เมื่อออกมาจากโถงหรงฝู เมิ่งจิ่นเหยาก็หายใจเข้าลึก ๆ ไม่ได้หยุดชะงักแม้เพียงชั่วครู่ ก้าวเท้าเดินจากมาอย่างรวดเร็ว ลอดผ่านประตูรูปพระจันทร์ ก็พบกับเด็กหนุ่มที่เดินมาด้วยท่าทางรีบร้อน เมื่อเด็กหนุ่มเห็นนาง ก็รีบเดินเข้ามาถาม “พี่หญิงใหญ่ พวกเขาไม่ได้ทำให้ท่านลำบากใจใช่หรือไม่?”เมิ่งจิ่นเหยาส่ายศีรษะอย่างแผ่วเบา “ข้าไม่เป็นไร พวกเขาทำอันใดข้าไม่ได้หรอก”นางกล่าวจบ ก็มองไปที่เมิ่งเฉิงจางอย่างครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ พลางกล่าวอีกว่า “น้องรอง เจ้ากลับไปเก็บของในเรือนสักหน่อย แล้วตามข้ากลับไปที่จวนฉางซินโหว”เมิ่งเฉิงจางไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด จึงมองนางอย่างมึนงงเมิ่งจิ่นเหยามองไปรอบ ๆ เมื่อเห็นว่ารอบด้านไม่มีผู้ใด ก็อธิบายด้วยเสียงแผ่วเบา “เมิ่งเฉิงซิงเข้าเรียนที่สำนักศึกษาหลิงซานไม่ได้ วันนี้พวกเขาเล่นลูกไม้ให้ข้ากลับมา ก็เพื่อเรื่องการเรียนของเมิ่งเฉิงซิง กันไว้ดีกว่าแก้ เจ้ากลับไปที่จวนจางซินโหวกับข้าก่อนเถิด”หากไม่มีเหตุการณ์อย่างในวันนี้ นางก็คงไม่เป็นกังวล ทว่าเมื่อมีเรื่องดังเช่นเมื่อครู่แล้ว นางไม่คิดมากไม่ได้ บุตรชายแท้ ๆ ของนางซุนไม่สามารถไปร่ำเรียนที่สำนักศึกษาหลิงซานได้ ทว่าน้อง
เขาถามแผ่วเบา “พี่หญิงใหญ่ เกิดเรื่องอันใดขึ้นตอนอยู่ที่โถงหรงฝูงั้นหรือ?”เมิ่งจิ่นเหยาส่ายศีรษะ “ไม่มีอันใด เพียงแต่คิดเรื่องบางอย่างได้เท่านั้น” เมื่อเห็นเขายังคิดจะถามต่อ จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “น้องรอง ตอนนี้ยังเช้าเกินไป เจ้ายังขาดเหลือสิ่งของอันใดหรือไม่? พวกเราจะได้ไปซื้อกันตอนนี้เลย”เมิ่งเฉิงจางคิดอยู่ชั่วครู่ “พี่หญิงใหญ่ ข้าไม่ขาดเหลืออันใดขอรับ”เมิ่งจิ่นเหยายิ้มพลางพยักหน้า “อืม หากว่าขาดเหลือสิ่งใด ถึงเวลานั้นเจ้าค่อยไปซื้ออีกก็ได้ หรือหากว่าเจ้านึกขึ้นได้ว่าขาดเหลือสิ่งใด พวกเราค่อยไปซื้อพรุ่งนี้”เมิ่งเฉิงจางรับคำ พลางมองนาง มีหลายครั้งที่อยากพูดแต่ไม่ได้พูดออกมา สุดท้ายก็มองเห็นชิงชิวส่ายหน้าเล็กน้อยมาทางเขา จึงได้ล้มเลิกไม่ถามต่อผ่านไปไม่นาน ฮูหยินผู้เฒ่าเมิ่งและคนอื่น ๆ ก็รู้ว่าเมิ่งจิ่นเหยาพาเมิ่งเฉิงจางไปด้วย ทว่าเมื่อได้ฟังที่พ่อบ้านพูด ฮูหยินผู้เฒ่าเมิ่งกับเมิ่งตงหย่วนต่างก็ไม่ได้คิดอะไรมาก สกุลเมิ่งมีเพียงเด็กที่เป็นลูกอนุผู้นี้ที่สามารถพูดคุยกับเมิ่งจิ่นเหยาได้ พี่น้องทั้งสองคนมีความสัมพันธ์อันดี ภายภาคหน้ายังสามารถหาผลประโยชน์เล็ก ๆ น้อย ๆ ผ่านทางเฉิงจาง
