ครั้นพ่อบ้านได้ยินเช่นนั้น ทั้ง ๆ ที่เขาไม่ได้แอบเก็บของไว้กับตัว ทว่ากลับกระวนกระวายใจ เขากำชับกำชาบ่าวรับใช้ที่แบกหามหีบอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะด้วยใจที่ถือคติสหายตายได้ แต่ข้าขอยากจนดีกว่าสิ้นชีพ [1] ว่า “เปิดหีบทุกใบออก ให้คุณหนูตรวจดูให้เต็มที่เสีย”หากนายท่านกับฮูหยินแอบเก็บของสิ่งใดไว้แล้วไม่ยอมคืนคุณหนูใหญ่ เช่นนั้นก็จะโทษเขาไม่ได้ ในเมื่อคุณหนูใหญ่ออกปากแล้วว่าจะตรวจดูต่อหน้า หากเขาปฏิเสธ นั่นย่อมหมายความว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลกระทั่งหีบทั้งหมดถูกเปิดออก เมิ่งจิ่นเหยาจึงยื่นรายการสินเดิมไปให้ชิงชิวกับหนิงตง ชุดหนึ่งเป็นรายการฉบับจริง ส่วนอีกชุดเป็นฉบับคัดลอก ให้พวกนางไปตรวจนับว่าของได้มาครบถ้วนหรือไม่ หากขาดสิ่งใดไปก็ให้ชุนหลิ่วจดบันทึกไว้พ่อบ้านมองดูพวกนางตรวจนับ จนเหงื่อเย็นผุดออกมาจากหน้าผาก จึงต้องรีบยกแขกเสื้อขึ้นไปเช็ดให้เรียบร้อย เขาคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าของจะมาไม่ครบถ้วน ทั้งยังเกิดสถานการณ์ที่หาของไม่เจออยู่บ่อยครั้ง เขาถึงกับลอบว่านายท่านกับฮูหยินอยู่ในใจว่าช่างไม่กลัวขายขี้หน้าคนอื่นเอาเสียเลย ถึงตอนนี้แล้วยังคิดจะยึดเอาของที่มารดาบังเกิดเกล้าของคุณหนูใหญ่เก็บไว้ส่วน
เจอกันที่ศาล?ครั้นพ่อบ้านได้ยินคำพูดสั้น ๆ เบา ๆ สี่พยางค์นี้แล้ว พลันใจสั่นขึ้นมาในบัดดล เขามองนางด้วยสายตาไม่อยากเชื่อบุตรธิดาฟ้องร้องบิดามารดา เขาไม่เคยได้ยินอะไรเช่นนี้มาก่อนจริง ๆ นี่คือพฤติกรรมอกตัญญู ต่อให้บิดามารดาจะผิดมากเพียงไร ก็ไม่ควรทำเช่นนี้ หากคุณหนูใหญ่จะยอมทุ่มสุดตัวเพื่อเป็นบุตรสาวอกตัญญูเช่นนี้จริง ๆ หรือเพียงชั่วครู่ พ่อบ้านก็อึก ๆ อัก ๆ ขึ้นมาว่า “คุณหนูใหญ่ จะอย่างไรแล้วนายท่านกับฮูหยินก็เป็นท่านพ่อท่านแม่ของคุณหนูนะขอรับ”เมิ่งจิ่นเหยาพูดแก้ให้ถูกต้องด้วยสีหน้าเย็นชา “เมิ่งตงหย่วนเป็นท่านพ่อของข้า แต่นางซุนไม่ใช่ท่านแม่ของข้า ท่านแม่ข้าแซ่โจวมิได้แซ่ซุน”มารดาเลี้ยงก็คือมารดาเหมือนกันนะขอรับท้ายที่สุดแล้วพ่อบ้านก็ไม่กล้าเอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกไป คุณหนูใหญ่เป็นถึงบุตรสาวสายตรงคนโต ทว่ากลับได้รับการปรนนิบัติย่ำแย่เสียยิ่งกว่าคุณชายรองที่ถือกำเนิดจากอนุภรรยาเสียอีก คุณชายรองยังจะพอได้รับความชมชอบจากนายท่านกับฮูหยินอยู่บ้าง แต่คุณหนูใหญ่กลับถูกผู้อาวุโสรังเกียจเดียดฉันท์ข่มเหง ก็ไม่แปลกใจที่คุณหนูใหญ่จะตัดไมตรีถึงขนาดนี้“ในเมื่อตอนนี้ยังไม่มีเรื่องอื่นใด ก็ให
