บทที่ 2 หมู่บ้านจั๋วมู่หลาง
“ท่านป้าเมื่อไหร่ท่านพี่จิ้นหยางจะฟื้นเสียที นี่ก็หลายชั่วยามแล้วหรือว่าท่านพี่จะจากข้าไปแล้ว” เสียงเจี้ยวจ้าวของใครกันนะมารบกวนฉันแบบนี้รู้มั้ยว่าเวลานี้เป็นเวลาพักผ่อนของฉันโอ๊ยอยากจะบ้าตาย ลี่หยางบ่นพึ่มพำก่อนจะลืมตาขึ้นอย่างล้า ๆ
“โอ๊ะ! ท่านป้าท่านพี่ฟื้นแล้ว ท่านพี่ท่านฟื้นแล้วท่านรู้มั้ยว่าข้าตกใจแค่ไหนที่คิดว่าท่านพี่จะจากไปตอนอายุเพียงเท่านี้ จากนี้ไปท่านพี่ห้ามไปที่แม่น้ำเพียงผู้เดียวอีกนะ” เด็กหนุ่มก้มลงมากอดร่างของลี่หยางทำให้เขาตกใจเพราะไม่เคยพบเจอกับเด็กนี่ัสักครั้งแต่เขาก็ต้องแปลกใจมากกว่าเดิมที่เห็นสภาพบ้านที่เก่าทรุดโทรมทำด้วยไม้คล้ายกระท่อม และเสื้อผ้าที่สวมใส่และต้องแปลกใจอีกครั้งเมื่อเห็นผู้หญิงแก่คนหนึ่งเดินมาหาเขาด้วยรอยยิ้มพร้อมโอบกอด
“จิ้นหยางของข้า โล่งอกไปทีสวรรค์เมตตาเจ้ายิ่งนัก” เธอเข้ามาสวมกอดลี่หยางอีกคนทำให้เขาเริ่มหายใจไม่ออกและตะโกนออกมา
“โอ๊ย! ปล่อยฉันนะ ” ทั้งสองผละออกห่างจากร่างกายของลี่หยางและจ้องมองเขาอย่างแปลกใจ
“เอ๊ะ! เจ้าเป็นอะไรหรือว่าไม่สบายตรงไหนข้าจะไปตามท่านหมอประจำหมู่บ้านมาตรวจเจ้าอีกที นี่เจียวซิ่งเจ้าอยู่นี่กับจิ้นหยางก่อนนะ เดี๋ยวข้ามา” หญิงชราก็ได้เดินออกไป สมองของลี่หยางเริ่มประมวณผลก็ก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าเขานั้นถูกรถชนและกระเด็นตกทะเลหรือว่าที่นี่จะเป็นสวรรค์แต่เอ๊ะสวรรค์เหตุใดถึงเป็นแบบนี้ เจ้าเด็กที่อยู่ตรงหน้าก็จ้องไม่ละสายตา
“นี่นาย ...ที่นี่ไหน ที่นี่ใช่สวรรค์ใช่มั้ย? นายคงจะเป็นผีสินะ”
คำพูดของลี่หยางสร้างความแปลกใจให้เจียวซิ่งยิ่งนักเขาคิ้วขมวดและจับที่ใบหน้าของลี่หยางส่ายไปมา
“ท่านพูดจาแปลกไปหรือว่าน้ำเข้าไปในสมองของท่านถึงได้พูดจาเช่นนี้ จำแม้กระทั่งข้าไม่ได้เช่นนี้ ข้ายังไม่ตายสักหน่อย ที่ ๆ เราอยู่ก็หมู่บ้านจั๋วมู่หลางเป็นบ้านเกิดของท่านพี่ ข้าว่าท่านพี่ต้องมีปัญหาแน่ๆ ” ลี่หยางเบิกตาโพลงโตหากว่าเขาไม่ตายแล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนกันนะ และเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่อยู่นี้ช่างเหมือนกับชุดสมัยโบราณหรือว่าเขานั้นย้อนเวลากลับมา เมื่อคิดได้เช่นนั้นลี่หยางจึงได้ถามเด็กที่นั่งอยู่ต่อหน้าออกไป
“หากฉันไม่ตาย นายไม่ตายแล้วตอนนี้ที่บ้านเมืองใครเป็นคนปกครองรัฐมนตรีชื่อว่าอะไร”
“รัฐมนตรีอะไรของท่านนะข้าไม่เข้าใจ แต่หากท่านถามว่าฮ่องเต้ชื่อว่าอะไรนั้นข้าตอบให้ท่านได้ ตอนนี้ราชวงศ์ซ่งปกครองอยู่ ”
สมองของลี่หยางเริ่มคำนวนหากนี่เป็นราชวงศ์ซ่งก็หมายความว่าเขานั้นได้ตายและทะลุมิติเข้ามา แล้วร่างของชายผู้นี่ก็คงเป็นบุตรของผู้เฒ่าคนเมื่อครู่สินะ
“ไม่จริง ไม่จริงฉันไม่เชื่อ!!!” ลี่หยางใช้มือทั้งสองข้างกุมขมับของตนเองอย่างไม่น่าเชื่อ
“ท่านเป็นอันใด ท่านฟื้นมาก็ดีแล้วท่านป้าเป็นห่วงท่านมากหากไม่มีท่าน ท่านป้าจะอยู่อย่างไร? ท่านพี่ก็รู้ว่าใต้เท้ามู่นั้นขูดรีดเรายิ่งนักยิ่งไม่มีของไปให้อย่างนี้ ท่านป้าก็อาจจะโดนทุบตีได้ โชคดีเหลือเกินที่ท่านฟื้นขึ้นมา” พูดจบเด็กหนุ่มก็ได้กอดลี่หยางด้วยความโล่งใจใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“แล้วทำไมเราต้องกลัวใต้เท้านั้นด้วย ” ลี่หยางยังคงติดคำพูดของตนเอง ที่มาจากอนาคตทำให้เจียวซิ่งถึงกับทำหน้างงไม่เข้าใจเล็กน้อย
“ข้าว่าสมองท่านคงต้องเกิดเรื่องอันใดขึ้นเป็นแน่ ท่านป้าไปตามท่านหมอนานมาเหลือเกิน ” เจียวซิ่งเหลียวออกไปมองด้านนอกเพื่อดูว่าท่านป้าของตนมาถึงหรือยังก็พบว่ากำลังเดินมากับท่านหมอประจำหมู่บ้าน
“ท่านป้ามาแล้ว ” เจียวซิ่งเดินไปรับกล่องเครื่องมือของท่านหมอและเดินเข้ามาด้านในพร้อมกับบอกอาการของลี่หยาง
“ท่านหมอ พี่จิ้นหยางของข้าสมองน่าจะมีปัญหาคำพูดคำจาเขาดูเปลี่ยนไปท่านช่วยตรวจดูให้ด้วยขอรับ” ใบหน้าแสดงความกังวลของหญิงชราหรือท่านแม่ก็ได้พูดขึ้นมานางรีบเดินไปหาบุตรของตนด้วยความห่วงใย
“โธ่! จิ้นหยางของข้า ร่างกายของเจ้าก็บอบบางอยู่แล้ว เจ้าไม่น่าจะออกไปหาปลามาให้ข้าเลยแค่งานที่เจ้าทำอยู่ก็หนักเกินไปแล้ว” แม้ลี่หยางจะยังไม่ค่อยชินนักแต่เขาก็รับรู้ได้ว่าหญิงชราผู้นี้รักและเป็นห่วงเขาอย่างจริงใจ เขาจึงโอบกอดร่างที่ผอมแห้งของท่านแม่ อย่างไม่เคยได้รับไออุ่นมาก่อนในชีวิต นี่เขาจะมีแม่กับเขาจริง ๆ นะหรือ ?
“ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว ฉันจะสบายดีแม่นั่นแหละที่ดูไม่แข็งแรง” คำพูดที่ออกมาจากปากของลี่หยางทำให้หญิงชราตื่นตระหนกที่เห็นอาการของบุตรนั้นแย่กว่าที่คิด นางรีบลุกขึ้นจากเตียงของเขาและรีบใช้ท่านหมอตรวจดูโดยด่วน
“ท่านหมอรีบมาตรวจดูให้ข้าที ข้าว่าน้ำต้องเข้าไปสู่สมองของเขาเป็นแน่”
ท่านหมอไม่รอช้ารีบคว้าเข็มที่ยาวมาก ๆ จนลี่หยางเห็นก็กลัวจนแทบจะวิ่งออกไปด้านนอก เขานึกขึ้นได้นี่มันเป็นเข็มที่ใช้รักษาในสมัยอดีต หากไม่อยากที่จะถูกฝังเข็มเขาต้องปรับตัวและปรับการพูดเป็นการโดยด่วนโชคดีที่ลี่หยางนั้นชอบดูซีรี่ส์จึงไม่ยากที่จะพูดเช่นเดียวกับผู้คนที่นี่
“ท่านแม่ ข้าไม่ได้เป็นอันใด ท่านหมอท่านโปรดวางเข็มลงก่อน ข้าแค่รู้สึกเหมือนจะเป็นไข้เล็กน้อย ท่านช่วยจัดยาและกลับไปเถอะขอรับ แฮะ ๆ” ลี่หยางรีบจับมือของท่านหมอให้เก็บเข็มโดยด่วน
“เอาอย่างที่เจ้าว่าก็ได้ นี่คือยาต้มข้าจะให้เจ้าโดยไม่คิดแม้แต่สลึงเดียว เพราะเจ้าเคยช่วยข้าไว้หลาย ๆ อย่างหากเจ้าสบายดีแล้วก็อย่าลืมไปเก็บยาสมุนไพรมาขายให้กับข้าอีก หากเจ้าไม่อยากได้เบี้ยก็เอาเป็นข้าวสารก็ย่อมได้” ท่านหมอวางยาและเดินออกไป ลี่หยางครุ่นคิดนี่เขาได้ย้อนเวลากลับมาเกิดเป็นคนจนอย่างนั้นหรือ? ขนาดข้าวยังไม่มีจะกิน ทำไมโชคชะตาถึงได้กลั่นแกล้งเขาทุกภพชาติเช่นนี้ ไม่ได้การในเมื่อย้อนมาแล้ว เขาจะลิขิตชะตาชีวิตของตนเองให้มีชีวิตที่ร่ำรวยให้ได้
“หากเจ้าไม่เป็นอันในใดแล้วข้าก็โล่งใจ เช่นนี้เจ้าเองก็นอนพักเถิดนะ ข้าจะออกไปแบกฟืนมาไว้ก่อไฟเสียก่อน” ลี่หยางมองดูรอยเหี่ยวย่นของใบหน้าและตามตัว นางน่าจะอายุไม่ใช่น้อย ๆ เพราะความจนจึงต้องใช้ชีวิตดิ้นรน ลี่หยางคว้ามือที่เหี่ยวหยาบกระด่างของมารดาตนเองมาจับไว้
“ท่านแม่ ข้าจะไปเองท่านพักผ่อนเถอะ ข้าไม่อยากให้ท่านแม่ต้องเหนื่อยอีกต่อไปแล้ว ต่อจากนี้ข้าจะดูแลท่านแม่เอง ”
“ท่านพี่จิ้นหยาง ท่านพึ่งฟื้นนะ จะไปแบกฟืนไหวหรือ ” เจียวซิ่งรีบห้ามปราม ลี่หยางจึงได้ลุกขึ้นและแสดงความแข็งแกร่งให้เจียวซิ่งได้ดูโดยการอุ้มร่างกายของเจียวซิ่งลอยขึ้นกับพื้น
“ท่านพี่ปล่อยข้าลง ข้ากลัวความสูง ” เจียวซิ่งร้องโวกเวกโวยวายออกมาด้วยความกลัวทำให้ท่านแม่ของจิ่นหยางหัวเราะออกมาเมื่อเห็นบุตรชายของตนเองหายดีแล้ว
นางจึงเดินไปหยิบผ้าที่ใช้มัดฟืนเพื่อแบกกลับบ้านให้แก่จิ้นหยาง
จิ้นหยางเดินออกมาด้านนอกเงยหน้ามวลเมฆฟ้ามืดครึ้มเกาะรวมตัวเป็นท้องฟ้าหม่นแสง คล้าย ๆ กับว่ากำลังจะเกิดพายุฝนเช่นนี้เขาจะออกไปตัดฟืนได้อย่างไร เขากำลังหันหลังกลับไปที่กระท่อมเพื่อถอดใจ แต่แล้วเจียวซิ่งก็วิ่งออกมาพร้อมหมวกถักไม้ไผ่
"ท่านพี่ ข้าจะออกไปกับท่านพี่ด้วยกลัวว่าท่านจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น " จิ่นหยางมองด้วยสายตาดีใจเขาพึ่งนึกได้ว่าเขานั้นไม่รู้ว่าป่าที่ไปเอาไม้ฟืนอยู่ที่ใด อย่างน้อยก็มีเจ้าเด็กนี่ตามไปด้วยก็ดีเช่นกัน
"ก็ดีเช่นกันที่มีเจ้าไปด้วย ช่วงนี้ข้าจำไม่ค่อยได้ว่าป่าไปทางใดเจ้านำทางไปแล้วกัน แต่ข้าว่าฝนต้องตกแน่เลยเจ้าดูท้องฟ้านั้นสิ"
"ท่านไม่ต้องกังวลไป หากว่ามีฝนตกระหว่างทางข้าจะพาท่านไปหลบฝนเอง รีบไปเถอะเดี๋ยวจะมืดเสียก่อน" เจียวซิ่งมองไปบนท้องฟ้าและพูดออกมาเพื่อให้จิ้นหยางสบายใจ ทั้งคู่ก็ได้ออกเดินทางยังป่าที่ไม่ห่างไกลจากหมู่บ้านนัก