ภายในห้อง เมิ่งจิ่นเหยาค่อย ๆ คลายกำปั้นที่กำไว้ตลอดเวลาออกฝ่ามือที่ขาวละมุนทั้งสองข้างมีรอยรูปพระจันทร์เสี้ยวสีชมพูอ่อนหลายรอยประทับอยู่รอยประทับปรากฏออกมาเป็นสีแดงเข้ม เป็นสีของเลือดที่แข็งตัว เล็บมือต่างเปื้อนคราบเลือดที่แข็งตัว เห็นได้ว่านางใช้แรงมากมายเพียงใด ถึงสามารถใช้เล็บมือทำให้ตนเองบาดเจ็บได้เมิ่งจิ่นเหยาหรี่ตาลงมองอย่างเฉยชาอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็เบนสายตาออกไปอันที่จริงเจ็บอยู่หรอก ทว่าความรู้สึกเจ็บปวดทำให้นางรู้สึกสบายใจขึ้นนางมีน้องชายทั้งหมดสามคน น้องสามเฉิงซิงเป็นบุตรของนางซุน เฉิงอวี่กับเฉิงจางเป็นฝาแฝดที่นางตู้สาวใช้ต้นห้องเป็นผู้ให้กำเนิดตอนที่นางตู้ตั้งครรภ์ฝาแฝด บอกว่าฝันเห็นตนเองให้กำเนิดบุตรสาวที่น่ารักสองคน บ่าวไพร่ในจวนก็บอกว่าดูจากท้องของนางตู้ ก็รู้สึกว่าเป็นเด็กผู้หญิงสองคนเพราะเหตุนี้ ท่านพ่อจึงไม่ได้คาดหวังกับเด็กที่อยู่ในครรภ์ของนางตู้มากนัก ถึงอย่างไรก็มีบุตรสาวสองคนอย่างนางกับเมิ่งจิ่นอวี้อยู่แล้ว จึงคิดแต่เพียงอยากได้บุตรชายมาสืบเชื้อสายวงศ์ตระกูลเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่ได้ยกนางตู้ที่มีความเป็นไปได้สูงว่าจะตั้งครรภ์เป็นฝาแฝดสตรีขึ้นเป็นอน
เมื่อได้ยินมารดาเลี้ยงที่อ่อนโยนและใจดีกล่าวคำพูดเช่นนี้ออกมา นางรู้สึกแต่เพียงว่าเลือดในกายจับตัวเป็นก้อน สมองว่างเปล่าไปหมด ทั่วทั้งร่างสั่นเทา อยากจะพุ่งออกไปถามนางซุนว่าเหตุใดจึงทำเช่นนี้ สุดท้ายก็มีสติขึ้นมาในยามคับขัน คิดได้ว่าตนเองยังเป็นเด็ก ผู้ใดจะเชื่อคำพูดของนางกัน?ดังนั้น ตอนนั้นนางจึงอดกลั้นเอาไว้ เดินจากไปราวกับซากศพที่เดินได้ แล้วบอกเรื่องนี้กับท่านปู่ ทว่าท่านปู่ที่นอนเจ็บป่วยอยู่บนเตียงมาเป็นเวลานาน ลมหายใจแผ่วเบาไม่มีเรี่ยวแรงจะมาจัดการเรื่องพวกนี้อีกแล้วท่านปู่บอกกับนางว่า “อาเหยาเด็กดี ไม่ร้องไห้ ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องนี้อีกแล้ว เจ้าก็คิดเสียว่าไม่เคยได้ยินพวกนางคุยกันมาก่อน”นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่านปู่ถึงไม่ทวงความยุติธรรมให้น้องชาย จึงถามอย่างไม่เข้าใจ “ท่านปู่ไม่อยากช่วยน้องชายจับคนไม่ดีหรือเจ้าคะ?”ดวงตาทั้งสองข้างของท่านปู่ขุ่นมัว มืดมนไม่สว่างไสว นัยน์ตาเต็มไปด้วยน้ำตา พลางกล่าวด้วยเสียงสะอื้น “ปู่แก่แล้ว ไล่ตามคนชั่วไม่ทัน จับไม่ได้แล้ว อาเหยายังเด็ก เอาชนะคนชั่วไม่ได้หรอก พวกเราปล่อยให้คนชั่วได้ใจไปสักพัก ดีหรือไม่?”นางพยักเหมือนจะเข้าใจแต่ไม่เข้าใจ “