ใครจะไปคาดคิดว่าเมิ่งจิ่นเหยาจะไม่ไว้หน้ากันถึงเพียงนี้ ถึงขั้นให้เปิดหีบตรวจนับของด้านในต่อหน้าบ่าวรับใช้สกุลกู้ในจวนฉางซินโหว เอาเกียรติของสกุลเมิ่งไปเหยียบย่ำลงบนพื้น หาเรื่องทะเลาะกันตามอำเภอใจเช่นนี้?หากตรวจนับดูแล้วว่าไม่มีของสิ่งใดขาดหายไปก็ดี แต่นี่บังเอิญว่ามีของขาดหายไป รายการของหายใบนี้ทำให้เหล่าผู้อาวุโสสกุลเมิ่งหน้าชาราวกับถูกตบโดยมือที่มองไม่เห็นอย่างไรอย่างนั้นฮูหยินผู้เฒ่าเมิ่งโกรธจนเลือดลมตีขึ้นขนใบหน้าแดงเถือกไปหมด สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ อยู่หลายคราจึงสงบสติอารมณ์ลงมาได้ นางโบกมือไหว ๆ ให้พ่อบ้านกับสาวใช้ถอยออกไป กัดฟันแสนคลอนแคลนของตนแล้วพูดลอดไรฟันออกมาด้วยความเคียดแค้น “หากรู้แต่แรกว่านางตัวกาลกิณีผู้นี้จะทำให้ทั้งสกุลเมิ่งต้องเสียหาย ตอนแรกไม่น่าปล่อยให้นางได้มีโอกาสเติบโตมาเลย นี่นางถึงกับต้องทำร้ายคนทั้งตระกูลเพียงเพื่อของเล็กน้อยแค่นี้”นางซุนน้ำตานองหน้า พลางสะอึกสะอื้น “ท่านแม่ ตอนนี้ควรทำเช่นไรดีเจ้าคะ?”ยามนี้นางกลัวแล้วจริง ๆ ความหวาดหวั่นที่ไม่เคยประสบพบเจอมาก่อนแทบจะกลืนกินนางไปทั้งตัวครั้นได้ประสบกับเรื่องนี้ วันข้างหน้ายามนางออกไปข้างนอกคงจะถูกผู้
ทั่วทั้งร่างของนางซุนตกอยู่ในอาการตกตะลึง ความไม่เต็มใจถูกเปิดเผยออกมาทางสีหน้าโดยไม่ปิดบังแม้แต่น้อย เมื่อเมิ่งตงหย่วนเห็นเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วทันที ถามด้วยสีหน้าไม่พอใจว่า “หรือฮูหยินเจ้าไม่เต็มใจ?” นางซุนได้สติกลับมา เมื่อเผชิญกับท่าทีแข็งกร้าวของมารดาของสามีและผู้เป็นสามี นางก็พูดอย่างกระอักกระอ่วนว่า “ท่านพี่ สิน สินเดิมนี่เป็นทรัพย์สินส่วนตัวของข้า จะให้…จะให้ข้านำสินเดิมไปเสริมส่วนที่ขาดได้อย่างไร?” เมื่อฟังออกถึงความไม่เต็มใจจากน้ำเสียงทั้งที่แสดงมาและเก็บงำไว้ ฮูหยินผู้เฒ่าเมิ่งก็ชักสีหน้า ถามกลับไปว่า “นางซุน ในเมื่อเจ้าแต่งเข้ามาในจวนหย่งชางป๋อ ก็เท่ากับเป็นคนของจวนหย่งชางป๋อแล้ว คนครอบครัวเดียวกันจะพูดจาแบ่งแยกเช่นนี้ได้อย่างไร” นางซุนลำคอตีบตัน บ่นในใจว่านางโจวก็แต่งเข้าจวนหย่งชางป๋อเช่นกัน ก็เป็นคนของจวนหย่งชางป๋อเหมือนกัน แล้วเหตุใดสินเดิมของนางโจวจึงสามารถปล่อยให้นังเด็กสารเลวเมิ่งจิ่นเหยานั่นเอาไปได้ตามใจ? ถึงอย่างไรก็เป็นสตรีที่ตนฝืนต่อแรงกดดันของบิดาแต่งเข้ามา เมื่อเมิ่งตงหย่วนเห็นสีหน้าของนางซุนเต็มไปด้วยความน้อยใจ ก็ยังคงผ่อนน้ำเสียงลงว่า “ฮูหยิน นี่ก็เป็นเพ
กู้จิ่งซีเงียบงัน แววตาที่มองนาง มีความเอ็นดูสงสารของผู้ใหญ่ที่มีต่อรุ่นเยาว์ที่เคราะห์ร้ายดวงตาทั้งสี่ข้างของเมิ่งจิ่นเหยากับกู้จิ่งซีประสานกัน จากนั้นก็เงียบงันไปเช่นกัน ไม่จำเป็นต้องใช้สายตาเช่นนี้มองนางก็ได้ นี่ทำให้นางแทบอดไม่ไหวที่จะเรียก ‘ท่านลุงกู้’ ออกมาที่จริงแล้วนางไม่ได้น่าสงสารอะไร อย่างน้อยก็ไม่เคยต้องหิวโหย