เมิ่งจิ่นเหยาเห็นว่าละครที่สองสามีภรรยากำลังแสดงอยู่นั้น พวกเขาคิดใช้วิธีเร่งรัดให้นางนำหลักฐานออกมาในตอนนี้ นางหมดความอดทน และโบกมือพร้อมกับเอ่ยว่า “พอเถอะ พวกท่านสามีภรรยาไม่จำเป็นต้องร่วมมือกันแสดงละครต่อหน้าข้า ข้าไม่มีอารมณ์จะดูละครของพวกท่าน”สายตานางมองกลับไปกลับมาระหว่างสองสามีภรรยา สุดท้ายก็หยุดอยู่ที่นางซุน นางเผยรอยยิ้มชวนให้ขบคิด และเอ่ยต่อว่า “วันนี้ข้าจะพูดให้ชัดเจน ท่านพ่ออาจไม่เชื่อคำพูดของข้า ทว่าภายในสามวันข้ายังไม่ได้รับสินเดิมที่แม่ข้าทิ้งไว้ให้ พวกเราก็ต้องขึ้นศาล หลักฐานที่แน่นหนาทางนี้ของข้า ฟ้องร้องก็ชนะทันที หากไม่เชื่อ พวกท่านสามารถลองดูได้”เมื่อเห็นว่านางไม่เพียงไม่หลงกล แต่ยังต้องการร้องเรียนกับทางการ จะขึ้นศาลกับพวกเขา สองสามีภรรยาจึงตกใจขึ้นมาทันทีสีหน้าของเมิ่งตงหย่วนดูเคร่งขรึม พลันด่าทอว่า “เหลวไหล!”ขณะที่เขาพูดยังจ้องบุตรสาวคนโตอย่างไม่พอใจ และอับอายจนโมโห “นี่เป็นเรื่องครอบครัว เหตุใดเรื่องครอบครัวจะต้องวุ่นวายถึงกับขึ้นศาล? เจ้าเป็นผู้น้อย ผู้น้อยฟ้องผู้อาวุโส ถือว่าไม่กตัญญู เจ้าต้องการให้คนทั้งเมืองรู้ว่าผู้น้อยของจวนหย่งชางป๋อไม่กตัญญูหรือ?
นี่มันช่างน่าขันเสียเหลือเกิน!ไม่ว่าเรื่องนี้จะวุ่นวายแค่ไหน ล้วนเป็นเพราะเมิ่งตงหย่วนกับนางซุนไร้เหตุผล ทั้งยังหน้าด้านหน้าทนไร้ความละอายจะมีเหตุผลสมควรอันใดถึงได้โยกย้ายสินเดิมของภรรยาที่ตายจากไปแล้ว เอาไปเพิ่มให้แก่บุตรที่เกิดจากตนกับภรรยาใหม่โดยพลการ แต่ไม่มอบให้บุตรสาวแท้ ๆ ที่เกิดจากภรรยาแรก?เมิ่งตงหย่วนถูกบุตรสาวคนโตแสดงหน้าเยาะเย้ยใส่จนประเดี๋ยวหน้าเขียวคล้ำประเดี๋ยวหน้าขาวซีด ในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสต้องการหน้าตา เขาจะยอมรับต่อหน้าผู้น้อยว่าตนผิด ยอมรับว่าตนไร้ยางอายได้อย่างไร?เขาเชิดหน้า กล่าววาจาแข็งกร้าวไร้เหตุผล “ในฐานะที่ข้าเป็นผู้อาวุโส เป็นบิดาของเจ้า จะตัดสินใจแทนเจ้าไม่ได้เชียวหรือ? เอาล่ะ เรื่องนี้ให้จัดการตามนี้ หากมีเรื่องเช่นนี้จริง มารดาเจ้าก็ต้องกล่าวขอโทษแก่เจ้า วันข้างหน้าน้องชายน้องสาวของเจ้าออกเรือนมีหน้ามีตาไปก็ต้องซาบซึ้งในตัวเจ้า เลิกทำตัวหัวแข็งไม่ยอมผู้ใดได้แล้ว”“ท่านพ่อเถียงข้าง ๆ คู ๆ ไม่มีเหตุผล ไยข้าต้องยอมผู้อื่นด้วย?” เมิ่งจิ่นเหยาเผยสีหน้าเย็นชา ทั้งยังไม่ยอมถอยให้สักนิด “ท่านพ่อคงจะลืมไปแล้วกระมัง? ราชวงศ์มีกฎเขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษรชั
