ร้านฉาหรานตอนที่เมิ่งจิ่นเหยาไปถึงห้องส่วนตัว ซ่งซินหนิงก็รออยู่ด้านในแล้วซ่งซินหนิงเทน้ำชาถ้วยหนึ่งให้นางทันที พลางยิ้มและกล่าวว่า “อาเหยา เจ้ามาแล้ว รีบเข้ามานั่งเร็วเข้า ไม่ได้เจอเจ้ามาหลายวัน คิดถึงเจ้าจะแย่”ซ่งซินหนิงในเวลานี้ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มที่มีความสุข มุมปากของเมิ่งจิ่นเหยาก็ยกขึ้นตามไปด้วย พยักหน้าเล็กน้อย และนั่งลงที่ด้านข้างของนาง พลางถาม “อาหนิง สุขภาพของเสิ่นฮูหยินดีขึ้นบ้างหรือไม่?”ส่วนโค้งตรงมุมปากของซ่งซินหนิงยกกว้างขึ้น และกล่าวด้วยน้ำเสียงร่าเริงว่า “อาเหยา วิธีของเจ้ายังคงได้ผล ข้าไปปลอบโยนท่านป้าสะใภ้เสิ่นตามวิธีที่เจ้าบอก ท่านป้าสะใภ้เสิ่นถูกข้าปลอบไปหลายที ทันใดนั้นก็ฮึดสู้ขึ้นมาไม่อยากตายแล้ว นางดื่มยาตรงเวลาทุกวัน และอาการป่วยก็ดีขึ้นแล้ว”เมิ่งจิ่นเหยาดีใจแทนเพื่อนรัก ตราบใดที่เสิ่นฮูหยินดีขึ้นมา งานแต่งงานก็จะสามารถจัดได้ตามกำหนด นางกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “เช่นนั้นก็ดี คนมีชีวิตมักจะมีเป้าหมายอยู่เสมอ หากไม่มีเป้าหมาย ก็จะไร้ความหวัง เหลือเพียงแต่ความผิดหวังเท่านั้น และความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ก็จะไม่เหลือเลย”ซ่งซินหนิงกล่าว “ท่านป้าสะใภ้
เมิ่งจิ่นเหยาตอบกลับ “คาดว่าจะไม่มีแม่นางดี ๆ คนไหนกล้าแต่ง แต่เขาก็แสดงท่าทีอย่างชัดเจนแล้วว่าตั้งใจจะไม่แต่งภรรยา และจะอยู่ด้วยกันแค่กับหลี่อี๋เหนียงไปชั่วชีวิตเท่านั้น”“ไม่แต่งภรรยา?” ดวงตาของซ่งซินหนิงเบิกกว้าง อย่างยากจะเชื่อ “ซื่อจื่อผู้สูงศักดิ์ของจวนโหวไม่แต่งภรรยา ภายภาคหน้าในบ้านก็จะไม่มีนายหญิงมาควบคุมดูแล แม้แต่งานเข้าสังคมก็จะไม่มีนายหญิงไป นี่เขาคิดอย่างไรกัน?”เมิ่งจิ่นเหยายิ้มพร้อมกับกล่าวว่า “ไม่สนว่าเขาคิดอย่างไร? เขาเป็นแบบนี้ก็ดีที่สุดแล้ว จะได้ไม่ต้องเป็นหายนะของคุณหนูที่ไร้ความผิด”ซ่งซินหนิงจิปากสองคำ “เช่นนั้นเขาจะต้องยืดมั่นความคิดในตอนนี้ และภายหลังอย่าได้เปลี่ยนความคิด มิเช่นนั้นจะเป็นหายนะต่อคุณหนูของคนอื่นเขา”เมิ่งจิ่นเหยากล่าว “ต่อไปไม่รู้ แต่ตอนนี้เห็นที เขาจะสามารถยึดมั่นได้”ซ่งซินหนิงหันไปมองอาเมิ่ง อาจเป็นเพราะแต่งงานเข้ามาในจวนฉางซินโหวจะใช้ชีวิตอย่างสบายใจ ไม่ต้องระวังตัวจากการทำร้ายของแม่เลี้ยงอยู่ตลอดเวลา อาเมิ่งในตอนนี้สีหน้าแดงระเรื่อ ใบหน้ายังอวบขึ้นเล็กน้อย ดูจะมีชีวิตชีวาอย่างเต็มเปี่ยมอีก สภาพแวดล้อมหล่อเลี้ยงคนขึ้นมาจริง ๆ ด้วย นางเอ