กู้จิ่งซีกลับมาจากเข้าเฝ้าในท้องพระโรง ก็มองเห็นเมิ่งจิ่นเหยากำลังนั่งอยู่เงียบ ๆ ภายในห้องเพียงลำพัง ดวงตาไร้ชีวิตชีวา ราวกับหุ่นบอบบางที่ไม่มีวิญญาณเขาตะลึงงัน ไม่เคยเห็นเมิ่งจิ่นเหยาที่เป็นเช่นนี้มาก่อนอันที่จริงแล้วนิสัยของแม่นางน้อยผู้นี้ช่างขัดแย้งกันยิ่งนัก ดูเหมือนมีเกียรติและมีคุณธรรม ทว่าจริง ๆ แล้วสร้างความปั่นป่วนอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าการมีปากเสียงกับซิวหมิงเป็นพฤติกรรมที่เป็นเด็กยิ่งนัก แต่แม่นางน้อยก็สนุกและไม่เคยเบื่อกับมันทว่าแม่นางน้อยที่สร้างความวุ่นวายถึงเพียงนี้ กลับสุขุมเมื่อเผชิญกับปัญหา ถึงแม้ว่าคู่หมั้นจะหนีตามผู้อื่นไปในวันวิวาห์ ก็ยังไม่ตื่นตกใจ หาสามีใหม่ให้ตนเองอีกครั้งได้อย่างเข้มแข็งและเยือกเย็นแม่นางน้อยที่อายุเพียงสิบหกปี มีจิตใจที่หนักแน่นเช่นนี้ช่างหาได้ยากยิ่งนักเดิมทีเขาคิดว่าไม่มีเรื่องอันใดที่สามารถทำลายแม่นางน้อยผู้นี้ได้ คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้เห็นท่าทางจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวของแม่นางน้อย ดูเหมือนว่าจะเกิดเรื่องร้ายแรงยิ่งกว่าการที่คู่หมั้นหนีตามผู้อื่นไปในวันแต่งงานหลายเท่านักกู้จิ่งซียืนมองอยู่ที่เดิมอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็ก้าวเ
ยามที่บุรุษดูแลใครสักคนท่าทางอ่อนโยน พิถีพิถัน การเคลื่อนไหวชำนิชำนาญ ราวกับเคยทำมาแล้วหลายครั้งหลายคราเมิ่งจิ่นเหยาดูเหมือนจะมองเห็นเงาร่างของท่านปู่ผ่านกู้จิ่งซีได้อย่างเลือนราง ท่านปู่ตามใจเพียงแค่นางเท่านั้น ไม่เพียงแต่ตัดแต่งเล็บให้นาง ยังมัดผมเป็นเปียเล็ก ๆ สองข้างให้นาง และเล่านิทานให้นางฟังด้วยกู้จิ่งซีในเวลานี้ดูคล้ายกับท่านปู่อยู่บ้าง แต่กลับไม่ใช่ท่านปู่ เขาอ่อนโยน ส่วนท่านปู่คือความรักและเมตตาเมิ่งจิ่นเหยาอยากรู้ “ก่อนหน้านี้ท่านพี่เคยดูแลเด็กอยู่บ่อยครั้งหรือเจ้าคะ?”เด็กที่นางพูด หมายถึงกู้ซิวหมิงการเคลื่อนไหวของกู้จิ่งซีหยุดชะงักไปชั่วครู่ มองดูนางพลางยิ้มแล้วกล่าวว่า “เปล่าหรอก นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าดูแลเด็ก โชคดีที่เด็กว่านอนสอนง่าย ไม่ก่อกวนเท่าใดนัก มิเช่นนั้นข้าคงดูแลไม่ไหว” เมื่อเมิ่งจิ่นเหยาได้ฟัง ก็ก้มหน้าลงไม่มองเขา ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่สบายใจ พลางกล่าวเสียงแผ่วเบา “ท่านพี่เป็นท่านโหว จะมาดูแลผู้อื่นได้อย่างไรกัน? ให้สาวใช้มาทำให้ก็พอแล้วเจ้าค่ะ”กู้จิ่งซียิ้มมุมปาก กล่าวตามเหตุตามผล “หากว่าเจ้าอยากให้สาวใช้มาดูแล จะอยู่ภายในห้องเพียงลำพังได้อย่างไร
แม่นางน้อยนั่งอย่างงงงัน ก็ไม่รู้ว่าภายในใจกำลังคิดอะไรอยู่ ทว่าอารมณ์ค่อนข้างมั่นคงกู้จิ่งซีถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ฮูหยิน ตอนนี้สามารถบอกได้แล้วหรือไม่?”บอกอันใดเจ้าคะ?เมิ่งจิ่นเหยาเงยหน้ามองเขาอย่างไม่เข้าใจเหตุผลกู้จิ่งซีตอบกลับไปว่า “บอกว่าวันนี้เจ้าไปที่ไหนและทำอันใดมาบ้าง?”