พ่อบ้านสำลักคำพูดนี้ของนางจนพูดอะไรไม่ออกคุณหนูที่ออกเรือนแล้วพูดจาเช่นนี้มีที่ใดกัน? บ้านมารดาเกิดเรื่อง นางก็คิดว่าฟังเอาสนุก คำพูดที่เลือดเย็นเช่นนี้ น่าจะมีเพียงคุณหนูใหญ่ของบ้านพวกเขาเท่านั้นที่สามารถพูดออกมาได้เมิ่งจิ่นเหยาก้าวเท้าไปนั่งยังตำแหน่งหลัก มองพ่อบ้านด้วยสายตาที่ไม่แยแส และถามอย่างไม่ใส่ใจว่า “บอกว่ามาหาข้าเพราะมีเรื่องด่วนไม่ใช่หรือ? เหตุใดข้ามาแล้ว เจ้าก็เป็นใบ้เสียเล่า?”เมื่อได้ยิน พ่อบ้านก็นึกถึงเรื่องสำคัญขึ้นมา ขณะมองเมิ่งจิ่นเหยาก็ถอนหายใจ พลางกล่าว “คุณหนูใหญ่ ฮูหยินผู้เฒ่าป่วยแล้ว อาการป่วยหนักมาก ดังนั้นนายท่านจึงให้ข้าน้อยมาแจ้งท่านเสียหน่อยขอรับ”เมิ่งจิ่นเหยาตกตะลึงเล็กน้อย ท่านย่าคนนั้นของนางร่างกายแข็งแรงมาก โดยเฉพาะตอนที่ด่าทอนาง พลังยังเต็มเปี่ยม เห็นได้ชัดว่าอายุเยอะมากแล้ว แต่กลับทำให้นางรู้สึกว่าร่างกายยังแข็งแรงกว่าเด็กสาวเช่นนางเสียอีก อยู่ไปอีกสิบปีก็น่าจะไม่มีปัญหา จู่ ๆ เหตุใดถึงป่วยหนักได้เล่า?นางคิดว่ามีเรื่องลับลมคมใน จึงไม่เชื่อคำพูดของพ่อบ้าน และจ้องพ่อบ้านตาเขม็ง พลางถามอย่างแฝงความนัย “นางป่วยจริง ๆ หรือ?”พ่อบ้านก้มศีรษะลงเล็
ตอนที่เมิ่งจิ่นเหยามาถึงโถงหรงฝู ฮูหยินผู้เฒ่าเมิ่งก็กำลังนอนกลางวันอยู่ สาวใช้เหมือนจะรู้ว่าไม่ช้าก็เร็วนางจะต้องกลับมา จึงเชิญนางไปยังห้องโถงเล็กของโถงหรงฝู ยกน้ำชาชั้นดีกับของหวานให้นาง และขอให้นางรอไปก่อนสักครู่สาวใช้อีกคนหนึ่งรีบไปแจ้งเมิ่งตงหย่วนกับนางซุนทันทีชิงชิวยืนปรนนิบัติอยู่ข้างกายเมิ่งจิ่นเหยา เมื่อเห็นสาวใช้มีท่าทางที่ดีต่อเจ้านายตนเองเช่นนี้ ต่างตกใจแทนเจ้านายที่ได้รับการโปรดปราน เจ้านายของพวกนางอยู่โถงหรงฝูก็เคยได้รับการต้อนรับเช่นนี้มาก่อนหรือ?ชิงชิวย่อตัว และกระซิบที่ข้างหูของเมิ่งจิ่นเหยา “ฮูหยิน เหตุใดข้าน้อยถึงรู้สึกว่าพวกเขามีเจตนาที่ไม่ดีเจ้าคะ?”เมิ่งจิ่นเหยากล่าวอย่างใจเย็นว่า “ไม่เป็นไร อีกเดี๋ยวก็รู้แล้ว”ผ่านไปได้ไม่นาน เมิ่งตงหย่วนกับนนางซุนก็มาถึงเมิ่งจิ่นเหยาลุกขึ้นทำความเคารพ “ท่านพ่อ ฮูหยินเมิ่ง”นางซุนได้ยินนางเรียกตนเองว่าท่านแม่ แต่กลับเรียกแค่เมิ่งฮูหยิน ก็รักษาหน้าไม่ได้เล็กน้อย แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาโต้เถียงกับนาง จึงตอบรับและยิ้มกว้าง “อาเหยา นั่งลงก่อนค่อยพูดเถอะ” เมิ่งจิ่นเหยาเห็นนางที่แม้ในใจจะเกลียดจนกัดฟันแทบหลุด และเกลียดจนอยาก
