนนางและเหล่าคุณหนูสูงศักดิ์รวมกันอยู่ไม่น้อยแล้วเดิมทุกคนก็คิดว่านางไม่กล้าออกจากบ้านมาเช่นกัน ดังนั้นคงไม่มีทางมาแล้ว ดังนั้นในตอนที่นางปรากฏตัว คล้ายกับทุกสายตาล้วนมารวมอยู่ที่ตัวนาง ในสีหน้ามีทั้งความตะลึงและประหลาดใจ จากนั้นก็เป็นการมองสำรวจนางก็เห็นนางสวมกระโปรงจีบลายหยกสมปรารถนาสีเขียวอ่อนอมฟ้าของธารน้ำ เส้นผมดำขลับมวยสูงเป็นทรงก้นหอย บนศีรษะประดับด้วยปิ่นระย้าฝังไข่มุกมรกต หูส่วมต่างหูมุกระย้า แม้มิได้ประทินโฉมอย่างซับซ้อน ทว่ารูปโฉมของนางเลอลักษณ์ บริสุทธิ์งดงาม สง่างามและภูมิฐานยามที่นางโค้งริมฝีปากแย้มยิ้มนั้น เจิดจรัสจนทำให้ตาพร่า หมู่ผกาสิ้นแสง นับเป็นหญิงงามที่หาได้ยากอย่างแท้จริงไม่แปลกเลยที่ฉางซินโหวผู้ให้ความสำคัญกับกฎธรรมเนียมมาตลอดจะแต่งนางเป็นภรรยา หากมีภรรยาที่งดงามเช่นนี้อยู่เคียงข้าง ต่อให้ต้องถูกคนทั้งแผ่นดินเย้ยหยันแล้วอย่างไร? เดิมเพราะฉางซินโหวมีโรคที่บอกผู้อื่นไม่ได้ จึงไม่มีสตรีสูงศักดิ์นางใดเต็มใจแต่งด้วย ยามนี้บุตรชายหนีวิวาห์ ทำให้เขาเก็บผลประโยชน์ครั้งใหญ่ได
ได้ยินเช่นนั้น นางจางก็เหลือบสายตามองกู้จิ่งซีด้วยความพรั่นพรึงปราดหนึ่ง บัดนี้กลับเป็นบุตรชายของนางที่เป็นฝ่ายคนมากรุมรังแกคนน้อย หากว่าบุตรชายของตนเองเป็นฝ่ายผิดก่อนขึ้นมาจะเป็นเรื่องดีได้อย่างไร? อาสามยึดมั่นในความยุติธรรมชื่นชมลงโทษล้วนละเอียดรอบคอบมาตลอด เมื่อลงโทษผู้น้อยที่ทำความผิดแล้วก็ไม่เคยใจอ่อนปรานีแม้เพียงครั้งเดียว “ท่านแม่” ในตอนนั้นเอง เสียงของกู้จิ่งเซิ่งก็ดังขึ้นมา เมิ่งจิ่นเหยาและกู้จิ่งซีเองก็ทำความเคารพต่อฮูหยินผู้เฒ่ากู้ ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน “ท่านแม่” นางจางเหลือบสายตามองขึ้นไป ก็เห็นว่าแม่สามีเข้ามาแล้ว จึงผละออกจากบุตรชาย และร้องเรียก “ท่านแม่” จากนั้นจึงเดินเข้าไปอย่างกระตือรือร้นประคองแม่สามีไปนั่งประจำตำแหน่ง ฮูหยินผู้เฒ่ากู้มองนางปราดหนึ่ง ปล่อยให้นางช่วยประคองเดินไป รู้ดีว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ คงเป็นเพราะกลัวว่าบุตรชายจะถูกลงโทษ ฉะนั้นถึงได้รีบร้อนเข้ามาเอาอกเอาใจผู้อาวุโสก่อนใคร หวังว่าโทษจะเบาลงได้บ้าง แต่หนนี้ดูนางจะคิดมากเกินไป เพราะคนที่ผิดก่อนอย่างไรก็เป็นซิวหมิง หากจะลงโทษก็ต้องลงโทษซิวหมิงก่อน ฮูหยินผู้เฒ่ากู้นั่งประจำตำแหน่งแล้ว ก