เมิ่งจิ่นเหยาก้มศีรษะลง เงียบงันไปชั่วครู่แล้วตอบด้วยเสียงแผ่วเบา “กลับไปบ้านมารดามาเจ้าค่ะ”มีคับข้องใจปกคลุมอยู่ในน้ำเสียง รวมถึงความเกลียดชังที่ยากจะดูออกสีหน้าของกู้จิ่งซีชะงักไปชั่วครู่ ดูเหมือนแม่นางน้อยจะไม่เคยรู้สึกน้อยใจเพราะเรื่องของบ้านมารดามาก่อน เพราะว่าไม่ใส่ใจ ดังนั้นจิตใจจึงสงบนิ่งดังสายน้ำ จากนั้นจึงถามต่อว่า “เหตุใดอยู่ ๆ ถึงได้กลับไปบ้านมารดาเล่า?”เมิ่งจิ่นเหยาตอบตามความจริง “พ่อบ้านบอกว่าท่านย่าล้มป่วย จึงกลับไปดูสักหน่อยเจ้าคะ คิดไม่ถึงว่าจะทำเพื่อเรื่องอื่น น้องรองผ่านการประเมินของสำนักศึกษาหลิงซาน และใกล้จะได้ไปร่ำเรียนที่สำนักศึกษาหลิงซาน เมิ่งเฉิงซิงกลับไม่ผ่านการประเมิน พวกท่านย่าของข้ารู้ว่าท่านกับหัวหน้าสำนักศึกษาหลิงซานเป็นสหายต่างวัยกัน จึงให้ข้ามาพูดกับท่าน ให้ไปห
นางตอบคำถามที่กู้จิ่งซีถามมาก่อนหน้านี้ “ถูกกระทำเจ้าคะ”เมื่อกล่าวจบ น้ำเสียงของนางก็สะอื้นเล็กน้อย พลางกล่าวต่อว่า “ตอนนั้นไม่มีคนบังคับข้า เป็นเพียงความผิดพลาดที่ให้เกิดขึ้นเท่านั้น ข้าถึงได้รู้ว่าตนเองตกหลุมพรางโดยไม่ได้เตรียมตัวป้องกันเลยแม้แต่น้อย อยากจะแก้ไขแต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว”กู้จิ่งซีตอบกลับ “ผู้ที่ไม่รู้ย่อมไม่มีความผิด นั่นมิใช่ความผิดของเจ้า เป็นความผิดของผู้ที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมด”“มิใช่งั้นหรือเจ้าคะ?”เมิ่งจิ่นเหยากระซิบแผ่วเบา แววตาว่างเปล่า ท่าทางเหม่อลอยเล็กน้อย เมื่อนึกถึงร่างเย็นยะเยียบเล็ก ๆ ที่นอนอยู่ภายในโลงศพ ในใจของนางก็บีบรัดจนเจ็บขึ้นมา เดิมทีเฉิงอวี่ไม่จำเป็นต้องตาย“ต้องไม่ใช่อยู่แล้ว”กู้จิ่งซีให้คำตอบยืนยัน เมื่อเห็นนางจมอยู่ในความโศกเศร้า โทษตนเองและรู้สึกผิด เกลียดชังอย่างถึงที่สุด ก็สามารถคาดเดาได้ว่าคนผู้นั้นจะต้องสำคัญกับนางมากเป็นแน่ จึงถามนางต่อ “มิสู้ฮูหยินลองบอกกับข้าก่อนสักหน่อยได้หรือไม่ ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?”เมิ่งจิ่นเหยาเงยหน้ามองบุรุษที่อยู่อยู่ตรงหน้า คิดในใจว่าผู้ที่ชอบธรรมและน่าเกรงขามเช่นเสนาบดีกู้คงไม่แพร่เรื่องนี้อ
กู้จิ่งซีค่อนข้างประหลาดใจ “เจ้าใช้วิธีใด ถึงทำให้เขารับสารภาพเร็วขนาดนั้น?”ฉีอวิ้นเหวินหยักไหล่ หัวเราะพลางกล่าว “นั่นไม่ใช่ความดีความชอบของข้า เมื่อวานมีแม่นางคนหนึ่งมาพบเขา ไม่รู้พูดอะไร เขาก็รับสารภาพแล้ว”เมื่อได้ยิน กู้จิ่งซีก็ขมวดคิ้วแน่น และสัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติบางอย่าง “แม่นางผู้นั้นรู้ได้อย่างไรว่าเขาถูกจับตัว?”