เมื่อเห็นคนในครอบครัวอยู่ร่วมกันอย่างปรองดอง อารมณ์ของฮูหยินผู้เฒ่ากู้ก็ปลอดโปร่งสบายใจ โดยเฉพาะเมื่อเห็นเมิ่งจิ่นเหยาที่อยู่ข้างกายบุตรชายแท้ๆ ซึ่งเป็นทายาทสายตรงของตน ยามสาวน้อยพูดคุยกับเย่าหลิงนั้นดูอ่อนโยนเป็นอย่างมากด้วยความเบิกบาน นางจึงมอบรางวัลให้สะใภ้ทุกคนเป็นปิ่นปักผมคนละด้ามอย่างเท่าเทียมโดยมิได้ลำเอียง ทุกชิ้นล้วนเป็นของที่สลักเสลาจากหยกน้ำงาม ปิ่นทุกด้ามมีมูลค่าไม่น้อยเลยนางจางและนางเฉินล้วนตกใจต่อความเมตตานี้ พวกนางเคยได้รับของขวัญพบหน้าจากแม่สามี แค่ในตอนที่ไปยกน้ำชาให้แม่สามีในวันที่สองหลังแต่งเข้ามาเท่านั้น ยามอื่นแม่สามีก็ไม่เคยมอบรางวัลใดให้พวกนางอีกเลย แต่ลูกของพวกนางกลับเคยได้รับรางวัลอยู่“สะใภ้ขอบพระคุณท่านแม่เจ้าค่ะ”คนทั้งสามขอบคุณฮูหยินผู้เฒ่ากู้อย่างพร้อมเพรียงด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มฮูหยินผู้เฒ่ากู้มองพวกนาง กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “สะใภ้ข้างบ้านของพวกเราคอยแก่งแย่งชิงดีกันทั้งในที่ลับและที่แจ้ง ทำเอาในบ้านวุ่นวายไปหมด จนพวกผู้ชายไม่มีแก่ใจจะไปต่อสู้เพื่ออนาคต โชคดีที่สะใภ้ของสกุลเราล้วนเป็นสะใภ้ที่ดี เมื่อเห็นพวกเจ้า ในใจของแม่ก็รู้สึกปลาบ
เมิ่งจิ่นเหยาพยักหน้า ราวกับกำลังพูดเรื่องเล็กน้อยทั่วไป “เรื่องมารดาเลี้ยงยึดครองสินเดิมของลูกเลี้ยงมีอยู่ไม่น้อย ข้าเพียงบังเอิญโชคร้ายเข้าเท่านั้น แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด แค่ทวงคืนกลับมาได้ก็พอแล้ว”นางจางกล่าวอย่างกระอักกระอ่วนอยู่บ้างว่า “นั่นสิ โชคดีนะที่น้องสะใภ้สามทวงกลับมาได้แล้ว”เมิ่งจิ่นเหยาพยักหน้าอีกครั้ง จากนั้นก็ยกจอกชาขึ้นมาจิบอีกคำ หากนางอายุน้อยกว่านี้อีกสองสามปี ไม่แน่ว่าจะรู้สึกอับอาย รู้สึกว่าน่าขายหน้า แต่บัดนี้ นางไม่สนใจเรื่องเหล่านี้แล้ว ดังนั้นไม่ว่าผู้ใด ก็ไม่อาจมาสร้างความระคายใจให้นางได้เดิมฮูหยินผู้เฒ่ากู้ก็พอใจในตัวลูกสะใภ้คนนี้อยู่แล้ว ยามนี้เมื่อเห็นว่านางใช้คำพูดไม่กี่คำก็คลี่คลายสถานการณ์ชวนขายหน้าไปได้ ก็รู้สึกพึงพอใจยิ่งกว่าเดิม แม่นางที่ดีงามเช่นนี้ เจ้าเด็กดื้อซิวหมิงนั่นไม่คู่ควร คู่กับเย่าหลิงจึงดีที่สุดฮูหยินผู้เฒ่ากู้ถอนใจเบาๆ ทีหนึ่ง “พออายุมากแล้วก็ใช้การไม่ค่อยได้ ยังไม่ทันไรก็รู้สึกเหนื่อยเสียแล้ว พวกเจ้าจงกลับไปกันเถอะ”เมื่อนางกล่าวจบ นางจางก็รู้สึกประหม่ากังวลขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อครู่ยังดีอยู่เลย เหตุใดเพียงครู่เดียวก็เหนื่อยเ