เห็นนางอ้างไปถึงท่านผู้เฒ่าโจว เมิ่งตงหย่วนก็ไม่รู้จะทำกับนางเช่นไรดี ได้แต่ส่งสายตาให้ภรรยา แล้วกล่าวอย่างจนปัญญา “ฮูหยิน อาเหยายืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าเจ้าไม่ได้เพิ่มสินเดิมเข้าไปในรายการสินเดิมของนาง สามีขอถามเจ้าอีกครั้งว่าเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นจริงหรือไม่?”นางซุนเห็นว่าสามีถึงกับอับจนหนทาง และแม้ว่าในใจนางจะอัปยศอดสูเหลือแสน ทว่ากลับต้องก้มหัวให้บุตรสาวเลี้ยงผู้นี้ต่อหน้าบุตรทั้งหลาย เพราะถึงสามีกับมารดาของสามีจะเป็นคนที่รู้เรื่องราวเบื้องลึกเบื้องหลังทั้งหมด แต่ก็ไม่มีหลักฐานมาชี้ชัดว่าพวกเขาเองก็ร่วมกระทำด้วย หลักฐานทั้งหมดในยามนี้ล้วนชี้มาที่นางทั้งสิ้น นางจึงได้แต่ยอมรับเท่านั้นยามนางมองไปทางเมิ่งจิ่นเหยา ก็เผยสีหน้าเสียใจ กล่าวอย่างละอายใจว่า “อาเหยา แม่ไม่ดีเอง เจ้าอย่าไปถือโทษท่านพ่อเจ้าเลย เขาไม่รู้เรื่องอะไร ถ้าอยากจะโทษก็ให้โทษแม่ที่เมื่อครู่นี้ไม่กล้ายอมรับผิด ตอนแรกแม่แค่คิดว่าในเมื่อเจ้าแต่งเข้าจวนฉางซินโหวแล้วจะสุขสบายมั่งมีไปด้วยเงินทอง”กล่าวไปได้กึ่งหนึ่ง ดวงตาของนางซุนก็แดงก่ำ นางรีบเช็ดหยาดน้ำตาที่หางตาด้วยผ้าเช็ดหน้าอย่างรวดเร็ว แล้วกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสะ
เมิ่งตงหย่วนเห็นท่าทางแน่วแน่ของบุตรสาวคนโต กอปรกับเรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้แล้ว ผลที่ตามมามีเพียงสองอย่างเท่านั้น ถ้าไม่คืนสินเดิม ก็ต้องขึ้นโรงขึ้นศาล ไม่ว่าผลจะออกมาเช่นไรล้วนทำลายเกียรติของตระกูลทั้งสิ้น วันข้างหน้าหากพวกเขาจวนหย่งชางป๋อออกไปข้างนอกจะต้องถูกผู้คนหัวเราะเยาะแน่ผู้อื่นจะหัวเราะเยาะว่าตระกูลพวกเขาอบรมเลี้ยงดูบุตรสาวหน้าไม่อายผู้หนึ่งออกมา นางตบแต่งให้คนลูกไม่ได้ก็เลยไปแต่งกับคนพ่อ หากไม่ใช่ว่าฉางซินโหวให้ความสำคัญกับนางลูกเนรคุณผู้นี้ อย่างมากเขาก็ตัดขาดความสัมพันธ์กับนางไป จะได้ไม่ต้องขายขี้หน้ายามนี้ภรรยาซุกซ่อนสินเดิมที่มารดาแท้ ๆ ของบุตรสาวคนโตทิ้งไว้ให้ ฉะนั้นคนที่ได้รับผลกระทบไปด้วยก็คือสกุลเมิ่งทั้งสกุล ทั้งยังเกี่ยวพันไปถึงเรื่องแต่งงานของเฉิงซินกับอาอวี้ มีมารดาเช่นนี้ ยากที่ผู้อื่นจะไม่คิดว่ามีมารดาเช่นไร บุตรธิดาย่อมเป็นเช่นนั้นขณะที่โทสะกำลังครอบงำ เขาก้าวไปด้านหน้าสองก้าว แล้วประณามออกไปด้วยความโกรธเคือง “เจ้ามันลูกทรพี!”สิ้นคำ เขาก็ง้างมือขึ้นมาในฉับพลันทันใด ชั่วพริบตาถัดมาก็หมายจะฟาดลงบนดวงหน้าของเมิ่งจิ่นเหยาอย่างไร้
ครั้นได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของกู้จิ่งซีพลันมืดครึ้มขึ้นมาอย่างทันทีทันใดจนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ดวงตาดุดันกวาดมองสมาชิกสกุลเมิ่งทั้งหลาย สุดท้ายพอสายตาหยุดอยู่ที่เมิ่งตงหย่วนกับนางซุน แววตาของเขาก็ยิ่งเย็นเยียบ เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ท่านเมิ่งคงทราบดี หากว่ากันตามกฎระเบียบราชวงศ์เรา การยักยอกสินทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยพลการ จะต้องโทษข้อหา ‘ลักขโมย’”ทันทีที่กล่าวคำพูดเช่นนี้ออกไป ทุกคนในที่นั้นล้วนตะลึงงัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมิ่งตงหย่วนและภรรยา เมื่อครู่นี้พวกเขาคิดเพียงแค่ว่าจะทำให้เกียรติของตระกูลต้องเสื่อมเสียเท่านั้น จนลืมไปว่าหากเรื่องราววุ่นวายไปจนถึงขั้นต้องขึ้นศาล แบบนั้นจะต้องมีการพิจารณาตัดสินโทษ นังลูกเนรคุณนั่นช่างใจดำอำมหิตเสียจริง อุตส่าห์เลี้ยงดูจนเติบใหญ่เช่นนั้น แต่ถึงกับส่งผู้อาวุโสในบ้านเข้าคุกได้ลงคอเมิ่งจิ่นเหยามองดูพวกเขาสองสามีภรรยาที่ถูกทำให้ตกใจจนหน้าขาวซีดแล้ว นางจึงเปล่งเสียงออกมาได้อย่างถูกเวลา “ท่านพี่ ในเมื่อพวกเขาไม่ยอมคืน เช่นนั้นก็ช่างเถิด ถึงอย่างไรข้าก็มีหลักฐานแน่ชัดอยู่ในมือ ทั้งยังเตรียมคำร้องไว้แล้ว ข้าจะนำเรื่องของพวกเขาไปฟ้องร้องกับทางการ
เมิ่งจิ่นอวี้ไหนเลยจะเคยได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจเช่นนี้?นางเป็นดั่งไข่มุกที่บิดามารดาประคองอยู่ในมือมาตั้งแต่เกิด ท่านย่าเองก็รักใคร่เอ็นดูนางเป็นอย่างยิ่ง ในเรือนหลังนี้นอกจากเฉิงซินแล้ว นางนับว่าเป็นคนที่ได้ความรักความเอ็นดูมากที่สุด ทว่ายามนี้เพียงเพราะสร้อยคอเส้นเดียวนางถึงกับถูกพี่สาวคนโตทำให้อับอายขายหน้านางที่อับอายขายหน้าระคนเดือดดาลจนแทบไม่อยากมีชีวิต ถอดสร้อยบนลำคอออกแล้วยกมือเหวี่ยงใส่หน้าเมิ่งจิ่นเหยา นางด่าทอออกไปด้วยความโกรธเกลียด “เอาคืนไป นังคนเนรคุณใจดำ!”กู้จิ่งซีมือไวตาไว เขารับสร้อยคอไว้ได้ก่อนที่มันจะปะทะลงบนดวงหน้าของเมิ่งจิ่นเหยา เขาชำเลืองมองเมิ่งจิ่นอวี้ด้วยสายตาเย็นชา แล้วเปิดปากพูดออกไปว่า “คุณหนูรองเมิ่ง จงใจทำร้ายผู้อื่นนั้นโทษสถานหนักคือถูกศีรษะต่อหน้าสาธารณชน โทษสถานเบาคือถูกโบย คุณหนูรองเมิ่งอยากถูกตัดศีรษะหรือถูกโบยดีเล่า?”เขาเป็นขุนนางมาหลายปี และยามนี้ดำรงตำแหน่งสูง อำนาจบารมีมากมาย ยามมองมาด้วยใบหน้าเคร่งขรึม ล้วนสร้างความกดดันที่มองไม่เห็นแก่คนอื่นเมิ่งจิ่นอวี้ตกอกตกใจจนสีหน้าซีดเผือด นางร้อง ‘ว้าย’ ออกมา แล้ววิ่งร้องไห้ออกไปเมิ่งเฉิงซิงเ
ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นพ่อตา กู้จิ่งซีเป็นลูกเขย เป็นผู้เยาว์กว่าเขา ทว่ากลับไม่มีความเคารพแก่ผู้อาวุโสเช่นเขาเลยสักนิดแม้ว่าเขาจะไม่พอใจ แต่ก็ไม่กล้าพูดอันใดออกไป ทำเพียงตอบรับด้วยใบหน้าเหยเก จากนั้นก็เดินไปทางกู้จิ่งซีแล้วยื่นมือออกไปรับสร้อยเส้นนั้นมา ทั้งยังกำชับพ่อบ้านให้ออกไปส่งพวกเขาสองสามีภรรยา......