นางเอ่ยพลาง ก็ตัดพ้อตนเอง “จริงอยู่ที่นางเป็นหญิงที่มาจากจวนหย่งชางป๋อ มาจากตระกูลขุนนางบุญหนักศักดิ์ใหญ่ มีรูปโฉมงดงามเพริศพริ้ง แต่ข้าเป็นเพียงเด็กสาวกำพร้าที่ไม่มีอะไรเลยคนหนึ่ง ครอบครัวของท่านจะชอบนางมากกว่าก็เป็นเรื่องปกติ” กู้ซิวหมิงแม้รำคาญ แต่เมื่อเห็นดรุณีน้อยน่าเอ็นดูในอ้อมอกของตนเองกำลังร้องไห้ฮือ ๆ ไหล่บางสั่นเทิ้ม เขาก็ใจอ่อนลง ข่มความรู้สึกหงุดหงิดรำคาญไว้ลึกสุดของดวงใจ อดทนเอ่ยวาจาปลอบโยนไปสองประโยค “หว่านเอ๋อร์เจ้าอย่าร้องไห้เลย พวกเขาจะชอบหรือไม่ชอบไม่สำคัญ ตราบใดที่ข้าชอบเจ้าก็เพียงพอแล้ว” แต่ถึงอย่างไรแล้ว หลี่หว่านเอ๋อร์หนนี้กลับมิได้สงบอารมณ์ลงง่ายดายเพียงนั้นแล้ว คำพูดเหล่านี้ไม่ได้ช่วยให้นางรู้สึกดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย ตราบใดที่นางคิดถึงเรื่องน่าอับอายในโถงโซ่วอันที่ตนกระทำเพราะไม่รู้มารยาท สายตาเหล่านั้นยามที่จ้องมองมาทางนาง สายตาที่ชวนให้คิดตามนั่น ทำให้นางรู้สึกอยากจะแทรกแผ่นดินหนี คิดถึงวันข้างหน้าหากตนต้องออกจากเรือนไปข้างนอก และบังเอิญพบคนเหล่านั้นเข้าจะต้องถูกดูหมิ่นดูแคลน นางก็ยิ่งรู้สึกพรั่นพรึงแล้ว นางเงยหน้าขึ้นมองกู้ซิวหมิงช้า ๆ บนหน้าเล็กที่เปื้อน
หลี่หว่านเอ๋อร์เหมือนถูกอสนีบาตฟาดลงท่ามกลางฟ้าแจ่มใส นางเบิกตากว้างทันใด ก่อนจะถามอย่างระมัดระวัง “ท่านพี่ซิวหมิง ท่าน ท่านมิใช่เคยบอกว่าถึงข้าจะเป็นอนุ แต่ก็เป็นสตรีเพียงหนึ่งเดียวของท่าน เป็นภรรยาเพียงหนึ่งเดียวในใจของท่าน? หรือท่านจะกลืนคำพูดตนเอง จะเข้าพิธีสมรสให้หญิงอื่นเป็นภรรยาเอก?” กู้ซิวหมิงรีบร้อนส่ายหน้า ให้คำมั่นสัญญาซ้ำอีกครั้ง “หว่านเอ๋อร์ ข้าไม่มีวันสมรสภรรยาเอก เพียงแต่เจ้าคืออนุภรรยา อาศัยในห้องหลักนั้นผิดประเพณี” พูดจบ เขาก็แก้ต่างเพิ่มเติมให้ตนเอง “คำสั่งของผู้ใหญ่ ห้ามฝ่าฝืน หว่านเอ๋อร์เจ้าเป็นคนเข้าอกเข้าใจผู้อื่นมาตลอด ก็น่าจะเข้าใจข้าใช่หรือไม่?” หลี่หว่านเอ๋อร์สีหน้าซีดเผือด ร่างกายบอบบางโงนเงนจะล้มอยู่รอมร่อ ทรุดลงในอ้อมอกของกู้ซิวหมิง เข้าใจดีว่าสิ่งนี้มิใช่ความตั้งใจของท่านพี่ซิวหมิง แต่เป็นผู้อาวุโสในตระกูลกู้ที่ดูแคลนนาง ได้แต่ผงกรับศีรษะเบา ๆ ปล่อยให้ธารน้ำตาสองข้างไหลพรากลงมา เป็นครั้งแรกที่นางได้รับรู้ว่าการเป็นอนุภรรยาในตระกูลบุญหนักศักดิ์ใหญ่ไม่ใช่เรื่องง่าย ในตอนแรกบรรดาเพื่อนบ้านเมื่อรู้ว่านางจะได้เป็นอนุภรรยาของซื่อจื่อฉางซินโหว ต่างก็บอกว่าน