เมื่อสิ้นเสียง ฝีเท้าของเมิ่งจิ่นเหยาก็หยุดชะงัก พลางหันหน้ากลับไปมองท่านย่า ทั้ง ๆ ที่เมื่อครู่ยังตะโกนให้นางหยุดด้วยความขุ่นเคืองอยู่เลย เวลานี้กลับสงบนิ่งอีกครั้ง แววตาอ่อนโยนก็จริง การขอร้องผู้อื่นก็ควรต้องมีท่าทีขอร้อง นับว่ามีไหวพริบยิ่งนัก หากเป็นเมื่อก่อน คงหลุดปากด่าว่านางอกตัญญู ด่าว่านางไร้หัวใจ ด่าว่านางไม่คำนึงถึงสกุลไปแล้วนางยิ้มพลางถาม “ท่านย่ายังมีธุระอันใดอีกหรือเจ้าคะ?”ฮูหยินผู้เฒ่าเมิ่งหายใจเข้าลึก ๆ ระงับความเดือดดาลที่อยู่ภายในก้นบึ้งของจิตใจ พยายามรักษาความอบอุ่นที่อยู่ในน้ำเสียงอย่างเต็มที่ “อาเหยา เฉิงซิงเป็นน้องชายแท้ ๆ ของเจ้า”เมิ่งจิ่นเหยาพยักหน้าเบา ๆ “ข้ารู้เจ้าค่ะ แล้วอย่างไรเล่าเจ้าคะ?”ฮูหยินผู้เฒ่าเมิ่งใช้ใจแลกใจ ใช้เหตุผลแลกเหตุผล “อาเหยา ย่ารู้ว่าเจ้าขุ่นเคืองที่มารดาของเจ้าก้าวก่ายเรื่องสินเดิมของมารดาผู้ให้กำเนิดเจ้า ทว่าน้องสามของเจ้าเป็นผู้บริสุทธิ์ ถึงเจ้าจะโกรธมารดาเจ้าเพียงไร ก็ไม่ควรคิดแค้นน้องสามของเจ้าไปด้วย”สำนักศึกษาหลิงซานเป็นสำนักศึกษาที่บรรดาบัณฑิตในใต้หล้าแห่แหนกันไป เมื่อเข้าไปที่สำนักศึกษาหลิงซานแล้ว ก็จะเข้าใกล้จิ้นซื่อ
เมื่อได้ยินคำว่าเฉิงอวี่สองคำ สีหน้าของเมิ่งจิ่นเหยาก็หยุดชะงัก มือที่อยู่ในแขนเสื้อกำไว้แน่น เล็บมือทั้งหมดจิกเข้าไปในเนื้อของฝ่ามือ แต่กลับยังไม่ปล่อย มองไปที่นางซุนด้วยสายตาที่น่ากลัว พลางยิ้มอย่างเย้ยหยัน “เฉิงอวี่ตายได้เช่นไร ไม่มีผู้ใดเข้าใจชัดเจนไปกว่าเมิ่งฮูหยินอีกแล้วเจ้าค่ะ”ใบหน้าของนางซุนซีดเผือดเล็กน้อย ครู่ต่อมาก็ก้มหน้าแอบร้องไห้ พลางกล่าวอย่างสะอึกสะอื้น “อาเหยา สินเดิมของมารดาผู้ให้กำเนิดเจ้า ข้าได้คืนเจ้าไปแล้ว เจ้ายังต้องการอันใดอีก? ความตายของเฉิงอวี่เป็นปัญหาของเจ้า ทุกคนเห็นประจักษ์แก่สายตาของตนเอง ตอนนี้เจ้าจะสาดโคลนใส่ผู้อื่น ผลักความรับผิดชอบมาให้ข้ากระนั้นหรือ? ตอนนั้นท่านแม่ให้เจ้าไปที่โถงพระเพื่อขจัดพลังงานชั่วร้าย เจ้าก็ร้องไห้โวยวายไม่ไป เป็นข้าที่ร้องขอความเมตตาให้เจ้า”เมิ่งจิ่นเหยามองดูการเสแสร้งแกล้งทำเป็นตีหน้าซื่อของนาง ดวงตามืดมนจนไม่อาจคาดเดา กล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “เมิ่งฮูหยิน หวังว่าภายภาคหน้าท่านจะยังสามารถกล่าวคำพูดนี้ออกมาได้อย่างมั่นใจอยู่นะ”ท่าทางแสร้งเช็ดน้ำตาของนางซุนชะงักเล็กน้อยเมิ่งตงหย่วนเห็นภรรยาเช็ดน้ำตาอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ ก