อีกด้านหนึ่ง เพิ่งก้าวออกมาจากจวนหย่งชางป๋อไม่นานเมิ่งจิ่นเหยาก็ปล่อยมือที่คล้องแขนกู้จิ่งซีออกอย่างเป็นธรรมชาติ นางก้าวเท้ายาว ๆ ไปทางรถม้า เพียงมองแค่ย่างก้าวที่เดินเหินอย่างกระฉับกระเฉงแล้ว จึงรู้ได้ทันทีว่ายามนี้นางกำลังอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่งกู้จิ่งซีหลุบตามองแขนของตนเองแล้วอดรู้สึกไม่ได้ว่าช่างน่าขบขันยิ่งนัก เมื่อครู่แม่นางผู้นี้ยังเป็นฝ่ายเข้ามาคล้องแขนเขาอย่างสนิทสนมเองแท้ ๆ ทั้งยังแสดงท่าทางเป็นคู่สามีภรรยาที่รักใคร่กันปานจะกลืนกินกับเขา ยามนี้ใช้ประโยชน์เรียบร้อยแล้ว ถึงได้ปล่อยแขนเขาอย่างไม่ลังเลแม้แต่นิดเดียวชิงชิวและหนิงตงคอยประคองเจ้านายของตนขึ้นรถม้าไป พวกนางลังเลก็ยังไม่ตามขึ้นไป หันไปดูว่าท่านโหวจะนั่งรถม้าคันเดียวกับเจ้านายของพวกตนหรือไม่ ครั้นเห็นว่าท่านโหวเดิม
เมิ่งจิ่นเหยาฟังออกว่าน้ำเสียงของเขาผิดแผกไป ไม่ค่อยเข้าใจนักว่าเป็นเพราะเหตุใดยามเงยหน้าขึ้นมองเขาจนดวงตาทั้งสี่ประสานกัน นางพลันสะดุ้งได้สติ เมิ่งจิ่นเหยาถึงเพิ่งตระหนักได้ว่าจนเองพูดจาไม่สมควรอันใดออกไปนางมีมีความผิด นางไม่ควรปากมากสำหรับคนทั่วไปแล้ว คำพูดเมื่อครู่นี้ถือเป็นคำชม ทว่าสำหรับกู้จิ่งซีนั้นกลับดูเหมือนว่าจะกลายเป็นความอัปยศอดสู อดีตคู่หมั้นขอถอนหมั้นเพียงเพราะกู้จิ่งซีเป็นโรคที่ไม่อาจบอกใครได้ จึงไม่อยากแต่งไปแล้วต้องครองตนเป็นม่ายตลอดชีวิตนางปั้นหน้ายิ้มแย้มแข็งทื่อ แล้วพูดอึก ๆ อัก ๆ กระท่อนกระแท่นไปว่า “ชะ ใช่เจ้าค่ะ”กู้จิ่งซีเอ่ยถามอีก “เช่นนั้นฮูหยินคิดว่า เจ้าแต่งกับข้าแล้วคือความโชคดีหรือว่าโชคร้าย?”เมิ่งจิ่นเหยาสงบสติอารมณ์ได้แล้ว นางจึงแย้มยิ้มไร้ที่ติออกมาอีกครั้ง “ได้แต่งให้ท่านพี่ ย่อมเป็นความโชคดีอยู่แล้วเจ้าคะ”เป็นโรคร้ายไม่อาจรับอนุจนให้กำเนิดบุตรธิดาอนุภรรยาได้ ทั้งยังมอบเงินให้นางได้ใช้จ่าย พอนางเจอปัญหาก็มาช่วยนาง เช่นนี้ช่างดียิ่งนัก ข้อบกพร่องเพียงประการเดียวก็คือซื้อตัวใหญ่แล้วดันได้ตัวเล็กมาด้วย ตัวเล็กที่ว่าก็คือเจ้าบุตรชายเนรคุณผู้นั
เมิ่งจิ่นเหยาตะลึงไปชั่วขณะ ตระหนักได้ว่าตนเองกับอาหนิงไม่ได้พบกันมาช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว เรื่องของท่านหญิงจิ้งหนิง นางยังไม่ได้บอกกับอาหนิงเลย ในใจรู้สึกผิดอยู่บ้าง จึงรีบกล่าวว่า “ข้าลืมบอกเจ้าไป ตอนนี้ข้ากับท่านหญิงจิ้งหนิงเป็นสหายกันแล้ว ท่านหญิงจิ้งหนิงได้รู้จักโฉมหน้าที่แท้จริงของเมิ่งจิ่นอวี้แล้วเช่นกัน และไม่ได้สนใจเมิ่งจิ่นอวี้อีก”เมื่อได้ฟังดังนั้น ในแววตาของซ่งซินหนิงก็ฉายแววแห่งความผิดหวัง รู้สึกว่าพออาเหยามีสหายคนใหม่ ก็เฉยเมยนางเสียแล้ว จึงบ่นพึมพำออกมา “อาเหยา เจ้าชอบของใหม่จึงเบื่อของเก่าแล้วใช่หรือไม่?”