หลี่หว่านเอ๋อร์ฟังแล้ว ทันใดนั้นก็ตึงเครียดขึ้นมา หากนางไม่ตั้งใจเรียนรู้ให้ดี ผู้อาวุโสต้องยิ่งรู้สึกไม่พอใจในตัวนาง คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรนางต้องตั้งใจแสดงออกมาให้ดีเพียบพร้อม …… ณ เรือนเวยหรุยเซวียน เมิ่งจิ่นเหยาได้ยินเสียงฝีเท้า ก็เหลือบสายตาขึ้นมอง เห็นเงาร่างสูงโปร่งเดินเข้ามา บุรุษที่ไม่เปิดเผยอารมณ์ง่าย ๆ บัดนี้กลับมีสีหน้าเยือกเย็นมืดครึ้ม ท่าทางโทสะยังไม่จางหาย เห็นได้ชัดว่าคงเดือดดาลเพราะกู้ซิวหมิงมาไม่น้อย ทว่านั่นก็ปกติแล้ว มีบุตรอย่างกู้ซิวหมิง คนเป็นพ่อคนไหนบ้างจะไม่เดือดดาลโมโห? เมื่อกู้จิ่งซีเข้ามาในห้อง กลิ่นชาอ่อน ๆ ลอยปะทะจมูก ครั้นเหลือบสายตาขึ้นมองไป ก็เห็นแม่นางน้อยที่นั่งอยู่เบื้องหน้าโต๊ะน้ำชา กำลังจิบชาด้วยสีหน้าผ่อนคลาย ท่าทางดูสบายใจไม่เบา สายตาสองคู่ประสานกัน เมิ่งจิ่นเหยาก็หยิบจอกชาสะอาดหนึ่งใบมาและรินน้ำชาเข้าไป ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงอบอุ่นว่า “ท่านพี่ ไม่สู้ดื่มชาคลายโทสะสักหน่อยเป็นอย่างไรเจ้าคะ?” “เช่นนั้นข้าต้องขอรับไว้โดยไม่เกรงใจแล้ว” กู้จิ่งซีขยับก้าวไปนั่งลงตรงข้ามนาง หยิบจอกชาขึ้นดม กลิ่นน้ำชาสดชื่นบริสุทธิ์ หอมกรุ่นอบอวล เขาเม้มริมฝีป
ร้านฉาหรานตอนที่เมิ่งจิ่นเหยาไปถึงห้องส่วนตัว ซ่งซินหนิงก็รออยู่ด้านในแล้วซ่งซินหนิงเทน้ำชาถ้วยหนึ่งให้นางทันที พลางยิ้มและกล่าวว่า “อาเหยา เจ้ามาแล้ว รีบเข้ามานั่งเร็วเข้า ไม่ได้เจอเจ้ามาหลายวัน คิดถึงเจ้าจะแย่”ซ่งซินหนิงในเวลานี้ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มที่มีความสุข มุมปากของเมิ่งจิ่นเหยาก็ยกขึ้นตามไปด้วย พยักหน้าเล็กน้อย และนั่งลงที่ด้านข้างของนาง พลางถาม “อาหนิง สุขภาพของเสิ่นฮูหยินดีขึ้นบ้างหรือไม่?”ส่วนโค้งตรงมุมปากของซ่งซินหนิงยกกว้างขึ้น และกล่าวด้วยน้ำเสียงร่าเริงว่า “อาเหยา วิธีของเจ้ายังคงได้ผล ข้าไปปลอบโยนท่านป้าสะใภ้เสิ่นตามวิธีที่เจ้าบอก ท่านป้าสะใภ้เสิ่นถูกข้าปลอบไปหลายที ทันใดนั้นก็ฮึดสู้ขึ้นมาไม่อยากตายแล้ว นางดื่มยาตรงเวลาทุกวัน และอาการป่วยก็ดีขึ้นแล้ว”เมิ่งจิ่นเหยาดีใจแทนเพื่อนรัก ตราบใดที่เสิ่นฮูหยินดีขึ้นมา งานแต่งงานก็จะสามารถจัดได้ตามกำหนด นางกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “เช่นนั้นก็ดี คนมีชีวิตมักจะมีเป้าหมายอยู่เสมอ หากไม่มีเป้าหมาย ก็จะไร้ความหวัง เหลือเพียงแต่ความผิดหวังเท่านั้น และความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ก็จะไม่เหลือเลย”ซ่งซินหนิงกล่าว “ท่านป้าสะใภ้