เมื่อออกมาจากโถงหรงฝู เมิ่งจิ่นเหยาก็หายใจเข้าลึก ๆ ไม่ได้หยุดชะงักแม้เพียงชั่วครู่ ก้าวเท้าเดินจากมาอย่างรวดเร็ว ลอดผ่านประตูรูปพระจันทร์ ก็พบกับเด็กหนุ่มที่เดินมาด้วยท่าทางรีบร้อน เมื่อเด็กหนุ่มเห็นนาง ก็รีบเดินเข้ามาถาม “พี่หญิงใหญ่ พวกเขาไม่ได้ทำให้ท่านลำบากใจใช่หรือไม่?”เมิ่งจิ่นเหยาส่ายศีรษะอย่างแผ่วเบา “ข้าไม่เป็นไร พวกเขาทำอันใดข้าไม่ได้หรอก”นางกล่าวจบ ก็มองไปที่เมิ่งเฉิงจางอย่างครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ พลางกล่าวอีกว่า “น้องรอง เจ้ากลับไปเก็บของในเรือนสักหน่อย แล้วตามข้ากลับไปที่จวนฉางซินโหว”เมิ่งเฉิงจางไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด จึงมองนางอย่างมึนงงเมิ่งจิ่นเหยามองไปรอบ ๆ เมื่อเห็นว่ารอบด้านไม่มีผู้ใด ก็อธิบายด้วยเสียงแผ่วเบา “เมิ่งเฉิงซิงเข้าเรียนที่สำนักศึกษาหลิงซานไม่ได้ วันนี้พวกเขาเล่นลูกไม้ให้ข้ากลับมา ก็เพื่อเรื่องการเรียนของเมิ่งเฉิงซิง กันไว้ดีกว่าแก้ เจ้ากลับไปที่จวนจางซินโหวกับข้าก่อนเถิด”หากไม่มีเหตุการณ์อย่างในวันนี้ นางก็คงไม่เป็นกังวล ทว่าเมื่อมีเรื่องดังเช่นเมื่อครู่แล้ว นางไม่คิดมากไม่ได้ บุตรชายแท้ ๆ ของนางซุนไม่สามารถไปร่ำเรียนที่สำนักศึกษาหลิงซานได้ ทว่าน้อง
เขาถามแผ่วเบา “พี่หญิงใหญ่ เกิดเรื่องอันใดขึ้นตอนอยู่ที่โถงหรงฝูงั้นหรือ?”เมิ่งจิ่นเหยาส่ายศีรษะ “ไม่มีอันใด เพียงแต่คิดเรื่องบางอย่างได้เท่านั้น” เมื่อเห็นเขายังคิดจะถามต่อ จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “น้องรอง ตอนนี้ยังเช้าเกินไป เจ้ายังขาดเหลือสิ่งของอันใดหรือไม่? พวกเราจะได้ไปซื้อกันตอนนี้เลย”เมิ่งเฉิงจางคิดอยู่ชั่วครู่ “พี่หญิงใหญ่ ข้าไม่ขาดเหลืออันใดขอรับ”เมิ่งจิ่นเหยายิ้มพลางพยักหน้า “อืม หากว่าขาดเหลือสิ่งใด ถึงเวลานั้นเจ้าค่อยไปซื้ออีกก็ได้ หรือหากว่าเจ้านึกขึ้นได้ว่าขาดเหลือสิ่งใด พวกเราค่อยไปซื้อพรุ่งนี้”เมิ่งเฉิงจางรับคำ พลางมองนาง มีหลายครั้งที่อยากพูดแต่ไม่ได้พูดออกมา สุดท้ายก็มองเห็นชิงชิวส่ายหน้าเล็กน้อยมาทางเขา จึงได้ล้มเลิกไม่ถามต่อผ่านไปไม่นาน ฮูหยินผู้เฒ่าเมิ่งและคนอื่น ๆ ก็รู้ว่าเมิ่งจิ่นเหยาพาเมิ่งเฉิงจางไปด้วย ทว่าเมื่อได้ฟังที่พ่อบ้านพูด ฮูหยินผู้เฒ่าเมิ่งกับเมิ่งตงหย่วนต่างก็ไม่ได้คิดอะไรมาก สกุลเมิ่งมีเพียงเด็กที่เป็นลูกอนุผู้นี้ที่สามารถพูดคุยกับเมิ่งจิ่นเหยาได้ พี่น้องทั้งสองคนมีความสัมพันธ์อันดี ภายภาคหน้ายังสามารถหาผลประโยชน์เล็ก ๆ น้อย ๆ ผ่านทางเฉิงจาง
ภายในห้อง เมิ่งจิ่นเหยาค่อย ๆ คลายกำปั้นที่กำไว้ตลอดเวลาออกฝ่ามือที่ขาวละมุนทั้งสองข้างมีรอยรูปพระจันทร์เสี้ยวสีชมพูอ่อนหลายรอยประทับอยู่รอยประทับปรากฏออกมาเป็นสีแดงเข้ม เป็นสีของเลือดที่แข็งตัว เล็บมือต่างเปื้อนคราบเลือดที่แข็งตัว เห็นได้ว่านางใช้แรงมากมายเพียงใด ถึงสามารถใช้เล็บมือทำให้ตนเองบาดเจ็บได้เมิ่งจิ่นเหยาหรี่ตาลงมองอย่างเฉยชาอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็เบนสายตาออกไปอันที่จริงเจ็บอยู่หรอก