เทียบกับขอทานน้อยข้างถนนแล้วยังโชคดีกว่ามากคนเราเมื่อเกิดมานั้น ก็ไม่มีสิ่งใดได้ดังใจไปทั้งหมด หากอยากมีชีวิตอย่างเป็นสุข ก็ต้องรู้จักลดข้อเรียกร้องไปตามสถานการณ์ในความเป็นจริง แม้จะไม่ได้รับความอบอุ่นจากครอบครัว แต่ก็สามารถเรียกร้องให้กินอิ่มสวมอุ่น เมื่อท้องได้กินอิ่ม ร่างกายได้สวมใส่จนอบอุ่นแล้ว ตนก็พึงพอใจแล้วเช่นกันผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็เก็บสายตากลับมา กล่าวว่า “ข้ากินเสร็จแล้ว เชิญท่านพี่ทานต่อเถอะ” กล่าวจบ นางก็ลุกจากโต๊ะอาหารไปเมื่อเมิ่งจิ่นเหยากลับมาถึงห้อง ก็ถือโอกาสพลิกดูสินเดิมของมารดา ทั้งบัญชีของที่ดินและร้านค้า จากนั้นหางตาก็เหลือบไปเห็นกล่องไม้จื่อถานที่อยู่ด้านข้าง นั่นเป็นของที่มู่จิ่งซีมอบให้นาง มีทั้งตั๋วเงิน กุญแจห้องเก็บของ และทรัพย์สินส
วันถัดมาคือวันที่สิบห้า ตามกฎแล้วต้องไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าที่โถงโซ่วอันดังนั้น เมิ่งจิ่นเหยาและกู้จิ่งซีจึงตื่นเช้ากว่าปกติ เพราะต้องกินข้าวเช้าในเรือนตนเองเร็วขึ้นหน่อย เพื่อไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าต่อฮูหยินผู้เฒ่าบ้านอื่นชื่นชอบให้ลูกหลานรายล้อมอยู่รอบกาย จะได้คึกคักมีชีวิตชีวา แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากู้กับขึ้นชื่อเรื่องรักความสงบ นางไม่ชอบความครึกครื้น แม้แต่การกินอาหารเช้ากับลูกหลานก็งดเว้นไปแล้ว เพราะรำคาญว่าวุ่นวาย จะยกเว้นก็แต่เป็นวันสำคัญเท่านั้นกู้จิ่งซีรอให้นางจัดการตัวเองเสร็จอยู่ด้านนอก จากนั้นค่อยกินข้าวพร้อมกัน ในตอนที่เห็นคนก้าวออกมาจากในห้อง เขาก็ตะลึงไปครู่หนึ่ง ในก้นบึ้งของดวงตามีความประหลาดใจและชื่นชมวาบผ่านเขารู้มาตลอดว่า ภรรยาตัวน้อยของเขาเป็นสาวน้อยที่มีรูปโฉมเป็นเลิศ เพียงแต่ยามปกติมักแต่งกายให้ดูมีอายุ จนกลบความงดงามแจ่มใสที่แม่นางน้อยควรมีลงไป ฝืนให้ดูสง่ามีความมั่นคง จนดูแก่ขึ้นอีกหลายปี สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นผลงานของเมิ่งฮูหยินหรือนางซุน ที่เตรียมเสื้อผ้าประเภทนี้ไว้ให้สาวน้อยอย่างมีเจตนาแอบแฝงวันนี้ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด จึงได้เปลี่ยนรูปแบบการแต่งตัวในอดีตสาวน้
เมื่อเห็นเขาไม่มีความเห็นอื่น เมิ่งจิ่นเหยาจึงวางใจ ยอมรับการทำดีด้วยของเขาไว้อย่างสบายใจ เพียงแต่ในใจก็ยังถูกทำให้หวั่นไหวเล็กน้อยเช่นกัน นางเบิกตากว้างมองเขาอยู่ช่วงสองลมหายใจ จากนั้นจึงได้หลุบตาไปนอกจากท่านตากับท่านปู่แล้ว ยังไม่เคยมีผู้ใดเต็มใจจับจ่ายเงินเพื่อนางเช่นนี้ กู้จิ่งซีนับเป็นคนแรกพูดไปแล้วก็น่าขำนัก แม้แต่บิดาที่เลี้ยงดูนางมาหลายปี เงินที่หลายปีมานี้ใช้ไปบนตัวนางรวมกันแล้วยังไม่ถึงสองพันตำลึงเลย