เมิ่งจิ่นเหยาตอบกลับ “คาดว่าจะไม่มีแม่นางดี ๆ คนไหนกล้าแต่ง แต่เขาก็แสดงท่าทีอย่างชัดเจนแล้วว่าตั้งใจจะไม่แต่งภรรยา และจะอยู่ด้วยกันแค่กับหลี่อี๋เหนียงไปชั่วชีวิตเท่านั้น”“ไม่แต่งภรรยา?” ดวงตาของซ่งซินหนิงเบิกกว้าง อย่างยากจะเชื่อ “ซื่อจื่อผู้สูงศักดิ์ของจวนโหวไม่แต่งภรรยา ภายภาคหน้าในบ้านก็จะไม่มีนายหญิงมาควบคุมดูแล แม้แต่งานเข้าสังคมก็จะไม่มีนายหญิงไป นี่เขาคิดอย่างไรกัน?”เมิ่งจิ่นเหยายิ้มพร้อมกับกล่าวว่า “ไม่สนว่าเขาคิดอย่างไร? เขาเป็นแบบนี้ก็ดีที่สุดแล้ว จะได้ไม่ต้องเป็นหายนะของคุณหนูที่ไร้ความผิด”ซ่งซินหนิงจิปากสองคำ “เช่นนั้นเขาจะต้องยืดมั่นความคิดในตอนนี้ และภายหลังอย่าได้เปลี่ยนความคิด มิเช่นนั้นจะเป็นหายนะต่อคุณหนูของคนอื่นเขา”เมิ่งจิ่นเหยากล่าว “ต่อไปไม่รู้ แต่ตอนนี้เห็นที เขาจะสามารถยึดมั่นได้”ซ่งซินหนิงหันไปมองอาเมิ่ง อาจเป็นเพราะแต่งงานเข้ามาในจวนฉางซินโหวจะใช้ชีวิตอย่างสบายใจ ไม่ต้องระวังตัวจากการทำร้ายของแม่เลี้ยงอยู่ตลอดเวลา อาเมิ่งในตอนนี้สีหน้าแดงระเรื่อ ใบหน้ายังอวบขึ้นเล็กน้อย ดูจะมีชีวิตชีวาอย่างเต็มเปี่ยมอีก สภาพแวดล้อมหล่อเลี้ยงคนขึ้นมาจริง ๆ ด้วย นางเอ
พลบค่ำ เมิ่งจิ่นเหยากินอาหารค่ำกับซ่งซินหนิงที่ภัตตาคาร หลังกินอาหารค่ำเสร็จ ก็ไปเดินเล่นที่ตลาดกลางคืนด้วยกันอีก คาดว่ายามชวีสี่เค่อ ทั้งสองจึงจะแยกกัน ต่างคนต่างกลับจวนของตนเองเมื่อกลับมาถึงเรือนเวยหรุยเซวียน เมิ่งจิ่นเหยาล้างตัวรอบหนึ่ง จากนั้นก็ให้สาวใช้ออกไป เตรียมตัวจะเข้านอน ทันใดนั้นได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวที่หน้าต่างด้านขวา นางจึงหันไปมองทันที และเห็นเพียงเงาร่างหนึ่งกระโดดเข้ามาจากรูปร่างแล้ว เป็นชายหนุ่มหรือ?ความตระหนักนี่ทำให้เมิ่งจิ่นเหยาร่างกายหนาวเย็นไปทั่วร่าง สีหน้าขาวซีด และปิดปากไว้แน่น ไม่กล้าปล่อยให้ตนเองส่งเสียงออกมาแม้แต่น้อยในเวลาอันสั้น เมิ่งจิ่นเหยาก็คิดความเป็นไปได้นับไม่ถ้วน และคิดว่ามีคนคิดจะใส่ร้ายนาง สามีของนางมีโรคที่บอกคนอื่นไม่ได้ สามีไม่อยู่ที่เรือน จู่ ๆ มีชายหนุ่มปรากฏตัวขึ้นมาในห้อง หากข่าวแพร่ออกไปนางคงซวย และถูกทอดทิ้งอย่างแน่นอน แถมชื่อเสียงก็ถูกทำลายด้วยเวลานี้ ชายหนุ่มคนนั้นปิดหน้าต่างลง และหันกลับมา หลังจากนั้น ใบหน้าที่ราวกับสายลมเย็นและพระจันทร์ที่สดใสก็เข้าสู่สายตาเป็นกู้จิ่งซีเมิ่งจิ่นเหยาทั้งตกใจและทั้งประหลาดใจ แต่ในที่สุ
กู้จิ่งซีถามกลับว่า “อืม มีปัญหาอะไรหรือ?”น้ำเสียงของเขาสงบนิ่งมาก ราวกับการฆ่าคนคือเรื่องที่ปกติธรรมดาเรื่องหนึ่งในสายตาของเขาเมิ่งจิ่นเหยาได้ยิน สีหน้าก็แข็งทื่อ และรู้สึกระทึกเล็กน้อย คำพูดที่เลือดเย็นแบบนี้ไม่ควรออกมาจากปากของกู้จิ่งซี นางถอยหลังก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัว และกล่าวเตือนสติว่า “ฆ่าคนต้องชดใช้ด้วยชีวิต ท่านเป็นถึงเสนาบดีศาลต้าหลี่ นี่เป็นการรู้กฎหมาย แต่จงใจทำผิดกฎหมายไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีตกชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็หัวเราะออกมา