ทว่าความรู้สึกเจ็บปวดทำให้นางรู้สึกสบายใจขึ้นนางมีน้องชายทั้งหมดสามคน น้องสามเฉิงซิงเป็นบุตรของนางซุน เฉิงอวี่กับเฉิงจางเป็นฝาแฝดที่นางตู้สาวใช้ต้นห้องเป็นผู้ให้กำเนิดตอนที่นางตู้ตั้งครรภ์ฝาแฝด บอกว่าฝันเห็นตนเองให้กำเนิดบุตรสาวที่น่ารักสองคน บ่าวไพร่ในจวนก็บอกว่าดูจากท้องของนางตู้ ก็รู้สึกว่าเป็นเด็กผู้หญิงสองคนเพราะเหตุนี้ ท่านพ่อจึงไม่ได้คาดหวังกับเด็กที่อยู่ในครรภ์ของนางตู้มากนัก ถึงอย่างไรก็มีบุตรสาวสองคนอย่างนางกับเมิ่งจิ่นอวี้อยู่แล้ว จึงคิดแต่เพียงอยากได้บุตรชายมาสืบเชื้อสายวงศ์ตระกูลเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่ได้ยกนางตู้ที่มีความเป็นไปได้สูงว่าจะตั้งครรภ์เป็นฝาแฝดสตรีขึ้นเป็นอน
เมื่อได้ยินมารดาเลี้ยงที่อ่อนโยนและใจดีกล่าวคำพูดเช่นนี้ออกมา นางรู้สึกแต่เพียงว่าเลือดในกายจับตัวเป็นก้อน สมองว่างเปล่าไปหมด ทั่วทั้งร่างสั่นเทา อยากจะพุ่งออกไปถามนางซุนว่าเหตุใดจึงทำเช่นนี้ สุดท้ายก็มีสติขึ้นมาในยามคับขัน คิดได้ว่าตนเองยังเป็นเด็ก ผู้ใดจะเชื่อคำพูดของนางกัน?ดังนั้น ตอนนั้นนางจึงอดกลั้นเอาไว้ เดินจากไปราวกับซากศพที่เดินได้ แล้วบอกเรื่องนี้กับท่านปู่ ทว่าท่านปู่ที่นอนเจ็บป่วยอยู่บนเตียงมาเป็นเวลานาน ลมหายใจแผ่วเบาไม่มีเรี่ยวแรงจะมาจัดการเรื่องพวกนี้อีกแล้วท่านปู่บอกกับนางว่า “อาเหยาเด็กดี ไม่ร้องไห้ ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องนี้อีกแล้ว เจ้าก็คิดเสียว่าไม่เคยได้ยินพวกนางคุยกันมาก่อน”นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่านปู่ถึงไม่ทวงความยุติธรรมให้น้องชาย จึงถามอย่างไม่เข้าใจ “ท่านปู่ไม่อยากช่วยน้องชายจับคนไม่ดีหรือเจ้าคะ?”ดวงตาทั้งสองข้างของท่านปู่ขุ่นมัว มืดมนไม่สว่างไสว นัยน์ตาเต็มไปด้วยน้ำตา พลางกล่าวด้วยเสียงสะอื้น “ปู่แก่แล้ว ไล่ตามคนชั่วไม่ทัน จับไม่ได้แล้ว อาเหยายังเด็ก เอาชนะคนชั่วไม่ได้หรอก พวกเราปล่อยให้คนชั่วได้ใจไปสักพัก ดีหรือไม่?”นางพยักเหมือนจะเข้าใจแต่ไม่เข้าใจ “
เมื่อสิ้นเสียง หลี่เฉิงก็รู้สึกหวั่นใจเป็นอย่างยิ่ง ความตื่นตระหนกพวยพุ่งขึ้นในจิตใจ หากเรื่องในวันนี้วุ่นวายไปถึงต่อหน้าฮูหยิน มารดาของเขาก็คงช่วยเขาไม่ได้เช่นกัน บางทีอาจจะเห็นแก่ไมตรีของนายบ่าวในอดีต ไม่เอาเรื่องที่เขาเคลื่อนย้ายเงินรายได้ของที่ดิน ทว่าเงินห้าพันตำลึงก็คงจะไม่ช่วยเขาคืน ถึงอย่างไรเขาก็ยังคงถึงทางตันเขาชูสามนิ้วกล่าวคำสาบานอย่างหนักแน่น “คุณหนูใหญ่ ข้าน้อยขอสาบาน นับแต่นี้ไปจะภักดีต่อท่าน จะไม่เปลี่ยนใจโดยเด็ดขาด หากข้าน้อยทรยศท่าน ขอให้ถูกฟ้าผ่าขอรับ”เมิ่งจิ่นเหยาไม่สะทกสะเทือน “หากว่าคำสาบานมีประโยชน์ละก็ คาดว่าคงจะมีคนถูกฟ้าผ่าตายทุกวันเป็นแน่” นางพูดจบก็หันไปมองชิงชิวกับหนิงตง “ตอนนี้ก็สายมากแล้ว พวกเราไปกินข้าวกลางวันกันก่อนเถิด” นายบ่าวทั้งสามคนก้าวเท้าเตรียมจะออกไปจากห้องส่วนตัวหลี่เฉิงเห็นดังนั้น ก็ตกอยู่ในความผิดหวังอย่างมากมายในฉับพลัน ภายในใจรู้สึกเสียใจไม่มีที่สิ้นสุด ก่อนหน้านี้เขาไปที่โรงบ่อนเป็นครั้งคราว ทว่าไม่เคยลองพนันมากมายขนาดนั้นมาก่อน ตอนนั้นไม่รู้ว่าอะไรมาดลใจจริง ๆ ถึงได้จมลงไปอย่างถอนตัวไม่ขึ้นอยู่ ๆ ชิงชิวก็กล่าวขึ้นว่า “ฮูหยิน บางท
ใบหน้าของเมิ่งจิ่นเหยาเต็มไปด้วยความสงสัย แววตาปกคลุมไปด้วยความไม่เข้าใจและความสนใจอยู่บางส่วน พลางจับจ้องไปที่หน้าบวมช้ำ และภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของหลี่เฉิงอยู่เป็นเวลานาน สุดท้ายก็พยักหน้า “ช่างเถอะ ถึงอย่างไรวันนี้ข้าก็ไม่มีธุระอื่น จะลองฟังเจ้าพูดไร้สาระดูแล้วกัน คิดเสียว่าฆ่าเวลา”เมื่อได้ฟัง หลี่เฉิงก็ลอบผ่อนลมหายใจ ในตอนนี้นอกเสียจากคุณหนูใหญ่ที่กลายเป็นฮูหยินท่านโหวแล้ว เขาไม่สามารถหาผู้อื่นที่สามารถคืนเงินจำนวนนี้แทนเขาได้แล้วจริง ๆ หากภายในสิบวันนี้ไม่สามารถหาเงินห้าพันตำลึงมาได้ เขาคงถูกทุบตีจนตายเป็นแน่และฮูหยินก็คงจะไม่ช่วยเขาแน่นอน ทว่าคุณหนูใหญ่ที่ทราบสถานการณ์อาจจะช่วยเขาก็เป็นได้ เขาคือคนสนิทของฮูหยิน คุณหนูใหญ่กับฮูหยินมีบุญคุณความแค้นต่อกัน ไม่แน่อาจมีเรื่องจำเป็นที่ต้องใช้เขาก็เป็นได้นี่นา?นี่คือความเชื่อมั่นเพียงอย่างเดียวของเขาหลี่เฉิงนั่งอยู่ตรงที่นั่งด้านหน้าของรถม้า นั่งอยู่ด้านข้างของคนขับ แล้วตามเมิ่งจิ่นเหยาไปที่โรงน้ำชาแห่งหนึ่งเมื่อเข้าไปในห้องส่วนตัว หลังจากที่เมิ่งจิ่นเหยานั่งลงแล้ว ก็มองหลี่เฉิงด้วยความสงบแม้จะอยู่ท่ามกลางเรื่องวุ่นวายก็ตา
เมื่อหลี่เฉิงได้ยินเสียงที่ค่อนข้างคุ้นเคย เงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นว่าเป็นเมิ่งจิ่นเหยา เขาไม่มีเวลาไปสนใจสิ่งอื่นอีกแล้ว คิดแต่เพียงว่าอยากมีชีวิตรอด จึงรีบส่งเสียงขอความช่วยเหลือ “คุณหนูใหญ่ ช่วยข้าน้อยด้วยขอรับ!”เมิ่งจิ่นเหยาจับจ้องเขาอยู่นาน น้ำเสียงลังเล “เจ้าคือบุตรชายของเฉียวหมอมองั้นหรือ?”หลี่เฉิงพยักหน้าซ้ำเเล้วซ้ำเล่า “ใช่ขอรับ คุณหนูใหญ่ช่วยด้วย!”