พลบค่ำ เมิ่งจิ่นเหยากินอาหารค่ำกับซ่งซินหนิงที่ภัตตาคาร หลังกินอาหารค่ำเสร็จ ก็ไปเดินเล่นที่ตลาดกลางคืนด้วยกันอีก คาดว่ายามชวีสี่เค่อ ทั้งสองจึงจะแยกกัน ต่างคนต่างกลับจวนของตนเองเมื่อกลับมาถึงเรือนเวยหรุยเซวียน เมิ่งจิ่นเหยาล้างตัวรอบหนึ่ง จากนั้นก็ให้สาวใช้ออกไป เตรียมตัวจะเข้านอน ทันใดนั้นได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวที่หน้าต่างด้านขวา นางจึงหันไปมองทันที และเห็นเพียงเงาร่างหนึ่งกระโดดเข้ามาจากรูปร่างแล้ว เป็นชายหนุ่มหรือ?ความตระหนักนี่ทำให้เมิ่งจิ่นเหยาร่างกายหนาวเย็นไปทั่วร่าง สีหน้าขาวซีด และปิดปากไว้แน่น ไม่กล้าปล่อยให้ตนเองส่งเสียงออกมาแม้แต่น้อยในเวลาอันสั้น เมิ่งจิ่นเหยาก็คิดความเป็นไปได้นับไม่ถ้วน และคิดว่ามีคนคิดจะใส่ร้ายนาง สามีของนางมีโรคที่บอกคนอื่นไม่ได้ สามีไม่อยู่ที่เรือน จู่ ๆ มีชายหนุ่มปรากฏตัวขึ้นมาในห้อง หากข่าวแพร่ออกไปนางคงซวย และถูกทอดทิ้งอย่างแน่นอน แถมชื่อเสียงก็ถูกทำลายด้วยเวลานี้ ชายหนุ่มคนนั้นปิดหน้าต่างลง และหันกลับมา หลังจากนั้น ใบหน้าที่ราวกับสายลมเย็นและพระจันทร์ที่สดใสก็เข้าสู่สายตาเป็นกู้จิ่งซีเมิ่งจิ่นเหยาทั้งตกใจและทั้งประหลาดใจ แต่ในที่สุ
กู้จิ่งซีถามกลับว่า “อืม มีปัญหาอะไรหรือ?”น้ำเสียงของเขาสงบนิ่งมาก ราวกับการฆ่าคนคือเรื่องที่ปกติธรรมดาเรื่องหนึ่งในสายตาของเขาเมิ่งจิ่นเหยาได้ยิน สีหน้าก็แข็งทื่อ และรู้สึกระทึกเล็กน้อย คำพูดที่เลือดเย็นแบบนี้ไม่ควรออกมาจากปากของกู้จิ่งซี นางถอยหลังก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัว และกล่าวเตือนสติว่า “ฆ่าคนต้องชดใช้ด้วยชีวิต ท่านเป็นถึงเสนาบดีศาลต้าหลี่ นี่เป็นการรู้กฎหมาย แต่จงใจทำผิดกฎหมายไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีตกชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็หัวเราะออกมา และเมื่อเห็นความกลัวในดวงตาของนาง ก็รู้ว่านางเข้าใจผิดแล้ว และหากคืนนี้ไม่อธิบายให้ชัดเจน แล้วตนเองนอนอยู่ข้างกายนาง เกรงว่านางจะฝันร้าย จึงอธิบายว่า “ตอนจับกุมนักโทษที่หลบหนี อีกฝ่ายมีลูกน้องไม่น้อย เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ หากข้าใจอ่อนเกินไป เจ้าคงจะต้องเป็นแม่หม้ายน้อยแล้ว”เมิ่งจิ่นเหยาตกตะลึง นี่เป็นแวดวงที่นางไม่เคยย่างกราย นางคิดว่าเสนาบดีศาลต้าหลี่เป็นราชการฝ่ายพลเรือน ซึ่งฝ่ายนี้ไม่สนใจเรื่องทุบตีไล่ฟัน และสนใจแค่การสืบคดีเท่านั้น แต่ความเป็นจริงกลับไม่เป็นเช่นนี้เลยแต่ เมื่อคิดดูอย่างละเอียด ก็เป็นเรื่องปกติ นักโทษที่ไหนจะให้ทา