บทที่ 3 ทำไมต้องกลัวระหว่างทางจิ้นหยางก็ได้ถามเจียวซิ่งเกี่ยวกับใต้เท้ามู่ว่าเหตุใดต้องเกรงกลัวด้วย เจียวซิ่งก็ได้เล่าให้ฟังว่าท่านป้านั้นได้ไปหยิบยืมเมล็ดพันธุ์ข้าวมาปลูกแต่ทว่าไม่มีความรู้แล้วแห้งแล้ง ทำให้ไม่มีผลผลิตและไม่มีข้าวไปคืนท่านใต้เท้าทำให้เขาคิดเป็นจำนวนพร้อมดอกเบี้ยที่มากมายมหาศาล ใต้เท้าเป็นคนมักโลภหากผู้ใดได้ดีก็มักจะกลั่นแกล้ง แต่หากว่าผู้ใดแบ่งผลผลิตให้ก็จะปล่อยผ่าน เป็นอยู่อย่างนี้มาเนิ่นนานทำให้ใต้เท้าผู้นี้ร่ำรวยขึ้นทุกวัน เมื่อจิ้นหยางได้ฟังก็กำหมัดแน่นเช่นนี้ก็ไม่ต่างจากรีดเลือดกับปู“เหอะ เป็นคนเห็นแก่ตัวแก่ได้จริง ๆ ตอนนี้ดูท่าฝนจะตกแล้ว ฉันจะต้องทำทุกอย่างเพื่อหาทางใช้หนี้ใต้เท้ามู่ผู้นี้ให้ได้ ชีวิตของฉันต่อจากนี้จะได้สุขสบาย” จิ้นหยางครุ่นคิดในใจพลางเดินตามหลังเจียวซิ่งไปในป่า ไม่นานนักก็ถึงป่า ไม้แห้งน้อยใหญ่เต็มไปหมดเจียวซิ่งวางผ้ามัดฟืนเอาไว้ที่พื้นก่อนจะเดินเก็บมาใส่ผ้าให้ได้มากที่สุด จิ้นหยางเห็นดังนั้นจึงรีบทำตามเจียวซิ่งโดยไม่รอช้า ในที่สุดทั้งสองก็พากันเดินกลับเรือนครั้นใกล้จะถึงกระท่อมของจิ้นหยางเม็ดฝนเริ่มโปรยปรายลงมาอย่างโหมกระหน่ำ เจียวซิ่งหั
บทที่ 4 ลงมือปลูกผักเสียงนกขับขานร้องส่งกันไปมา แสงสว่างจากดวงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาในกระท่อมแยงตาผู้ที่นอนลับสนิทให้รู้สึกตัว จิ้นหยางลืมตาขึ้นกวาดสายตามองต้องสะดุ้งตกใจอีกครั้งก่อนจะนึกออกได้ว่าตัวเองทะลุมิติมาจากที่อื่น"เฮ้อ! คิดว่าฝันไปเสียอีก คงเป็นฟ้าลิขิตสินะ " จิ้นหยางเอ่ยพลางยันกายลุกขึ้น มองเห็นสตรีที่นอนอยู่บนเตียงยังไม่ตื่นจึงค่อย ๆ ลุกขึ้นไม่ให้เกิดเสียงดังก่อนเข้าไปที่ครัว เพื่อทำอาหารเช้าเมื่อเข้ามาในครัวยามนี้มีเพียงมันเทศเท่านั้นที่เหลืออยู่ นี่คงเป็นอาหารสุดท้ายแล้วสินะ"คงไม่มีทางเลือกแล้วต้องทำอันนี้กินสินะ ว่าแล้วเชียวทำไมเจียวซิ่งถึงได้ไม่อยากกินข้าวเย็นด้วย " จิ้นหยางเอ่ยพึมพัมก่อนจะจัดการนำมันไปเผาเพื่อกินประทังชีวิตเมื่อจัดการมันเสร็จจิ้นหยางได้ออกไปสำรวจบริเวณรอบ ๆ กระท่อม บรรยากาศกำลังเย็นสบายหลังจากที่ฝนตกไปทั้งคืนเช้านี้จึงมีหมอกควันลอยบนท้องฟ้า"พี่จิ้นหยางข้ามาแล้วขอรับ " พลันเสียงของเจียวซิ่งดังขึ้น จิ้นหยางหันขวับไปมองทันที"เจ้าเด็กคนนี้คงจะติดจิ้นหยางนี่มากสินะ ทั้ง ๆ ที่เช้าขนาดนี้ยังเร่งรีบมาที่นี่ แต่ก็ดีเหมือนกันฉันเองจะได้ไม่เหงา " จิ้นหยางพูด
บทที่ 5 ท่านเจ้าเมืองคนใหม่ทั้งสองพากันเดินเข้ามาในตลาดช่างคึกคักตื่นตาตื่นใจของจิ้นหยางเหลือเกิน การที่เขาทะลุมิติมายังที่แห่งนี้ไม่ได้มีเรื่องร้ายอะไรนอกจากความยากจน ที่นี่ทั้งบรรยากาศสิ่งแวดล้อมแตกต่างจากที่เขาอยู่ยิ่งนัก แม้จะลำบากอยู่บ้างแต่เขาสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว“พี่จิ้นหยางรีบเดินตามข้ามาขอรับ เดินไปอีกไม่ไกลเท่าไหร่จะเจอเรือนของท่านเจ้าเมืองแล้วขอรับเห็นด้านหน้านั้นหรือไม่? ผู้คนจอแจเต็มหน้าเรือนสงสัยจะมาร่วมงานเลี้ยงต้อนรับ ข้าได้ยินมาว่าท่านเจ้าเมืองที่ย้ายมาใหม่มีใบหน้าที่หล่อเหลาข้าชักอยากจะเห็นแล้วสิว่าจะหล่อเท่าข้ามั้ย” จิ้นหยางมองใบหน้าของเจียวซิ่งก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างขบขันในความมั่นอกมั่นใจของเขาเหลือเกิน“พี่จิ้นหยางหัวเราะข้าอย่างนั้นหรือ? ท่านไม่รู้สินะว่าข้านะมีใบหน้าหล่อเหลาที่สุดในหมู่บ้านแห่งนี้แล้ว หากข้าเติบโตอีกสักหน่อยคงจะมีสตรีมากมายเข้าหาจนน่ารำคาญแน่นอน”“ข้ายังไม่ได้ว่าอะไรเจ้าเลยนะ ไหนล่ะทางที่เจ้าจะพาหาเข้าไปหาอาหาร เท่าที่ข้าดูผู้ที่เข้าไปต้องมีเทียบเชิญมิใช่หรือ” สองเท้าก้าวมาถึงหน้าเรือนเห็นคนที่เข้าไปต้องยื่นเทียบเชิญให้แก่บ่าวรับใช้ที่