เมิ่งจิ่นเหยาถามด้วยความประหลาดใจ “ผู้ดูแลหลี่ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”ยังไม่ทันได้ที่หลี่เฉิงจะตอบ หัวหน้าอันธพาลก็เหยียดขาแล้วเตะไปที่หลี่เฉิงอย่างแรง จากนั้นก็กล่าวกับเมิ่งจิ่นเหยาว่า “ฮูหยินท่านนี้ นี่คือบ่าวไพร่ในจวนท่านกระนั้นหรือ? จะให้พวกข้าปล่อยเขาไปก็ได้ แต่เขาติดหนี้โรงบ่อนหย่งเซิ่งห้าพันตำลึง ขอเพียงท่านคืนเงินจำนวนนี้แก่พวกข้า พวกข้าก็จะปล่อยคนไปทันที”เมื่อเมิ่งจิ่นเหยาฟังจบ สีหน้าก็ฉายแววประหลาดใจ ราวกับคิดไม่ถึงว่าหลี่เฉิงจะสามารถติดหนี้โรงบ่อนได้ จึงเหลือบมองไปที่หลี่เฉิงอย่างแปลกใจอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็กล่าวกับหัวหน้าผู้นั้นว่า “เขาคือบุตรชายของเฉียวหมอมอ คนสนิทที่หย่งชางป๋อฮูหยินไว้วางใจมากที่สุด ทั้งยังเป
เมื่อกินอาหารเช้าเสร็จ เมิ่งจิ่นเหยาก็พาชิงชิวกับหนิงตงออกไปข้างนอก ขาของนางหายดีแล้ว จึงสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระตอนนี้เข้าสู่วสันตฤดู ได้เวลาเปลี่ยนใส่เสื้อผ้าฤดูร้อนที่บางเบาแล้วเมิ่งจิ่นเหยาคิดถึงเมิ่งเฉิงจางที่กำลังศึกษาร่ำเรียนอยู่ที่สำนักศึกษาหลิงซาน จึงไปที่ร้านตัดเย็บเสื้อผ้า จากนั้นก็ซื้อเสื้อผ้าฤดูร้อนให้เขาสองสามชุดโดยอ้างอิงตามขนาดของเมิ่งเฉิงจางจากนั้นก็ไปที่หอตำรา เลือกสิ่งล้ำค่าทั้งสี่ในหอตำรา [1] ที่คุณภาพดีให้กับเขา ให้กำลังใจเขาในการตั้งใจศึกษาร่ำเรียน ตอนที่กำลังจะเตรียมให้สาวใช้ไปชำระเงินนั้น ก็นึกขึ้นมาได้ว่าซิวเหวินของบ้านใหญ่ก็อยู่ที่สำนักศึกษาเช่นกัน จึงซื้อเพิ่มอีกหนึ่งชุด สุดท้ายก็ไปที่ร้านขายของกินเล่น ซื้อผลไม้เคลือบน้ำตาลกับหมูแผ่นที่ปกติเมิ่งเฉิงจางชอบกิน ให้คนส่งไปให้เขาที่สำนักศึกษาในวันพรุ่งนี้หนิงตงเห็นนางเอาแต่ซื้อของให้กับเมิ่งเฉิงจาง จึงถามอย่างแผ่วเบา “ฮูหยิน เหตุใดท่านไม่ซื้อของให้ตนเองสักหน่อยเล่าเจ้าคะ?”เมิ่งจิ่นเหยาตอบว่า “ข้าอยู่ที่จวนท่านโหวไม่ต้องกังวลเรื่องของกินของใช้ ยามผลัดเปลี่ยนฤดูก็มีช่างเย็บปักมาตัดเย็บเสื้อผ้าให้ ไม
...... เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เมิ่งจิ่นเหยาตื่นขึ้นมาอย่างเนิบช้า บุรุษข้างกายออกไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้แล้วตั้งแต่เช้าตรู่ นางจึงเรียกสาวใช้เข้ามาปรนนิบัติรับใช้ วันนี้นางอารมณ์ดีอย่างเห็นได้ชัด ทั้งชิงชิวและหนิงตงล้วนสัมผัสได้ สาวใช้สองคนหันมาสบตากัน ต่างคนต่างเห็นความงุนงงในแววตาของอีกฝ่าย และในตอนที่กำลังหวีผมแต่งหน้าให้เมิ่งจิ่นเหยา หนิงตงถามขึ้นด้วยความสงสัย “ฮูหยิน วันนี้ท่านดูเหมือนจะมีความสุขยิ่งนักเจ้าค่ะ ไม่รู้ด้วยเหตุผลใดหรือเจ้าคะ?” เมิ่งจิ่นเหยาชะงักไป ก่อนจะย้อนถามกลับทันที “ข้ามีความสุขไม่ได้หรือ?” หนิงตงผงกศีรษะ “ท่านตื่นนอนลงจากเตียงก็ยิ้มไม่หยุด เหมือนกับเจอเรื่องดี ๆ อะไรมาอย่างไรอย่างนั้นเจ้าค่ะ” ได้ยินเช่นนั้น เมิ่งจิ่นเหยาก็ผงะไปอีกครั้ง มองตนเองในคันฉ่องแล้ว ดรุณีน้อยในคันฉ่องเรือนผมดุจเมฆาขนคิ้วโค้งงาม รอยยิ้มเพริศพริ้งสดใส ดูเหมือนจะอารมณ์ดีไม่น้อยทีเดียว นางตอบกลับ “คงจะเป็นเพราะเมื่อวานได้รับเครื่องประดับศีรษะงดงามเลิศล้ำมาชุดหนึ่งกระมัง จิตใจถึงได้เบิกบานมีความสุข” ชิงชิวและหนิงตงชะงักไป นายหญิงของพวกนางได้รับเครื่องประดับศีรษะแล้วหนึ่งชุด ไฉนพวกนา