เมิ่งจิ่นเหยามองนางอย่างขุ่นเคือง เอื้อมมือไปจับมือของนางไว้ พลางกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน “ที่ไหนกัน เป็นเพราะช่วงนี้เจ้ายุ่ง ๆ อยู่มิใช่หรือ ข้าถึงไม่ได้นัดเจ้าน่ะ? หากว่าพบเจอเจ้า จะต้องบอกกับเจ้าเป็นแน่ อาหนิงในใจของข้า มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น” เมื่อซ่งซินหนิงได้ฟัง ดวงตาก็เป็นประกาย ความเศร้าที่อยู่ตรงหว่างคิ้วมลายไปจนหมดสิ้น ใบหน้าปรากฎรอยยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง “ข้ารู้ว่าอาเหยาเป็นผู้ที่มีความรู้สึกยืนยาวผู้หนึ่ง ไม่มีทางชอบของใหม่แล้วเบื่อของเก่าเป็นแน่ คนที่รักมา
กู้ซิวหมิงดูเหมือนจะเปลี่ยนเป็นคนละคนแล้วจริง ๆ เปลี่ยนเป็นคนที่อ่อนโยน มีความถ่อมตน และมีความก้าวหน้าในการเรียน แถมทุกวันยังไปคารวะยามเช้าให้เมิ่งจิ่นเหยา เมื่อกู้จิ่งซีเลิกงานกลับมา ก็มาที่เรือนเวยหรุยเซวียนเพื่อขอคำแนะนำจากกู้จิ่งซีความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหันนี้ ทำให้เรือนใหญ่กับเรือนรองต่างตกใจ ซึ่งต้องทราบว่าก่อนหน้านี้พฤติกรรมขายหน้าเหล่านั้นของกู้ซิวหมิง พวกเขาต่างเกือบจะคิดว่ากู้ซิวหมิงไม่มีอนาคต และกลายเป็นคนไร้ความสามารถไปเสียแล้ว คิดไม่ถึงว่าตอนนี้คนที่ไร้ความสามารถไม่ต้องพยุงก็สามารถปีนขึ้นกำแพงได้บุตรอกตัญญูจู่ ๆ กลายเป็นบุตรกตัญญู เมิ่งจิ่นหยาก็รู้สึกแปลกใจเช่นกัน วันนี้กลางวันยาวกลางคืนสั้น นางจึงตื่นเช้าขึ้น ทุกวันหลังจากตื่นและนอนล้างตัวจะเห็นบุตรอกตัญญูเข้ามาคารวะยามเช้า ทุกครั้งล้วนแสดงความเคารพทั้งยังกตัญญู ไม่มีการทำแบบส่ง ๆ เลยแม้แต่น้อยไม่ว่ากู้ซิวหมิงจะจริงใจ หรือว่าเสแสร้ง นางล้วนต้องเล่นบทมารดาที่เมตตา ดังนั้นทุกครั้งที่มารดาและบุตรมาเจอกัน จึงไม่มีการโต้ตอบแบบเมื่อก่อน และจะมีแต่ภาพบรรยากาศที่กลมเกลียวของมารดาผู้เมตตากับลูกที่กตัญญูเท่านั้น
หลี่หว่านเอ๋อร์เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “จริงหรือเจ้าคะ?”“จริงแท้แน่นอน”กู้ซิวหมิงพยักหน้า และเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาที่แก้มของนาง เมื่อเห็นนางร้องไห้อย่างขมขื่น ในใจก็ไม่สบายใจอย่างมากหลี่หว่านเอ๋อร์กกล่าวเสียงสะอื้น “พี่ซิวหมิง ข้ามีเพียงท่านเท่านั้น หากวันใดท่านไม่ชอบข้าแล้ว ข้าก็ไม่เหลืออะไรแล้วเจ้าค่ะ”กู้ซิวหมิงปลอบด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “เด็กโง่ ข้าจะไม่ชอบเจ้าได้อย่างไร? หากไม่ชอบเจ้า ข้าคงแต่งงานกับเมิ่งจิ่นเหยาตั้งแต่แรกแล้ว ในใจข้า หว่านเอ๋อร์เป็นแม่นางที่ดีที่สุด และใจดีที่สุดในใต้หล้า”เมื่อได้ยิน หัวใจที่กระวนกระวายของหลี่หว่านเอ๋อร์ถึงจะได้รับการปลอบโยน นางจ้องมองชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่ละสายตา ชายหนุ่มมีรูปลักษณ์ที่หล่อเหลา สง่างามยืนตระหง่านต้านลม นางรู้สึกชอบ ครั้งแรกที่เห็นชายหนุ่มอยู่ในวัด แม้ชายหนุ่มจะถูกพิษงูจนหมดสติ แต่ด้วยกริยาท่าทางอันสูงศักดิ์ที่แพร่ออกมาจากร่างกาย และรูปลักษณ์ที่หล่อเหล่าเป็นพิเศษ จึงทำให้นางหลงรักตั้งแต่แรกเห็น โดยไม่กลัวจะสร้างความเดือดร้อน ก็รีบไปหาคนในวัดมาช่วยชีวิตชายหนุ่มภายหลังพบว่าชายหนุ่มเป็นซื่อจื่อของจวนฉางซินโหว แถมยัง