บทที่ 6 ถูกใจบ่าวใช้หน้าหวาน อวิ้นหลี่ว์ เจ้าเมืองที่ย้ายมาหมู่บ้านแห่งนี้เพราะเขาเบื่อหน่ายเมืองหลวงที่วุ่นวายและบ่าวมากมายรวมถึงเหล่าใต้เท้าที่มักประจบสอพอจึงขอออกมาเป็นเจ้าเมืองที่ชนบทมาอยู่ในที่เงียบสงบ แม้จะทำใจเรื่องงานเลี้ยงฉลองที่น่าเบื่อแต่อย่างไรก็มีเพียงแค่วันเดียวเท่านั้น เขาจึงนั่งร่วมฉลองอยู่กับเหล่าใต้เท้าที่อยู่ในหมู่บ้านนี้รวมถึงเรือนของคนมีฐานะที่เข้ามาแสดงความยินดี ความเบื่อหน่ายที่พบเจออยู่บ่อย ๆ จนเคยชินจู่ ๆ สายตาพลันมองไปเห็นบุรุษใบหน้าหวานแต่งกายเหมือนเป็นบ่าวในเรือนนี้ช่างสะดุดตามากกว่าทุกคนที่เขาเคยพบเจอมา ดวงตากรีดยาวเศร้าหมองแต่ช่างดึงดูดเขายิ่งนัก การแสดงที่อยู่ตรงหน้ายังไม่น่ามองเท่าบ่าวรับใช้ผู้นั้นแม้แต่น้อย ยิ่งยามที่มือเรียวยาวหยิบจับอาหารเข้าปากริมฝีปากอ้ารับอาหารเข้าไปเคี้ยวกินยิ่งทำให้เขาสั่นไหว อยากจะครอบครองร่างกายของบ่าวผู้นี้เหลือเกิน คิดไม่ผิดเลยที่ครั้งนี้เขาย้ายมาอยู่ที่แห่งนี้ ราวกับพบเจอทับทิมแสนงาม ครั้นสายตาของเขาหันไปทางอื่นชั่วครู่หันกลับมาไม่เห็นแม้กระทั่งเงาของบ่าวผู้นั้น อวิ้นหลี่ว์รีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ร่ำลาทุกคนให้ทุกคนดื่มด่ำ
บทที่ 7 มาบำเรอข้า“ท่านเจ้าเมืองข้าขออภัยด้วยเพราะข้าซุ่มซ่ามเอง ไม่ทันระวังทำให้หล่นลงมาในอ่างกับท่าน” น้ำเสียงสั่นระรัวรีบเอ่ยบอกพลางยันกายลุกขึ้นแต่ทว่ากลับถูกอวิ้นหลี่ว์ใช้มือจับปลายคางมนให้เงยหน้าขึ้นเพื่อมองให้ชัดเจน ดวงตาของจิ้นหยางช่างดึงดูดเขาเหลือเกิน ริมฝีปากเผยอราวกับยั่วยวนอวิ้นหลี่ว์ให้ลิ้มลอง ร่างกายของเขาอวิ้นหลี่ว์เลือดลมกระฉูดทั่วร่างหากปล่อยบ่าวผู้นี้ออกไปจากอ่างน้ำวันนี้เขาคงนอนไม่หลับแน่ ๆ“ข้ายังไม่ได้ว่าอันใดเจ้าสักนิดอีกอย่างมิใช่เจ้าซุ่มซ่ามแต่เป็นข้าต่างหากที่ทำให้เจ้าลงมาแช่น้ำกับข้าเช่นนี้เจ้าชื่ออันใดหรือ”“เอ่อ...ข้าน้อยมีนามว่าจิ้นหยางขอรับ” เพราะน้ำเสียงที่นุ่มนวลอ่อนหวานกำลังเอ่ยถามทำให้จิ้นหยางไม่ทันได้คิดจึงเอ่ยบอกชื่อตนเองออกไป“ชื่อไพเราะเสียจริง ต่อจากนี้เรียกข้าว่าท่านเจ้าเมืองหลี่ว์ ไหนลองเรียกสิ”“ท่านเจ้าเมืองหลี่ว์” น้ำเสียงสั่นกระเส่าเรียกดวงตาหลุบลงด้วยความเขินอายเมื่อถูกเขาจับปลายคางให้เงยมอง จิ้นหยางใจสั่นไหวเมื่อถูกเขาสัมผัสอย่างอ่อนโยน ทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกของจิ้นหยางเจ้าเมืองหลี่ว์มิอาจจะอดกลั่นที่จะครอบครองร่างกายที่อยู่เบื่องหน้
บทที่ 8 กลืนกินกันและกันอวิ้นหลี่ว์ปล่อยมือออกจากแท่งร้อนของจิ้นหยางเงยหน้าขึ้นยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจที่เห็นจิ้นหยางเหนื่อยหอบอยู่ตรงหน้า แต่เขาไม่ให้จิ้นหยางได้พัก จับแขนของจิ้นหยางให้หันมาหาตน“ในเมื่อข้าทำเจ้าเสร็จแล้วถึงตาข้าจะมีความสุขบ้างแล้ว ดูสิมังกรของข้าตั้งผงาดรอเจ้าปรนนิบัติอยู่” จิ้นหยางหมั่นไส้คนตรงหน้าเหลือเกินทำไมเขาถึงได้เอ่ยมาอย่างไม่อายอย่างนี้ จิ้นหยางจ้องมองแท่งร้อนของท่านเจ้าเมืองก่อนจะใช้มือทั้งสองสาวขึ้นลงสายตาจ้องมองใบหน้าของเขา หากเขาตั้งใจทำให้เสร็จคงจะหนีออกไปได้ รีบมาทำให้จบเสียทีไม่เช่นนั้นท่านแม่จะเป็นห่วงเมื่อคิดได้เช่นนั้นจิ้นหยางก้มลงครอบปากสวมแท่งเนื้อลำยาวจนคนถูกกระทำหน้าบิดเบี้ยวแสดงความเสียวซ่านเมื่อปลายลิ้นของจิ้นหยางกวาดตวัดดูดแรง มือขวาของอวิ้นหลี่ว์จับขอบอ่างเพื่อยับยั้งความเสียว อีกข้างยื่นมาจับหัวของจิ้นหยางเอาไว้จิ้นหยางรูดขึ้นรูดลง ใช้ปลายลิ้นตวัดปลายหัวกลมมนก่อนจะก้มดูดเม้นด้วยความแรงมากกว่าเดิม จนอวิ้นหลี่ว์ครวญครางออกมา“ซี้ด ... อ๊าาาลึก ลึกกว่านี้อีกนิด เจ้าใช้ลิ้นได้เก่งเหลือเกินดูดรัดจนข้าปวดไปหมด” เสียงครางกระเส่าของอวิ้นหลี่ว์ทำ