อีกฟากนั้น เมิ่งจิ่นเหยาและกู้จิ่งซีได้รับข่าวอย่างไม่ตั้งตัว แจ้งว่าให้พวกเขามุ่งหน้าไปที่โถงโซ่วอัน สองคนสามีภรรยาเองก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็รีบมุ่งหน้าไปที่โถงโซ่วอันทันที กู้จิ่งเซิ่งและนางจางสองคนสามีภรรยาเองก็เช่นกัน เมื่อได้รับข่าวแล้ว ก็รีบร้อนมุ่งหน้าไปที่โถงโซ่วอันทันที โดยปกติท่านแม่ไม่เคยเรียกพวกเขาเข้าพบอย่างกะทันหันเช่นนี้ ในเมื่อเรียกพวกเขาให้ไปเข้าพบก็หมายความว่าต้องมีเรื่องสำคัญบางอย่างเกิดขึ้นแล้ว พวกเขาทั้งคู่ต่างรู้สึกวิตกกังวล แต่เมื่อเห็นว่าเจ้าสามและภรรยาก็มาถึงแล้วเช่นกัน ก็ค่อยรู้สึกเบาใจลงมาได้สักหน่อย กู้จิ่งเซิ่งชะงักฝีเท้า ถามไถ่อย่างสงสัย “น้องสาม น้องสะใภ้สาม พวกเจ้าเองก็ถูกท่านแม่เรียกพบเหมือนกันหรือ?” เมิ่งจิ่นเหยาและกู้จิ่งซีพยักหน้าเบา ๆ กู้จิ่งเซิ่งยังถามอีกว่า “เช่นนั้นท่านแม่ได้แจ้งหรือไม่ว่าท่านเรียกให้พวกข้ามาด้วยเหตุผลอันใด?” กู้จิ่งซีตอบกลับด้วยเสียงราบเรียบ “เรื่องนี้ท่านแม่มิได้แจ้ง เพียงแต่ระยะนี้ไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น คงจะไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรกระมัง พี่ใหญ่วางใจเถิด” ได้ยินวาจานี้แล้ว กู้จิ่งเซิ่งเองก็ไม่คิดอะไรมากไปกว่าน
“บริสุทธิ์?” กู้ซิวหมิงแค่นเสียงหัวเราะ “ตอนแรกที่ข้าหนีงานวิวาห์ นางเกือบจะได้สมรสกับเจ้าแล้ว หากไม่ใช่เพราะท่านพ่อข้ายังมิได้สมรสภรรยาเอก ตัวเจ้าก็มีความเป็นไปได้ถึงห้าส่วนที่จะได้เป็นสามีของนาง” และทันทีที่เขาพูดจบ ก็ถูกเมิ่งเฉิงจางที่อยู่ด้านข้างยกเท้าถีบเข้าอย่างรุนแรง เขาไม่ทันตั้งตัวก็ล้มลงไป ทำให้กู้ซิวเหวินได้โอกาสพลิกตัวกลับมา เดิมทีเมิ่งเฉิงจางไม่พร้อมจะเข้าร่วม แต่เมื่อได้ยินกู้ซิวหมิงกล่าวหาว่าร้ายทำลายความบริสุทธิ์ของพี่หญิงใหญ่อย่างโจ่งแจ้ง ก็ทนไม่ไหว เข้าร่วมกับกู้ซิวเหวินทันที เมื่อเป็นสองรุมหนึ่ง ก็ทำให้กู้ซิวหมิงซึ่งเดิมเป็นฝ่ายได้เปรียบก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบไป เมิ่งเฉิงจางและกู้ซิวเหวินต่างฉลาดเฉียบแหลมทั้งคู่ เลือกลงมือเฉพาะส่วนที่มีเสื้อผ้าปกปิดเท่านั้น กระทั่งมีสาวใช้คนหนึ่งบังเอิญเดินผ่านมา เห็นภาพฉากนี้เข้า ก็ตกใจรีบหมุนตัวเดินหนีไปทันที วิ่งโร่ไปยังโถงโซ่วอันเพื่อนำเรื่องไปแจ้งฮูหยินผู้เฒ่ากู้ ฮูหยินผู้เฒ่ากู้เมื่อได้ยินเช่นนั้น ก็สั่งให้เฝิงหมอมอหญิงรับใช้คนสนิทเข้ามาห้ามปรามการทะเลาะทันที และพาตัวพวกเขาทุกคนกลับมาที่โถงโซ่วอัน ขณะเดียวกันก็สั่งให้ส