เรือนชิงอวี้เซวียนกู้ซิวหมิงกลับมาจากโถงโซ่วอัน เพิ่งจะเข้าห้อง ก็เห็นร่างที่งดงามโผล่เข้ามาทางตนเอง เขาจึงรีบอ้าแขนกอดคนไว้ แถมยังถอยหลังไปสองก้าวด้วย“พี่ซิวหมิง ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว”แม่นางในอ้อมแขนน้ำเสียงแหบทุ้ม เหมือนกับจะร้องไห้แล้วกู้ซิวหมิงหัวใจกระตุกวูบ และรีบถาม “หว่านเอ๋อร์ เป็นอะไรหรือ? ตอนที่ข้าไม่อยู่ มีคนรังแกเจ้าใช่หรือไม่?หลี่หว่านเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นช้า ๆ ขอบตาเต็มไปด้วยน้ำตา จนใกล้จะร้องไห้ออกมา ในดวงตาก็เต็มไปด้วยความกังวล และกล่าวด้วยเสียงสะอื้นว่า “พี่ซิวหมิง ข้ากลัวมาก กลัวมากจริง ๆ เจ้าค่ะ” กู้ซิวหมิงทนเห็นนางร้องไห้ไม่ได้ จึงตบหลังนางเบา ๆ และปลอบด้วยคำพูดที่อ่อนโยน “หว่านเอ๋อร์ไม่ต้องกลัว ข้าอยู่นี่แล้ว มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นใช่หรือไม่? หากมีคนรังแกเจ้า ข้าคนนี้จะเป็นคนจัดการ และลงโทษสาวใช้ที่ไม่มีตาพวกนั้นให้ดีแทนเจ้า”“ไม่ใช่ ไม่มีใครรังแกข้าเจ้าค่ะ”หลี่หว่านเอ๋อร์ส่ายหน้าเบา ๆ น้ำตาก็ไหลพรากลงมาจากขอบตาทันที และกล่าวด้วยความกังวล “พี่ซิวหมิง ท่านออกไปเมื่อเช้า บอกว่าจะไปคารวะยามเช้าให้ท่านโหวกับฮูหยินที่เรือนเวยหรุยเซวียน แต่นานแล้วก็ยังไม่กลับ
เฝิงหมอมอตกใจ “เช่นนั้นท่านซื่อจื่อจะไม่มีภรรยาเอกได้อย่างไรเจ้าคะ?”ฮูหยินผู้เฒ่ากู้ถอนหายใจเบา ๆ “รอซิวหมิงหมดความหลงไหลที่มีต่อหลี่อี๋เหนียง และค่อย ๆ เข้าใจถึงความสำคัญของภรรยาเอก ไม่แน่ว่าอาจอยากแต่งภรรยาเอกก็ได้ ตอนนี้พวกเราเป็นผู้อาวุโสบีบบังคับเขา เขาคงจะไม่ยอมอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นไม่เพียงแต่ทำร้ายแม่นางดี ๆ ที่ไร้ความผิดเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นคู่รักที่ขุ่นเคืองกันอีก และเขาก็จะยิ่งชื่นชอบหลี่อี๋เหนียงมากขึ้นเรื่อย ๆ การไม่แทรกแซงอะไรจึงจะดีที่สุด”หลังจากเฝิงหมอมอฟังก็ชะงัก นางกลับลืมว่ามีหลี่อี๋เหนียงคนนี้ เพื่อหลี่อี๋เหนียงแล้ว ท่านซื่อจื่อยังกล้าหนีงานแต่งงาน หากบังคับท่านซื่อจื่อแต่งงาน ไม่แน่ว่าอาจจะหนีงานแต่งงานครั้งที่สอง เมื่อมีอีกครั้งหนึ่ง เช่นนั้นชื่อเสียงของจวนฉางซิงโหวจะต้องพังพินาศลงอย่างสิ้นเชิงต่อเรื่องนี้ ฮูหยินผู้เฒ่ากู้ก็ปล่อยวางได้แล้ว ตราบใดที่หลานชายรู้ความเป็นพอ อนาคตจะยิ่งรู้ความ และเข้าใจถึงความหวังดีของผู้อาวุโสมากขึ้นด้วย จึงกล่าว “ความรักช่วงเริ่มแรกนั้นร้อนแรงที่สุด เมื่อเวลาผ่านไป ก็จะจืดจางลงมาก ตอนนี้เขากับ หลี่อี๋เหนียงอยู่ด้วยกันทั้งเช้าท
