เมื่อสิ้นเสียง ฝีเท้าของเมิ่งจิ่นเหยาก็หยุดชะงัก พลางหันหน้ากลับไปมองท่านย่า ทั้ง ๆ ที่เมื่อครู่ยังตะโกนให้นางหยุดด้วยความขุ่นเคืองอยู่เลย เวลานี้กลับสงบนิ่งอีกครั้ง แววตาอ่อนโยนก็จริง การขอร้องผู้อื่นก็ควรต้องมีท่าทีขอร้อง นับว่ามีไหวพริบยิ่งนัก หากเป็นเมื่อก่อน คงหลุดปากด่าว่านางอกตัญญู ด่าว่านางไร้หัวใจ ด่าว่านางไม่คำนึงถึงสกุลไปแล้วนางยิ้มพลางถาม “ท่านย่ายังมีธุระอันใดอีกหรือเจ้าคะ?”ฮูหยินผู้เฒ่าเมิ่งหายใจเข้าลึก ๆ ระงับความเดือดดาลที่อยู่ภายในก้นบึ้งของจิตใจ พยายามรักษาความอบอุ่นที่อยู่ในน้ำเสียงอย่างเต็มที่ “อาเหยา เฉิงซิงเป็นน้องชายแท้ ๆ ของเจ้า”เมิ่งจิ่นเหยาพยักหน้าเบา ๆ “ข้ารู้เจ้าค่ะ แล้วอย่างไรเล่าเจ้าคะ?”ฮูหยินผู้เฒ่าเมิ่งใช้ใจแลกใจ ใช้เหตุผลแลกเหตุผล “อาเหยา ย่ารู้ว่าเจ้าขุ่นเคืองที่มารดาของเจ้าก้าวก่ายเรื่องสินเดิมของมารดาผู้ให้กำเนิดเจ้า ทว่าน้องสามของเจ้าเป็นผู้บริสุทธิ์ ถึงเจ้าจะโกรธมารดาเจ้าเพียงไร ก็ไม่ควรคิดแค้นน้องสามของเจ้าไปด้วย”สำนักศึกษาหลิงซานเป็นสำนักศึกษาที่บรรดาบัณฑิตในใต้หล้าแห่แหนกันไป เมื่อเข้าไปที่สำนักศึกษาหลิงซานแล้ว ก็จะเข้าใกล้จิ้นซื่อ
เมื่อได้ยินคำว่าเฉิงอวี่สองคำ สีหน้าของเมิ่งจิ่นเหยาก็หยุดชะงัก มือที่อยู่ในแขนเสื้อกำไว้แน่น เล็บมือทั้งหมดจิกเข้าไปในเนื้อของฝ่ามือ แต่กลับยังไม่ปล่อย มองไปที่นางซุนด้วยสายตาที่น่ากลัว พลางยิ้มอย่างเย้ยหยัน “เฉิงอวี่ตายได้เช่นไร ไม่มีผู้ใดเข้าใจชัดเจนไปกว่าเมิ่งฮูหยินอีกแล้วเจ้าค่ะ”ใบหน้าของนางซุนซีดเผือดเล็กน้อย ครู่ต่อมาก็ก้มหน้าแอบร้องไห้ พลางกล่าวอย่างสะอึกสะอื้น “อาเหยา สินเดิมของมารดาผู้ให้กำเนิดเจ้า ข้าได้คืนเจ้าไปแล้ว เจ้ายังต้องการอันใดอีก? ความตายของเฉิงอวี่เป็นปัญหาของเจ้า ทุกคนเห็นประจักษ์แก่สายตาของตนเอง ตอนนี้เจ้าจะสาดโคลนใส่ผู้อื่น ผลักความรับผิดชอบมาให้ข้ากระนั้นหรือ? ตอนนั้นท่านแม่ให้เจ้าไปที่โถงพระเพื่อขจัดพลังงานชั่วร้าย เจ้าก็ร้องไห้โวยวายไม่ไป เป็นข้าที่ร้องขอความเมตตาให้เจ้า”เมิ่งจิ่นเหยามองดูการเสแสร้งแกล้งทำเป็นตีหน้าซื่อของนาง ดวงตามืดมนจนไม่อาจคาดเดา กล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “เมิ่งฮูหยิน หวังว่าภายภาคหน้าท่านจะยังสามารถกล่าวคำพูดนี้ออกมาได้อย่างมั่นใจอยู่นะ”ท่าทางแสร้งเช็ดน้ำตาของนางซุนชะงักเล็กน้อยเมิ่งตงหย่วนเห็นภรรยาเช็ดน้ำตาอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ ก