วันต่อมาเมิ่งจิ่นเหยากำลังดูแลต้นไม้อยู่ เพราะแต่งงานเข้าจวนฉางซินโหวมา นางไม่ได้ดูแลเรื่องอาหารภายในเรือน ทุกวันจึงว่างมาก นอกจากจะดูแลที่ดินและร้านรวงที่มารดาทิ้งไว้ให้ นางยังดูแลทรัพย์สินส่วนตัวของกู้จิ่งซีด้วยเวลาว่างไม่มีเรื่องอะไรก็แค่อ่านตำรา และดูแลต้นไม้ใบหญ้าเพื่อฆ่าเวลา ไม่ก็ออกไปเดินเล่นที่ร้านขายเครื่องประดับ ร้านขายผงชาด และร้านขายเสื้อผ้า หรือไม่ก็เลือกไปเข้าร่วมงานเลี้ยงที่รู้สึกน่าสนใจจากคำเชิญที่คนอื่นส่งมาให้เวลานี้ เซี่ยจู๋เดินเข้ามาอยู่ตรงหน้า และยอบตัวทำวความเคารพมาทางนาง พลางกล่าวอย่างสุภาพว่า “ฮูหยิน คุณชายรองเมิ่งมาแล้วเจ้าค่ะ”น้องรองมาหรือ?เมิ่งจิ่นเหยาขยับมือเล็กน้อย และรู้สึกประหลาดใจ นางแต่งเข้าจวนฉางซินโหวนานขนาดนั้นแล้ว น้องรองยังไม่เคยมาหานางเลย ครั้งนี้เข้ามาบางทีอาจจะมีเรื่องสำคัญอะไรก็ได้ จึงรีบสั่งว่า “พาเขารับมายังเรือนเวยหรุยเซวียน” ขณะที่กล่าวก็สั่งชิงชิวให้ไปเตรียมน้ำชาด้วยผ่านไปไม่นาน เมิ่งเฉิงจางก็มาถึงเด็กหนุ่มที่อายุสิบสามปี หน้าตาหล่อเหลา ริมฝีปากแดงฟันขาว สุภาพเรียบร้อย ระหว่างการเคลื่อนไหวยังเต็มไปด้วยบรรยากาศของนักปราชญ์ เพร
“นางซุนย่อมให้เงิน แต่คงจะไม่พออย่างแน่นอน แม้ท้องจะหิวและอย่างจะเพิ่มอาหารเงินก็ยังไม่พอใช้ หรือว่าเจ้าคิดจะช่วยหอเก็บตำราคัดตำราเพื่อหาเงินเช่นนั้นหรือ? ข้าไม่ได้อยากจะทำลายกำลังใจของเจ้า เพียงแค่อยากให้เจ้ามุ่งมั่นกับการเรียน และไม่ต้องกังวลเรื่องอื่น ในอนาคตจะได้เหนือกว่าคนอื่น”เมิ่งเฉิงจางตกตะลึง แต่ยังยืนกรานไม่รับ และตอบกลับว่า “พี่หญิงใหญ่ น้ำใจของท่านข้ารับไว้แล้ว แต่ข้ารับเงินไม่ได้จริง ๆ แม้ข้าจะไม่ใช่ผู้หญิง แต่ก็รู้ถึงความยากลำบากของผู้หญิง แม้ท่านจะแต่งเข้ามาในจวนสกุลกู้ เป็นลูกสะใภ้ของสกุลกู้แล้ว แต่หากสกุลกู้รู้ว่าท่านใช้เงินช่วยเหลือบ้านมารดา คงจะมีคำวิจารณ์ต่อท่านอย่างแน่นอนขอรับ”เมื่อได้ยิน ขอบตาเมิ่งจิ่นเหยาก็ร้อนผ่าว ยัดเงินใส่ในมือของเขาโดยไม่ฟังเหตุผล และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า “น้องรอง ไม่ต้องกังวล นี่ไม่ใช่เงินของสกุลกู้ แต่เป็นเงินของข้าเอง ช่วงก่อนหน้านี้ข้าเอาสินเดิมของท่านแม่ข้ากลับมาแล้วไม่ใช่หรือ? ตอนนี้ข้ามั่งคั่งแล้ว เจ้าก็เอาไปอย่างวางใจเถอะ”นางพูดจบ เมื่อเห็นน้องชายยังคงไม่คิดจะรับ ก็กล่าวอีกว่า “น้องรอง พี่สาวให้น้องชาย ก็อย่าปฏิเสธข้าเล
เมิ่งจิ่นเหยารู้สึกถึงอาการตกตะลึงของน้องชาย จึงหันไปมอง พลางครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ก็คิดว่าเขาคงเพิ่งได้รับการเลื่อนลำดับญาติจึงยังไม่ทันตอบสนอง จึงกล่าวออกมาเพื่อคลายความกระอักกระอ่วนว่า “ซิวเหวิน อีกสองสามวันเจ้าก็ต้องไปสำนักศึกษาหลินซานแล้วใช่หรือไม่?”เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ กู้ซิวเหวินก็ตื่นเต้นเล็กน้อย รีบพยักหน้าและตอบกลับว่า “ใช่ขอรับ อีกสามวันก็จะไปสำนักศึกษาแล้ว”เมิ่งจิ่นเหยาถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “น้ารองของเจ้าก็จะไปสำนักศึกษาหลินซานด้วย ถึงตอนนั้นพวกเจ้าเป็นเพื่อนร่วมทาง และไปด้วยกันมิดีกว่าหรือ?”