กู้ซิวหมิงรีบตอบรับ “หลานจะเชื่อฟังคำสอนของท่านย่าอย่างเคร่งครัดขอรับ”ฮูหยินผู้เฒ่ากู้พยักหน้าเล็กน้อย และให้เขานั่งลงเพื่อพูดคุยอีกครั้ง หลานชายทั้งสองเหมือนจะกลับไปสมัยก่อน ทั้งพูดคุยและหัวเราะ เข้ากันได้เป็นอย่างดีเวลานี้ เฝิงหมอมอรับยามาแล้ว ก็สั่งให้สาวใช้ยกน้ำเข้ามาอีกหนึ่งอ่าง และทำความสะอาดบาดแผลให้กู้ซิวหมิง จากนั้นจึงใส่ยาให้เขา เมื่อเห็นบาดแผลของเขา ก็รู้ว่าตอนที่เขาโขกศีรษะใช้แรงมากเพียงใด และนั่นไม่ใช่ทำแบบขอไปทีเลยแม้แต่น้อย หลังใส่ยา กู้ซิวหมิงก็ยังไม่ออกจากโถงโซว่อัน แต่กลับไปโถงพระเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากู้ ฮูหยินผู้เฒ่ากู้ท่องพระคัมภีร์ ส่วนเขาคัดพระคัมภีร์อยู่ด้านข้างและบอกว่าอยากจะคัดเพื่ออธิษฐานให้ฮูหยินผู้เฒ่ากู้พอถึงช่วงกลางวัน กู้ซิวหมิงก็ยังคงไม่กลับ และอยู่รับประทานอาหารกลางวันเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากู้ที่โถงโซว่อันฮูหยินผู้เฒ่ากู้เชื่อในพระพุทธ มักจะกินอาหารมังสวิรัติและท่องบทสวด อาหารกลางวันมื้อนี้แม้แต่เนื้อหมูสับยังไม่มีเลย ล้วนเป็นผักทั้งหมด นางกลัวหลานชายไม่เคยชิน จึงสั่งสาวใช้ “ไปให้ห้องครัวทำอาหารคาวเข้ามาสองอย่าง”กู้ซิวหมิงรีบกล่าว “ท่านย่
หนิงตงตะลึงงัน รีบกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “เช่นนั้นให้เขาเป็นแบบเมื่อก่อนยังดีกว่าเจ้าค่ะ”เมิ่งจิ่นเหยาประหลาดใจไปชั่วขณะ จากนั้นก็ยกมุมปากขึ้นด้วยสีหน้าที่ไม่อาจคาดเดาที่จริงแล้วบุ่มบ่ามและโง่เขลาบ้างคงดีกว่า เช่นนั้นก็ง่ายต่อการรับมือ ตอนนี้เป็นเช่นนี้กลับรับมือไม่ได้โดยง่ายแล้วแต่ว่าคนผู้นี้ ผ่านความพ่ายแพ้มามากมาย ท้ายที่สุดก็จะเติบโต แผนการก็จะยิ่งลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อย ๆ กู้ซิวหมิงก็คงจะเป็นแบบนี้เช่นกัน ก่อนหน้านี้ทุกอย่างราบรื่น ตั้งแต่หนีการแต่งงานและถูกจับกลับมาก็พ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง ทำลายความภาคภูมิใจอย่างไม่มีใครเปรียบของเขา ได้เรียนรู้ที่จะอดทน และสวมหน้ากากจอมปลอมเพียงแต่ไม่รู้ว่า กู้ซิวหมิงจะเสแสร้งได้นานถึงเพียงใด......โถงโซ่วอันฮูหยินผู้เฒ่ากู้ได้รู้ว่าก็ซิวหมิงมาแล้ว ก็คิดขึ้นมาได้ในภายหลังว่า ครั้งที่แล้วเขากับซิวเหวินรวมถึงเฉิงจางทะเลาะกันจึงถูกกักบริเวณ และไม่ได้พบกับเขามาเป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้วนานแล้วที่ไม่ได้พบกัน ทว่ากลับไม่ได้คิดถึงขนาดนั้น คงจะเป็นเพราะว่าผิดหวังกับหลานชายผู้นี้ยิ่งนักเฝิงหมอมอเห็นท่าทางไม่ยินดียินร้ายของนาง คิดได้ว่าถึงอย่า