ทว่า สามีที่ไม่มีความรู้สึกใดต่อนางแม้แต่น้อยผู้นี้ เพียงครั้งเดียวก็มอบเงินให้นางไปจัดแจงเองถึงสามหมื่นตำลึงหากมิใช่เพราะปัญหาเรื่องฐานะ จะให้นางเปลี่ยนบิดา มาเป็นลูกสาวของกู้จิ่งซีเสียเดี๋ยวนี้ นางก็เต็มใจอย่างยิ่งเลยล่ะโถงโซ่วอันคนของบ้านใหญ่และบ้านรองมาถึงกันพร้อมหน้าแล้ว กำลังคุยเล่นเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากู้แม้ฮูหยินผู้เฒ่ากู้จะเป็นมารดาเอก ที่ไม่ได้ปฏิบัติต่อบ้านใหญ่และบ้านรองเฉกเช่นบุตรชายในอุทร ทว่านางก็ไม่เคยปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างโหดร้าย กับหลานชายหลานสาวที่มิได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับนาง ก็ยังนับได้ว่าโอบอ้อมอารีในเวลานี้ มีสาวใช้เข้ามารายงาน “เรียนฮู
เมื่อเห็นคนในครอบครัวอยู่ร่วมกันอย่างปรองดอง อารมณ์ของฮูหยินผู้เฒ่ากู้ก็ปลอดโปร่งสบายใจ โดยเฉพาะเมื่อเห็นเมิ่งจิ่นเหยาที่อยู่ข้างกายบุตรชายแท้ๆ ซึ่งเป็นทายาทสายตรงของตน ยามสาวน้อยพูดคุยกับเย่าหลิงนั้นดูอ่อนโยนเป็นอย่างมากด้วยความเบิกบาน นางจึงมอบรางวัลให้สะใภ้ทุกคนเป็นปิ่นปักผมคนละด้ามอย่างเท่าเทียมโดยมิได้ลำเอียง ทุกชิ้นล้วนเป็นของที่สลักเสลาจากหยกน้ำงาม ปิ่นทุกด้ามมีมูลค่าไม่น้อยเลยนางจางและนางเฉินล้วนตกใจต่อความเมตตานี้ พวกนางเคยได้รับของขวัญพบหน้าจากแม่สามี แค่ในตอนที่ไปยกน้ำชาให้แม่สามีในวันที่สองหลังแต่งเข้ามาเท่านั้น ยามอื่นแม่สามีก็ไม่เคยมอบรางวัลใดให้พวกนางอีกเลย แต่ลูกของพวกนางกลับเคยได้รับรางวัลอยู่“สะใภ้ขอบพระคุณท่านแม่เจ้าค่ะ”คนทั้งสามขอบคุณฮูหยินผู้เฒ่ากู้อย่างพร้อมเพรียงด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มฮูหยินผู้เฒ่ากู้มองพวกนาง กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “สะใภ้ข้างบ้านของพวกเราคอยแก่งแย่งชิงดีกันทั้งในที่ลับและที่แจ้ง ทำเอาในบ้านวุ่นวายไปหมด จนพวกผู้ชายไม่มีแก่ใจจะไปต่อสู้เพื่ออนาคต โชคดีที่สะใภ้ของสกุลเราล้วนเป็นสะใภ้ที่ดี เมื่อเห็นพวกเจ้า ในใจของแม่ก็รู้สึกปลาบ
ท่านหญิงจิ้งหนิงเห็นนางมองดูลิ้นจี่อย่างตะลึงงัน ไม่รู้ว่าเพราะเหตุอันใด จึงกล่าวอย่างไม่ได้สนใจว่า “เจ้าบอกว่าชอบมิใช่หรือ? ข้าได้รับมาจากเสด็จย่าเมื่อวานตอนบ่าย ให้เจ้าทั้งหมดเลย”เมิ่งจิ่นเหยาตกตะลึงเล็กน้อย มิน่าเล่าเมื่อวานนางกินอาหารกลางวันเสร็จแล้วจึงรีบร้อนจากไป ที่แท้ก็เข้าไปในวังนี่เอง ไปหาไทเฮาเพื่อขอลิ้นจี่มาให้นาง ดูแล้วลิ้นจี่นี้น่าจะสักสี่ห้าชั่งได้ ฝ่าบาทพระราชทานให้แก่ขุนนางเพียงแค่หนึ่งชั่งกว่าเท่านั้น สี่ห้าชั่งนี้ช่างล้ำค่ายิ่งนักเมิ่งจิ่นเหยาจ้องมองไปที่สาวน้อยที่อยู่ตรงหน้าอย่างตกอยู่ในภวังค์ หัวใจถูกปกคลุมไปด้วยไออุ่น ภายในใจรู้สึกอบอุ่นนัก จึงถามด้วยเสียงอ่อนโยน “อาเหยียน ให้ข้าหมดแล้ว เจ้ากินอันใด?”