นางกล่าวจบ ก็หันไปมองน้องชายที่อยู่ด้านข้าง น้องชายคนนี้ของนางรู้ความ แต่บัณฑิตในสำนักศึกษามาจากทั่วทุกสารทิศ คนที่มีฐานะสูงส่งก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มี นางกลัวน้องชายจะถูกคนอื่นรังแก ซิวเหวินเป็นคุณชายสี่ของสกุลกู้ หากพวกเขาทั้งสองสนิทกันเสียหน่อย หากวันข้างหน้ามีเรื่องอะไร ก็จะดูแลกันได้เมื่อกู้ซิวเหวินได้ยิน ดวงตาก็เปล่งประกาย และมองไปทางเมิ่งเฉิงจางด้วยความประหลาดใจ “น้ารองก็จะไปสำนักศึกษาหลินซานด้วยหรือขอรับ?”เห็นเมิ่งเฉิงจางพยักหน้า เขาก็รีบกล่าว “ท่านอาสะใภ้สาม ข้ากำลังขา
“ใช่ไม่เหมือน แต่กลับมีความเหมือนบิดาข้าอยู่หลายส่วน ท่านตาของเขาน่ะ” กู้จิ่งซีพยักหน้า และนึกถึงความสัมพันธ์ของนางกับสกุลเมิ่ง แต่นางปฏิบัติต่อเมิ่งเฉิงจางกลับต่างออกไป ราวกับพี่สาวน้องชายแท้ ๆ ที่เกิดจากมารดาเดียวกัน จึงถามอีกครั้งว่า “เจ้ากับน้องรองดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันนะ?”เมิ่งจิ่นเหยายกยิ้มที่มุมปาก “เจ้าค่ะ เขาเป็นญาติเพียงคนเดียวของข้า”เพียงคนเดียวหรือ?สองคำนี้ทำให้กู้จิ่งซีชะงักไป ตอนนี้สกุลเมิ่งบวกกับแม่นางน้อยที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ ทั้งหมดก็เจ็ดคน แต่แม่นางน้อยกลับบอกว่าเมิ่งเฉิงจางเป็นญาติเพียงคนเดียว เช่นนั้นตามความหมายในคำพูดก็คือ คนอื่น ๆ ในสกุลเมิ่งเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่คุ้นเคยเท่านั้นเมิ่งจิ่นเหยาไม่เห็นถึงการแสดงออกของเขา จึงกล่าวอย่างสนใจแต่เรื่องของตนเองว่า “เขาเรียนได้ดีมาก ทำข้อสอบของสำนักศึกษาหลินซานผ่าน และจะได้เข้าเรียนที่สำนักศึกษาหลินซานเร็ว ๆ นี้แล้ว บังเอิญกู้ซิวเหวินก็ไปที่สำนักศึกษาหลินซานด้วย พวกเขาจะได้เป็นเพื่อนกันพอดีเจ้าค่ะ”กู้จิ่งซีส่งเสียง “อืม” เบา ๆ เมื่อเห็นตอนที่นางกล่าวถึงน้องชายคนนี้ จะมีรอยยิ้มที่มุมปาก คิ้วกับตาก็จะโค้งง
ท่านพ่อรักเมิ่งจิ่นเหยามากเพียงนั้น ก็ไม่แน่เมิ่งจิ่นเหยาอาจคอยพูดข้างหมอน ท่านพ่อถึงได้ช่วยพาเมิ่งเฉิงจางเข้าสำนักศึกษาหลิงซานด้วย สำนักศึกษาหลิงซาน แม้แต่เขาที่เป็นบุตรชายยังไม่สามารถเข้าเรียนได้เลยด้วยซ้ำ แต่ท่านพ่อกลับพาคนอื่นเข้าไป หนำซ้ำยังช่วยพาเข้าไปถึงสองคน ในใจเขารู้สึกไม่ยินยอม กวาดสายตาประเมินเมิ่งเฉิงจางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าไปหนึ่งที ส่งเสียงฮึ่มออกมาเบาๆ “จริงอย่างที่ว่าหนึ่งคนบรรลุเซียน หมูหมากาไก่ก็พลอยได้ขึ้นสวรรค์ด้วย