เมื่อออกมาจากโถงหรงฝู เมิ่งจิ่นเหยาก็หายใจเข้าลึก ๆ ไม่ได้หยุดชะงักแม้เพียงชั่วครู่ ก้าวเท้าเดินจากมาอย่างรวดเร็ว ลอดผ่านประตูรูปพระจันทร์ ก็พบกับเด็กหนุ่มที่เดินมาด้วยท่าทางรีบร้อน เมื่อเด็กหนุ่มเห็นนาง ก็รีบเดินเข้ามาถาม “พี่หญิงใหญ่ พวกเขาไม่ได้ทำให้ท่านลำบากใจใช่หรือไม่?”เมิ่งจิ่นเหยาส่ายศีรษะอย่างแผ่วเบา “ข้าไม่เป็นไร พวกเขาทำอันใดข้าไม่ได้หรอก”นางกล่าวจบ ก็มองไปที่เมิ่งเฉิงจางอย่างครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ พลางกล่าวอีกว่า “น้องรอง เจ้ากลับไปเก็บของในเรือนสักหน่อย แล้วตามข้ากลับไปที่จวนฉางซินโหว”เมิ่งเฉิงจางไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด จึงมองนางอย่างมึนงงเมิ่งจิ่นเหยามองไปรอบ ๆ เมื่อเห็นว่ารอบด้านไม่มีผู้ใด ก็อธิบายด้วยเสียงแผ่วเบา “เมิ่งเฉิงซิงเข้าเรียนที่สำนักศึกษาหลิงซานไม่ได้ วันนี้พวกเขาเล่นลูกไม้ให้ข้ากลับมา ก็เพื่อเรื่องการเรียนของเมิ่งเฉิงซิง กันไว้ดีกว่าแก้ เจ้ากลับไปที่จวนจางซินโหวกับข้าก่อนเถิด”หากไม่มีเหตุการณ์อย่างในวันนี้ นางก็คงไม่เป็นกังวล ทว่าเมื่อมีเรื่องดังเช่นเมื่อครู่แล้ว นางไม่คิดมากไม่ได้ บุตรชายแท้ ๆ ของนางซุนไม่สามารถไปร่ำเรียนที่สำนักศึกษาหลิงซานได้ ทว่าน้อง
เขาถามแผ่วเบา “พี่หญิงใหญ่ เกิดเรื่องอันใดขึ้นตอนอยู่ที่โถงหรงฝูงั้นหรือ?”เมิ่งจิ่นเหยาส่ายศีรษะ “ไม่มีอันใด เพียงแต่คิดเรื่องบางอย่างได้เท่านั้น” เมื่อเห็นเขายังคิดจะถามต่อ จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “น้องรอง ตอนนี้ยังเช้าเกินไป เจ้ายังขาดเหลือสิ่งของอันใดหรือไม่? พวกเราจะได้ไปซื้อกันตอนนี้เลย”เมิ่งเฉิงจางคิดอยู่ชั่วครู่ “พี่หญิงใหญ่ ข้าไม่ขาดเหลืออันใดขอรับ”เมิ่งจิ่นเหยายิ้มพลางพยักหน้า “อืม หากว่าขาดเหลือสิ่งใด ถึงเวลานั้นเจ้าค่อยไปซื้ออีกก็ได้ หรือหากว่าเจ้านึกขึ้นได้ว่าขาดเหลือสิ่งใด พวกเราค่อยไปซื้อพรุ่งนี้”เมิ่งเฉิงจางรับคำ พลางมองนาง มีหลายครั้งที่อยากพูดแต่ไม่ได้พูดออกมา สุดท้ายก็มองเห็นชิงชิวส่ายหน้าเล็กน้อยมาทางเขา จึงได้ล้มเลิกไม่ถามต่อผ่านไปไม่นาน ฮูหยินผู้เฒ่าเมิ่งและคนอื่น ๆ ก็รู้ว่าเมิ่งจิ่นเหยาพาเมิ่งเฉิงจางไปด้วย ทว่าเมื่อได้ฟังที่พ่อบ้านพูด ฮูหยินผู้เฒ่าเมิ่งกับเมิ่งตงหย่วนต่างก็ไม่ได้คิดอะไรมาก สกุลเมิ่งมีเพียงเด็กที่เป็นลูกอนุผู้นี้ที่สามารถพูดคุยกับเมิ่งจิ่นเหยาได้ พี่น้องทั้งสองคนมีความสัมพันธ์อันดี ภายภาคหน้ายังสามารถหาผลประโยชน์เล็ก ๆ น้อย ๆ ผ่านทางเฉิงจาง
ภายในห้อง เมิ่งจิ่นเหยาค่อย ๆ คลายกำปั้นที่กำไว้ตลอดเวลาออกฝ่ามือที่ขาวละมุนทั้งสองข้างมีรอยรูปพระจันทร์เสี้ยวสีชมพูอ่อนหลายรอยประทับอยู่รอยประทับปรากฏออกมาเป็นสีแดงเข้ม เป็นสีของเลือดที่แข็งตัว เล็บมือต่างเปื้อนคราบเลือดที่แข็งตัว เห็นได้ว่านางใช้แรงมากมายเพียงใด