บทที่ 9 ตามจับหนูฝั่งด้านจิ้นหยางเช้าวันนี้เขาตื่นสายกว่าทุกวันเพราะร่างกายที่ผ่านศึกมาถึงสองคราทำให้รู้สึกเจ็บไม่น้อยและเหน็ดเหนื่อยอย่างบอกไม่ถูก แต่แล้วเสียงของเจียวซิ่งได้ดังขึ้นปลุกเขาที่อยู่บนเตียงด้วยความเป็นห่วง“พี่จิ้นหยาง ท่านกลับออกมาได้อย่างไรขอรับถูกจับได้หรือไม่? ข้าเป็นห่วงท่านแทบแย่ เฮ้อ! ข้าคิดว่าท่านต้องถูกทำโทษจึงรีบมาหาท่านแต่เช้าเมื่อเห็นท่านนอนอยู่เช่นนี้ข้าเองก็เบาใจ” จิ้นหยางสะลึมสะลือตื่นขึ้นด้วยน้ำเสียงเจี๊ยวจ้าวของเจียวซิ่ง“นี่เจ้า ...อยากให้ท่านแม่รู้หรือไงว่าไปที่ใดมาถึงได้แหกปากเสียงดังแต่เช้าตรู่เช่นนี้”“ท่านป้าไม่อยู่ในเรือนเสียหน่อยขอรับ อีกอย่างท่านป้าไม่ระแคะระคายที่ท่านกลับมาทีหลังข้าด้วยซ้ำ ท่านรีบบอกข้ามาว่าท่านออกมาจากเรือนท่านเจ้าเมืองได้อย่างไร เขาเรียกท่านไปทำไมกัน” ใบหน้าของเจียวซิ่งคิ้วขมวดเข้าหากันเพ่งมองมายังใบหน้าของจิ้นหยางด้วยความอยากรู้อยากเห็น จิ้นหยางไม่อยากให้เจียวซิ่งรู้ว่าเมื่อคืนนี้เขาพบเจออะไรมาเลยต้องโกหกออกไป เขาลุกขึ้นใช้มือดันหัวของเจียวซิ่งออกห่างก่อนจะต่อว่าเขา“เพราะเจ้าที่ทำให้ข้าลำบาก ต่อจากนี้ข้าจะไม่เชื่อใจเจ้าไปไ
บทที่ 10 ท่านใต้มู่หน้าเหี้ยมใจโหดตะวันเริ่มบ่ายคล้อยจิ้นหยางกับเจียวซิ่งกลับมาจากตัดไม้ไผ่เพื่อนำมาทำเป็นหลักให้แตงกวาเกี่ยวพันขึ้นยามใหญ่เมื่อมาถึงเรือน หน้าเรือนมีต้นไม้ใหญ่พร้อมกับแคร่ไม้ไผ่หนึ่งตัวไว้เป็นที่พักพิงยามร้อน ๆ ทั้งสองจึงพากันมานอนเอนหลังพักผ่อน“ท่านจะรีบไปตัดมาไผ่มาทำไมหรือขอรับ ผักของท่านยังไม่ขึ้นเลยนะขอรับ เราจะไม่เหนื่อยเปล่าหรือ? ”“ข้ามั่นใจอย่างไรแตงกวาของข้าต้องขึ้น เจ้าอย่ามาพูดให้ข้าละเหี่ยใจเช่นนี้สิ”“จริงสิ! พี่จิ้นหยางตอนที่ท่านขัดหลังให้ท่านเจ้าเมืองท่านคงเห็นเรือนร่างเขาหมดทุกจุดแล้วใช่หรือไม่? เช่นนั้นท่านจงตอบข้ามาว่าข้ากับท่านเจ้าเมืองผู้ใดหล่อเหลากว่ากันขอรับ” เมื่อถูกถามใบหน้าของจิ้นหยางแดงระเรื่อครั้นนึกภาพของท่านเจ้าเมืองที่เขาสัมผัสมาแทบทั้งคืน จนต้องลุกขึ้นจากแคร่เดินหนีเจียวซิ่งเพราะกลัวว่าเขาจะเห็นสีหน้าของตนยามนี้“ไม่รู้ ...ไม่มีผู้ใดหล่อเหลาสักคนไปหาท่านแม่ดีกว่าเย็นนี้มีอะไรกินนะ!”“เดี๋ยวสิท่านพี่มาตอบข้าก่อน ว่าผู้ใดหล่อเหลากว่ากัน” เจียวซิ่งลุกขึ้นเดินตามหลังของจิ้นหยางแต่ทว่าเมื่อมาถึงหน้าเรือนกลับเห็นว่ายามนี้มีเกี้ยวมาหยุดเทียบท
บทที่ 30 ฮูหยินของท่านเจ้าเมืองรุ่งเช้าวันต่อมา เจียวซิ่งรู้ว่าเรือนของจิ้นหยางถูกวางเพลิงจนไม่เหลือแม้กระทั่งเสาเรือนรีบเดินทางมาที่เรือนของท่านเจ้าเมืองเพื่อกับจิ้นหยาง และเมื่อจิ้นหยางได้ยินรีบไปดูเรือนด้วยความเสียใจ เรือนทั้งหลังมีเพียงขี้เถ้าเท่านั้นและเขาเองก็รู้ดีว่าต้องเป็นฝีมือของใต้เท้ามู่จึงรีบเดินทางไปหาใต้เท้ามู่ที่เรือนเรื่องในครั้งนี้เขาจะไม่น้อยอยู่นิ่งเฉยอีกต่อไป แม้ตายก็ไม่กลัวแต่ทว่าเมื่อมาที่เรือนของใต้เท้ามู่กลับไม่อยู่และรู้มาว่าท่านเจ้าเมืองได้จัดการจับกุมใต้เท้ามู่ไปยังวังหลวงเพื่อรับโทษ จิ้นหยางครุ่นคิดก็นึกออกว่าที่เขาไม่ให้ตนเองไปหาเมื่อคืนนี้เพราะต้องออกมาจัดการใต้เท้ามู่ทำให้จิ้นหยางทราบซึ้งน้ำใจของเขายิ่งนัก กลับเรือนท่านเจ้าเมืองเพื่อรอเขากลับจากวังหลวง ยิ่งเขาทำดีด้วยเท่าไหร่หัวใจของจิ้นหยางยิ่งเจ็บปวดที่ต้องคอยอาศัยท่านเจ้าเมืองอยู่เรื่อย แม้จะไม่มีเรือนให้อยู่แต่ว่าวันนี้เขาจะใช้หนี้ท่านเจ้าเมืองและพาท่านแม่ออกไปอยู่ที่อื่น หากอยู่ที่นี่ต่อมีแต่หัวใจของจิ้นหยางที่ต้องเจ็บปวดเพียงผู้เดียว เรื่องของท่านใต้เท้ามู่ถูกฝ่าบาทตัดสินความผิดให้ค