และเมื่อเห็นความกลัวในดวงตาของนาง ก็รู้ว่านางเข้าใจผิดแล้ว และหากคืนนี้ไม่อธิบายให้ชัดเจน แล้วตนเองนอนอยู่ข้างกายนาง เกรงว่านางจะฝันร้าย จึงอธิบายว่า “ตอนจับกุมนักโทษที่หลบหนี อีกฝ่ายมีลูกน้องไม่น้อย เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ หากข้าใจอ่อนเกินไป เจ้าคงจะต้องเป็นแม่หม้ายน้อยแล้ว”เมิ่งจิ่นเหยาตกตะลึง นี่เป็นแวดวงที่นางไม่เคยย่างกราย นางคิดว่าเสนาบดีศาลต้าหลี่เป็นราชการฝ่ายพลเรือน ซึ่งฝ่ายนี้ไม่สนใจเรื่องทุบตีไล่ฟัน และสนใจแค่การสืบคดีเท่านั้น แต่ความเป็นจริงกลับไม่เป็นเช่นนี้เลยแต่ เมื่อคิดดูอย่างละเอียด ก็เป็นเรื่องปกติ นักโทษที่ไหนจะให้ทา
วันต่อมาเมิ่งจิ่นเหยากำลังดูแลต้นไม้อยู่ เพราะแต่งงานเข้าจวนฉางซินโหวมา นางไม่ได้ดูแลเรื่องอาหารภายในเรือน ทุกวันจึงว่างมาก นอกจากจะดูแลที่ดินและร้านรวงที่มารดาทิ้งไว้ให้ นางยังดูแลทรัพย์สินส่วนตัวของกู้จิ่งซีด้วยเวลาว่างไม่มีเรื่องอะไรก็แค่อ่านตำรา และดูแลต้นไม้ใบหญ้าเพื่อฆ่าเวลา ไม่ก็ออกไปเดินเล่นที่ร้านขายเครื่องประดับ ร้านขายผงชาด และร้านขายเสื้อผ้า หรือไม่ก็เลือกไปเข้าร่วมงานเลี้ยงที่รู้สึกน่าสนใจจากคำเชิญที่คนอื่นส่งมาให้เวลานี้ เซี่ยจู๋เดินเข้ามาอยู่ตรงหน้า และยอบตัวทำวความเคารพมาทางนาง พลางกล่าวอย่างสุภาพว่า “ฮูหยิน คุณชายรองเมิ่งมาแล้วเจ้าค่ะ”น้องรองมาหรือ?เมิ่งจิ่นเหยาขยับมือเล็กน้อย และรู้สึกประหลาดใจ นางแต่งเข้าจวนฉางซินโหวนานขนาดนั้นแล้ว น้องรองยังไม่เคยมาหานางเลย ครั้งนี้เข้ามาบางทีอาจจะมีเรื่องสำคัญอะไรก็ได้ จึงรีบสั่งว่า “พาเขารับมายังเรือนเวยหรุยเซวียน” ขณะที่กล่าวก็สั่งชิงชิวให้ไปเตรียมน้ำชาด้วยผ่านไปไม่นาน เมิ่งเฉิงจางก็มาถึงเด็กหนุ่มที่อายุสิบสามปี หน้าตาหล่อเหลา ริมฝีปากแดงฟันขาว สุภาพเรียบร้อย ระหว่างการเคลื่อนไหวยังเต็มไปด้วยบรรยากาศของนักปราชญ์ เพร
กู้จิ่งซีค่อนข้างประหลาดใจ “เจ้าใช้วิธีใด ถึงทำให้เขารับสารภาพเร็วขนาดนั้น?”ฉีอวิ้นเหวินหยักไหล่ หัวเราะพลางกล่าว “นั่นไม่ใช่ความดีความชอบของข้า เมื่อวานมีแม่นางคนหนึ่งมาพบเขา ไม่รู้พูดอะไร เขาก็รับสารภาพแล้ว”เมื่อได้ยิน กู้จิ่งซีก็ขมวดคิ้วแน่น และสัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติบางอย่าง “แม่นางผู้นั้นรู้ได้อย่างไรว่าเขาถูกจับตัว?”