ถึงสามารถใช้เล็บมือทำให้ตนเองบาดเจ็บได้เมิ่งจิ่นเหยาหรี่ตาลงมองอย่างเฉยชาอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็เบนสายตาออกไปอันที่จริงเจ็บอยู่หรอก ทว่าความรู้สึกเจ็บปวดทำให้นางรู้สึกสบายใจขึ้นนางมีน้องชายทั้งหมดสามคน น้องสามเฉิงซิงเป็นบุตรของนางซุน เฉิงอวี่กับเฉิงจางเป็นฝาแฝดที่นางตู้สาวใช้ต้นห้องเป็นผู้ให้กำเนิดตอนที่นางตู้ตั้งครรภ์ฝาแฝด บอกว่าฝันเห็นตนเองให้กำเนิดบุตรสาวที่น่ารักสองคน บ่าวไพร่ในจวนก็บอกว่าดูจากท้องของนางตู้ ก็รู้สึกว่าเป็นเด็กผู้หญิงสองคนเพราะเหตุนี้ ท่านพ่อจึงไม่ได้คาดหวังกับเด็กที่อยู่ในครรภ์ของนางตู้มากนัก ถึงอย่างไรก็มีบุตรสาวสองคนอย่างนางกับเมิ่งจิ่นอวี้อยู่แล้ว จึงคิดแต่เพียงอยากได้บุตรชายมาสืบเชื้อสายวงศ์ตระกูลเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่ได้ยกนางตู้ที่มีความเป็นไปได้สูงว่าจะตั้งครรภ์เป็นฝาแฝดสตรีขึ้นเป็นอน
เมื่อได้ยินมารดาเลี้ยงที่อ่อนโยนและใจดีกล่าวคำพูดเช่นนี้ออกมา นางรู้สึกแต่เพียงว่าเลือดในกายจับตัวเป็นก้อน สมองว่างเปล่าไปหมด ทั่วทั้งร่างสั่นเทา อยากจะพุ่งออกไปถามนางซุนว่าเหตุใดจึงทำเช่นนี้ สุดท้ายก็มีสติขึ้นมาในยามคับขัน คิดได้ว่าตนเองยังเป็นเด็ก ผู้ใดจะเชื่อคำพูดของนางกัน?ดังนั้น ตอนนั้นนางจึงอดกลั้นเอาไว้ เดินจากไปราวกับซากศพที่เดินได้ แล้วบอกเรื่องนี้กับท่านปู่ ทว่าท่านปู่ที่นอนเจ็บป่วยอยู่บนเตียงมาเป็นเวลานาน ลมหายใจแผ่วเบาไม่มีเรี่ยวแรงจะมาจัดการเรื่องพวกนี้อีกแล้วท่านปู่บอกกับนางว่า “อาเหยาเด็กดี ไม่ร้องไห้ ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องนี้อีกแล้ว เจ้าก็คิดเสียว่าไม่เคยได้ยินพวกนางคุยกันมาก่อน”นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่านปู่ถึงไม่ทวงความยุติธรรมให้น้องชาย จึงถามอย่างไม่เข้าใจ “ท่านปู่ไม่อยากช่วยน้องชายจับคนไม่ดีหรือเจ้าคะ?”ดวงตาทั้งสองข้างของท่านปู่ขุ่นมัว มืดมนไม่สว่างไสว นัยน์ตาเต็มไปด้วยน้ำตา พลางกล่าวด้วยเสียงสะอื้น “ปู่แก่แล้ว ไล่ตามคนชั่วไม่ทัน จับไม่ได้แล้ว อาเหยายังเด็ก เอาชนะคนชั่วไม่ได้หรอก พวกเราปล่อยให้คนชั่วได้ใจไปสักพัก ดีหรือไม่?”นางพยักเหมือนจะเข้าใจแต่ไม่เข้าใจ “
กู้จิ่งซีกลับมาจากเข้าเฝ้าในท้องพระโรง ก็มองเห็นเมิ่งจิ่นเหยากำลังนั่งอยู่เงียบ ๆ ภายในห้องเพียงลำพัง ดวงตาไร้ชีวิตชีวา ราวกับหุ่นบอบบางที่ไม่มีวิญญาณเขาตะลึงงัน ไม่เคยเห็นเมิ่งจิ่นเหยาที่เป็นเช่นนี้มาก่อนอันที่จริงแล้วนิสัยของแม่นางน้อยผู้นี้ช่างขัดแย้งกันยิ่งนัก ดูเหมือนมีเกียรติและมีคุณธรรม ทว่าจริง ๆ แล้วสร้างความปั่นป่วนอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าการมีปากเสียงกับซิวหมิงเป็นพฤติกรรมที่เป็นเด็กยิ่งนัก