เพียงแค่ช่วงเช้าของวันเดียว เมิ่งจิ่นเหยาก็คำนวณรายได้ของโรงนาและร้านค้าในหลายปีมานี้ออกมาได้อย่างชัดเจนในตอนนี้ แม้ฐานะของสกุลโจวจะไม่ดีเท่าจวนหย่งชางป๋อ แต่ก็ไม่ด้อยเลย มารดาของนางเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของสกุลโจว ที่บ้านจึงมอบสินเดิมให้อย่างคับคั่ง ไม่ว่าจะเป็นที่ดินหรือร้านค้า รายได้ล้วนไม่เลวส่วนจวนหย่งชางป๋อนอกจากจะมีผีพนันที่ติดการพนันแบบอารองของนางแล้ว ยังเป็นเพราะมีท่านย่าของนางคอยให้ท้าย ทำให้เขาแพ้พนันจนสูญเสียทรัพย์สินไปไม่น้อย รวมกับที่หลายปีมานี้จวนหย่งชางป๋อตกต่ำลง จึงเป็นสินสอดของท่านแม่นาง ที่ช่วยพยุงเกียรติยศของจวนหย่งชางป๋อมาตลอดหลายปีรายได้จากที่ดินและร้านค้าพวกนั้น ตอนอยู่ในมือของนางซุนก็ถูกใช้ออกไปกว่าครึ่งแล้วหนิงตงดูยอดรวมที่ผู้เป็นนายคำนวณออกมา ก็พูดอย่างตะกุกตะกักว่า “พวกเขา…พวกเขาทำเกินไปแล้ว จวนหย่งชางป๋ออันใหญ่โตนั่น ใช้เงินของฮูหยินคนก่อนหล่อเลี้ยงให้อยู่รอดหรืออย่างไร? ”เมิ่งจิ่นเหยาหัวเราะเบาๆ “ท่านพ่อที่แสนดีคนนั้นของข้ารักศักดิ์ศรีหน้าตา ใช้จ่ายมือเติบ ย่อมสิ้นเปลืองเงินทองน่ะสิ”เพียงครู่เดียว ชุนหลิ่วก็ถือถาดเข้ามา แล้วหยิบขนมจานนั้นออกมาว
รอจนชุนหลิ่วจากไป เมิ่งตงหย่วนก็คลี่จดหมายออกดู ทันใดนั้นความโมโหก็พุ่งขึ้นมา เขาถีบเก้าอี้ที่อยู่เบื้องหน้าจนพลิกคว่ำไปในเท้าเดียว จากนั้นก็คำรามอย่างโมโหว่า “นังลูกอกตัญญู!”นางซุนเพิ่งมาถึงก็ได้ยินเสียงคำรามด้วยความโกรธนี้เข้าพอดี ทำเอาตกใจจนคอหด ทว่าอย่างรวดเร็วก็ได้สติขึ้นมาว่า สามีน่าจะกำลังด่าทอเมิ่งจิ่นเหยา จึงรีบก้าวเข้าไปในห้องโถงอย่างรวดเร็ว แล้วส่งเสียงถามว่า “ท่านพี่ระงับโทสะเถิดเจ้าค่ะ ระวังจะโมโหจนเสียสุขภาพ ที่แท้เกินเรื่องใดขึ้นกันแน่”เมิ่งตงหย่วนโมโหจนใบหน้าแดงก่ำลำคอแข็งเกร็ง เขายื่นจดหมายในมือให้นาง โมโหอย่างที่สุดว่า “เจ้าดูเจ้าลูกอกตัญญูนี่สิ นางคิดจะบีบบังคับบ้านมารดาจนตาย ตอนนั้นทำไมคนที่ตายถึงเป็นนางโจวไม่ใช่นางนะ? เลี้ยงนางมาจนโตขนาดนี้ไม่รู้จักสำนึกบุญคุณก็ช่างแล้ว นี่ยังจะมาทวงหนี้กับบ้านมารดาของตัวเองอีก”เมื่อนางซุนได้ยิน ก็รีบรับจดหมายไปดูอย่างละเอียดทีหนึ่ง พบว่าเป็นจดหมายทวงหนี้ฉบับหนึ่ง ในตอนที่เห็นจำนวนบนนั้น นางก็แทบจะหน้ามืดหมดสติไปทันทีครอบครัวของพวกนางใช้สินเดิมของนางโจวไปมากขนาดนั้นเชียวหรือ?นี่ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เลย ต่อให้นำสินเดิมทั้งหมดข