สิ้นวาจานี้ บรรยากาศรอบข้างพลันจมดิ่งสู่ความตึงเครียด กู้ซิวหมิงและกู้ซิวเหวินเป็นพี่น้องกันมาหลายปี สมานฉันท์ปรองดองกันมาตลอด ไม่เคยทะเลาะเบาะแว้ง แต่วันนี้กลับไม่สนหน้าของอีกฝ่าย มีปากเสียงปะทะคารมต่อกันโดยตรง พวกเขาขึงตาจ้องกันด้วยโทสะ ท้ายที่สุดก็เป็นกู้ซิวหมิงผู้ซึ่งเป็นฝ่ายผิดก่อนต้องยอมถอย ด้วยเรื่องนี้ การกระทำของเขาทำให้ชื่อเสียงของพี่น้องในตระกูลต้องได้รับผลกระทบไปด้วยจริง และเพราะเหตุผลนี้ ท่านพ่อถึงได้เรียกเขาไปตำหนิที่ห้องหนังสือเมื่อตอนก่อน ทว่าบัดนี้เขาเองก็ได้ให้หว่านเอ๋อร์ย้ายออกจากห้องหลักซึ่งต้องเป็นภรรยาเอกเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์อาศัยแล้ว ยังต้องการให้เขาทำอย่างไรอีก? เมิ่งเฉิงจางผงะไป มองสองพี่สองที่ไม่ยอมลดราวาศอก เขาคิดไม่ถึงว่าเรื่องนี้จะบานปลายไปถึงขั้นทำให้พวกเขาสองคนพี่น้องต้องทะเลาะกัน หลี่หว่านเอ๋อร์น้ำตาคลอเบ้า บัดนี้ไม่อาจอดทนกลั้นน้ำตาไว้ได้อีกแล้ว เสี้ยวพริบตาหยาดน้ำตาก็ร่วงเผาะลงมาในทันที สะอื้นไห้เสียงเบา กู้ซิวเหวินเห็นนางร้องไห้น้ำตานองหน้า ท่าทางเหมือนอนุภรรยาของท่านพ่อของเขาไม่มีผิด ความรู้สึกชิงชังรังเกียจยิ่งผุดขึ้นในใจ ก็เสริมขึ้นประโยค
ท่านพ่อรักเมิ่งจิ่นเหยามากเพียงนั้น ก็ไม่แน่เมิ่งจิ่นเหยาอาจคอยพูดข้างหมอน ท่านพ่อถึงได้ช่วยพาเมิ่งเฉิงจางเข้าสำนักศึกษาหลิงซานด้วย สำนักศึกษาหลิงซาน แม้แต่เขาที่เป็นบุตรชายยังไม่สามารถเข้าเรียนได้เลยด้วยซ้ำ แต่ท่านพ่อกลับพาคนอื่นเข้าไป หนำซ้ำยังช่วยพาเข้าไปถึงสองคน ในใจเขารู้สึกไม่ยินยอม กวาดสายตาประเมินเมิ่งเฉิงจางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าไปหนึ่งที ส่งเสียงฮึ่มออกมาเบาๆ “จริงอย่างที่ว่าหนึ่งคนบรรลุเซียน หมูหมากาไก่ก็พลอยได้ขึ้นสวรรค์ด้วย พอพี่สาวไต่เต้าขึ้นมาจนได้ดี คนเป็นน้องชายก็พลอยได้รับผลประโยชน์ไปด้วย” ถ้อยคำนี้แม้มิได้ชี้ชัด ทว่าความหมายกลับชัดเจนในตัว ว่ากำลังถากถางเมิ่งเฉิงจางที่อาศัยความสัมพันธ์ของพี่สาว เพื่อให้พี่เขยช่วยพาตนเองเข้าเรียนที่สำนักศึกษาหลิงซาน เมิ่งเฉิงจางสีหน้ามืดครึ้มลงในทันใด สีหน้าของกู้ซิวเหวินก็ดูย่ำแย่เช่นกัน พี่สามไม่เข้าใจเรื่องราวอะไร ทว่าเขาเข้าใจกระจ่าง น้องชายของน้าสะใภ้สามท่านนี้แม้อายุยังน้อย แต่ก็เป็นคนที่เก่งกาจมีพรสวรรค์อย่างแท้จริง พี่สามไม่ทำความเข้าใจให้ดี แต่อาศัยจินตนาการเพ้อเจ้อของตนเองเข้าใจผิดไปว่าอีกฝ่ายต้องใช้เส้นสาย เขาดึงหน