แต่แม่นางน้อยก็สนุกและไม่เคยเบื่อกับมันทว่าแม่นางน้อยที่สร้างความวุ่นวายถึงเพียงนี้ กลับสุขุมเมื่อเผชิญกับปัญหา ถึงแม้ว่าคู่หมั้นจะหนีตามผู้อื่นไปในวันวิวาห์ ก็ยังไม่ตื่นตกใจ หาสามีใหม่ให้ตนเองอีกครั้งได้อย่างเข้มแข็งและเยือกเย็นแม่นางน้อยที่อายุเพียงสิบหกปี มีจิตใจที่หนักแน่นเช่นนี้ช่างหาได้ยากยิ่งนักเดิมทีเขาคิดว่าไม่มีเรื่องอันใดที่สามารถทำลายแม่นางน้อยผู้นี้ได้ คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้เห็นท่าทางจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวของแม่นางน้อย ดูเหมือนว่าจะเกิดเรื่องร้ายแรงยิ่งกว่าการที่คู่หมั้นหนีตามผู้อื่นไปในวันแต่งงานหลายเท่านักกู้จิ่งซียืนมองอยู่ที่เดิมอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็ก้าวเ
ยามที่บุรุษดูแลใครสักคนท่าทางอ่อนโยน พิถีพิถัน การเคลื่อนไหวชำนิชำนาญ ราวกับเคยทำมาแล้วหลายครั้งหลายคราเมิ่งจิ่นเหยาดูเหมือนจะมองเห็นเงาร่างของท่านปู่ผ่านกู้จิ่งซีได้อย่างเลือนราง ท่านปู่ตามใจเพียงแค่นางเท่านั้น ไม่เพียงแต่ตัดแต่งเล็บให้นาง ยังมัดผมเป็นเปียเล็ก ๆ สองข้างให้นาง และเล่านิทานให้นางฟังด้วยกู้จิ่งซีในเวลานี้ดูคล้ายกับท่านปู่อยู่บ้าง แต่กลับไม่ใช่ท่านปู่ เขาอ่อนโยน ส่วนท่านปู่คือความรักและเมตตาเมิ่งจิ่นเหยาอยากรู้ “ก่อนหน้านี้ท่านพี่เคยดูแลเด็กอยู่บ่อยครั้งหรือเจ้าคะ?”เด็กที่นางพูด หมายถึงกู้ซิวหมิงการเคลื่อนไหวของกู้จิ่งซีหยุดชะงักไปชั่วครู่ มองดูนางพลางยิ้มแล้วกล่าวว่า “เปล่าหรอก นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าดูแลเด็ก โชคดีที่เด็กว่านอนสอนง่าย ไม่ก่อกวนเท่าใดนัก มิเช่นนั้นข้าคงดูแลไม่ไหว” เมื่อเมิ่งจิ่นเหยาได้ฟัง ก็ก้มหน้าลงไม่มองเขา ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่สบายใจ พลางกล่าวเสียงแผ่วเบา “ท่านพี่เป็นท่านโหว จะมาดูแลผู้อื่นได้อย่างไรกัน? ให้สาวใช้มาทำให้ก็พอแล้วเจ้าค่ะ”กู้จิ่งซียิ้มมุมปาก กล่าวตามเหตุตามผล “หากว่าเจ้าอยากให้สาวใช้มาดูแล จะอยู่ภายในห้องเพียงลำพังได้อย่างไร
แต่โดยรวมแล้ว หลานสาวคนโตก็ไม่ใช่คนเลวร้ายจนไม่อาจให้อภัยได้ นอกจากรังแกเซวียนหลิงแล้ว ก็ไม่เคยเป็นฝ่ายทำร้ายใคร เพียงแต่คนเป็นบิดามารดาไม่ได้อบรมสั่งสอนให้ดี เลยเลี้ยงเด็กดีในทางที่ผิด หากต่อไปไม่พบเจอกับเรื่องอะไร นิสัยนี้เกรงว่าจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้วหลังจากนั้น ฮูหยินผู้เฒ่ากู้ก็ชักสายตากลับ และกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “เซวียนอี๋ เซวียนหลิงกลับไปก่อนเถอะ”ทันทีที่กู้เซวียนอี๋กับกู้เซวียนหลิงได้ยิน ก็รู้ว่าเหล่าอาวุโสมีเรื่องต้องพูดคุยกัน จึงตอบรับอย่างเชื่อฟัง และออกจากโถงโซ่วอันไปหลังจากนั้น ฮูหยินผู้เฒ่ากู้ก็ไล่สาวใช้ที่ปรนนิบัติให้ออกไป จึงเหลือเพียงเฝิงหมอมอ รวมทั้งลูกสะใภ้อีกสามคนเท่านั้นนางจางอดสงสัยไม่ได้ จึงถาม “ท่านแม่ ท่านมีเรื่องสำคัญอะไรจะปรึกษากับพวกเราหรือเจ้าคะ?”