เขาตอบกลับได้อย่างเด็ดขาดและฉับไว ไร้ซึ่งความลังเล เมิ่งจิ่นเหยาเชื่อมั่นว่าเขาในยามนี้มิได้มีความรู้สึกใดกับคู่หมั้นคนก่อนอีกแล้ว นางชำเลืองสายตามองกู้จิ่งซี ก่อนจะถามอีกครั้ง “ท่านพี่ ท่านคิดว่าจะจัดการกับเครื่องประดับศีรษะชุดนั้นอย่างไรหรือเจ้าคะ?” กู้จิ่งซีตอบกลับด้วยเสียงราบเรียบ “ทิ้งไปแล้ว” เมิ่งจิ่นเหยาอึ้งงัน ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “หยกขาวมันแพะชั้นดีเชียวนะเจ้าคะ ทิ้งไปก็น่าเสียดาย” นางมิได้มีความหมายอื่นใดเป็นพิเศษ แค่รู้สึกว่าหยกเป็นหยกชั้นดีเท่านั้น งานฝีมือก็ประณีตงดงาม และแม่นางสกุลเหมยก็ออกเรือนไปแล้ว นางจะไปถือโทษโกรธเคืองเครื่องประดับศีรษะอันเดียวเพื่ออะไร? นางมิได้สนใจจะสวมใส่สิ่งของที่คนอื่นไม่ต้องการ แต่เก็บมันไว้ใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้มิใช่หรือ จะใช้เป็นรางวัลมอบให้สาวใช้หรืออื่นใดนั่นก็ย่อมได้ มิเช่นนั้นแล้ว จะนำไปแลกเป็นเงินมาบริจาคให้โรงทานก็ย่อมได้ กู้จิ่งซีได้ยินก็ชะงักไปครู่หนึ่ง เห็นแววตาของแม่นางน้อยฉายประกายเสียดายนิด ๆ ออกมา ก็เอ่ยพลางยิ้มบาง ๆ “เช่นนั้นก็เอาไปจำนำที่โรงรับจำนำ เปลี่ยนเป็นเงินมาซื้อเครื่องประดับศีรษะชุดใหม่ให้เด็กน้อยสักคนเป็นการชดเ
ถึงอย่างไรก็ถามมาขนาดนี้แล้ว นางจึงตัดสินใจถามออกไปให้ถึงที่สุดเลยว่า “ท่านพี่อยากมอบให้ดรุณีสกุลใดหรือเจ้าคะ?” กู้จิ่งซีตอบกลับ “สกุลเหมย” สกุลเหมย? เมิ่งจิ่นเหยาเพียงชะงักไปเล็กน้อยเท่านั้น มิได้รู้สึกแปลกใจอะไรมาก คู่หมั้นคนก่อนของกู้จิ่งซีสกุลเหมยเองหรือ นางกับหนิงตงและชิงชิวเคยคาดเดากันมาก่อน รู้สึกว่าเครื่องประดับศีรษะชุดนั้นมีความเป็นไปได้อย่างมากว่าจะเป็นของที่กู้จิ่งซีต้องการมอบให้คู่หมั้นคนก่อน บัดนี้นางได้รับคำตอบที่แท้จริงจากกู้จิ่งซีเองแล้ว แต่ก็จริงนะ ลวดลายดอกเหมย สัญลักษณ์ที่ชัดเจนออกปานนั้น ความจริงไม่จำเป็นต้องเดาเลย เพียงแต่ตอนนั้นพวกนางคิดไม่ถึงก็เท่านั้น กู้จิ่งซีเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “ฮูหยินอย่าได้คิดมากเลย ข้ากับนางมิได้มีอะไรต่อกันแล้ว นางสมรสไปนานแล้ว และตามสามีไปทำงานที่ต่างเมืองแล้ว” “เช่นนั้นแล้วเครื่องประดับศีรษะชุดนี้ ใช่เป็นเพราะท่านพี่อยากจะชดเชยให้ข้า ถึงได้ไปขอจากท่านแม่มา และนำมามอบให้ข้าหรือไม่เจ้าคะ?” เมิ่งจิ่นเหยาพูดจบ ก็ก้มหน้ามองเครื่องประดับศีรษะทองคำบริสุทธิ์ฝังทับทิมที่นอนอยู่ในกล่อง เครื่องประดับศีรษะชุดนี้งดงามดึงดูดสายตายิ่
