เสิ่นฉางนั่งเขียนรายการสินเดิมที่ยังทำไม่เสร็จ เหตุที่ทำช้าเพราะนางมักคิดเรื่องวัยเด็กของตน ตำราต่างๆ ที่มารดาสะสมไว้ ความทรงจำเก่าๆ ย้อนคืน จุดรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้าของนาง เสียงคนโหวกเหวกโวยวายดังที่หน้าเรือน เด็กน้อยที่อยู่บนตั่งใกล้ๆ ถึงกับผวา นางคว้าอันอันมากอดกระซิบปลอบโยน ประตูเรือนเปิดออกอย่างแรงพร้อมกับคนงานชายสามสี่คนพุ่งเข้ามา “เกิดเรื่องใดขึ้น! เหตุใดบุกเข้ามาเช่นนี้!” เสี่ยวจูวิ่งเข้ามาทั้งน้ำตานองหน้า นิ้วเรียวชี้มายังเสิ่นฉางซีแล้วตวาดด้วยความโกรธแค้น “เป็นเจ้า! เจ้าทำให้ฮูหยินน้อยแท้งบุตร! เจ้าเจตนาทำร้ายฮูหยินน้อยและบุตรของท่านแม่ทัพสวินเย่ว์!” “เป็นไปไม่ได้!” เสิ่นฉางซีส่ายหน้าไปมา นางมึนงงสับสนกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่ยังไม่ทันได้สอบถามเรื่องราวเท็จจริงเป็นอย่างไร ร่างของนางถูกบ่าวชายฉุดกระชากลากออกมาจากเรือน หญิงรับใช้อีกสองคนเข้ามาคว้าร่างของอันอันไม่ให้วิ่งตาม เด็กน้อยถีบเท้าไปมาดิ้นรนขัดขืน แผดเสียงร้องไห้จ้าแต่ไม่อาจส่งเสียงพูดขอความช่วยเหลือได้ ร่างของหญิงสาวถูกลากออกไปที่ลานหน้า
น้ำเสียงสั่งทรงอำนาจ สิ้นเสียงของเขาพลันปรากฏร่างทหารองครักษ์นับสิบยืนล้อมกายของเด็กน้อยพร้อมชักกระบี่คมปลาบออกมาเด็กน้อยวัยสี่ขวบตวาดเสียงดังเฉียบขาด แม้เป็นเพียงเด็กน้อยก็ทำเอาคนที่ยึดร่างของเขาไว้ถึงกับปล่อยมือ เด็กน้อยที่ทุกคนเข้าใจว่าเป็นใบ้ มาบัดนี้กลับพูดได้ชัดถ้อยคำ สีหน้าที่เคยหวาดกลัวอยู่เสมอไม่หลงเหลืออีกแล้ว เขากวาดตามองแววตาวาวโรจน์ทั้งที่ดวงตาเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำตา “องครักษ์?” ฮูหยินใหญ่แห่งตระกูลสวินถึงกับผงะไป แม้นางจะไม่รู้เรื่องการทหารแต่รู้ว่าคนเหล่านี้ไม่ใช่คนของกองทหารสวินเย่ว์เป็นแน่ นอกจากเชื้อพระวงศ์แล้ว ชนชั้นใดเล่าจะมีองครักษ์เงาเช่นนี้ “ฮูหยินใหญ่เจ้าคะ?” เสี่ยวจูเห็นใบหน้าซีดเผือดของฮูหยินใหญ่แล้วประหลาดใจนัก เหตุใดต้องเกรงกลัวเด็กตัวแค่นี้ นางยังไม่ได้ล้างแค้นที่ทำให้นางตกน้ำในครานั้น นางก้าวเท้าไปด้านหน้าหมายจะผลักเด็กน้อยให้พ้นทาง แต่ต้องชะงักไปเมื่อปลายกระบี่ชี้มาที่ปลายจมูกของนางเด็กน้อยวัยสี่ขวบสบตากับสวินเหอซื่อ แล้วหมุนตัวเดินไปหาเสิ่นฉางซีที่จ้องมองอย่างตื่นตะลึง ดวงตามีแววหม่นเศร้าและโกรธแค้น เด็กน้อยตวาดเสียงดังออกมา “ปล่อยตัวนาง!”