ฮูหยินผู้เฒ่ากู้กล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน “สะใภ้ใหญ่ สะใภ้รอง เซวียนอี๋กับเซวียนหลิงเด็กทั้งสองถึงวัยปักปิ่น และถึงวัยที่จะพูดคุยเรื่องแต่งงานได้แล้ว พวกเจ้าเป็นมารดามีบุคคลที่ถูกใจหรือยัง?”เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ นางเฉินก็รีบกล่าวทันที “ท่านแม่ เรื่องงานแต่งของเซวียนหลิง ปีนี้ลูกสะใภ้ให้ความสำคัญอยู่ตลอด
ยามดึกสงัด ผู้คนกำลังพักผ่อน เมิ่งจิ่นเหยานอนอยู่บนเตียง เตียงของฤดูร้อนเปลี่ยนเป็นเสื่อหยก เสื่อหยกไม่ได้ทำจากหยก แต่เป็นเสื่อเย็นที่ทำมาจากไม้ไผ่ สามารถลดอุณหภูมิได้ ฤดูร้อนนอนอยู่บนนั้นจะรู้สึกสบายเล็กน้อย หน้าต่างก็เปิดเอาไว้ ลมฤดูร้อนพัดเข้ามาจะได้ขับไล่ความร้อน และภายในห้องไม่ต้องวางกระจกน้ำแข็งก็ไม่รู้สึกร้อนเช่นกันสบโอกาสตอนที่กู้จิ่งซีไปอาบน้ำยังไม่กลับมา เมิ่งจิ่นเหยาคิดสักพัก จึงขยับตัวนอนยังตำแหน่งของกู้จิ่งซี ถึงอย่างไรกู้จิ่งซีก็ยังไม่กลับมา นางถูตัวกับความเย็น ทำให้รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นและความเย็นของเสื่อหยกที่แพร่กระจายออกมา นางสบายตัวจึงหรี่ตาขี้นมาผ่านไปไม่นาน กู้จิ่งซีกลับมา พบว่าแม่นางน้อยที่อยู่บนเตียงหลับไปแล้ว แถมยังนอนอยู่ตรงตำแหน่งของเขาอีกด้วยแม่นางน้อยสวมเสื้อเสื้อผ้าไหมตัวบาง แม้แต่เสื้อด้านในเป็นสีอะไรล้วนสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนเขาเห็นแล้ว ก็ละสายตาด้วยสีหน้าที่อึดอัด แต่สุดท้ายกลับไม่กล้าหยิบผ้าห่มไปคลุมให้แม่นางน้อย เพราะครั้งก่อนคลุมให้แล้ว กลับทำให้แม่นางน้อยร้อนจนตื่น แถมยังโกรธและโทษที่เขารบกวนการนอนหลับอีกพวกเขาเป็นสามีภรรยาที่ต้องใช
เมิ่งจิ่นเหยามองนางด้วยความตกใจ เมื่อเห็นใบหน้านางมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น และราวกับมีความแค้นอะไรกับกู้ซิวหมิง จึงสับสนเล็กน้อย “เจ้าดูเหมือนดีใจมากเมื่อเห็นเขาโชคร้าย?”ท่านหญิงจิ้งหนิงเชิดริมฝีปาก ด้วยสีหน้าที่ดูแคลน “ข้าก็แค่ไม่ชอบขี้หน้าเขา ชอบทำท่าวางมาดทั้งวัน ดูเหมือนจะเป็นคนดี แต่จริง ๆ แล้วกลับเป็นสุภาพบุรุษจอมปลอม คนอื่นกลับบอกว่าเขาสุภาพอ่อนโยน และมีท่าทางแบบท่านโหว”เมิ่งจิ่นเหยาตกใจ “อาเหยียนสายตาเฉียบคมมาก”ท่านหญิงจิ้งหนิงยิ้มอย่างเขินอาย “ก็พอได้ แต่เพราะข้าเคยเห็นด้านที่ไม่ดีของเขา จึงรู้สึกว่าเขาแตกต่างกับพฤติกรรมที่แสดงออกมาอย่างมาก”ขณะที่นางพูด ก็ดื่มน้ำเชื่อมอีกหนึ่งอึก น้ำเชื่อมที่เย็นหอมหวานเข้าไปในปาก ทำให้รู้สึกสดชื่นไปทั่วทั้งตัว และกล่าวอีกว่า “อย่าเพิ่งกล่าวถึงเขาเลย ดื่มตอนที่มันยังเย็น อีกเดี๋ยวมันร้อนคาดว่าจะไม่อร่อยมากแล้ว”หลังดื่มน้ำเชื่อม ท่านหญิงจิ้งหนิงก็อยู่อีกกว่าครึ่งชั่วยามจึงจะกลับจวนเหลียงอ๋อง ......