วันนี้เป็นวันที่แสงอาทิตย์อบอุ่น รัศมีแห่งฤดูใบไม้ผลิเปล่งประกายอย่างสดใสวันหยุดช่วงแต่งงานของกู้จิ่งซีได้จบลงแล้ว ยามเหม่าสี่เค่อเขาก็ออกจากบ้านแล้ว จวบจนพลบค่ำในยามจุดไฟจึงกลับมา ถึงตอนนั้นก็เป็นช่วงเวลาอาหารค่ำพอดีเมิ่งจิ่นเหยาได้พบเขาเพียงช่วงจุดคบไฟเท่านั้น และมีบางครั้งที่ถึงเวลาจุดไฟแล้วก็ยังไม่เห็นคน รอจนนางหลับไปแล้ว กู้จิ่งซีจึงกลับมาจากการทำงานอย่างดึกดื่นมืดค่ำ ทว่านางก็มิได้สนใจ เพียงทำเรื่องของตนเองให้ดีเท่านั้นเวลานี้ เมิ่งจิ่นเหยากำลังพลิกดูสมุดบัญชีทรัพย์สินส่วนตัวพวกนั้นของกู้จิ่งซี ทำความเข้าใจว่าแต่ละปีเขามีรายรับเท่าใด จะได้ทำหน้าที่ดูแลเรือนให้เขาในฐานะภรรยาชุนหลิ่วนำเทียบฉบับหนึ่งเข้ามามอบให้เมิ่งจิ่นเหยาอย่างนอบน้อม “ฮูหยินเจ้าคะ นี่เป็นเทียบเชิญที่จวนหรงกั๋วกงส่งมาเจ้าค่ะ”ความเคลื่อนไหวในการพลิกสมุดบัญชีของเมิ่งจิ่นเหยาชะงักลง นางแต่งเข้าจวนฉางซินโหวได้ครึ่งเดือนกว่าแล้ว ยังคงเป็นครั้งแรกที่ได้รีบเทียบเชิญจากสกุลอื่น คิดว่าคนพวกนั้นคงยึดท่าทีรอดูก่อน เมื่อเห็นว่าจวนฉางซินโหวปฏิบัติต่อนางไม่เลว จึงได้เชิญนางไปเป็นแขกนางรับเทียบเชิญมาดู เป็นงานเลี้ยงน
นางคิดว่าตนเองไม่นับว่ามาสาย แต่เมื่อไปถึงแล้วจึงพบว่าตนเองไปสายนัก ในห้องโถงมีฮูหยินของขุนนางและเหล่าคุณหนูสูงศักดิ์รวมกันอยู่ไม่น้อยแล้วเดิมทุกคนก็คิดว่านางไม่กล้าออกจากบ้านมาเช่นกัน ดังนั้นคงไม่มีทางมาแล้ว ดังนั้นในตอนที่นางปรากฏตัว คล้ายกับทุกสายตาล้วนมารวมอยู่ที่ตัวนาง ในสีหน้ามีทั้งความตะลึงและประหลาดใจ จากนั้นก็เป็นการมองสำรวจนางก็เห็นนางสวมกระโปรงจีบลายหยกสมปรารถนาสีเขียวอ่อนอมฟ้าของธารน้ำ เส้นผมดำขลับมวยสูงเป็นทรงก้นหอย บนศีรษะประดับด้วยปิ่นระย้าฝังไข่มุกมรกต หูส่วมต่างหูมุกระย้า แม้มิได้ประทินโฉมอย่างซับซ้อน ทว่ารูปโฉมของนางเลอลักษณ์ บริสุทธิ์งดงาม สง่างามและภูมิฐานยามที่นางโค้งริมฝีปากแย้มยิ้มนั้น เจิดจรัสจนทำให้ตาพร่า หมู่ผกาสิ้นแสง นับเป็นหญิงงามที่หาได้ยากอย่างแท้จริงไม่แปลกเลยที่ฉางซินโหวผู้ให้ความสำคัญกับกฎธรรมเนียมมาตลอดจะแต่งนางเป็นภรรยา หากมีภรรยาที่งดงามเช่นนี้อยู่เคียงข้าง ต่อให้ต้องถูกคนทั้งแผ่นดินเย้ยหยันแล้วอย่างไร? เดิมเพราะฉางซินโหวมีโรคที่บอกผู้อื่นไม่ได้ จึงไม่มีสตรีสูงศักดิ์นางใดเต็มใจแต่งด้วย ยามนี้บุตรชายหนีวิวาห์ ทำให้เขาเก็บผลประโยชน์ครั้งใหญ่ได
เรื่องนี้เมิ่งจิ่นเหยาก็เคยได้ยินมาเช่นกัน แต่นางกลับไม่ได้รู้สึกแปลกใจ จวนหย่งชางป๋อนั้นเน่าเละไปถึงฐานรากแล้ว ในเมื่อพวกเขากล้าใช้สินเดิมของมารดานาง แล้วจะไม่กล้าใช้ของนางซุนได้อย่างไร? ดังนั้นการบีบให้นางซุนใช้สินเดิมมาอุดรอยรั่วนี้ก็เป็นเรื่องที่ธรรมดาสามัญอย่างมากเลยล่ะนางซุนต้องสละทุกสิ่งที่มี แล้วยังขาดอีกเท่าใด จวนหย่งชางป๋อค่อยจ่ายเสริมเข้าไปทว่า ฮูหยินผู้นี้กลับเตือนนางให้นึกได้ว่า วันนี้เป็นเส้นตายวันสุดท้าย แต่นางออกจากจวนมาแต่เช้า