ท่านหญิงจิ้งหนิงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจนัก “ข้ากินทุกปี ปีนี้กินไปหลายลูกแล้ว กินจนหายอยาก ตอนนี้ไม่ได้สนใจเท่าใดแล้ว พอดีเจ้าชื่นชอบ จึงเอามามอบให้เจ้า”เมิ่งจิ่นเหยาเม้มริมฝีปาก “ขอบใจมากนะอาเหยียน”ท่านหญิงจิ้งหนิงยิ้มอย่างขัดเขิน “ไม่ต้องเกรงใจ ก่อนที่ข้าจะนำมา ได้ใช้น้ำแข็งรักษาความสดไว้ด้วย เจ้าให้คนไปเอาน้ำแข็งมาสักหน่อย มิเช่นนั้นอากาศร้อนแล้ว มันจะเสียได้ง
ถือโอกาสที่ตอนนี้แสงอาทิตย์ยังไม่แรงเกินไป เมิ่งจิ่นเหยาพาท่านหญิงจิ้งหนิงไปเดินเล่นภายในจวนเพียงแต่ ดูเหมือนกับท่านหญิงจิ้งหนิงจะคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมภายในจวน จึงรู้ว่าด้านใดมีสะพาน ด้านใดมีศาลา และริมสระน้ำด้านใดเย็นมากกว่ากันเมิ่งจิ่นเหยาประหลาดใจเล็กน้อย “อาเหยียน ดูเหมือนว่าเจ้าจะคุ้นเคยกับจวนท่านโหวอยู่บ้าง”ท่านหญิงจิ้งหนิงตอบตามความจริง “ข้ามาที่จวนฉางซินโหวหลายครั้งแล้ว ตอนที่จัดงานเลี้ยงวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่า ดังนั้นจึงคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมภายในจวนอยู่บ้าง” นางกล่าว แล้วหันไปมองเมิ่งจิ่นเหยา “ใช่แล้ว ตอนที่เจ้าแต่งงาน ข้าก็อยู่ด้วย ข้ามาดื่มสุรามงคลกับท่านแม่”เมิ่งจิ่นเหยาเข้าใจ “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง”ท่านหญิงจิ้งหนิงกล่าวอีกว่า “วันนี้ข้ามาอย่างหุนหันพลันแล่นเช่นนี้ ยังไม่ได้ไปเยี่ยมคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเลย”มาเป็นแขกที่เรือนของผู้อื่น ไปทักทายผู้อาวุโสเสียหน่อย เป็นมารยาทพื้นฐานเมิ่งจิ่นเหยากล่าวตอบ “เช่นนั้นเจ้าก็มาผิดจังหวะแล้วละ เมื่อวานแม่สามีของข้าไปพักอยู่ที่วัดเป็นการชั่วคราว คาดว่าอีกสองสามวันถึงจะกลับมา”ท่านหญิงจิ้งหนิงก็ไม่ได้แปลกใจ เพียงแค่พยักหน
กู้จิ่งซีมองใบหน้าที่หลับใหลอย่างสงบของแม่นางน้อย ท่าทางไร้การป้องกันแม้แต่น้อย ทันใดนั้นเขาก็เริ่มรู้สึกว่าตนเองคิดมากเกินไป เดิมทีพวกเขาก็เป็นสามีภรรยากัน ทำตามใจชอบบ้างก็ไม่เป็นไร ระมัดระวังตัวมากเกินไปกลับไม่เหมือนสามีภรรยากันเสียด้วยซ้ำ แม่นางน้อยคิดที่จะใช้ชีวิตร่วมกันกับเขาตลอดไปจริง ๆ ถึงได้เป็นเช่นนี้……วันต่อมาเมิ่งจิ่นเหยาเพิ่งจะกินข้าวเช้าเสร็จได้ไม่นาน กำลังเตรียมตัวไปอ่านหนังสือเพื่อฆ่าเวลาเสียหน่อย ก็มีสาวใช้เข้ามารายงานว่าท่านหญิงจิ้งหนิงมาที่นี่นางตะลึงเล็กน้อย รู้สึกจับต้นจนปลายไม่ถูกนิดหน่อย ไม่รู้ว่าอยู่ ๆ ท่านหญิงจิ้งหนิงมาหานางทำไม จึงรีบกำชับว่า “รีบไปเชิญท่านหญิงจิ้งหนิงเข้ามาเร็วเข้า”ผ่านไปไม่นาน