พอพี่สาวไต่เต้าขึ้นมาจนได้ดี คนเป็นน้องชายก็พลอยได้รับผลประโยชน์ไปด้วย” ถ้อยคำนี้แม้มิได้ชี้ชัด ทว่าความหมายกลับชัดเจนในตัว ว่ากำลังถากถางเมิ่งเฉิงจางที่อาศัยความสัมพันธ์ของพี่สาว เพื่อให้พี่เขยช่วยพาตนเองเข้าเรียนที่สำนักศึกษาหลิงซาน เมิ่งเฉิงจางสีหน้ามืดครึ้มลงในทันใด สีหน้าของกู้ซิวเหวินก็ดูย่ำแย่เช่นกัน พี่สามไม่เข้าใจเรื่องราวอะไร ทว่าเขาเข้าใจกระจ่าง น้องชายของน้าสะใภ้สามท่านนี้แม้อายุยังน้อย แต่ก็เป็นคนที่เก่งกาจมีพรสวรรค์อย่างแท้จริง พี่สามไม่ทำความเข้าใจให้ดี แต่อาศัยจินตนาการเพ้อเจ้อของตนเองเข้าใจผิดไปว่าอีกฝ่ายต้องใช้เส้นสาย เขาดึงหน
แสงอาทิตย์ยามเช้าตรู่ช่างอ่อนโยน เหมาะสำหรับเดินเล่นยิ่งนัก กู้ซิวเหวินต้อนรับผู้มาเยือนอย่างกระตือรือร้นและเป็นมิตร พาเมิ่งเฉิงจางเข้ามาเยี่ยมชมภายในจวน ทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมภายในจวนได้ครู่หนึ่ง ระหว่างทางก็ถูกใครบางคนเรียกให้เข้าไปหา ก่อนจะขอปลีกตัวออกไปสักพัก ก็ได้บอกให้เมิ่งเฉิงจางเดินชมสภาพแวดล้อมไปก่อนพลาง ๆ เมิ่งเฉิงจางเห็นทัศนียภาพงดงามโดดเด่น ครู่เดียวก็หลงใหลไปกับความงดงามของทัศนียภาพ คิดไม่ถึงว่าเดินไปเดินมาสุดท้ายจะหลงทาง มีเส้นทางอยู่มากมาย ไม่รู้ว่าควรเดินเส้นทางใดเพื่อกลับไปจุดเดิม ครั้นกู้ซิวเหวินกลับมาไม่เห็นคน ก็รู้ทันทีว่าเขาน่าจะหลงทางแล้ว จึงรีบออกตามหาทันที ระหว่างทางบังเอิญเจอกู้ซิวหมิงและหลี่อี๋เหนียงเดินเข้ามา สองคนกำลังเดินเล่นอย่างสบายใจ คุยกันบ้าง หัวเราะกันบ้าง ในแววตาเจือความพิสมัยลุ่มลึกหวานชื่น บุรุษเก่งกาจมีความสามารถสตรีโฉมงามเพริศพริ้ง มองปราดเดียวก็เห็นถึงความเหมาะสมอย่างยิ่ง เขาเดินเข้าไปทักท่าน “พี่สาม หลี่อี๋เหนียง” หลายวันที่ผ่านมาหลี่อี๋เหนียงได้เรียนรู้ระเบียบประเพณีแล้ว เข้าใจชัดเจนว่าเมื่อใดที่ตนพบเจ้านายไม่ว่าเป็นท่านใดในจวนล
คล้ายว่าการนอนหงายจะทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัย นางจึงพลิกตัวนอนตะแคงข้าง ขดตัว และยังคงร้องไห้ไม่หยุด นี่คงจะกำลังฝันร้ายอยู่สินะ กู้จิ่งซีมองแม่นางน้อยกำลังร้องไห้ และเสียงสะอื้นไห้ยิ่งดังขึ้นทุกเสี้ยวขณะ เขาที่ไม่เคยมีประสบการณ์ปลอบโยนเด็กน้อยมาก่อนค่อนข้างทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรก่อนดี หากเป็นเช่นนี้ต่อไป จนสาวใช้ที่อยู่เฝ้ายามดึกข้างนอกได้ยินเข้า อาจจะคิดไปไกลถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ เขาครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเลื่อนมือไปลูบแผ่นหลังของแม่นางน้อยอย่างประดักประเดิด และปลอบโยนด้วยเสียงอบอุ่นว่า “ฮูหยินอย่าร้องไห้เลย ไม่เป็นอะไรแล้ว