ฉีอวิ้นเหวินเหลือบมองเขาด้วยสายตาแปลก ๆ และถามกลับว่า “โจรขโมยหญิงงามที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ และชั่วร้ายถูกจับตัวได้แล้ว เป็นเรื่องที่ใหญ่มาก เมื่อคืนข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวงแล้ว หรือว่าเจ้าไม่รู้หรือ? ก็จริง น้องสะใภ้ป่วยแล้ว เจ้าไม่มีกระจิตกระใจจะสนใจเรื่องอื่นก็ปกติ”กู้จิ่งซีปรากฏสายตาที่รู้ทันออกมาฉีอวิ้นเหวินกล่าวอีกว่า “ข้าเห็นแม่นางผู้นั้นแต่งกายเป็นสาวชาวยุทธจักร ซึ่งน่าจะเป็นชาวยุทธจักร และคาดว่าจะมีความเกี่ยวข้องอะไรกับเขา แต่ว่าเรื่องนี้ไม่สำคัญมากนัก เพราะตอนนี้ไขคดีได้ก็พอแล้ว”......จวนฉางซินโหวกู้ซิวหมิงมาคารวะยามเช้าให้เมิ่งจิ่นเหยา เขามาสายก้าวหนึ่ง กู้จิ่งซีเพิ่งออกไป เขาก็เพิ่งจะมาถึงนับตั้งแต่การกักบริเวณสิ้นสุดลง ตราบใดที
เมิ่งจิ่นเหยาก็ไม่ปิดบัง และเล่าเรื่องที่พบหญิงวัยกลางคนในวัดหลินอวิ๋นเมื่อวานตอนบ่ายให้ฟังรอบหนึ่งพูดถึงช่วงสุดท้าย นางก็หัวเราะออกมาเบา ๆ “สวรรค์มีตาจริง ๆ จู่ ๆ ข้าก็ฉุกคิดอยากจะไปจุดธูปให้ท่านแม่ที่โถงหว่างเซิงของวัดหลิงอวิ๋น จึงได้พบอดีตบ่าวรับใช้ของท่านแม่ ท่านป้าท่านนั้นป่วยหนักมาก และเหลือเวลาไม่มากแล้ว หากเมื่อวานข้าไม่ได้ไปเจอนางที่วัดหลิงอวิ๋น ความลับนั้นคาดว่าข้าจะไม่มีทางรู้ไปตลอดกาลเจ้าค่ะ”กู้จิ้งซีสีหน้ามืดมนลง พลางละอายใจต่อวิธีที่พ่อตานั้นทำอย่างมาก แม้จะแต่งงานตามคำสั่งของบิดามารดาและการจับคู่ของแม่สื่อ พลางไม่มีความรักระหว่างชายหญิงต่อแม่ยายเขา จะปิดบังความจริงเพราะรู้สึกผิดก็ช่าง ยังปล่อยให้มารดาและแม่เลี้ยงปฏิบัติต่อบุตรสาวที่บริสุทธิ์อย่างรุนแรงอีกเขาเห็นแม่นางน้อยที่โกรธแค้นผสมปนเปกัน ก็ตบหลังมือของแม่นางน้อยเหมือนจะปลอบใจ และกล่าวอย่างเป็นนัยว่า “ฮูหยิน วิญญาณของแม่ยายที่อยู่บนสวรรค์จะไม่ปล่อยพวกเขาไปแน่”เมื่อได้ยิน สีหน้าของเมิ่งจิ่นเหยาก็ชะงักไป พลางสบตาเข้ากับสายตาที่มีความหมายลึกซึ้งของเขา ก็เข้าใจความหมายของเขา และยกรอยยิ้มที่อันตรายขึ้น “จริงด้วย
เมิ่งจิ่นเหยาถามเสียงเบาว่า “ท่านหมอ เป็นอย่างไรบ้าง?”หมอประจำจวนเก็บนิ้วมือทั้งสามข้อที่อยู่บนแขนของเมิ่งจิ่นเหยากลับลงไป พลางตอบกลับ “ฮูหยิน ท่านมีปมในใจจนเกิดอาการซึมเศร้า แถมยังได้รับความเย็นเกินไปอีก จึงทำให้จู่ ๆ ก็ไข้ขึ้นสูง และจำเป็นต้องใช้ยาคลายเครียดเสียหน่อยก็จะดีขึ้นขอรับ”เมิ่งจิ่นเหยาพยักหน้า “รบกวนท่านหมอแล้ว”“ไม่รบกวนขอรับ” หมอประจำจวนรีบส่ายหน้า และกล่าวอีกว่า “แต่ว่า ฮูหยินร่างกายอ่อนแอ ควรจะบำรุงร่างกายให้ดีตั้งแต่ยังสาวถึงจะได้นะขอรับ”มิ่งจิ่นเหยาฟังจบ ก็ไม่แปลกใจแม้แต่น้อย เพราะนางรู้มาโดยตลอดว่าตนเองร่างกายอ่อนแอ เจ็บป่วยง่าย โดยเฉพาะช่วงที่อากาศเย็น หากไม่ระวังนิดหน่อยก็จะเป็นหวัด เมื่อก่อนตอนอยู่บ้านมารดา นางไม่มีความพร้อมที่จะดูแลตนเอง ตอนนี้อยู่บ้านสามี นางใส่ใจเรื่องการกินมากขึ้น และได้ดื่มน้ำแกงบำรุงร่างกายอยู่เป็นประจำ ช่วงนี้นางจึงรู้สึกดีมาก สีหน้าก็ดูดีขึ้นแล้วนางกล่าวเสียงอ่อนโยน “ปกติข้าก็ดูแลตนเองอยู่แล้ว รบกวนท่านหมอจัดยาคลายเครียดให้ข้าก็พอ”หมอประจำจวนฟังจบ ก็จ่ายยาคลายเครียดให้นาง และให้สาวใช้ตามเขาไปเอายากลับมาต้มหลังหมอประจำจวนจากไป