ฉีอวิ้นเหวินเหลือบมองเขาด้วยสายตาแปลก ๆ และถามกลับว่า “โจรขโมยหญิงงามที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ และชั่วร้ายถูกจับตัวได้แล้ว เป็นเรื่องที่ใหญ่มาก เมื่อคืนข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวงแล้ว หรือว่าเจ้าไม่รู้หรือ? ก็จริง น้องสะใภ้ป่วยแล้ว เจ้าไม่มีกระจิตกระใจจะสนใจเรื่องอื่นก็ปกติ”กู้จิ่งซีปรากฏสายตาที่รู้ทันออกมาฉีอวิ้นเหวินกล่าวอีกว่า “ข้าเห็นแม่นางผู้นั้นแต่งกายเป็นสาวชาวยุทธจักร ซึ่งน่าจะเป็นชาวยุทธจักร และคาดว่าจะมีความเกี่ยวข้องอะไรกับเขา แต่ว่าเรื่องนี้ไม่สำคัญมากนัก เพราะตอนนี้ไขคดีได้ก็พอแล้ว”......จวนฉางซินโหวกู้ซิวหมิงมาคารวะยามเช้าให้เมิ่งจิ่นเหยา เขามาสายก้าวหนึ่ง กู้จิ่งซีเพิ่งออกไป เขาก็เพิ่งจะมาถึงนับตั้งแต่การกักบริเวณสิ้นสุดลง ตราบใดที
เมิ่งจิ่นเหยาก็ไม่ปิดบัง และเล่าเรื่องที่พบหญิงวัยกลางคนในวัดหลินอวิ๋นเมื่อวานตอนบ่ายให้ฟังรอบหนึ่งพูดถึงช่วงสุดท้าย นางก็หัวเราะออกมาเบา ๆ “สวรรค์มีตาจริง ๆ จู่ ๆ ข้าก็ฉุกคิดอยากจะไปจุดธูปให้ท่านแม่ที่โถงหว่างเซิงของวัดหลิงอวิ๋น จึงได้พบอดีตบ่าวรับใช้ของท่านแม่ ท่านป้าท่านนั้นป่วยหนักมาก และเหลือเวลาไม่มากแล้ว หากเมื่อวานข้าไม่ได้ไปเจอนางที่วัดหลิงอวิ๋น ความลับนั้นคาดว่าข้าจะไม่มีทางรู้ไปตลอดกาลเจ้าค่ะ”กู้จิ้งซีสีหน้ามืดมนลง พลางละอายใจต่อวิธีที่พ่อตานั้นทำอย่างมาก แม้จะแต่งงานตามคำสั่งของบิดามารดาและการจับคู่ของแม่สื่อ พลางไม่มีความรักระหว่างชายหญิงต่อแม่ยายเขา จะปิดบังความจริงเพราะรู้สึกผิดก็ช่าง ยังปล่อยให้มารดาและแม่เลี้ยงปฏิบัติต่อบุตรสาวที่บริสุทธิ์อย่างรุนแรงอีกเขาเห็นแม่นางน้อยที่โกรธแค้นผสมปนเปกัน ก็ตบหลังมือของแม่นางน้อยเหมือนจะปลอบใจ และกล่าวอย่างเป็นนัยว่า “ฮูหยิน วิญญาณของแม่ยายที่อยู่บนสวรรค์จะไม่ปล่อยพวกเขาไปแน่”เมื่อได้ยิน สีหน้าของเมิ่งจิ่นเหยาก็ชะงักไป พลางสบตาเข้ากับสายตาที่มีความหมายลึกซึ้งของเขา ก็เข้าใจความหมายของเขา และยกรอยยิ้มที่อันตรายขึ้น “จริงด้วย
เมิ่งจิ่นเหยาถามเสียงเบาว่า “ท่านหมอ เป็นอย่างไรบ้าง?”หมอประจำจวนเก็บนิ้วมือทั้งสามข้อที่อยู่บนแขนของเมิ่งจิ่นเหยากลับลงไป พลางตอบกลับ “ฮูหยิน ท่านมีปมในใจจนเกิดอาการซึมเศร้า แถมยังได้รับความเย็นเกินไปอีก จึงทำให้จู่ ๆ ก็ไข้ขึ้นสูง และจำเป็นต้องใช้ยาคลายเครียดเสียหน่อยก็จะดีขึ้นขอรับ”เมิ่งจิ่นเหยาพยักหน้า “รบกวนท่านหมอแล้ว”“ไม่รบกวนขอรับ” หมอประจำจวนรีบส่ายหน้า และกล่าวอีกว่า “แต่ว่า ฮูหยินร่างกายอ่อนแอ ควรจะบำรุงร่างกายให้ดีตั้งแต่ยังสาวถึงจะได้นะขอรับ”มิ่งจิ่นเหยาฟังจบ ก็ไม่แปลกใจแม้แต่น้อย เพราะนางรู้มาโดยตลอดว่าตนเองร่างกายอ่อนแอ เจ็บป่วยง่าย โดยเฉพาะช่วงที่อากาศเย็น หากไม่ระวังนิดหน่อยก็จะเป็นหวัด เมื่อก่อนตอนอยู่บ้านมารดา นางไม่มีความพร้อมที่จะดูแลตนเอง ตอนนี้อยู่บ้านสามี นางใส่ใจเรื่องการกินมากขึ้น และได้ดื่มน้ำแกงบำรุงร่างกายอยู่เป็นประจำ ช่วงนี้นางจึงรู้สึกดีมาก สีหน้าก็ดูดีขึ้นแล้วนางกล่าวเสียงอ่อนโยน “ปกติข้าก็ดูแลตนเองอยู่แล้ว รบกวนท่านหมอจัดยาคลายเครียดให้ข้าก็พอ”หมอประจำจวนฟังจบ ก็จ่ายยาคลายเครียดให้นาง และให้สาวใช้ตามเขาไปเอายากลับมาต้มหลังหมอประจำจวนจากไป