จึงไม่รู้ว่าจวนหย่งชางป๋อได้ส่งเงินมาให้นางแล้วหรือยังนางวางจอกชาในมือลง ยกยิ้มขึ้นมาบางๆ ตอบอย่างไม่เร่งร้อนไม่ลนลานว่า “ดูท่าน่าจะเป็นเรื่องจริง ทว่าติดหนี้ย่อมต้องใช้คืน นี่เป็นหลักการอันแน่แท้ เงินในมือของนางไม่พอ จะนำสินเดิมไปจำนำเพื่อมาใช้คืนข้า ก็เป็นเรื่องธรรมดา”ได้ยินน้ำเสียงนางราบเรียบ แม้สิ่งที่กล่าวมาจะมีเหตุผล แต่คำพูดที่ดูสมเหตุสมผลพวกนี้กลับแฝงความไร้ไมตรี ดูท่าจะเป็นผู้ที่จิตใจเย็นชาเป็นแน่ทุกคนต่างมองหน้ากันอย่างเงียบงัน มีบุตรสาวบ้านใดที่ปฏิบัติต่อคนบ้านมารดาเช่นนี้บ้าง?จิตใจเช่นนี้ออกจะโหดร้ายไปบ้างแล้ว ต่อให้ทำไม่ถ
ฮูหยินท่านหรงกั๋วกงรีบเข้ามาพูดเปลี่ยนบรรยากาศ “กู้ฮูหยิน ในเมื่อเป็นความเข้าใจผิด เช่นนั้นก็อย่าคุยเรื่องนี้อีกเลย ดอกไม้ในสวนด้านหลังของจวนเรากำลังบานสวยพอดี มิสู้พวกเราไปชมดอกไม้กันดีหรือไม่? ”ฮูหยินท่านอื่นก็แสดงความสนใจออกมาเช่นกัน คนทั้งกลุ่มจึงออกจากโถงนั่งเล่น ย้ายไปที่สวนดอกไม้ด้านหลังแทนเพิ่งออกจากโถงนั่งเล่น เมิ่งจิ่นเหยาก็เห็นชุนหลิ่วกำลังเร่งฝีเท้าเข้ามาหานาง จากนั้นก็กระซิบข้างหูนางประโยคหนึ่ง ดวงตาของนางสว่างไสวในทันที หันกายไปกล่าวกับฮูหยินท่านหรงกั๋วกงว่า “ฮูหยินท่านกั๋วกง ที่บ้านข้ามีธุระนิดหน่อย ต้องขอตัวก่อนแล้วเจ้าค่ะ”ฮูหยินท่านหรงกั๋วกงพยักหน้าว่า “ในเมื่อกู้ฮูหยินมีธุระที่จวน เช่นนั้นก็เชิญเถิด ครั้งหน้าพวกเราค่อยนัดกันใหม่เมื่อมีเวลา”เมิ่งจิ่นเหยาพยักหน้าเบาๆ ถือโอกาสกล่าวคำอำลาฮูหยินท่านอื่น จากนั้นก็พาชิงชิว หนิงตง และชุนหลิ่วจากไปหลังจากพวกนางสี่นายบ่าวจากไป ฮูหยินท่านอื่นก็เริ่มกระซิบกระซาบวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมาทันทีอย่างอดไม่ได้“เดิมข้าคิดว่าวันนี้นางไม่มีทางมาแน่ คิดไม่ถึงว่าจะมาแล้ว”“ผู้ใดว่าไม่ใช่ล่ะ? แค่แต่งกับบิดาของคู่หมั้นตัวเอง ก็สร้างคว
กู้จิ่งซีค่อนข้างประหลาดใจ “เจ้าใช้วิธีใด ถึงทำให้เขารับสารภาพเร็วขนาดนั้น?”ฉีอวิ้นเหวินหยักไหล่ หัวเราะพลางกล่าว “นั่นไม่ใช่ความดีความชอบของข้า เมื่อวานมีแม่นางคนหนึ่งมาพบเขา ไม่รู้พูดอะไร เขาก็รับสารภาพแล้ว”เมื่อได้ยิน กู้จิ่งซีก็ขมวดคิ้วแน่น และสัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติบางอย่าง “แม่นางผู้นั้นรู้ได้อย่างไรว่าเขาถูกจับตัว?”ฉีอวิ้นเหวินเหลือบมองเขาด้วยสายตาแปลก ๆ และถามกลับว่า “โจรขโมยหญิงงามที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ และชั่วร้ายถูกจับตัวได้แล้ว เป็นเรื่องที่ใหญ่มาก เมื่อคืนข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวงแล้ว หรือว่าเจ้าไม่รู้หรือ? ก็จริง น้องสะใภ้ป่วยแล้ว เจ้าไม่มีกระจิตกระใจจะสนใจเรื่องอื่นก็ปกติ”กู้จิ่งซีปรากฏสายตาที่รู้ทันออกมาฉีอวิ้นเหวินกล่าวอีกว่า “ข้าเห็นแม่นางผู้นั้นแต่งกายเป็นสาวชาวยุทธจักร ซึ่งน่าจะเป็นชาวยุทธจักร และคาดว่าจะมีความเกี่ยวข้องอะไรกับเขา แต่ว่าเรื่องนี้ไม่สำคัญมากนัก เพราะตอนนี้ไขคดีได้ก็พอแล้ว”......