บนรถม้าชิงชิวกับหนิงตงที่แทบไม่ได้นอนทั้งคืนนั่งพิงกัน และเผลอหลับไปเมิ่งจิ่นเหยาหายป่วยได้ไม่นาน ยังรู้สึกมึนศีรษะ คนทั้งคนก็หมดเรี่ยวแรง จึงเอนหลังพิงผนังรถม้าและหลับตาพักสมองทันใดนั้น รถม้าก็สั่นสะเทือน ท้ายทอยของนางกระแทกเล็กน้อย จึงรีบนั่งตัวตรง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ศีรษะกระแทกอีกกู้จิ่งซีเห็นแม่นางน้อยขมวดคิ้ว พยายามฝืนให้มีชีวิตชีวาขึ้น นั่งตัวหลังตรง ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงยื่นมือโอบนางเข้ามาในอ้อมแขน และให้นางพิงหน้าอกของตนเอง เมื่อสบตาเข้ากับสายตาที่ตกใจของนาง ก็กล่าวด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “หากฮูหยิน อ่อนเพลีย ก็พิงข้าแล้วนอนเสียเถอะ”ตอนนี้เมิ่งจิ่นเหยารู้สึกทั้งตัวไม่มีแรง ศีรษะยังมึน ๆ อยู่ จึงไม่เกรงใจเขา และพิงอยู่บนตัวเขาด้วยความสบายใจอย่าดูถูกแม้กู้จิ่งซีดูจะตัวไม่ใหญ่มาก แต่หน้าอกกว้างใหญ่ พิงอยู่บนตัวเขาอบอุ่นสบายตัว แถมได้กลิ่นดอกกล้วยไม้ที่หอมละมุนจากตัวของเขา ก็รู้สึกสบายใจอย่างอธิบายไม่ถูก แต่กลับไม่มีอาการง่วงเลยบางทีเพราะถูกผู้ชายกอดไว้ในอ้อมแขนเช่นนี้ เลยรู้สึกไม่คุ้นชินหรืออาจเป็นเพราะได้ยินเสียงหัวใจของเขาเต้นตึกตักอยู่ข้างหู มันดังก้องอยู่ที่หู
ท่าทางที่ดูป่วยเช่นนี้ ดูน่าเป็นห่วงยิ่งนักคนที่มีไข้ขึ้นสูง ไม่ควรห่มผ้าจนอบอ้าว ไม่เช่นนั้นอาการป่วยจะแย่ลง เขาจึงเปิดผ้าห่มบางออกให้แม่นางน้อยผ่านไปไม่นาน หนิงตงก็ยกอ่างน้ำอุ่นมาด้วยความรีบร้อน โชคดีที่วัดหลิงอวิ๋นมีคนเข้ามาสักการะอย่างเนืองแน่น ปกติจะมีผู้แสวงบุญมาค้างคืน และมีผู้แสวงบุญจำนวนไม่น้อยที่มาจากครอบครัวร่ำรวย ดังนั้นเพื่อความสะดวกสบายของแขก ตอนกลางคืนภายในวัดก็มีกักเก็บน้ำร้อนไว้หนิงตงวางอ่างทองแดง พลางถาม “ท่านโหว น้ำอุ่นยกเข้ามาแล้ว ต้องทำอย่างไรหรือเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีตอบกลับ “เช็ดหน้าผาก คอ รักแร้ และแขนขาให้ฮูหยินเพื่อระบายความร้อน”หนิงตงตอบรับ ยกอ่างทองแดงมาข้างหน้าทันที พลางวางอ่างน้ำไว้บนเก้าอี้ที่อยู่หน้าเตียง และเตรียมจะถอดเสื้อผ้าให้นายหญิง ก็มองไปทางกู้จิ่งซีโดยไม่รู้ตัว พบว่าเขาหันหลังให้พวกนาง นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างโต๊ะน้ำชาเมื่อเห็นดังนั้น หนิงตงก็ตกตะลึงเล็กน้อย และแอบพูดในใจว่า ท่านโหวเป็นสุภาพบุรุษจริง ๆ แม้จะเป็นสามีภรรยากับฮูหยิน ก็ไม่ได้ฉวยโอกาสเอาเปรียบหนิงตงไม่คิดอะไรมาก ก็ถอดเสื้อผ้าให้เมิ่งจิ่นเหยาด้วยความเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว และเช็ดตั