เมิ่งจิ่นเหยามองดูแผ่นหลังของกู้ซิวหมิงที่เดินจากไป ดวงตาสงบและลึกล้ำ จนกระทั่งเงาร่างนั้นลับหายไปจากสายตา นางถึงได้เบนสายตากลับมา หันหน้าไปมองบุรุษที่อยู่ข้างกาย พลางถามอย่างสับสนว่า “ท่านพี่ ท่านว่าวันนี้บุตรชายคนโตคนดีของพวกเรากินยาอันใดผิดไปหรือไม่เจ้าคะ?”สีหน้าของกู้จิ่งซีชะงักเล็กน้อย ถามกลับไปว่า “ฮูหยินคิดว่าเช่นไรเล่า?”เมิ่งจิ่นเหยาก็ไม่ได้คิดที่จะแสร้งทำเป็นมารดาที่มีเมตตาอันใดต่อหน้าเขา หรี่ตาลงเล็กน้อย พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงว่า “ข้าคิดว่าถ้าเขาไม่กินยาผิด ก็คงถูกผีเข้าเจ้าค่ะ เป็นไปไม่ได้ที่จะขอโทษข้าจริง ๆ และกลับเนื้อกลับตัวเป็นคนใหม่”เมื่อได้ยินดังนั้น กู้จิ่งซีก็เหลือบมองนางอย่างเรียบเฉย ไม่ได้คัดค้านคำพูดของนางเมิ่งจิ่นเหยากล่าวอย่างประหลาดใจว่า “ท่านพี่ ท่านคิดว่าเขากำลังคิดที่จะทำอันใดเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีเงียบงันไปชั่วครู่ แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “เขาจะทำอันใดฮูหยินไม่จำเป็นต้องไปใส่ใจ ขอเพียงเขาไม่ก่อเรื่องก็พอแล้ว หากว่าก่อเรื่องขึ้นมา ข้าจะลงโทษเขาด้วยตัวเอง”เมิ่งจิ่นเหยาพยักหน้า ขอเพียงกู้ซิวหมิงไม่มาหาเรื่องนางก่อน นางก็สามารถคิดเสียว่ากู้ซิวหมิง
กู้ซิวหมิงกำลังคุกเข่า ตัวตั้งตรงไม่ขยับเขยื้อน “ท่านแม่ ลูกมีความผิด หากว่าท่านไม่ให้อภัยลูก ลูกก็จะคุกเข่าอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหนขอรับ”เมื่อเมิ่งจิ่นเหยาได้ฟังก็งงงัน ไม่เข้าใจว่าเขามีแผนร้ายอันใด ขมวดคิ้วอย่างยากที่สังเกตเห็น ไม่ว่าเขาจะจริงใจหรือว่าเสแสร้ง ก็จะแสดงร่วมกันกับเขา จึงแสร้งยิ้มอย่างอ่อนโยนมีเมตตา และกล่าวด้วยเสียงอบอุ่นว่า “ระหว่างแม่กับลูกมีความบาดหมางกันข้ามคืนเสียที่ไหน? ในเมื่อเจ้าสำนึกผิดเเล้ว แม่ก็จะอภัยให้เจ้า เรื่องก่อนหน้านี้ก็ให้มันผ่านไปเถิด เจ้ารีบลุกขึ้นเร็วเข้า”“ลูกขอบคุณท่านแม่มากขอรับที่ให้อภัย ก่อนหน้านี้เป็นลูกที่ไม่ดี ต่อจากนี้ไปจะไม่ทำผิดอีกแล้วขอรับ จะกตัญญูต่อท่านพ่อท่านแม่ให้มาก” กู้ซิวหมิงกล่าวอย่างจริงใจ จนเกือบจะร้องไห้ เมื่อพูดจบก็โขกศีรษะคำนับไปทางเมิ่งจิ่นเหยาอีกสามครั้ง ถึงได้ลุกขึ้นเมิ่งจิ่นเหยาเห็นว่าหน้าผากของเขาเป็นสีแดงแล้ว ก็แอบกล่าวในใจว่า ‘โหดร้ายต่อตนเองมากทีเดียว โขกศีรษะแรงถึงเพียงนี้ จนมีรอยเลือดไหลซึมออกมา’กู้จิ่งซีมองดูบุตรชายด้วยสีหน้าที่ไม่อาจแยกแยะได้ ดวงตาลึกล้ำ จับจ้องอยู่นาน จากนั้นก็กล่าวว่า “ซิวหมิง ในเมื่อเจ้าสำนึ