จวนฉางซินโหวกู้ซิวหมิงมาคารวะยามเช้าให้เมิ่งจิ่นเหยา เขามาสายก้าวหนึ่ง กู้จิ่งซีเพิ่งออกไป เขาก็เพิ่งจะมาถึงนับตั้งแต่การกักบริเวณสิ้นสุดลง ตราบใดที
เมิ่งจิ่นเหยาก็ไม่ปิดบัง และเล่าเรื่องที่พบหญิงวัยกลางคนในวัดหลินอวิ๋นเมื่อวานตอนบ่ายให้ฟังรอบหนึ่งพูดถึงช่วงสุดท้าย นางก็หัวเราะออกมาเบา ๆ “สวรรค์มีตาจริง ๆ จู่ ๆ ข้าก็ฉุกคิดอยากจะไปจุดธูปให้ท่านแม่ที่โถงหว่างเซิงของวัดหลิงอวิ๋น จึงได้พบอดีตบ่าวรับใช้ของท่านแม่ ท่านป้าท่านนั้นป่วยหนักมาก และเหลือเวลาไม่มากแล้ว หากเมื่อวานข้าไม่ได้ไปเจอนางที่วัดหลิงอวิ๋น ความลับนั้นคาดว่าข้าจะไม่มีทางรู้ไปตลอดกาลเจ้าค่ะ”กู้จิ้งซีสีหน้ามืดมนลง พลางละอายใจต่อวิธีที่พ่อตานั้นทำอย่างมาก แม้จะแต่งงานตามคำสั่งของบิดามารดาและการจับคู่ของแม่สื่อ พลางไม่มีความรักระหว่างชายหญิงต่อแม่ยายเขา จะปิดบังความจริงเพราะรู้สึกผิดก็ช่าง ยังปล่อยให้มารดาและแม่เลี้ยงปฏิบัติต่อบุตรสาวที่บริสุทธิ์อย่างรุนแรงอีกเขาเห็นแม่นางน้อยที่โกรธแค้นผสมปนเปกัน ก็ตบหลังมือของแม่นางน้อยเหมือนจะปลอบใจ และกล่าวอย่างเป็นนัยว่า “ฮูหยิน วิญญาณของแม่ยายที่อยู่บนสวรรค์จะไม่ปล่อยพวกเขาไปแน่”เมื่อได้ยิน สีหน้าของเมิ่งจิ่นเหยาก็ชะงักไป พลางสบตาเข้ากับสายตาที่มีความหมายลึกซึ้งของเขา ก็เข้าใจความหมายของเขา และยกรอยยิ้มที่อันตรายขึ้น “จริงด้วย
เมิ่งจิ่นเหยาถามเสียงเบาว่า “ท่านหมอ เป็นอย่างไรบ้าง?”หมอประจำจวนเก็บนิ้วมือทั้งสามข้อที่อยู่บนแขนของเมิ่งจิ่นเหยากลับลงไป พลางตอบกลับ “ฮูหยิน ท่านมีปมในใจจนเกิดอาการซึมเศร้า แถมยังได้รับความเย็นเกินไปอีก จึงทำให้จู่ ๆ ก็ไข้ขึ้นสูง และจำเป็นต้องใช้ยาคลายเครียดเสียหน่อยก็จะดีขึ้นขอรับ”เมิ่งจิ่นเหยาพยักหน้า “รบกวนท่านหมอแล้ว”“ไม่รบกวนขอรับ” หมอประจำจวนรีบส่ายหน้า และกล่าวอีกว่า “แต่ว่า ฮูหยินร่างกายอ่อนแอ ควรจะบำรุงร่างกายให้ดีตั้งแต่ยังสาวถึงจะได้นะขอรับ”มิ่งจิ่นเหยาฟังจบ ก็ไม่แปลกใจแม้แต่น้อย เพราะนางรู้มาโดยตลอดว่าตนเองร่างกายอ่อนแอ เจ็บป่วยง่าย โดยเฉพาะช่วงที่อากาศเย็น หากไม่ระวังนิดหน่อยก็จะเป็นหวัด เมื่อก่อนตอนอยู่บ้านมารดา นางไม่มีความพร้อมที่จะดูแลตนเอง ตอนนี้อยู่บ้านสามี นางใส่ใจเรื่องการกินมากขึ้น และได้ดื่มน้ำแกงบำรุงร่างกายอยู่เป็นประจำ ช่วงนี้นางจึงรู้สึกดีมาก สีหน้าก็ดูดีขึ้นแล้วนางกล่าวเสียงอ่อนโยน “ปกติข้าก็ดูแลตนเองอยู่แล้ว รบกวนท่านหมอจัดยาคลายเครียดให้ข้าก็พอ”หมอประจำจวนฟังจบ ก็จ่ายยาคลายเครียดให้นาง และให้สาวใช้ตามเขาไปเอายากลับมาต้มหลังหมอประจำจวนจากไป