สาวใช้ก็พาท่านหญิงจิ้งหนิงมาที่เรือนเวยหรุยเซวียนเมื่อเมิ่งจิ่นเหยามองเห็นท่านหญิงจิ้งหนิง ก็มองสำรวจอย่างละเอียด เห็นนางดูท่าทางสบายดี และก็ดูไม่ได้มีเรื่องอันใดเช่นกันเมื่อเห็นดังนั้น ท่านหญิงจิ้งหนิงก็ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ น้ำเสียงแฝงไปด้วยความสงสัย “นั่นมันสายตาอันใดของเจ้า? ไม่ยินดีต้อนรับข้ากระนั้นหรือ?”เมิ่งจิ่นเหยาเกรงว่านางจะเข้าใจผิด จึงรีบส่าย
เมิ่งจิ่นเหยาลอบมองเขาด้วยสายตาแปลกประหลาด กล่าวคำพูดที่ทำให้ผู้อื่นตกใจไม่หยุด “หรือว่าวันที่อากาศร้อนเช่นนี้ ยังจะให้ข้าปิดไว้อย่างมิดชิดเหมือนตอนฤดูหนาวอีกหรือเจ้าคะ? ในเมื่อท่านใส่ใจกับความเป็นสุภาพบุรุษของตนเอง ไยถึงไม่คิดที่จะปกป้องตัวเองบ้างเล่า? บางทีข้าอาจจะทำอันใดท่านก็ได้นะเจ้าคะ?”นางขมวดคิ้วเล็กน้อย น้ำเสียงแฝงไปด้วยความขุ่นเคือง กำลังโมโหกู้จิ่งซีที่รบกวนการนอนของนาง อยู่ดีไม่ว่าดีมาห่มผ้าห่มให้นาง สุดท้ายทำให้นางร้อนจนตื่น ตอนนี้อยากนอนก็นอนไม่หลับแล้วเพียงแต่คำพูดที่นางพูดเมื่อครู่ล้วนเป็นความจริงทั้งหมด ไม่ต้องพูดว่ากู้จิ่งซีทำไม่ได้ ไม่สามารถที่จะทำอันใดนางได้ แม้ว่ากู้จิ่งซีจะทำได้ นางก็ไม่มีทางปฏิเสธ ถึงอย่างไรตอนนี้ก็เป็นสามีภรรยากันแล้วร่วมเรียงเคียงหมอนมานานถึงเพียงนี้ นับจากนี้ต้องใช้ชีวิตที่เหลือร่วมกัน เพียงแค่นอนหลับเท่านั้นเอง ยังต้องยึดติดว่าสวมเสื้อผ้าหนาพอหรือไม่? เดิมทีฤดูร้อนก็ไม่เหมาะที่จะสวมใส่เสื้อผ้าที่หนาอยู่แล้ว จะอึดอัดและทำให้ป่วยเอาได้เพราะคำพูดนี้ของนาง ในเวลานี้บรรยากาศจึงได้แข็งค้าง กู้จิ่งซีตะลึงงัน การเคลื่อนไหวของพัดก็หยุดชะงักลง ห
เคยลิ้มรสชาติของชีวิตที่ขื่นขม พอตอนนี้กำลังมีชีวิตที่ดี กินดีอยู่ดี ยังมีอันใดที่ต้องพิถีพิถันกัน? ตอนนี้เป็นแบบนี้ นางก็พึงพอใจมากแล้วเมื่อกินอาหารเย็นเสร็จ เมิ่งจิ่นเหยาก็เคลื่อนไหวเล็กน้อยอยู่ภายในเรือนเพื่อย่อยอาหาร หลังจากนั้นก็อาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมตัวพักผ่อนว่ากันว่า สามีภรรยาอยู่ร่วมกันมานาน ก็จะยิ่งปลดปล่อยมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ระมัดระวังตัวมากเกินไปเหมือนตอนที่แต่งงานกันใหม่ ๆกู้จิ่งซีรู้สึกว่าคำพูดนี้สมเหตุสมผล ทว่าคนที่ปลดปล่อยไม่ใช่เขา แต่เป็นแม่นางน้อยต่างหาก ตอนที่เพิ่งแต่งงานกันยังระมัดระวังตัว นอนหลับอย่างสงบเสงี่ยม เกรงว่าจะสัมผัสร่างกายของเขาโดยไม่ทันได้ระวังน่าจะเป็นเพราะทุกวันนี้ เขาไม่ได้ทำอันใดที่เกินเลย แม่นางน้อยจึงยิ่งปฏิบัติต่อเขาอย่างวางใจหรือจะบอกว่า แม่นางน้อยไม่ได้มองว่าเขาเป็นบุรุษก็ได้เหมือนดังเช่นตอนนี้ เขาเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ กลับมาที่ห้องนอน ก็มองเห็นแม่นางน้อยกำลังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง เพราะว่าชอบอากาศหนาว จึงไม่ได้ห่มผ้าห่ม สวมเพียงชุดนอนที่บางเบาเท่านั้น ผ้าที่ทำจากไหมนั้นบางเบามาก ถึงขนาดสามารถมองเห็นชุดซับในสีชมพูรากบัวที่อยู่