อย่าร้องไห้เลย” ไม่รู้ใช่เพราะได้ยินเสียงนี้หรือไม่ เมิ่งจิ่นเหยาเขยิบเข้ามาข้างกายเขาตามสัญชาตญาณ อิงแอบเขาไว้และยังคงร้องไห้ต่อไป กู้จิ่งซีจำต้องยอมรับชะตากรรมไป ได้แต่ภาวนาให้นางรีบหยุดสะอื้น ไม่เช่นนั้นหากคนอื่นได้ยินเข้าจะดูไม่งาม กลางดึกผู้คนเงียบสงัดหากมีเสียงสะอื้นไห้ของนางแว่วดังออกมาจากห้องนอน ต่อให้จะไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ก็หนีไม่พ้นต้องถูกเข้าใจผิดแน่ “ฮูหยินอย่าร้องไห้เลย ไม่ต้องร้องแล้ว มันก็แค่ฝันร้าย” กู้จิ่งซีปลอบโยนด้วย
คืนนั้น เมิ่งจิ่นเหยาฝัน ในฝันเฉิงอวี่กำลังร้องไห้โยเยไม่ยอมดื่มยา ตู้อี๋เหนียงแม้ใช้เสียงนุ่มนวลปลอบโยนอยู่นานครู่ใหญ่แล้วแต่ก็ยังไม่เป็นผล เห็นเจ้าตัวเล็กร้องไห้จนหน้าแดง แม้กระทั่งลมหายใจก็เริ่มไม่เป็นจังหวะ ตู้อี๋เหนียงกลัวว่าเจ้าเด็กน้อยร้องไห้จนขาดใจ ก็ไม่กล้าบังคับให้เจ้าเด็กน้อยดื่มยาอีก ได้แต่ปลอบโยนด้วยเสียงนุ่มนวล “เฉิงอวี่เด็กดี เฉิงอวี่ไม่อยากกิน เช่นนั้นก็ไม่ต้องกินแล้วนะ” เอ่ยพลางก็หันไปส่งสายตาให้สาวใช้ข้างกาย สาวใช้ผงกศีรษะ รีบออกไปตามหาคนช่วยกู้สถานการณ์ ทว่าสาวใช้แค่คิดจะออกไป เมิ่งจิ่นเหยาตัวน้อยก็เข้ามาพอดี ตู้อี๋เหนียงเห็นนาง ราวกับเห็นดวงดาวช่วยชีวิต เผยรอยยิ้มอบอุ่นออกมา “คุณหนูใหญ่ท่านมาแล้ว เฉิงอวี่ไม่ยอมดื่มยาอีกแล้ว ท่านช่วยมาปลอบโยนเขาหน่อยเถิด เขาเชื่อฟังท่านที่สุดแล้ว” “พี่…แค่ก…พี่หญิงใหญ่” เฉิงอวี่เห็นนาง ทันใดนั้นก็หยุดร้อง และยื่นมือออกมาขอให้นางกอด เมิ่งจิ่นเหยาตัวน้อยก้าวขาสั้น ๆ วิ่งเข้าไปหา ให้สาวใช้อุ้มขึ้นเตียงแล้ว นางก็ยื่นมือออกไปกอดน้องชายที่ป่วยอยู่ พลางเอ่ยวาจาปลอบโยนด้วยเสียงอ้อแอ้ของเด็กน้อย “เฉิงอวี่เด็กดี ดื่มยานี่อีกแค่
เมิ่งจิ่นเหยาหน้าถอดสี คิดถึงท่าทางหมดอาลัยตายอยากเมื่อสักครู่ของตนเองขึ้นมา ช่างน่าอับอายขายหน้าเสียจริง นางลดมือลงอย่างกระอักกระอ่วน เอ่ยด้วยใบหน้าเหยเก “แล้วอย่างไร คนเราก็ต้องมีช่วงเวลาที่ความคิดเพี้ยนผิดไปบ้าง ฟังถ้อยคำตักเตือนของท่านพี่แล้ว ข้าเองก็คงไม่ทำอะไรเช่นนั้นอีกแล้วเจ้าค่ะ” นางเอ่ยพลาง ก็ผินใบหน้าไปทางอื่น ขอบตาแดงรื้น รีบกะพริบตารัว ๆ หวังจะไล่น้ำตาให้ไหลย้อนกลับไป ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุขุมว่า “แม้เฉิงอวี่จะวัยเพียงสองขวบ แต่เขาก็รักทะนุถนอมข้ามาก ๆ ตอนเด็กที่ข้าเคยสะดุดก้อนหิน จนตนเองหกล้มเขายังเจ็บปวดหัวใจอย่างกับอะไรดี เด็กน้อยคนนั้นด่าทอสาปแช่งเจ้าหินก้อนนั้นอยู่นานเชียว ด่าว่ามันนิสัยไม่ดี หากเขาเห็นข้าได้รับบาดเจ็บ เขาต้องเจ็บหัวใจแน่” กู้จิ่งซีฟังอยู่อย่างเงียบเชียบ แม้เขาจะอาศัยในครอบครัวที่พอจะเรียกได้ว่ารักใคร่ปรองดองกันบ้าง แต่ก็ไม่เคยมีน้องชายแบบนี้มาก่อน เขากับพี่ชายมิได้มีความผูกพันกันแน่นแฟ้นอะไร พี่ชายทั้งสองคนแม้อาวุโสกว่า แต่ก็ยำเกรงเขา ให้ความเคารพเขามาก ความสนิทสนมใกล้ชิดจึงมีไม่เพียงพอ เขาเอ่ยด้วยเสียงอบอุ่น “เช่นนั้นฮูหยินโปรดจำใส่ใจ อย่าให