กู้จิ่งซีเลิกงานกลับมาเมิ่งจิ่นเหยาเห็นเขา ก็เรียกเขาด้วยเสียงอ่อนโยน “ท่านพี่”จากนั้น นางก็สั่งให้หนิงตงยกน้ำเชื่อมลิ้นจี่
เวลาเที่ยง ท่านหญิงจิ้งหนิงยังอยู่ที่จวนท่านโหว กินอาหารกลางวันด้วยกันกับเมิ่งจิ่นเหยาเมื่อกินอาหารกลางวันเสร็จแล้ว เมิ่งจิ่นเหยาก็ได้กำชับสาวใช้ให้ทำลิ้นจี่แห้วเย็นในน้ำเชื่อม เมื่อทำเสร็จแล้วก็ส่งไปให้บ้านใหญ่กับบ้านรองสักหน่อยลิ้นจี่ทำให้ร้อนในได้ ทว่าแห้วแก้ร้อนใน ทำน้ำเชื่อมให้อร่อยหวานสดชื่น แช่เย็นก็ยิ่งดี เมื่อกินลงไปทำให้เย็นสดชื่นและหอมหวาน ทั้งยังสามารถดับร้อนได้ด้วย เหมาะที่จะดื่มสิ่งนี้ตอนอากาศร้อนยิ่งนักท่านหญิงจิ้งหนิงดื่มไปหนึ่งคำก็ส่งเสียงถอนหายใจออกมาอย่างสบายใจ “ไม่เลวเลยจริง ๆ ทำไมก่อนหน้านี้ข้าจึงคิดไม่ถึงว่าควรเอามันมาทำเป็นน้ำเชื่อมนะ?”เมิ่งจิ่นเหยาตอบกลับ “อยู่ ๆ ข้าก็เพิ่งนึกได้เช่นเดียวกัน”“ก่อนหน้านี้เจ้ากินลิ้นจี่เช่นนี้ตลอดเลยหรือ?” ท่านหญิงจิ้งหนิงเหลือบมองนางอย่างประหลาดใจ แล้วพยักหน้าอีกครั้ง “เป็นเจ้าที่เข้าใจเสพสุข เช่นนี้อร่อยมากทีเดียว”เมิ่งจิ่นเหยาส่ายศีรษะ ตอบกลับด้วยเสียงอ่อนโยน “ไม่ใช่ ก่อนหน้านี้ไม่เคยกิน เพียงแค่ฉุกคิดขึ้นมาได้จึงอยากลองทำดูเท่านั้น ตอนที่ท่านปู่ยังมีชีวิตอยู่ ข้าเคยกินลิ้นจี่ครั้งเดียว หลังจากนั้นก็เมื่อวานซืนกับเม
ท่านหญิงจิ้งหนิงเห็นนางมองดูลิ้นจี่อย่างตะลึงงัน ไม่รู้ว่าเพราะเหตุอันใด จึงกล่าวอย่างไม่ได้สนใจว่า “เจ้าบอกว่าชอบมิใช่หรือ? ข้าได้รับมาจากเสด็จย่าเมื่อวานตอนบ่าย ให้เจ้าทั้งหมดเลย”เมิ่งจิ่นเหยาตกตะลึงเล็กน้อย มิน่าเล่าเมื่อวานนางกินอาหารกลางวันเสร็จแล้วจึงรีบร้อนจากไป ที่แท้ก็เข้าไปในวังนี่เอง ไปหาไทเฮาเพื่อขอลิ้นจี่มาให้นาง ดูแล้วลิ้นจี่นี้น่าจะสักสี่ห้าชั่งได้ ฝ่าบาทพระราชทานให้แก่ขุนนางเพียงแค่หนึ่งชั่งกว่าเท่านั้น สี่ห้าชั่งนี้ช่างล้ำค่ายิ่งนักเมิ่งจิ่นเหยาจ้องมองไปที่สาวน้อยที่อยู่ตรงหน้าอย่างตกอยู่ในภวังค์ หัวใจถูกปกคลุมไปด้วยไออุ่น ภายในใจรู้สึกอบอุ่นนัก จึงถามด้วยเสียงอ่อนโยน “อาเหยียน ให้ข้าหมดแล้ว เจ้ากินอันใด?”ท่านหญิงจิ้งหนิงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจนัก “ข้ากินทุกปี ปีนี้กินไปหลายลูกแล้ว กินจนหายอยาก ตอนนี้ไม่ได้สนใจเท่าใดแล้ว พอดีเจ้าชื่นชอบ จึงเอามามอบให้เจ้า”เมิ่งจิ่นเหยาเม้มริมฝีปาก “ขอบใจมากนะอาเหยียน”ท่านหญิงจิ้งหนิงยิ้มอย่างขัดเขิน “ไม่ต้องเกรงใจ ก่อนที่ข้าจะนำมา ได้ใช้น้ำแข็งรักษาความสดไว้ด้วย เจ้าให้คนไปเอาน้ำแข็งมาสักหน่อย มิเช่นนั้นอากาศร้อนแล้ว มันจะเสียได้ง