บนรถม้าชิงชิวกับหนิงตงที่แทบไม่ได้นอนทั้งคืนนั่งพิงกัน และเผลอหลับไปเมิ่งจิ่นเหยาหายป่วยได้ไม่นาน ยังรู้สึกมึนศีรษะ คนทั้งคนก็หมดเรี่ยวแรง จึงเอนหลังพิงผนังรถม้าและหลับตาพักสมองทันใดนั้น รถม้าก็สั่นสะเทือน ท้ายทอยของนางกระแทกเล็กน้อย จึงรีบนั่งตัวตรง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ศีรษะกระแทกอีกกู้จิ่งซีเห็นแม่นางน้อยขมวดคิ้ว พยายามฝืนให้มีชีวิตชีวาขึ้น นั่งตัวหลังตรง ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงยื่นมือโอบนางเข้ามาในอ้อมแขน และให้นางพิงหน้าอกของตนเอง เมื่อสบตาเข้ากับสายตาที่ตกใจของนาง ก็กล่าวด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “หากฮูหยิน อ่อนเพลีย ก็พิงข้าแล้วนอนเสียเถอะ”ตอนนี้เมิ่งจิ่นเหยารู้สึกทั้งตัวไม่มีแรง ศีรษะยังมึน ๆ อยู่ จึงไม่เกรงใจเขา และพิงอยู่บนตัวเขาด้วยความสบายใจอย่าดูถูกแม้กู้จิ่งซีดูจะตัวไม่ใหญ่มาก แต่หน้าอกกว้างใหญ่ พิงอยู่บนตัวเขาอบอุ่นสบายตัว แถมได้กลิ่นดอกกล้วยไม้ที่หอมละมุนจากตัวของเขา ก็รู้สึกสบายใจอย่างอธิบายไม่ถูก แต่กลับไม่มีอาการง่วงเลยบางทีเพราะถูกผู้ชายกอดไว้ในอ้อมแขนเช่นนี้ เลยรู้สึกไม่คุ้นชินหรืออาจเป็นเพราะได้ยินเสียงหัวใจของเขาเต้นตึกตักอยู่ข้างหู มันดังก้องอยู่ที่หู
ท่าทางที่ดูป่วยเช่นนี้ ดูน่าเป็นห่วงยิ่งนักคนที่มีไข้ขึ้นสูง ไม่ควรห่มผ้าจนอบอ้าว ไม่เช่นนั้นอาการป่วยจะแย่ลง เขาจึงเปิดผ้าห่มบางออกให้แม่นางน้อยผ่านไปไม่นาน หนิงตงก็ยกอ่างน้ำอุ่นมาด้วยความรีบร้อน โชคดีที่วัดหลิงอวิ๋นมีคนเข้ามาสักการะอย่างเนืองแน่น ปกติจะมีผู้แสวงบุญมาค้างคืน และมีผู้แสวงบุญจำนวนไม่น้อยที่มาจากครอบครัวร่ำรวย ดังนั้นเพื่อความสะดวกสบายของแขก ตอนกลางคืนภายในวัดก็มีกักเก็บน้ำร้อนไว้หนิงตงวางอ่างทองแดง พลางถาม “ท่านโหว น้ำอุ่นยกเข้ามาแล้ว ต้องทำอย่างไรหรือเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีตอบกลับ “เช็ดหน้าผาก คอ รักแร้ และแขนขาให้ฮูหยินเพื่อระบายความร้อน”หนิงตงตอบรับ ยกอ่างทองแดงมาข้างหน้าทันที พลางวางอ่างน้ำไว้บนเก้าอี้ที่อยู่หน้าเตียง และเตรียมจะถอดเสื้อผ้าให้นายหญิง ก็มองไปทางกู้จิ่งซีโดยไม่รู้ตัว พบว่าเขาหันหลังให้พวกนาง นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างโต๊ะน้ำชาเมื่อเห็นดังนั้น หนิงตงก็ตกตะลึงเล็กน้อย และแอบพูดในใจว่า ท่านโหวเป็นสุภาพบุรุษจริง ๆ แม้จะเป็นสามีภรรยากับฮูหยิน ก็ไม่ได้ฉวยโอกาสเอาเปรียบหนิงตงไม่คิดอะไรมาก ก็ถอดเสื้อผ้าให้เมิ่งจิ่นเหยาด้วยความเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว และเช็ดตั