บทที่ 29 จัดการใต้เท้ามู่ ฝั่งด้านบ่าวรับใช้ของใต้เท้ามู่ที่เตรียมการเดินทางมายังเรือนของจิ้นหยางเพื่อมาทำลายแปลงผักพร้อมเผาเรือนตามคำสั่งของใต้เท้ามู่เมื่อเห็นว่าดวงตะวันตกดินถึงเวลาที่พวกเขาต้องลงมือจัดการจึงพากันเดินทางมาจัดการตามคำสั่งทันที แต่ทว่าเมื่อมาถึงกลับพบว่าแตงกวาของจิ้นหยางถูกเก็บเกี่ยวไปหมดแล้วมีเพียงเรือนที่เงียบสนิท“ทำไมเรือนถึงได้ไร้แสงไฟอย่างนี้นะ ! ” ชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งได้เอ่ยขึ้น อีกคนจึงแย้งขึ้นมา“ในเรือนมีเพียงหญิงชรากับบุตรชายไม่ใช่หรือ ? คงเป็นเพราะเก็บแตงเหน็ดเหนื่อยพากันพักผ่อนเร็วล่ะมั่ง รีบจัดการตามคำสั่งของท่านใต้เท้าเถิดจะได้รีบกลับกันหากผู้อื่นมาเห็นเขาจะเป็นเรื่องใหญ่”“นี่เจ้าจะกลัวอันใด ! ในหมู่บ้านนี้ไม่มีผู้ใดไม่เกรงกลัวใต้เท้ามู่หรอกและไม่มีผู้ใดกล้าท้าทายอำนาจของท่านหรอกนะ เช่นนั้นเจ้านำไฟนี่ไปโยนใส่หลังคาเรือนสิจะได้รีบกลับ” ชายคนเดิมเอ่ยขึ้นอีกครั้งพร้อมยื่นโคมไฟให้แก่เขาเพื่อโยนใส่หลังคาที่ทำด้วยฟางเท่านั้น หากโดนไฟเพียงเล็กน้อยก็ลุกไหม้ทันที“ก็ได้จะได้รีบกลับไปพัก” ชายอีกคนคว้าจับโคมไฟโยนใส่กระท่อมของจิ้นหยางเปลวไฟลุกขึ้นโหมกระหน่ำภายในพริบ
บทที่ 28 ข้ารักบุตรชายของท่าน ฝั่งด้านใต้เท้ามู่เมื่อกลับถึงเรือนเขาร้อนใจโมโหโกรธเกรี้ยวที่ถูกท่านเจ้าเมืองชี้ดาบมาหาตนเช่นนี้อีกทั้งยังช่วยเหลือจิ้นหยางที่เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาเท่านั้น เขาเสียทั้งเงินทั้งผลประโยชน์ใต้เท้ามู่ไม่อาจจะอยู่นิ่งอีกต่อไป จึงสั่งการให้คนของตนไปจัดการกับเรือนของจิ้นหยางและหาทางกำจัดเจ้าเมืองหลี่ว์ไม่ให้อยู่ที่นี่ได้"เป็นเพียงท่านเจ้าเมืองคิดว่าข้าจะเกรงกลัวหรือไง ไม่ว่ากี่คนต่อกี่คนข้าก็ไม่กลัวและข้าจะทำให้ได้รู้ว่าเข้ามายุ่งกับข้าจะเจอดีอย่างไรน่าเจ็บใจนักที่ข้าไม่ได้แตงกวาของเจ้าจิ้นหยาง ในเมื่อข้าไม่ได้ผู้อื่นจะต้องไม่ได้เช่นกัน ผู้ใดอยู่ข้างนอกเข้ามาหาข้าเดี๋ยวนี้"“ขอรับท่านใต้เท้ามีเรื่องอะไรหรือขอรับ”“ข้ามีเรื่องให้เจ้าไปทำเมื่อท้องฟ้าไร้แสงดวงอาทิตย์เมื่อไหร่พาบ่าวรับใช้ไปจัดการแปลงผักของจิ้นหยางให้เสียหายให้หมดและจัดการเผาไฟในเรือนของจิ้นหยางด้วย ข้าเคยเตือนแล้วว่าอย่าได้แข็งข้อกับข้า เมื่อไม่เกรงกลัวจะต้องเจอบทลงโทษเช่นนี้ ”“ได้ขอรับแต่ว่าในเรือนมีหญิงชราอยู่ด้วย จะไม่เป็นอะไรหรือขอรับ ”“ก็ดีนะสิ ! ให้พวกนั้นตายให้หมดล้วนเป็นเรื่องที่ดีต่อข