ผ่านไปนานครู่ใหญ่ เมิ่งจิ่นเหยาช้อนสายตาขึ้น มองกู้จิ่งซีตาไม่กะพริบ สายตาคู่นั้นเป็นประกายจนน่าตกใจ คล้ายกับมองเห็นหญ้าฟางช่วยชีวิตในยามเข้าตาจน ก็ถามด้วยความตื่นเต้น “สำหรับเรื่องการหาเรื่องให้ผู้อื่นอารมณ์เสีย ท่านพี่มีความคิดเห็นว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ?” กู้จิ่งซีเห็นแม่นางน้อยกลับมาฮึกเหิมมีพลังได้รวดเร็วเพียงนั้น ก็แอบถอนหายใจโล่งอกออกมากับตนเอง มีเรี่ยวแรงกลับมาสู้ต่อนั่นก็ดีแล้ว ท่าทางหมดอาลัยตายอยากเมื่อครู่ ทำให้กลัวว่านางจะคิดสั้นมากเสียจริง ดรุณีน้อยวัยเพียงสิบกว่าขวบ ชีวิตเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น หากต้องจบลงไปแบบนั้นแล้วก็น่าเสียดายเหลือเกิน เขาครุ่นคิดบางอย่าง “ฮูหยินต้องรับความผิดโดยไม่เป็นธรรมเช่นนั้นแล้ว ถึงคราวต้องคืนความผิดนี้กลับสู่คนร้ายตัวจริง” เมิ่งจิ่นเหยามุ่นหัวคิ้วขึ้น พริบตาเดียวก็ห่อเหี่ยวลงมา “เรื่องผ่านไปตั้งสิบเอ็ดปีแล้ว เบาะแสจากเมื่อปีก่อนนั้นคงจะถูกลบเลือนจางหายไปตามเวลาแล้ว อาศัยเพียงลมปากไม่มีหลักฐาน คิดจะจับตัวคนทำผิดกลับมาคงไม่ง่ายแล้วเจ้าค่ะ” กู้จิ่งซีถาม “เรื่องนี้นอกจากเจ้าแล้ว ยังมีผู้ใดรู้อีกบ้าง?” เมิ่งจิ่นเหยาตอบตามความจริง “ท่านปู่รู้
นางตอบคำถามที่กู้จิ่งซีถามมาก่อนหน้านี้ “ถูกกระทำเจ้าคะ”เมื่อกล่าวจบ น้ำเสียงของนางก็สะอื้นเล็กน้อย พลางกล่าวต่อว่า “ตอนนั้นไม่มีคนบังคับข้า เป็นเพียงความผิดพลาดที่ให้เกิดขึ้นเท่านั้น ข้าถึงได้รู้ว่าตนเองตกหลุมพรางโดยไม่ได้เตรียมตัวป้องกันเลยแม้แต่น้อย อยากจะแก้ไขแต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว”กู้จิ่งซีตอบกลับ “ผู้ที่ไม่รู้ย่อมไม่มีความผิด นั่นมิใช่ความผิดของเจ้า เป็นความผิดของผู้ที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมด”“มิใช่งั้นหรือเจ้าคะ?”เมิ่งจิ่นเหยากระซิบแผ่วเบา แววตาว่างเปล่า ท่าทางเหม่อลอยเล็กน้อย เมื่อนึกถึงร่างเย็นยะเยียบเล็ก ๆ ที่นอนอยู่ภายในโลงศพ ในใจของนางก็บีบรัดจนเจ็บขึ้นมา เดิมทีเฉิงอวี่ไม่จำเป็นต้องตาย“ต้องไม่ใช่อยู่แล้ว”กู้จิ่งซีให้คำตอบยืนยัน เมื่อเห็นนางจมอยู่ในความโศกเศร้า โทษตนเองและรู้สึกผิด เกลียดชังอย่างถึงที่สุด ก็สามารถคาดเดาได้ว่าคนผู้นั้นจะต้องสำคัญกับนางมากเป็นแน่ จึงถามนางต่อ “มิสู้ฮูหยินลองบอกกับข้าก่อนสักหน่อยได้หรือไม่ ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?”เมิ่งจิ่นเหยาเงยหน้ามองบุรุษที่อยู่อยู่ตรงหน้า คิดในใจว่าผู้ที่ชอบธรรมและน่าเกรงขามเช่นเสนาบดีกู้คงไม่แพร่เรื่องนี้อ