ในวินาทีนั้น เมิ่งจิ่นเหยาทำจิตใจให้สงบ ก้มหน้าลงมอง เห็นว่าบาดแผลที่มือซ้ายใช้ผ้าพันแผลพันไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อมองเพียงแวบแรกดูท่าทางเหมือนว่าบาดเจ็บสาหัส จึงกล่าวออกมาอย่างอดไม่ได้ว่า “ตอนนี้เลือดไม่ซึมออกมาแล้ว อันที่จริงไม่พันแผลก็ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”กู้จิ่งซีเหลือบมองนาง พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ถึงแม้ไม่ใช่บาดแผลสาหัส แต่หากไม่พันแผล เมื่อชนหรือกระแทกเข้าโดยไม่ระวังแล้วเลือดไหลออกมาอีก ไม่เป็นผลดีต่อการฟื้นตัว โดยเฉพาะบาดแผลที่ข้อศอก เนื้อผ้าเสียดสีก็อาจเจ็บได้เช่นกัน”เมิ่งจิ่นเหยาตะลึงเล็กน้อย แล้วพยักหน้าในทันทีหลังจากนั้นไม่นาน นางก็ถูกมือของกู้จิ่งซีดึงดูดความสนใจไป มือคู่นั้นเรียวยาวและขาวสะอาด ข้อต่อชัดเจน ราวกับหยกขาวที่แกะสลักอย่างประณีต ดูแล้วสบายตาสบายใจนักเมื่อหลุดออกจากความคิด นางก็ใจลอยอีกครั้งผ่านไปเป็นเวลานาน กู้จิ่งซีช่วยนางพันแผลจนเสร็จ และปล่อยมือของนาง เมื่อเห็นว่ามือขวาของนางยังยกอยู่ ก็กล่าวว่า “ฮูหยิน เสร็จแล้ว”แต่เมิ่งจิ่นเหยาดูเหมือนจะไม่ได้ยินคำพูดของเขา เขาจึงเรียกอีกครั้ง “ฮูหยิน?”เวลานี้ เมิ่งจิ่นเหยาถึงค่อย ๆ ได้สติกลับมา และพบกับส
เขากำลังเตรียมจะปลอบโยนนางสักหลายประโยค ทำให้อารมณ์ของแม่นางน้อยสงบลง แล้วค่อยถามให้ชัดเจนอีกครั้งว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่ ทว่าเวลานี้ หนิงตงได้ยกอ่างน้ำสะอาดเข้ามา เขาจึงกลืนคำพูดที่ติดอยู่ตรงริมฝีปากกลับเข้าไปหนิงตงนำอ่างน้ำมาวางไว้บนโต๊ะ ถามด้วยน้ำเสียงนอบน้อมว่า “นายท่าน ให้ใช้น้ำในอ่างเช่นไรเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีกล่าวกำชับ “ไปหาผ้าสะอาด ๆ มา”หนิงตงรับคำ ไม่นานก็หาผ้าเช็ดหน้าสะอาดที่อยู่ในสัมภาระมาหนึ่งผืน ผ้านี้เตรียมไว้สำหรับให้นายหญิงของนางใช้ล้างหน้ากู้จิ่งซีเหลือบมองไปที่แม่นางน้อย ลังเลอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็รับผ้าเช็ดหน้ามา กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ข้าคนเดียวก็พอแล้ว เจ้าออกไปก่อนเถิด”หนิงตงเหลือบมองนายหญิง เมื่อเห็นว่านายหญิงไม่ได้เอ่ยปากบอกให้นางอยู่ต่อ ก็รับคำแล้วถอยออกไปกู้จิ่งซีกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “มาล้างบาดแผลสักหน่อย ตอนที่เจ้าล้มลงไปเนื้อหนังถลอก แล้วบาดแผลก็เปื้อนฝุ่นด้วย”เมื่อได้ฟังดังนั้น เมิ่งจิ่นเหยาไม่ได้ลังเล ลุกขึ้นแล้วเดินมากู้จิ่งซีดึงมือของนาง ช่วยนางทำความสะอาดบาดแผลที่ฝ่ามือด้วยท่าทีที่อ่อนโยนเมื่อบาดแผลสัมผัสกับน้ำ เมิ่งจิ่นเหยาเจ็บปวดเส