บนรถม้าชิงชิวกับหนิงตงที่แทบไม่ได้นอนทั้งคืนนั่งพิงกัน และเผลอหลับไปเมิ่งจิ่นเหยาหายป่วยได้ไม่นาน ยังรู้สึกมึนศีรษะ คนทั้งคนก็หมดเรี่ยวแรง จึงเอนหลังพิงผนังรถม้าและหลับตาพักสมองทันใดนั้น รถม้าก็สั่นสะเทือน ท้ายทอยของนางกระแทกเล็กน้อย จึงรีบนั่งตัวตรง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ศีรษะกระแทกอีกกู้จิ่งซีเห็นแม่นางน้อยขมวดคิ้ว พยายามฝืนให้มีชีวิตชีวาขึ้น นั่งตัวหลังตรง ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงยื่นมือโอบนางเข้ามาในอ้อมแขน และให้นางพิงหน้าอกของตนเอง เมื่อสบตาเข้ากับสายตาที่ตกใจของนาง ก็กล่าวด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “หากฮูหยิน อ่อนเพลีย ก็พิงข้าแล้วนอนเสียเถอะ”ตอนนี้เมิ่งจิ่นเหยารู้สึกทั้งตัวไม่มีแรง ศีรษะยังมึน ๆ อยู่ จึงไม่เกรงใจเขา และพิงอยู่บนตัวเขาด้วยความสบายใจอย่าดูถูกแม้กู้จิ่งซีดูจะตัวไม่ใหญ่มาก แต่หน้าอกกว้างใหญ่ พิงอยู่บนตัวเขาอบอุ่นสบายตัว แถมได้กลิ่นดอกกล้วยไม้ที่หอมละมุนจากตัวของเขา ก็รู้สึกสบายใจอย่างอธิบายไม่ถูก แต่กลับไม่มีอาการง่วงเลยบางทีเพราะถูกผู้ชายกอดไว้ในอ้อมแขนเช่นนี้ เลยรู้สึกไม่คุ้นชินหรืออาจเป็นเพราะได้ยินเสียงหัวใจของเขาเต้นตึกตักอยู่ข้างหู มันดังก้องอยู่ที่หู
ท่าทางที่ดูป่วยเช่นนี้ ดูน่าเป็นห่วงยิ่งนักคนที่มีไข้ขึ้นสูง ไม่ควรห่มผ้าจนอบอ้าว ไม่เช่นนั้นอาการป่วยจะแย่ลง เขาจึงเปิดผ้าห่มบางออกให้แม่นางน้อยผ่านไปไม่นาน หนิงตงก็ยกอ่างน้ำอุ่นมาด้วยความรีบร้อน โชคดีที่วัดหลิงอวิ๋นมีคนเข้ามาสักการะอย่างเนืองแน่น ปกติจะมีผู้แสวงบุญมาค้างคืน และมีผู้แสวงบุญจำนวนไม่น้อยที่มาจากครอบครัวร่ำรวย ดังนั้นเพื่อความสะดวกสบายของแขก ตอนกลางคืนภายในวัดก็มีกักเก็บน้ำร้อนไว้หนิงตงวางอ่างทองแดง พลางถาม “ท่านโหว น้ำอุ่นยกเข้ามาแล้ว ต้องทำอย่างไรหรือเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีตอบกลับ “เช็ดหน้าผาก คอ รักแร้ และแขนขาให้ฮูหยินเพื่อระบายความร้อน”หนิงตงตอบรับ ยกอ่างทองแดงมาข้างหน้าทันที พลางวางอ่างน้ำไว้บนเก้าอี้ที่อยู่หน้าเตียง และเตรียมจะถอดเสื้อผ้าให้นายหญิง ก็มองไปทางกู้จิ่งซีโดยไม่รู้ตัว พบว่าเขาหันหลังให้พวกนาง นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างโต๊ะน้ำชาเมื่อเห็นดังนั้น หนิงตงก็ตกตะลึงเล็กน้อย และแอบพูดในใจว่า ท่านโหวเป็นสุภาพบุรุษจริง ๆ แม้จะเป็นสามีภรรยากับฮูหยิน ก็ไม่ได้ฉวยโอกาสเอาเปรียบหนิงตงไม่คิดอะไรมาก ก็ถอดเสื้อผ้าให้เมิ่งจิ่นเหยาด้วยความเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว และเช็ดตั