“เย่ว์เอ๋อร์ ใจเย็นก่อน” ฮูหยินใหญ่รีบห้ามปราม เด็กคนนี้โกรธร้ายโมโหแรง สามีของนางไม่อยู่ หากเขาระเบิดอารมณ์ออกมาเกรงว่าคนรอบข้างได้ล้มตายกันแน่! “สวินเย่ว์” นางเรียกชื่อเขา เป็นครั้งแรกที่นางเรียกชื่อเขาต่อหน้าผู้อื่นเช่นนี้ เสิ่นฉางซีเองรับรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้น “ข้า...” “ไม่ต้องพูดอะไรทั้งสิ้น” เขาอุ้มนางไม่สนใจว่าตนเองจะเปื้อนเลือดของนาง “ตามหมอเดี๋ยวนี้! สั่งปิดจวน ห้ามผู้ใดเข้าออก ข้าสวินเย่ว์ต้องรู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้นกับคนของข้า!” “รับทราบ!” “องครักษ์เงา คุ้มครององค์ชายฝูเจี๋ย!”
“แค่หักแขนก็พอ” “ดี! ตามนั้น” “ท่านแม่ทัพ เมตตาด้วย” “เลือกเอาว่าจะตัดแขนหรือหักแขน!” ต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก แน่นอนว่ายอมถูกหักดีกว่าถูกตัด และไม่อาจพูดได้ว่าทำไปตามคำสั่งของฮูหยินใหญ่ สวินเย่ว์ปรายตามององค์ชายฝูเจี๋ยแล้วหันมาสบตากับบุตรชายตนเอง “ดูแลแม่ของเจ้า ประเดี๋ยว ‘พ่อ’ กลับมา” หยางหยางพยักหน้ารับแล้วจูงมืออันอันเข้าไปด้านใน ด้านนอกมีทหารองครักษ์รายล้อม นอกจากหมอและบ่าวรับใช้หญิงสองคนแล้วไม่มีผู้ใดเข้าใกล้ได้ “อันอัน” หยางหยางเรียกน้องชายที่ร้องไห้จนดวงตาบวมช้ำ เด็กชายตัวน้อยเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงเรียก “ข้าขอบใจเจ้ามาก” หยางหยางกลั้นน้ำตาฝืนยิ้มออกมา “ข้า...” เด็กน้อยพยายามรวบรวมเสียงเพื่อเปล่งคำพูดออกมา “ข้า...”“หากไม่มีเจ้า มารดาของข้าต้องถูกคนเหล่านั้นทำร้ายบาดเจ็บสาหัสกว่านี้เป็นแน่” เด็กน้อยพูดไม่ออกแต่โผเข้ากอดหยางหยางแน่น “ข้าอยากช่วยท่านแม่ได้มากกว่านี้” “อันอัน” หยางหยางตบหลังน้องชายต่างสายเลือดเบาๆ “ท่านแม่บอกว่า เจ้าพบเรื่องเลวร้ายม
“ท่านต้องช่วยแก้แค้นให้มารดาของข้า” หยางหยางยืดอกแล้วปรายตามองบ่าวชายสองคนที่หิ้วปีกเสี่ยวจูออกมาพอดี “คนที่ทำให้มารดาของข้าเจ็บ มันต้องเจ็บมากกว่าที่มารดาของข้าได้รับ” เสี่ยวจูที่ได้ยินเข้าถึงกับส่ายหน้าไปมา นางถูกสวินเย่ว์เตะไปหนึ่งครั้งถึงกับกระอักเลือดออกมา เจ็บร้าวซี่โครงจนคาดว่ากระดูกคงจะหัก หากถูกโบยจะมิตายคาไม้เลยหรือ นางพยายามสะบัดตัวแล้วร้องอ้อนวอน “ท่านแม่ทัพเมตตาบ่าวด้วย บ่าวไม่รู้เรื่องใดจริงๆ เจ้าค่ะ” เสียงร้องไห้ของนางน่าเวทนายิ่ง “เรื่องทั้งหมดเป็นความคิดของฮูหยินน้อยทั้งหมดเจ้าค่ะ” สวินเย่ว์กลอกตามองแผ่นฟ้า