ถือโอกาสที่ตอนนี้แสงอาทิตย์ยังไม่แรงเกินไป เมิ่งจิ่นเหยาพาท่านหญิงจิ้งหนิงไปเดินเล่นภายในจวนเพียงแต่ ดูเหมือนกับท่านหญิงจิ้งหนิงจะคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมภายในจวน จึงรู้ว่าด้านใดมีสะพาน ด้านใดมีศาลา และริมสระน้ำด้านใดเย็นมากกว่ากันเมิ่งจิ่นเหยาประหลาดใจเล็กน้อย “อาเหยียน ดูเหมือนว่าเจ้าจะคุ้นเคยกับจวนท่านโหวอยู่บ้าง”ท่านหญิงจิ้งหนิงตอบตามความจริง “ข้ามาที่จวนฉางซินโหวหลายครั้งแล้ว ตอนที่จัดงานเลี้ยงวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่า ดังนั้นจึงคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมภายในจวนอยู่บ้าง” นางกล่าว แล้วหันไปมองเมิ่งจิ่นเหยา “ใช่แล้ว ตอนที่เจ้าแต่งงาน ข้าก็อยู่ด้วย ข้ามาดื่มสุรามงคลกับท่านแม่”เมิ่งจิ่นเหยาเข้าใจ “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง”ท่านหญิงจิ้งหนิงกล่าวอีกว่า “วันนี้ข้ามาอย่างหุนหันพลันแล่นเช่นนี้ ยังไม่ได้ไปเยี่ยมคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเลย”มาเป็นแขกที่เรือนของผู้อื่น ไปทักทายผู้อาวุโสเสียหน่อย เป็นมารยาทพื้นฐานเมิ่งจิ่นเหยากล่าวตอบ “เช่นนั้นเจ้าก็มาผิดจังหวะแล้วละ เมื่อวานแม่สามีของข้าไปพักอยู่ที่วัดเป็นการชั่วคราว คาดว่าอีกสองสามวันถึงจะกลับมา”ท่านหญิงจิ้งหนิงก็ไม่ได้แปลกใจ เพียงแค่พยักหน
กู้จิ่งซีมองใบหน้าที่หลับใหลอย่างสงบของแม่นางน้อย ท่าทางไร้การป้องกันแม้แต่น้อย ทันใดนั้นเขาก็เริ่มรู้สึกว่าตนเองคิดมากเกินไป เดิมทีพวกเขาก็เป็นสามีภรรยากัน ทำตามใจชอบบ้างก็ไม่เป็นไร ระมัดระวังตัวมากเกินไปกลับไม่เหมือนสามีภรรยากันเสียด้วยซ้ำ แม่นางน้อยคิดที่จะใช้ชีวิตร่วมกันกับเขาตลอดไปจริง ๆ ถึงได้เป็นเช่นนี้……วันต่อมาเมิ่งจิ่นเหยาเพิ่งจะกินข้าวเช้าเสร็จได้ไม่นาน กำลังเตรียมตัวไปอ่านหนังสือเพื่อฆ่าเวลาเสียหน่อย ก็มีสาวใช้เข้ามารายงานว่าท่านหญิงจิ้งหนิงมาที่นี่นางตะลึงเล็กน้อย รู้สึกจับต้นจนปลายไม่ถูกนิดหน่อย ไม่รู้ว่าอยู่ ๆ ท่านหญิงจิ้งหนิงมาหานางทำไม จึงรีบกำชับว่า “รีบไปเชิญท่านหญิงจิ้งหนิงเข้ามาเร็วเข้า”ผ่านไปไม่นาน สาวใช้ก็พาท่านหญิงจิ้งหนิงมาที่เรือนเวยหรุยเซวียนเมื่อเมิ่งจิ่นเหยามองเห็นท่านหญิงจิ้งหนิง ก็มองสำรวจอย่างละเอียด เห็นนางดูท่าทางสบายดี และก็ดูไม่ได้มีเรื่องอันใดเช่นกันเมื่อเห็นดังนั้น ท่านหญิงจิ้งหนิงก็ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ น้ำเสียงแฝงไปด้วยความสงสัย “นั่นมันสายตาอันใดของเจ้า? ไม่ยินดีต้อนรับข้ากระนั้นหรือ?”เมิ่งจิ่นเหยาเกรงว่านางจะเข้าใจผิด จึงรีบส่าย