แสงอาทิตย์ยามเช้าตรู่ช่างอ่อนโยน เหมาะสำหรับเดินเล่นยิ่งนัก กู้ซิวเหวินต้อนรับผู้มาเยือนอย่างกระตือรือร้นและเป็นมิตร พาเมิ่งเฉิงจางเข้ามาเยี่ยมชมภายในจวน ทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมภายในจวนได้ครู่หนึ่ง ระหว่างทางก็ถูกใครบางคนเรียกให้เข้าไปหา ก่อนจะขอปลีกตัวออกไปสักพัก ก็ได้บอกให้เมิ่งเฉิงจางเดินชมสภาพแวดล้อมไปก่อนพลาง ๆ เมิ่งเฉิงจางเห็นทัศนียภาพงดงามโดดเด่น ครู่เดียวก็หลงใหลไปกับความงดงามของทัศนียภาพ คิดไม่ถึงว่าเดินไปเดินมาสุดท้ายจะหลงทาง มีเส้นทางอยู่มากมาย ไม่รู้ว่าควรเดินเส้นทางใดเพื่อกลับไปจุดเดิม ครั้นกู้ซิวเหวินกลับมาไม่เห็นคน ก็รู้ทันทีว่าเขาน่าจะหลงทางแล้ว จึงรีบออกตามหาทันที ระหว่างทางบังเอิญเจอกู้ซิวหมิงและหลี่อี๋เหนียงเดินเข้ามา สองคนกำลังเดินเล่นอย่างสบายใจ คุยกันบ้าง หัวเราะกันบ้าง ในแววตาเจือความพิสมัยลุ่มลึกหวานชื่น บุรุษเก่งกาจมีความสามารถสตรีโฉมงามเพริศพริ้ง มองปราดเดียวก็เห็นถึงความเหมาะสมอย่างยิ่ง เขาเดินเข้าไปทักท่าน “พี่สาม หลี่อี๋เหนียง” หลายวันที่ผ่านมาหลี่อี๋เหนียงได้เรียนรู้ระเบียบประเพณีแล้ว เข้าใจชัดเจนว่าเมื่อใดที่ตนพบเจ้านายไม่ว่าเป็นท่านใดในจวนล
คล้ายว่าการนอนหงายจะทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัย นางจึงพลิกตัวนอนตะแคงข้าง ขดตัว และยังคงร้องไห้ไม่หยุด นี่คงจะกำลังฝันร้ายอยู่สินะ กู้จิ่งซีมองแม่นางน้อยกำลังร้องไห้ และเสียงสะอื้นไห้ยิ่งดังขึ้นทุกเสี้ยวขณะ เขาที่ไม่เคยมีประสบการณ์ปลอบโยนเด็กน้อยมาก่อนค่อนข้างทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรก่อนดี หากเป็นเช่นนี้ต่อไป จนสาวใช้ที่อยู่เฝ้ายามดึกข้างนอกได้ยินเข้า อาจจะคิดไปไกลถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ เขาครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเลื่อนมือไปลูบแผ่นหลังของแม่นางน้อยอย่างประดักประเดิด และปลอบโยนด้วยเสียงอบอุ่นว่า “ฮูหยินอย่าร้องไห้เลย ไม่เป็นอะไรแล้ว อย่าร้องไห้เลย” ไม่รู้ใช่เพราะได้ยินเสียงนี้หรือไม่ เมิ่งจิ่นเหยาเขยิบเข้ามาข้างกายเขาตามสัญชาตญาณ อิงแอบเขาไว้และยังคงร้องไห้ต่อไป กู้จิ่งซีจำต้องยอมรับชะตากรรมไป ได้แต่ภาวนาให้นางรีบหยุดสะอื้น ไม่เช่นนั้นหากคนอื่นได้ยินเข้าจะดูไม่งาม กลางดึกผู้คนเงียบสงัดหากมีเสียงสะอื้นไห้ของนางแว่วดังออกมาจากห้องนอน ต่อให้จะไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ก็หนีไม่พ้นต้องถูกเข้าใจผิดแน่ “ฮูหยินอย่าร้องไห้เลย ไม่ต้องร้องแล้ว มันก็แค่ฝันร้าย” กู้จิ่งซีปลอบโยนด้วย