แม่นางน้อยนั่งอย่างงงงัน ก็ไม่รู้ว่าภายในใจกำลังคิดอะไรอยู่ ทว่าอารมณ์ค่อนข้างมั่นคงกู้จิ่งซีถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ฮูหยิน ตอนนี้สามารถบอกได้แล้วหรือไม่?”บอกอันใดเจ้าคะ?เมิ่งจิ่นเหยาเงยหน้ามองเขาอย่างไม่เข้าใจเหตุผลกู้จิ่งซีตอบกลับไปว่า “บอกว่าวันนี้เจ้าไปที่ไหนและทำอันใดมาบ้าง?”เมิ่งจิ่นเหยาก้มศีรษะลง เงียบงันไปชั่วครู่แล้วตอบด้วยเสียงแผ่วเบา “กลับไปบ้านมารดามาเจ้าค่ะ”มีคับข้องใจปกคลุมอยู่ในน้ำเสียง รวมถึงความเกลียดชังที่ยากจะดูออกสีหน้าของกู้จิ่งซีชะงักไปชั่วครู่ ดูเหมือนแม่นางน้อยจะไม่เคยรู้สึกน้อยใจเพราะเรื่องของบ้านมารดามาก่อน เพราะว่าไม่ใส่ใจ ดังนั้นจิตใจจึงสงบนิ่งดังสายน้ำ จากนั้นจึงถามต่อว่า “เหตุใดอยู่ ๆ ถึงได้กลับไปบ้านมารดาเล่า?”เมิ่งจิ่นเหยาตอบตามความจริง “พ่อบ้านบอกว่าท่านย่าล้มป่วย จึงกลับไปดูสักหน่อยเจ้าคะ คิดไม่ถึงว่าจะทำเพื่อเรื่องอื่น น้องรองผ่านการประเมินของสำนักศึกษาหลิงซาน และใกล้จะได้ไปร่ำเรียนที่สำนักศึกษาหลิงซาน เมิ่งเฉิงซิงกลับไม่ผ่านการประเมิน พวกท่านย่าของข้ารู้ว่าท่านกับหัวหน้าสำนักศึกษาหลิงซานเป็นสหายต่างวัยกัน จึงให้ข้ามาพูดกับท่าน ให้ไปห
ยามที่บุรุษดูแลใครสักคนท่าทางอ่อนโยน พิถีพิถัน การเคลื่อนไหวชำนิชำนาญ ราวกับเคยทำมาแล้วหลายครั้งหลายคราเมิ่งจิ่นเหยาดูเหมือนจะมองเห็นเงาร่างของท่านปู่ผ่านกู้จิ่งซีได้อย่างเลือนราง ท่านปู่ตามใจเพียงแค่นางเท่านั้น ไม่เพียงแต่ตัดแต่งเล็บให้นาง ยังมัดผมเป็นเปียเล็ก ๆ สองข้างให้นาง และเล่านิทานให้นางฟังด้วยกู้จิ่งซีในเวลานี้ดูคล้ายกับท่านปู่อยู่บ้าง แต่กลับไม่ใช่ท่านปู่ เขาอ่อนโยน ส่วนท่านปู่คือความรักและเมตตาเมิ่งจิ่นเหยาอยากรู้ “ก่อนหน้านี้ท่านพี่เคยดูแลเด็กอยู่บ่อยครั้งหรือเจ้าคะ?”เด็กที่นางพูด หมายถึงกู้ซิวหมิงการเคลื่อนไหวของกู้จิ่งซีหยุดชะงักไปชั่วครู่ มองดูนางพลางยิ้มแล้วกล่าวว่า “เปล่าหรอก นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าดูแลเด็ก โชคดีที่เด็กว่านอนสอนง่าย ไม่ก่อกวนเท่าใดนัก มิเช่นนั้นข้าคงดูแลไม่ไหว” เมื่อเมิ่งจิ่นเหยาได้ฟัง ก็ก้มหน้าลงไม่มองเขา ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่สบายใจ พลางกล่าวเสียงแผ่วเบา “ท่านพี่เป็นท่านโหว จะมาดูแลผู้อื่นได้อย่างไรกัน? ให้สาวใช้มาทำให้ก็พอแล้วเจ้าค่ะ”กู้จิ่งซียิ้มมุมปาก กล่าวตามเหตุตามผล “หากว่าเจ้าอยากให้สาวใช้มาดูแล จะอยู่ภายในห้องเพียงลำพังได้อย่างไร