เมิ่งจิ่นเหยาลอบมองเขาด้วยสายตาแปลกประหลาด กล่าวคำพูดที่ทำให้ผู้อื่นตกใจไม่หยุด “หรือว่าวันที่อากาศร้อนเช่นนี้ ยังจะให้ข้าปิดไว้อย่างมิดชิดเหมือนตอนฤดูหนาวอีกหรือเจ้าคะ? ในเมื่อท่านใส่ใจกับความเป็นสุภาพบุรุษของตนเอง ไยถึงไม่คิดที่จะปกป้องตัวเองบ้างเล่า? บางทีข้าอาจจะทำอันใดท่านก็ได้นะเจ้าคะ?”นางขมวดคิ้วเล็กน้อย น้ำเสียงแฝงไปด้วยความขุ่นเคือง กำลังโมโหกู้จิ่งซีที่รบกวนการนอนของนาง อยู่ดีไม่ว่าดีมาห่มผ้าห่มให้นาง สุดท้ายทำให้นางร้อนจนตื่น ตอนนี้อยากนอนก็นอนไม่หลับแล้วเพียงแต่คำพูดที่นางพูดเมื่อครู่ล้วนเป็นความจริงทั้งหมด ไม่ต้องพูดว่ากู้จิ่งซีทำไม่ได้ ไม่สามารถที่จะทำอันใดนางได้ แม้ว่ากู้จิ่งซีจะทำได้ นางก็ไม่มีทางปฏิเสธ ถึงอย่างไรตอนนี้ก็เป็นสามีภรรยากันแล้วร่วมเรียงเคียงหมอนมานานถึงเพียงนี้ นับจากนี้ต้องใช้ชีวิตที่เหลือร่วมกัน เพียงแค่นอนหลับเท่านั้นเอง ยังต้องยึดติดว่าสวมเสื้อผ้าหนาพอหรือไม่? เดิมทีฤดูร้อนก็ไม่เหมาะที่จะสวมใส่เสื้อผ้าที่หนาอยู่แล้ว จะอึดอัดและทำให้ป่วยเอาได้เพราะคำพูดนี้ของนาง ในเวลานี้บรรยากาศจึงได้แข็งค้าง กู้จิ่งซีตะลึงงัน การเคลื่อนไหวของพัดก็หยุดชะงักลง ห
เคยลิ้มรสชาติของชีวิตที่ขื่นขม พอตอนนี้กำลังมีชีวิตที่ดี กินดีอยู่ดี ยังมีอันใดที่ต้องพิถีพิถันกัน? ตอนนี้เป็นแบบนี้ นางก็พึงพอใจมากแล้วเมื่อกินอาหารเย็นเสร็จ เมิ่งจิ่นเหยาก็เคลื่อนไหวเล็กน้อยอยู่ภายในเรือนเพื่อย่อยอาหาร หลังจากนั้นก็อาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมตัวพักผ่อนว่ากันว่า สามีภรรยาอยู่ร่วมกันมานาน ก็จะยิ่งปลดปล่อยมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ระมัดระวังตัวมากเกินไปเหมือนตอนที่แต่งงานกันใหม่ ๆกู้จิ่งซีรู้สึกว่าคำพูดนี้สมเหตุสมผล ทว่าคนที่ปลดปล่อยไม่ใช่เขา แต่เป็นแม่นางน้อยต่างหาก ตอนที่เพิ่งแต่งงานกันยังระมัดระวังตัว นอนหลับอย่างสงบเสงี่ยม เกรงว่าจะสัมผัสร่างกายของเขาโดยไม่ทันได้ระวังน่าจะเป็นเพราะทุกวันนี้ เขาไม่ได้ทำอันใดที่เกินเลย แม่นางน้อยจึงยิ่งปฏิบัติต่อเขาอย่างวางใจหรือจะบอกว่า แม่นางน้อยไม่ได้มองว่าเขาเป็นบุรุษก็ได้เหมือนดังเช่นตอนนี้ เขาเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ กลับมาที่ห้องนอน ก็มองเห็นแม่นางน้อยกำลังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง เพราะว่าชอบอากาศหนาว จึงไม่ได้ห่มผ้าห่ม สวมเพียงชุดนอนที่บางเบาเท่านั้น ผ้าที่ทำจากไหมนั้นบางเบามาก ถึงขนาดสามารถมองเห็นชุดซับในสีชมพูรากบัวที่อยู่