…ท่านพี่ ท่านเคยมีดรุณีที่เคยเรียกร้องหมายปองแต่มิเคยได้ครอบครองใช่หรือไม่เจ้าคะ? ทันทีที่คำพูดนี้เอ่ยออกจากปาก เมิ่งจิ่นเหยาก็รู้สึกผิดขึ้นมาแล้ว อยากจะหยิบเข็มกับด้ายมาเย็บปากตนเองให้ปิดสนิทไว้ก่อนล่วงหน้า แบบนี้จะได้ไม่ต้องเอ่ยคำพูดไม่เข้าหูออกมา จี้แผลใจของคนอื่นเช่นนั้นช่างขาดคุณธรรมนัก กู้จิ่งซีได้ยินคำพูดนี้ ก็ผงะไปครู่หนึ่ง รู้สึกเพียงแค่ว่าคำถามของแม่นางน้อยฟังดูไร้เหตุผลและยากจะเข้าใจ สายตาชำเลืองมองนางอย่างแปลกประหลาด ก่อนจะตอบกลับอย่างราบเรียบหนึ่งประโยค “ข้าไม่เคยเรียกร้อง” ไม่เคยเรียกร้อง? เมิ่งจิ่นเหยาชะงักงันไปเล็กน้อย ที่ว่าไม่เคยเรียกร้องหมายถึงอะไร? หมายถึงคิดหมายปอง แต่ยังไม่เคยลงมือเรียกร้องอย่างจริงจังอย่างนั้นหรือ ถึงได้บอกว่าไม่เคยเรียกร้อง? นางพลันรู้สึกเสียดายแทนกู้จิ่งซีขึ้นมา บุรุษคนนี้มีความรู้ความสามารถโดดเด่นเลิศล้ำ รูปโฉมหล่อเหลาหมดจด พื้นเพชาติตระกูลก็ดีเลิศ แต่เพราะป่วยเป็นโรคที่บอกผู้อื่นไม่ได้ แม้แต่ดรุณีที่หัวใจรักยังไม่กล้าเรียกร้องครอบครอง สุดท้ายก็พลาดโอกาสไป กู้จิ่งซีถูกสายตาสงสารของนางจ้องมองจนรู้สึกไม่สบายตัว ไม่เข้าใจว่าแม่นางน้
ชิงชิวรับคำ ก่อนจะล่าถอยไปอย่างรวดเร็ว เมิ่งจิ่นเหยายืนขึ้นมา และหมุนตัวกลับไป มองเขาด้วยแววตาเจือความฉงน และถามว่า “ท่านพี่มีเรื่องใดจะคุยกับข้าหรือ?” กู้จิ่งซีสืบเท้าไปด้านหน้า พลางยื่นกล่องไม้จันทน์ในมือให้นาง พร้อมเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน “สิ่งนี้มอบให้ฮูหยิน ฮูหยินดูก่อนว่าชอบหรือไม่ชอบ?” ได้ยินเช่นนั้น เมิ่งจิ่นเหยาเหลือบสายตามองเขาปราดหนึ่งด้วยความงุนงง ก่อนจะยื่นมือไปรับกล่องไม้จันทน์มาด้วยความรู้สึกลังเล แม้จะไม่ได้เปิดกล่องออก แต่รู้สึกได้ว่าของน่าจะมีราคามากทีเดียว ไม่เช่นนั้นคงไม่จำเป็นต้องบรรจุมาในกล่องไม้จันทน์ก็ได้ นางเอ่ยถามออกไป “ท่านพี่ สิ่งนี้คืออะไรหรือ?” “ฮูหยินลองดูก่อน” กู้จิ่งซีบอกเชิงว่าให้นางเปิดกล่องออก เห็นเขาไม่ยอมบอก เมิ่งจิ่นเหยาก็ยิ่งสงสัย ประคองกล่องไม้ไปวางไว้บนโต๊ะด้านข้าง จากนั้นก็เปิดกล่องไม้ออก ครั้นหลุบตาลงมอง สายตาของนางพลันนิ่งไปทันที นางจ้องมองของที่อยู่ด้านในด้วยความตื่นเต้นและงงงัน สิ่งนั้นก็คือเครื่องประดับศีรษะทองคำบริสุทธิ์ฝังทับทิม เครื่องประดับศีรษะชุดนี้มีทั้งสิ้นยี่สิบสามชุด และอัญมณีทุกเม็ดมีขนาดเท่าหัวแม่โป้ง มีลวดลายบุปผาโบต