กู้จิ่งซีรู้สึกแค่เพียงไม่คาดคิดเท่านั้น เดิมทีไม่ได้คิดที่จะถือสาเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ทว่าเมื่อเห็นแม่นางน้อยอับอายเสียจนหน้าแดง สีหน้าท่าทางขัดเขินไม่กล้ามองตนเองอย่างไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดี คำพูดที่กล่าวออกมาจึงแฝงไปด้วยการหยอกเย้า “ฮูหยินใช้ข้าเป็นสาวใช้แล้วหรือ”เมื่อได้ฟังดังนั้น เมิ่งจิ่นเหยาก็มองไปทางเขาอย่างฉับพลัน บุรุษผู้นั้นยิ้มมุมปาก ดวงตามองตนเองอย่างหยอกล้อ รู้สึกละอายใจและขุ่นเคืองขึ้นมาในทันที อดไม่ได้ที่จะตอกกลับ “มิใช่ว่าท่านพี่อยากเป็นสาวใช้หรอกหรือ? ข้าก็ทำตามความปรารถนาของท่านพี่แล้วมิใช่หรือเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีรู้ว่าเมื่อใดควรหยุด หากทำให้แม่น้อยร้องไห้ขึ้นมาก็คงจะจบไม่สวยเท่าใดนัก จึงตอบรับด้วยรอยยิ้ม “อืม ฮูหยินพูดถูกแล้ว ข้าเต็มใจเอง ตอนนี้ข้ายังมีธุระต้องไปจัดการ ฮูหยินกินเองเถิด”เขาพูดพลางเอาเปลือกกับเมล็ดของลิ้นจี่วางไว้บนโต๊ะ แล้วหยิบผ้าสีเหลี่ยมสีน้ำเงินขึ้นมาเช็ดมือ เตรียมที่จะจากไปเมิ่งจิ่นเหยาเหลือบมองลิ้นจี่ที่เหลืออยู่พลางถามว่า “ท่านพี่ไม่ถือโอกาสกินตอนที่ยังสดใหม่อยู่สักหน่อย แล้วค่อยไปทำงานหรือเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีส่ายศีรษะ “ฮูหยินกินเถิด ข้าไม่ค
เขาเอื้อมมือไปหยิบที่ปอกเปลือกแล้วมาหนึ่งลูก จากนั้นก็ยื่นไปที่ปากของแม่นางน้อย พลางกล่าวอย่างหยอกเย้า “ฮูหยิน เพียงแค่มองดูอย่างเดียวลิ้มลองรสชาติไม่ได้ ลองชิมดูก่อนดีหรือไม่?”เมิ่งจิ่นเหยาได้สติกลับมา ก็เห็นเขาแย้มยิ้มมองตนเอง ดวงตาอันอ่อนละมุนคู่นั้นช่างน่าหลงใหลยิ่งนัก จึงอ้าปากรับการป้อนของเขาโดยไม่รู้ตัว กัดหนึ่งคำเบา ๆ เนื้อของลิ้นจี่ราวกับผิวที่เนียนนุ่ม อ่อนนุ่มและสดชื่น มีรสหอมหวานในปาก กลิ่นหอมกรุ่น หวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย รสชาติดีเยี่ยม ทำให้ชวนนึกถึงรสชาติที่เหลืออยู่ในปากเมื่อเห็นนางหรี่ตาลง ใบหน้าเต็มไปด้วยความพอใจ ถึงขั้นทำให้หวนนึกถึง กู้จิ่งซียิ้มพลางถามว่า “อร่อยขนาดนั้นเชียวหรือ?”เมิ่งจิ่นเหยาพยักหน้า “อร่อยเจ้าค่ะ ผ่านมานานหลายปีได้กินอีกครั้ง ยังเป็นรสชาติที่อยู่ในความทรงจำอยู่เลยเจ้าค่ะ” เมื่อนับเวลาจากที่นางกินลิ้นจี่ครั้งที่แล้ว ก็คือสิบปีก่อน ตอนนั้นท่านปู่ได้รับลิ้นจี่มาจากสหายนิดหน่อย ลูกเดียวยังทำใจกินไม่ลง นำกลับมาป้อนใส่ท้องนางทั้งหมด เวลานั้นนางยังไม่เข้าใจความล้ำค่าของลิ้นจี่ รู้เพียงแต่ว่าอร่อยเท่านั้น ต่อมาท่านปู่เสียชีวิตไป นางก็ไม่ได้กินอีกเ