บทที่ 27 มาช่วยไว้ทันเสียงของอวิ้นหลี่ว์ดังกึกก้องควบม้ามาด้วยความรวดเร็วดวงตาแข็งกร้าวจ้องมองจิ้นหยางด้วยความเป็นห่วงก่อนจะหันมามองใต้เท้ามู่ด้วยสายตาเกรี้ยวกราด กระโดดลงจากม้าชักดาบชี้ไปยังหน้าของใต้เท้ามู่อย่างไม่เกรงกลัว โดยมีหลวนเหยาตามมาคอยอารักขาอีกคน เมื่อจิ้นหยางเห็นท่านเจ้าเมืองหลี่ว์ความหวาดกลัวภายในใจหายไปทันที“อะไรกัน ! ท่านเจ้าเมืองท่านกล้าหันปลายดาบมาทางข้าอย่างนั้นหรือ ? ข้าเพียงแค่สั่งสอนชาวบ้านที่โกงคนอื่นเท่านั้นเอง” ใต้เท้ามู่ใบหน้าถอดสีแต่ก็ไม่ได้มีท่าทางหวาดกลัวอะไรเลยแม้แต่น้อยแถมยังเอ่ยถามอวิ้นหลี่ว์อย่างไม่ร้อนตัวอีกด้วยซ้ำ“ไม่จริง! ข้าไม่เคยไปโกงอะไรท่านสักอย่าง มีแต่ท่านที่โกงชาวบ้าน ขู่เข็นทำร้ายร่างกาย” จิ้นหยางผลักร่างของบ่าวรับใช้ให้ออกห่างตนเพราะยามนี้มีทั้งอวิ้นหลี่ว์ที่คอยปกป้องยังมีหลวนเหยาอีกคน"ใต้เท้าสิ่งที่ท่านทำอยู่มิใช่สั่งสอนแล้วกระมั่ง เพราะเมื่อครู่ข้าได้ยินคำพูดของท่านทั้งหมดแล้ว " อวิ้นหลี่ว์เอ่ยน้ำเสียงทุ่มต่ำต่อว่าใต้เท้ามู่"ท่านเจ้าเมืองหลี่ว์ เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับท่านสักนิด อย่าได้มาใส่ใจเลยขอรับกลับไปใช้ชีวิตเป็นท่านเจ้าเม
บทที่ 26 ยอมตายดีกว่าผ่านมาหลายวันฝั่งด้านลี่อินเมื่อกลับเรือนวันนั้นได้ไปถามท่านพ่อเกี่ยวกับจิ้นหยางจึงได้รู้ว่าตอนนี้จิ้นหยางไม่ได้เป็นหนี้ท่านพ่อแล้ว จึงไม่รู้จะเข้าหาจิ้นหยางเช่นไรเลย วัน ๆ เอาแต่นั่งถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายจนใต้เท้ามู่เดินผ่านมาเห็น“ช่วงนี้เจ้าเป็นอะไรไปไม่เห็นจะออกไปเที่ยวเล่นเหมือนอย่างแต่ก่อน แล้วเจ้าไปพบท่านเจ้าเมืองเป็นเช่นไรบ้างถูกใจเจ้าหรือไม่ ?”“ข้าเบื่อเจ้าค่ะท่านพ่อ ท่านเจ้าเมืองหลี่ว์ก็หล่อเหลาดีแต่ข้าไม่ชอบเขาเจ้าค่ะ ”“ทำไมล่ะในเมื่อเขาเองก็หล่อเหลาแถมยังมีฐานะเป็นถึงท่านเจ้าเมืองข้าว่าคู่ควรกับเจ้ามากที่สุดในย่านนี้แล้ว ”“ไม่เจ้าค่ะ ข้ามีบุรุษที่หมายตาเอาไว้แล้ว” ใบหน้าของจิ้นหยางโผล่เข้ามาในความคิดของลี่อินนางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่พร้อมบอกกับบิดาว่ายามนี้ใจของนางมีคนที่หมายเอาไว้แล้ว“ห่ะ! ว่าอะไรนะแล้วเป็นบุตรชายเรือนใต้เท้าผู้ใดกัน หากร่ำรวยพอ ๆ กับตระกูลเราข้าเองก็เห็นด้วย เจ้าลองเอ่ยมา”“จิ้นหยางเจ้าค่ะบุรุษที่ข้าถูกชะตาแม้เขาจะไม่ได้ร่ำรวยแต่ก็ไม่ได้เป็นหนี้ท่านพ่อ แถมยังขยันกตัญญูต่อมารดาเพียงเท่านี้ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ ”“เฮ้อ ! ข้าจะเป็นล
บทที่ 25 ประกายพลุช่างงดงามอวิ้นหลี่ว์ลุกขึ้นเดิมตามจิ้นหยางมายืนอยู่ชานของเรือที่สามารถยืนมองบรรยากาศด้านนอกได้อย่างชัดเจน อวิ้นหลี่ว์เดินเข้าไปสวมกอดจากด้านหลังฝังจมูกเข้าซอกคอของจิ้นหยางพลางชื่นชม“วันนี้อากาศดีเสียจริง ไม่ว่าจะมองไปที่ใดช่างงดงามไปหมด เจ้าว่าอย่างนั้นหรือไม่?”“ไม่เลยขอรับ วันนี้เป็นวันที่อากาศร้อนและมองไปทางใดมีเพียงแสงไฟ ข้าชอบมองดวงจันทร์เสียมากกว่าอีกอย่างท่านเจ้าเมืองหลี่ว์ปล่อยข้าได้หรือไม่ ? ข้าไม่ชอบที่ท่านมาโอบกอดข้าราวกับคู่รักเช่นนี้ และที่นี่ไม่ใช่ที่ที่ข้าจะปรนนิบัติท่านได้”“ไม่ข้าไม่ปล่อยเจ้าจะทำไม ข้าแค่อยากกอดเจ้าเช่นนี้นาน ๆ ไม่ได้หรือ? มองไปบนท้องฟ้ายามนี้น่าจะถึงยามที่เขาจะจุดพลุแล้ว เจ้าคงไม่มีเวลามาเที่ยวเพราะต้องทำงานเลี้ยงมารดารู้หรือไม่ว่าข้าเช่าเรือลำนี้เพราะเจ้าเลยนะ ข้าทำเพียงนี้เจ้ายังไม่รู้ใจข้าอีกหรือ ” จิ้นหยางใจชื้นขึ้นมาเมื่อได้ยินว่าท่านเจ้าเมืองทำเพื่อตนแม้จะไม่อยากคิดไปไกลแต่คำพูดของเขายิ่งตอกย้ำทำให้จิ้นหยางคิดเข้าข้างตนเองไม่สนอะไรอีกต่อไป เขาหันกลับมาจ้องมองใบหน้าของอวิ้นหลี่ว์สายตาจ้องตาก่อนจะโอบกอดเขาแน่น จู่ ๆ ก็รู้สึกได