กู้จิ่งซีจับจ้องนางอย่างไม่วางตา พลางถามด้วยเสียงอ่อนโยน “ฮูหยิน วันนี้เกิดเรื่องอันใดขึ้นงั้นหรือ?”เมื่อได้ฟังดังนั้น ใบหน้าของเมิ่งจิ่นเหยาก็เต็มไปด้วยความงุนงง พลางถามกลับไปว่า“เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ท่านพี่ก็เห็นหมดแล้วมิใช่หรือเจ้าคะ?”นางกล้าพูดได้เลยว่า นางโตถึงเพียงนี้แล้ว ยังไม่เคยเจอเรื่องที่ตื่นเต้นระทึกขวัญเช่นนี้มาก่อน เพียงชั่วพริบตาเดียวที่รอดพ้นจากความตาย ชีวิตนี้ไม่คิดจะพบเจออีกเป็นครั้งที่สองกู้จิ่งซีเห็นสีหน้าของนางงุนงง ไม่ได้จงใจแสร้งทำเป็นฟังไม่เข้าใจ จึงสัมผัสที่ฝ่ามือของนางอย่างแผ่วเบา พลางถามต่อว่า “เกิดอันใดขึ้นกับมือนี้ของเจ้า? ล้มลงไม่สามารถเกิดบาดแผลเช่นนี้ได้”เมิ่งจิ่นเหยาตกตะลึงไปชั่วขณะ ก้มหน้ามองฝ่ามือของตนเอง บนฝ่ามือยังมีผลงานชิ้นเอกของตนเองเมื่อบ่ายอยู่ เมื่อคิดถึงเรื่องที่พบกับสตรีวัยกลางคนผู้นั้นขึ้นมาได้ ดวงตาของนางก็หม่นลงในฉับพลัน และอยากจะกำมือของตนเองแน่นอีกครั้งโดยไม่รู้ตัวกู้จิ่งซีที่สายตาเฉียบคมและมือไว รีบกุมมือทั้งสองข้างของนางไว้แน่น ขัดขวางการกระทำของนาง เล็บของนางจะได้ไม่บาดบาดแผลและมีเลือดไหลซึมออกมาอีกเล็บของแม่นางน้อยไ
เมื่อกู้จิ่งซีได้ฟังก็รู้สึกใจอ่อน พลางกล่าวอย่างอ่อนโยน “ให้ข้าดูหน่อย” เมื่อกล่าวจบ เขาก็ยอบกายลง ยกชายกระโปรงของนางขึ้น เตรียมจะดูอาการบาดเจ็บของนาง เมิ่งจิ่นเหยาสีหน้าชะงักค้าง กำลังจะเอ่ยปากขัดขวาง ทว่าเมื่อกลับมาคิดดูอีกทีแล้ว ต่างก็เป็นสามีภรรยาที่นอนหลับอยู่บนเตียงเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องรักษาขอบเขตระหว่างชายหญิงอันใดหลังจากกู้จิ่งซียกชายกระโปรงของนางขึ้นแล้ว มือหนึ่งก็จับไปที่ข้อเท้าขวาของนาง ส่วนอีกข้างม้วนขากางเกงของนางขึ้น เมื่อม้วนขากางเกงไปจนถึงเหนือหัวเข่า ก็จะเห็นได้ว่าตรงหัวเข่าที่ถูกกระแทกตอนล้ม เป็นรอยฟกช้ำไปเรียบร้อยแล้ว ทว่าไม่ได้ร้ายแรงนักกู้จิ่งซีเห็นว่าบาดแผลไม่หนักมาก จึงวางขานางลง แล้วไปดูบาดแผลที่ข้อศอกของนางนางล้มลงไปข้างหน้า บาดแผลตรงข้อศอกจึงชัดเจนมากนัก เสื้อผ้าในฤดูร้อนจะค่อนข้างบางเบา เสื้อผ้าบริเวณข้อศอกล้วนมีร่องรอยขีดข่วนอย่างชัดเจนพอพับแขนเสื้อของนาง ก็เผยให้เห็นแขนที่ขาวราวกับหิมะ เมื่อพลิกข้อศอกก็สามารถมองเห็นได้ว่าผิวหนังถลอกและมีเลือดออกที่แขนทั้งสองข้างของนาง ผิวหนังโดยรอบบวมแดงเล็กน้อย บาดแผลนี้เมื่ออยู่บนมือที่เดิมทีขาวสะอาดไร้ที่ติรา