ในวินาทีนั้น เมิ่งจิ่นเหยาทำจิตใจให้สงบ ก้มหน้าลงมอง เห็นว่าบาดแผลที่มือซ้ายใช้ผ้าพันแผลพันไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อมองเพียงแวบแรกดูท่าทางเหมือนว่าบาดเจ็บสาหัส จึงกล่าวออกมาอย่างอดไม่ได้ว่า “ตอนนี้เลือดไม่ซึมออกมาแล้ว อันที่จริงไม่พันแผลก็ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”กู้จิ่งซีเหลือบมองนาง พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ถึงแม้ไม่ใช่บาดแผลสาหัส แต่หากไม่พันแผล เมื่อชนหรือกระแทกเข้าโดยไม่ระวังแล้วเลือดไหลออกมาอีก ไม่เป็นผลดีต่อการฟื้นตัว โดยเฉพาะบาดแผลที่ข้อศอก เนื้อผ้าเสียดสีก็อาจเจ็บได้เช่นกัน”เมิ่งจิ่นเหยาตะลึงเล็กน้อย แล้วพยักหน้าในทันทีหลังจากนั้นไม่นาน นางก็ถูกมือของกู้จิ่งซีดึงดูดความสนใจไป มือคู่นั้นเรียวยาวและขาวสะอาด ข้อต่อชัดเจน ราวกับหยกขาวที่แกะสลักอย่างประณีต ดูแล้วสบายตาสบายใจนักเมื่อหลุดออกจากความคิด นางก็ใจลอยอีกครั้งผ่านไปเป็นเวลานาน กู้จิ่งซีช่วยนางพันแผลจนเสร็จ และปล่อยมือของนาง เมื่อเห็นว่ามือขวาของนางยังยกอยู่ ก็กล่าวว่า “ฮูหยิน เสร็จแล้ว”แต่เมิ่งจิ่นเหยาดูเหมือนจะไม่ได้ยินคำพูดของเขา เขาจึงเรียกอีกครั้ง “ฮูหยิน?”เวลานี้ เมิ่งจิ่นเหยาถึงค่อย ๆ ได้สติกลับมา และพบกับส
เขากำลังเตรียมจะปลอบโยนนางสักหลายประโยค ทำให้อารมณ์ของแม่นางน้อยสงบลง แล้วค่อยถามให้ชัดเจนอีกครั้งว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่ ทว่าเวลานี้ หนิงตงได้ยกอ่างน้ำสะอาดเข้ามา เขาจึงกลืนคำพูดที่ติดอยู่ตรงริมฝีปากกลับเข้าไปหนิงตงนำอ่างน้ำมาวางไว้บนโต๊ะ ถามด้วยน้ำเสียงนอบน้อมว่า “นายท่าน ให้ใช้น้ำในอ่างเช่นไรเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีกล่าวกำชับ “ไปหาผ้าสะอาด ๆ มา”หนิงตงรับคำ ไม่นานก็หาผ้าเช็ดหน้าสะอาดที่อยู่ในสัมภาระมาหนึ่งผืน ผ้านี้เตรียมไว้สำหรับให้นายหญิงของนางใช้ล้างหน้ากู้จิ่งซีเหลือบมองไปที่แม่นางน้อย ลังเลอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็รับผ้าเช็ดหน้ามา กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ข้าคนเดียวก็พอแล้ว เจ้าออกไปก่อนเถิด”หนิงตงเหลือบมองนายหญิง เมื่อเห็นว่านายหญิงไม่ได้เอ่ยปากบอกให้นางอยู่ต่อ ก็รับคำแล้วถอยออกไปกู้จิ่งซีกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “มาล้างบาดแผลสักหน่อย ตอนที่เจ้าล้มลงไปเนื้อหนังถลอก แล้วบาดแผลก็เปื้อนฝุ่นด้วย”เมื่อได้ฟังดังนั้น เมิ่งจิ่นเหยาไม่ได้ลังเล ลุกขึ้นแล้วเดินมากู้จิ่งซีดึงมือของนาง ช่วยนางทำความสะอาดบาดแผลที่ฝ่ามือด้วยท่าทีที่อ่อนโยนเมื่อบาดแผลสัมผัสกับน้ำ เมิ่งจิ่นเหยาเจ็บปวดเส