บทที่ 24 ร่องเรือจิ้นหยางเดินจนทั่วตลาดไม่ว่าร้านใดก็เป็นเพียงร้านเล็ก ๆ ไม่รับของจากผู้อื่นส่วนมากจะเป็นของที่ตนเองปลูกและนำมาขายได้ยินมาจากทุกคนว่ามีเพียงเจ้าเดียวเท่านั้นที่รับซื้อของทุกคนที่นี่คือร้านค้าผักของใต้เท้ามู่ ที่ให้บ่าวคอยดูแลและทำงานให้ไม่เพียงแต่ร่ำรวยเพราะคิดดอกเบี้ยแพงแต่ยังกดราคาของชาวบ้านอีกมากมาย หากไม่ขายของก็เน่าเสีย หากยิ่งเป็นหนี้ยิ่งถูกหักจนแทบไม่เหลือเงินกลับเรือน จิ้นหยางเหน็ดเหนื่อยเดินจนท้อมาหยุดพักที่โรงน้ำชา เพื่อหาอะไรรองท้องก่อนจะกลับเรือน"เถ้าแก่ข้าขอซาลาเปาสองลูกพร้อมน้ำชาขอรับ" ตั้งแต่ทะลุมิติมาอยู่ที่นี่ นี่เป็นครั้งแรกที่จิ้นหยางได้เข้ามานั่งที่โรงน้ำชาผู้คนมากมายมากหน้าหลายตากันพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ก่อนจะได้ยินมาจากปากของชาวบ้านอีกกลุ่มที่นั่งอยู่ด้านหลังของจิ้นหยาง"วันนี้มีงานเทศกาลที่หมู่บ้านฝั่งเหนือเห็นว่าครั้งนี้จัดงานอย่างยิ่งใหญ่ มีการแสดงมากมายแถมยังมีขุนนางใหญ่ ๆ พากันมาร่วมงานด้วยข้าจะไปเที่ยวเล่นพวกเจ้าไม่ไปหรือได้ยินว่าสตรีหมู่บ้านฝั่งนั้นมีแต่ผู้งาม ๆ ไม่แน่ค่ำคืนนี้ข้าได้เมียกลับเรือนกับเขาสักคน ""เอาสิ อย่างนั้นข้าจะต้องรีบ
บทที่ 23 ลี่อินมาเยือน“ดีสิ ยิ่งเตียงเล็กเท่าไหร่ข้าก็จะได้ใกล้ชิดเจ้ามากกว่าเดิม ต่อให้นอนบนโขกหินหากมีเจ้าเคียงข้างข้าก็สามารถหลับได้อย่างสบาย ” อวิ้นหลี่ว์เดินเข้ามาใกล้ใช้มือลูบไล้ใบหน้าของจิ้นหยางพร้อมส่งยิ้มหวานเยิ้มทำให้ใจของจิ้นหยางสั่นไหวใจเต้นแรง วูบวาบรีบปัดมือของท่านเจ้าเมืองออกก่อนจะหันหลังให้“หากท่านเอ่ยมาเช่นนั้นก็เข้าไปรอข้าที่เตียงของข้าเถอะ ข้าจะไปอาบน้ำล้างกายเสียก่อน ”“อาบน้ำหรือ ? ข้าอาบด้วยสิข้ารีบร้อนออกมาจนไม่ได้ล้างเนื้อล้างตัวหากนอนเช่นนี้คงเหนียวตัวแย่ ”“ในเรือนของข้าไม่มีอ่างอาบน้ำนะขอรับ และต้องไปอาบที่คลองด้านหลังนู้น ท่านมั่นใจหรือขอรับ?”“อย่างนั้นข้ายิ่งชอบ อาบน้ำพร้อมกับเจ้าใต้แสงจันทร์เป็นอะไรที่ดีที่สุด คิดไม่ผิดเลยที่ข้ามาในครั้งนี้ ไปเถอะไปอาบน้ำกัน” สายตาเป็นประกายของอวิ้นหลี่ว์พอให้จิ้นหยางได้รู้ว่าเขานั้นกำลังคิดอะไรอยู่ และแล้วคืนนี้จิ้นหยางเองก็คงต้องปรนนิบัติเขาเช่นอย่างเคยภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมา เสียงน้ำแข่งกับเสียงเนื้อกระทบเนื้อดังกระฉ่อนทั้งสองผสานกายเป็นหนึ่งเดียวเมื่อสำเร็จความสุขจิ้นหยางพาอวิ้นหลี่ว์มานอนลงบนเตียงเดียวกับตน
บทที่ 22 ข้ากลัวความมืดลี่อินยืนบิดใบหน้าแดงระเรื่อมองด้านหลังของจิ้นหยางที่เดินจากไปด้วยหัวใจเต้นตึกตัก"คุณหนูทำไมถึงได้ให้เงินชายผู้นั้นไปมากขนาดนั้นกันเจ้าคะ หากนายท่านรู้จะดุเอาได้นะอีกอย่างคุณหนูไม่น่ามายุ่งวุ่นวายกับคนที่เป็นบ่าวเช่นนี้สิเจ้าคะ ท่านเจ้าเมืองทั้งหล่อเหลาทั้งบึกบึนคุณหนูไม่เห็นมีสีหน้าแววตาเช่นกับมองบ่าวคนเมื่อครู่เลย""เจ้าเงียบไปเถอะน่า อีกอย่างท่านพ่อไม่เคยต่อว่าข้าอยู่แล้ว บ่าวเมื่อครู่เพียงข้ามองหัวใจของข้าก็สั่นไหว เป็นบ่าวแล้วอย่างไรข้าไม่สนเพราะตระกูลของข้ารวยอยู่แล้วสิบชาติก็ใช้ไม่หมด ต่อจากนี้ข้าจะไถ่ตัวของจิ้นหยางและคอยสนับสนุนเรื่องเงินให้แก่เขาเอง เมื่อครู่ข้าน่าจะให้ไปเยอะกว่านั้น เพียงแค่สองตำลึงเงินจะพอค่ายามั้ยนะ ! ไม่ได้การพรุ่งนี้ข้าจะนำยาสมุนไพรซื้ออาหารและนำเงินไปให้จิ้นหยางที่เรือนด้วยตัวเอง ข้าทำถึงเพียงนี้เขาคงจะเห็นความดีในตัวของข้าจนตกหลุมรักและมาเป็นสามีสตรีที่ร่ำรวยอย่างข้าราวกับตกถังข้าวสาร แค่คิดก็มีความสุขแล้วรีบกลับเรือนกันเถิดพรุ่งนี้ข้าจะนำเงินไปสักสิบก้วนดีมั้ยนะหรือว่าน้อยไปต้องพกไปสักสิบตำลึงทองถึงจะพอ ฮ่า ฮ่ายิ่งคิดยิ่งตื่น