ในวินาทีนั้น เมิ่งจิ่นเหยาทำจิตใจให้สงบ ก้มหน้าลงมอง เห็นว่าบาดแผลที่มือซ้ายใช้ผ้าพันแผลพันไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อมองเพียงแวบแรกดูท่าทางเหมือนว่าบาดเจ็บสาหัส จึงกล่าวออกมาอย่างอดไม่ได้ว่า “ตอนนี้เลือดไม่ซึมออกมาแล้ว อันที่จริงไม่พันแผลก็ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”กู้จิ่งซีเหลือบมองนาง พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ถึงแม้ไม่ใช่บาดแผลสาหัส แต่หากไม่พันแผล เมื่อชนหรือกระแทกเข้าโดยไม่ระวังแล้วเลือดไหลออกมาอีก ไม่เป็นผลดีต่อการฟื้นตัว โดยเฉพาะบาดแผลที่ข้อศอก เนื้อผ้าเสียดสีก็อาจเจ็บได้เช่นกัน”เมิ่งจิ่นเหยาตะลึงเล็กน้อย แล้วพยักหน้าในทันทีหลังจากนั้นไม่นาน นางก็ถูกมือของกู้จิ่งซีดึงดูดความสนใจไป มือคู่นั้นเรียวยาวและขาวสะอาด ข้อต่อชัดเจน ราวกับหยกขาวที่แกะสลักอย่างประณีต ดูแล้วสบายตาสบายใจนักเมื่อหลุดออกจากความคิด นางก็ใจลอยอีกครั้งผ่านไปเป็นเวลานาน กู้จิ่งซีช่วยนางพันแผลจนเสร็จ และปล่อยมือของนาง เมื่อเห็นว่ามือขวาของนางยังยกอยู่ ก็กล่าวว่า “ฮูหยิน เสร็จแล้ว”แต่เมิ่งจิ่นเหยาดูเหมือนจะไม่ได้ยินคำพูดของเขา เขาจึงเรียกอีกครั้ง “ฮูหยิน?”เวลานี้ เมิ่งจิ่นเหยาถึงค่อย ๆ ได้สติกลับมา และพบกับส
เขากำลังเตรียมจะปลอบโยนนางสักหลายประโยค ทำให้อารมณ์ของแม่นางน้อยสงบลง แล้วค่อยถามให้ชัดเจนอีกครั้งว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่ ทว่าเวลานี้ หนิงตงได้ยกอ่างน้ำสะอาดเข้ามา เขาจึงกลืนคำพูดที่ติดอยู่ตรงริมฝีปากกลับเข้าไปหนิงตงนำอ่างน้ำมาวางไว้บนโต๊ะ ถามด้วยน้ำเสียงนอบน้อมว่า “นายท่าน ให้ใช้น้ำในอ่างเช่นไรเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีกล่าวกำชับ “ไปหาผ้าสะอาด ๆ มา”หนิงตงรับคำ ไม่นานก็หาผ้าเช็ดหน้าสะอาดที่อยู่ในสัมภาระมาหนึ่งผืน ผ้านี้เตรียมไว้สำหรับให้นายหญิงของนางใช้ล้างหน้ากู้จิ่งซีเหลือบมองไปที่แม่นางน้อย ลังเลอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็รับผ้าเช็ดหน้ามา กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ข้าคนเดียวก็พอแล้ว เจ้าออกไปก่อนเถิด”หนิงตงเหลือบมองนายหญิง เมื่อเห็นว่านายหญิงไม่ได้เอ่ยปากบอกให้นางอยู่ต่อ ก็รับคำแล้วถอยออกไปกู้จิ่งซีกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “มาล้างบาดแผลสักหน่อย ตอนที่เจ้าล้มลงไปเนื้อหนังถลอก แล้วบาดแผลก็เปื้อนฝุ่นด้วย”เมื่อได้ฟังดังนั้น เมิ่งจิ่นเหยาไม่ได้ลังเล ลุกขึ้นแล้วเดินมากู้จิ่งซีดึงมือของนาง ช่วยนางทำความสะอาดบาดแผลที่ฝ่ามือด้วยท่าทีที่อ่อนโยนเมื่อบาดแผลสัมผัสกับน้ำ เมิ่งจิ่นเหยาเจ็บปวดเส