จวนฉางซินโหว เรือนเวยหรุยเซวียนเมิ่งจิ่นเหยานั่งอยู่บนตั่งกุ้ยเฟย กำลังฟังชุนหลิ่วกับหนิงตงอ่านบันทึกเรื่องเล่าแปลกประหลาด ชุนหลิ่วรับผิดชอบอ่านบทบรรยาย ส่วนหนิงตงอ่านบทสนทนาชิงชิวอยู่ด้านหนึ่งคอยปอกเมล็ดแตงให้เมิ่งจิ่นเหยา ส่วนเซี่ยจู๋ก็คอยพัดวีให้เมิ่งจิ่นเหยาอยู่อีกด้านหนึ่งวันนี้ไม่ถือว่าร้อนนัก ในช่วงไม่กี่ชั่วยามที่ร้อนที่สุด ภายในห้องจะวางตู้น้ำแข็งเอาไว้เพื่อลดอุณหภูมิ เมื่อผ่านยามเซินไปแล้วจะไม่ร้อนเท่าใดนัก ก็จะนำตู้น้ำแข็งออก ภายในห้องยังหลงเหลือความเย็นสบายอยู่เล็กน้อย แค่พัดสักนิดหน่อยก็พอแล้วเมิ่งจิ่นเหยาหรี่ตาลงอย่างสบาย ช่างสำราญใจยิ่งนักเมื่อกู้จิ่งซีกลับมา ก็มองเห็นฉากนี้ เขาตะลึงงันเล็กน้อย แม่นางน้อยที่อยู่แต่ในเรือนมิดชิดช่างรู้จักเพลิดเพลินใจยิ่งนัก เขาไม่เคยให้สาวใช้สองสามคนมาปรนนิบัติเช่นนี้เสพสุขขนาดนี้มาก่อน “ท่านโหว”เมื่อสาวใช้ทั้งสี่คนมองเห็นกู้จิ่งซี ก็รีบคารวะให้เขาเมิ่งจิ่นเหยาเงยหน้ามอง บุรุษในชุดขุนนางสีแดงเข้มกำลังก้าวเท้าเดินมาทางนาง จึงส่งเสียงเรียกออกมา “ท่านพี่” เมื่อสังเกตเห็นกล่องอาหารที่ถืออยู่ในมือของเขา ก็เอ่ยถามอีกว่า “ท่านพี
กู้จิ่งซีกล่าว “ร่างกายของสตรีเทียบไม่ได้กับบุรุษ ยิ่งต้องระวังสุขภาพให้ดี อย่าสัมผัสความเย็น หากความเย็นเข้าสู่ร่างกายจะได้รับความทรมานได้ หากว่าง่วงนอนก็กลับไปนอนที่เตียง ระวังจะเป็นหวัดเอา”เมิ่งจิ่นเหยาตะลึงไปชั่วขณะ เมื่อคิดถึงสุขภาพของตนเอง ดวงตาก็หม่นลง หันมาพยักหน้าแผ่วเบาพลางกล่าวว่า “เจ้าค่ะ ข้ารู้แล้ว” กล่าวจบ นางก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ตอนนี้ท่านพี่มีเวลาหรือไม่เจ้าคะ? มิสู้พวกเรามาเดินหมากกันสักตาดีไหมเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีตอบรับอย่างยินดี “ได้”เมิ่งจิ่นเหยาไปเอากระดานหมากมา ทั้งสองคนเดินหมากกันผ่านไปราว ๆ ครึ่งชั่วยาม แพ้ชนะก็ได้ถูกตัดสิน ผลลัพธ์ไม่เกินความคาดหมายแม้แต่น้อย เมิ่งจิ่นเหยาพ่ายแพ้แล้ว นางกำลังมองดูกระดานหมาก แม้เสียใจก็สายไปแล้วกู้จิ่งซีเห็นนางขมวดคิ้ว ใบหน้าเต็มไปด้วยความเสียใจ ท่าทางแทบอยากจะย้อนเวลากลับไปในทันที มุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อยจนยากที่จะมองเห็น พลางกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน “ฮูหยิน เมื่อวานข้าก็บอกเจ้าแล้ว การระแวดระวังนั้นเป็นเรื่องดี แต่หากระมัดระวังมากเกินไปจะเสียเรื่องได้ง่าย ตอนนี้แพ้ชนะได้ถูกตัดสินแล้ว เสียใจไปก็ไร้ประโยชน์”เมิ่งจิ่นเหยาไม่ย