กู้จิ่งซีจับจ้องนางอย่างไม่วางตา พลางถามด้วยเสียงอ่อนโยน “ฮูหยิน วันนี้เกิดเรื่องอันใดขึ้นงั้นหรือ?”เมื่อได้ฟังดังนั้น ใบหน้าของเมิ่งจิ่นเหยาก็เต็มไปด้วยความงุนงง พลางถามกลับไปว่า“เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ท่านพี่ก็เห็นหมดแล้วมิใช่หรือเจ้าคะ?”นางกล้าพูดได้เลยว่า นางโตถึงเพียงนี้แล้ว ยังไม่เคยเจอเรื่องที่ตื่นเต้นระทึกขวัญเช่นนี้มาก่อน เพียงชั่วพริบตาเดียวที่รอดพ้นจากความตาย ชีวิตนี้ไม่คิดจะพบเจออีกเป็นครั้งที่สองกู้จิ่งซีเห็นสีหน้าของนางงุนงง ไม่ได้จงใจแสร้งทำเป็นฟังไม่เข้าใจ จึงสัมผัสที่ฝ่ามือของนางอย่างแผ่วเบา พลางถามต่อว่า “เกิดอันใดขึ้นกับมือนี้ของเจ้า? ล้มลงไม่สามารถเกิดบาดแผลเช่นนี้ได้”เมิ่งจิ่นเหยาตกตะลึงไปชั่วขณะ ก้มหน้ามองฝ่ามือของตนเอง บนฝ่ามือยังมีผลงานชิ้นเอกของตนเองเมื่อบ่ายอยู่ เมื่อคิดถึงเรื่องที่พบกับสตรีวัยกลางคนผู้นั้นขึ้นมาได้ ดวงตาของนางก็หม่นลงในฉับพลัน และอยากจะกำมือของตนเองแน่นอีกครั้งโดยไม่รู้ตัวกู้จิ่งซีที่สายตาเฉียบคมและมือไว รีบกุมมือทั้งสองข้างของนางไว้แน่น ขัดขวางการกระทำของนาง เล็บของนางจะได้ไม่บาดบาดแผลและมีเลือดไหลซึมออกมาอีกเล็บของแม่นางน้อยไ
เมื่อกู้จิ่งซีได้ฟังก็รู้สึกใจอ่อน พลางกล่าวอย่างอ่อนโยน “ให้ข้าดูหน่อย” เมื่อกล่าวจบ เขาก็ยอบกายลง ยกชายกระโปรงของนางขึ้น เตรียมจะดูอาการบาดเจ็บของนาง เมิ่งจิ่นเหยาสีหน้าชะงักค้าง กำลังจะเอ่ยปากขัดขวาง ทว่าเมื่อกลับมาคิดดูอีกทีแล้ว ต่างก็เป็นสามีภรรยาที่นอนหลับอยู่บนเตียงเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องรักษาขอบเขตระหว่างชายหญิงอันใดหลังจากกู้จิ่งซียกชายกระโปรงของนางขึ้นแล้ว มือหนึ่งก็จับไปที่ข้อเท้าขวาของนาง ส่วนอีกข้างม้วนขากางเกงของนางขึ้น เมื่อม้วนขากางเกงไปจนถึงเหนือหัวเข่า ก็จะเห็นได้ว่าตรงหัวเข่าที่ถูกกระแทกตอนล้ม เป็นรอยฟกช้ำไปเรียบร้อยแล้ว ทว่าไม่ได้ร้ายแรงนักกู้จิ่งซีเห็นว่าบาดแผลไม่หนักมาก จึงวางขานางลง แล้วไปดูบาดแผลที่ข้อศอกของนางนางล้มลงไปข้างหน้า บาดแผลตรงข้อศอกจึงชัดเจนมากนัก เสื้อผ้าในฤดูร้อนจะค่อนข้างบางเบา เสื้อผ้าบริเวณข้อศอกล้วนมีร่องรอยขีดข่วนอย่างชัดเจนพอพับแขนเสื้อของนาง ก็เผยให้เห็นแขนที่ขาวราวกับหิมะ เมื่อพลิกข้อศอกก็สามารถมองเห็นได้ว่าผิวหนังถลอกและมีเลือดออกที่แขนทั้งสองข้างของนาง ผิวหนังโดยรอบบวมแดงเล็กน้อย บาดแผลนี้เมื่ออยู่บนมือที่เดิมทีขาวสะอาดไร้ที่ติรา