กู้จิ่งซีจับจ้องนางอย่างไม่วางตา พลางถามด้วยเสียงอ่อนโยน “ฮูหยิน วันนี้เกิดเรื่องอันใดขึ้นงั้นหรือ?”เมื่อได้ฟังดังนั้น ใบหน้าของเมิ่งจิ่นเหยาก็เต็มไปด้วยความงุนงง พลางถามกลับไปว่า“เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ท่านพี่ก็เห็นหมดแล้วมิใช่หรือเจ้าคะ?”นางกล้าพูดได้เลยว่า นางโตถึงเพียงนี้แล้ว ยังไม่เคยเจอเรื่องที่ตื่นเต้นระทึกขวัญเช่นนี้มาก่อน เพียงชั่วพริบตาเดียวที่รอดพ้นจากความตาย ชีวิตนี้ไม่คิดจะพบเจออีกเป็นครั้งที่สองกู้จิ่งซีเห็นสีหน้าของนางงุนงง ไม่ได้จงใจแสร้งทำเป็นฟังไม่เข้าใจ จึงสัมผัสที่ฝ่ามือของนางอย่างแผ่วเบา พลางถามต่อว่า “เกิดอันใดขึ้นกับมือนี้ของเจ้า? ล้มลงไม่สามารถเกิดบาดแผลเช่นนี้ได้”เมิ่งจิ่นเหยาตกตะลึงไปชั่วขณะ ก้มหน้ามองฝ่ามือของตนเอง บนฝ่ามือยังมีผลงานชิ้นเอกของตนเองเมื่อบ่ายอยู่ เมื่อคิดถึงเรื่องที่พบกับสตรีวัยกลางคนผู้นั้นขึ้นมาได้ ดวงตาของนางก็หม่นลงในฉับพลัน และอยากจะกำมือของตนเองแน่นอีกครั้งโดยไม่รู้ตัวกู้จิ่งซีที่สายตาเฉียบคมและมือไว รีบกุมมือทั้งสองข้างของนางไว้แน่น ขัดขวางการกระทำของนาง เล็บของนางจะได้ไม่บาดบาดแผลและมีเลือดไหลซึมออกมาอีกเล็บของแม่นางน้อยไ
เมื่อกู้จิ่งซีได้ฟังก็รู้สึกใจอ่อน พลางกล่าวอย่างอ่อนโยน “ให้ข้าดูหน่อย” เมื่อกล่าวจบ เขาก็ยอบกายลง ยกชายกระโปรงของนางขึ้น เตรียมจะดูอาการบาดเจ็บของนาง เมิ่งจิ่นเหยาสีหน้าชะงักค้าง กำลังจะเอ่ยปากขัดขวาง ทว่าเมื่อกลับมาคิดดูอีกทีแล้ว ต่างก็เป็นสามีภรรยาที่นอนหลับอยู่บนเตียงเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องรักษาขอบเขตระหว่างชายหญิงอันใดหลังจากกู้จิ่งซียกชายกระโปรงของนางขึ้นแล้ว มือหนึ่งก็จับไปที่ข้อเท้าขวาของนาง ส่วนอีกข้างม้วนขากางเกงของนางขึ้น เมื่อม้วนขากางเกงไปจนถึงเหนือหัวเข่า ก็จะเห็นได้ว่าตรงหัวเข่าที่ถูกกระแทกตอนล้ม เป็นรอยฟกช้ำไปเรียบร้อยแล้ว ทว่าไม่ได้ร้ายแรงนักกู้จิ่งซีเห็นว่าบาดแผลไม่หนักมาก จึงวางขานางลง แล้วไปดูบาดแผลที่ข้อศอกของนางนางล้มลงไปข้างหน้า บาดแผลตรงข้อศอกจึงชัดเจนมากนัก เสื้อผ้าในฤดูร้อนจะค่อนข้างบางเบา เสื้อผ้าบริเวณข้อศอกล้วนมีร่องรอยขีดข่วนอย่างชัดเจนพอพับแขนเสื้อของนาง ก็เผยให้เห็นแขนที่ขาวราวกับหิมะ เมื่อพลิกข้อศอกก็สามารถมองเห็นได้ว่าผิวหนังถลอกและมีเลือดออกที่แขนทั้งสองข้างของนาง ผิวหนังโดยรอบบวมแดงเล็กน้อย บาดแผลนี้เมื่ออยู่บนมือที่เดิมทีขาวสะอาดไร้ที่ติรา