คืนนั้น เมิ่งจิ่นเหยาฝัน ในฝันเฉิงอวี่กำลังร้องไห้โยเยไม่ยอมดื่มยา ตู้อี๋เหนียงแม้ใช้เสียงนุ่มนวลปลอบโยนอยู่นานครู่ใหญ่แล้วแต่ก็ยังไม่เป็นผล เห็นเจ้าตัวเล็กร้องไห้จนหน้าแดง แม้กระทั่งลมหายใจก็เริ่มไม่เป็นจังหวะ ตู้อี๋เหนียงกลัวว่าเจ้าเด็กน้อยร้องไห้จนขาดใจ ก็ไม่กล้าบังคับให้เจ้าเด็กน้อยดื่มยาอีก ได้แต่ปลอบโยนด้วยเสียงนุ่มนวล “เฉิงอวี่เด็กดี เฉิงอวี่ไม่อยากกิน เช่นนั้นก็ไม่ต้องกินแล้วนะ” เอ่ยพลางก็หันไปส่งสายตาให้สาวใช้ข้างกาย สาวใช้ผงกศีรษะ รีบออกไปตามหาคนช่วยกู้สถานการณ์ ทว่าสาวใช้แค่คิดจะออกไป เมิ่งจิ่นเหยาตัวน้อยก็เข้ามาพอดี ตู้อี๋เหนียงเห็นนาง ราวกับเห็นดวงดาวช่วยชีวิต เผยรอยยิ้มอบอุ่นออกมา “คุณหนูใหญ่ท่านมาแล้ว เฉิงอวี่ไม่ยอมดื่มยาอีกแล้ว ท่านช่วยมาปลอบโยนเขาหน่อยเถิด เขาเชื่อฟังท่านที่สุดแล้ว” “พี่…แค่ก…พี่หญิงใหญ่” เฉิงอวี่เห็นนาง ทันใดนั้นก็หยุดร้อง และยื่นมือออกมาขอให้นางกอด เมิ่งจิ่นเหยาตัวน้อยก้าวขาสั้น ๆ วิ่งเข้าไปหา ให้สาวใช้อุ้มขึ้นเตียงแล้ว นางก็ยื่นมือออกไปกอดน้องชายที่ป่วยอยู่ พลางเอ่ยวาจาปลอบโยนด้วยเสียงอ้อแอ้ของเด็กน้อย “เฉิงอวี่เด็กดี ดื่มยานี่อีกแค่
เมิ่งจิ่นเหยาหน้าถอดสี คิดถึงท่าทางหมดอาลัยตายอยากเมื่อสักครู่ของตนเองขึ้นมา ช่างน่าอับอายขายหน้าเสียจริง นางลดมือลงอย่างกระอักกระอ่วน เอ่ยด้วยใบหน้าเหยเก “แล้วอย่างไร คนเราก็ต้องมีช่วงเวลาที่ความคิดเพี้ยนผิดไปบ้าง ฟังถ้อยคำตักเตือนของท่านพี่แล้ว ข้าเองก็คงไม่ทำอะไรเช่นนั้นอีกแล้วเจ้าค่ะ” นางเอ่ยพลาง ก็ผินใบหน้าไปทางอื่น ขอบตาแดงรื้น รีบกะพริบตารัว ๆ หวังจะไล่น้ำตาให้ไหลย้อนกลับไป ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุขุมว่า “แม้เฉิงอวี่จะวัยเพียงสองขวบ แต่เขาก็รักทะนุถนอมข้ามาก ๆ ตอนเด็กที่ข้าเคยสะดุดก้อนหิน จนตนเองหกล้มเขายังเจ็บปวดหัวใจอย่างกับอะไรดี เด็กน้อยคนนั้นด่าทอสาปแช่งเจ้าหินก้อนนั้นอยู่นานเชียว ด่าว่ามันนิสัยไม่ดี หากเขาเห็นข้าได้รับบาดเจ็บ เขาต้องเจ็บหัวใจแน่” กู้จิ่งซีฟังอยู่อย่างเงียบเชียบ แม้เขาจะอาศัยในครอบครัวที่พอจะเรียกได้ว่ารักใคร่ปรองดองกันบ้าง แต่ก็ไม่เคยมีน้องชายแบบนี้มาก่อน เขากับพี่ชายมิได้มีความผูกพันกันแน่นแฟ้นอะไร พี่ชายทั้งสองคนแม้อาวุโสกว่า แต่ก็ยำเกรงเขา ให้ความเคารพเขามาก ความสนิทสนมใกล้ชิดจึงมีไม่เพียงพอ เขาเอ่ยด้วยเสียงอบอุ่น “เช่นนั้นฮูหยินโปรดจำใส่ใจ อย่าให