ไม่คิดว่าชีวิตของตนต้องมาเผชิญเรื่องเช่นนี้ เขาก้มมองหยางหยางที่ถอดแบบเขาแทบจะแกะออกจากพิมพ์เดียวกัน นางเป็นเพียงหญิงชาวบ้านธรรมดา เป็นแม่ครัวในหอนางโลมแต่กลับมีจิตใจงดงาม เลี้ยงดูบุตรชายของเขาได้อย่างดีเยี่ยม ผิดกับคนเหล่านี้ที่เติบโตในสถานที่ที่ดีแต่กลับจิตใจโสมมยิ่งนัก “เรียกสิ” สวินเย่ว์เอ่ยกับหยางหยาง เด็กน้อยแอบเบ้ปากเล็กน้อยแล้วพูดเสียงเบา “ท่านพ่อ” “อะไรนะ” เขาแ
เสิ่นฉางซีหลับตาลง นางมิได้ฝันไปสินะ ไต้ซือซูมาเตือนสตินางและช่วยให้นางเจ็บปวดน้อยลง เอ๊ะ! ถ้าเช่นนั้น...“หยางเอ๋อร์ ท่านแม่ทัพมาเยี่ยมแม่หรือไม่”“ท่านพ่อมาดูอาการท่านแม่แล้วออกไปขอรับ”“ท่านพ่อ?” เสิ่นฉางซีประหลาดใจที่จู่ๆ บุตรชายเรียกสวินเย่ว์ว่า ‘ท่านพ่อ’ ทั้งที่ก่อนหน้านี้พยายามอย่างไรก็ยังดื้อดึงไม่ยอมเรียก หยางหยางหลบตามารดา เขาอาจเป็นเด็กเจ้าเล่ห์แต่ไม่เคยโกหกมารดาได้สักครั้ง“เจ้าต่อรองเรื่องใดกับท่านแม่ทัพ?”“ไม่มีเสียหน่อย” หยางหยางตอบตะกุกตะกัก “ท่านแม่ตื่นแล้ว หิวหรือไม่ ข้าจะไปบอกให้บ่าวรับใช้เตรียมอาหารให้ท่านนะ”หยางหยางหมุนตัวเตรียมวิ่งหนี แต่ยังช้าเกินกว่ามือเรียวของมารดาคว้าแขนของเขาไว้ได้ทัน นี่ท่านแม่มีวรยุทธ์หรือเพราะเขากลัวจนหลบไม่ทันกันแน่นะ!“เจ้ากล้าปิดบังแม่รึ”หยางหยางอ้าปากแต่พูดไม่ออก เขาหันไปขอความช่วยเหลือจากอันอัน แต่น้องชายกลับส่ายหน้าไปมาเร็วๆ เพียงการแสดงออกเช่นนี้ คนเป็นแม่อย่างเสิ่นฉางซีเข้าใจได้ทันที นางวาดขาลงจากเตียง แล้วยันกายลุกขึ้นอย่างลำบาก สองขายังคงอ่อนแรงอยู่มาก ร่างกายจึงทรุดลงไปนั่งเช่นเดิม“ท่านแม่ ท่านยังไม่แข็งแรง อย่าลงจากเตีย
นางกรีดร้องราวคนเสียสติ หลีเหว่ยไม่สนใจรีบลุกขึ้นออกจากรถม้า ทว่าเพียงแค่ลุกขึ้นยืน ผนังด้านหนึ่งของรถม้าก็เปิดออกราวกับเป็นเวทีแสดงงิ้ว เบื้องหน้ามีโต๊ะชุดหนึ่งตั้งอยู่พร้อมกับบุรุษผู้หนึ่งหน้าตาดุดันจ้องมองราวกับจะฉีกคนทั้งสองเป็นชิ้นๆ อีกหนึ่งเป็นสตรีในชุดสีม่วงที่นั่งจิบสุราด้วยท่าทีเกียจคร้าน นางหยิบถั่วทอดเข้าปากแล้วเอ่ยทั้งที่ยังเคี้ยวถั่วทอดอยู่“อะไรกัน? เท่านี้เองรึ ข้าอุตส่าห์ตระเตรียมงานอย่างดี พวกเจ้าสองคนเล่นกันแค่นี้เองหรือ? ไม่คุ้มค่าเหนื่อยของข้าเลย”หลีเหว่ยจำหญิงสาวผู้นี้ได้เป็นอย่างดี นางคือคนที่เขาเคยบังเอิญพบเจอที่โรงเตี๊ยมและยังขอให้เขาช่วยหาที่พักให้ ส่วนจางรั่วเวยถึงกับอ้าปากค้าง เพราะหญิงผู้นั้นคือคนที่มารับนางจากจวนแม่ทัพทว่าคนที่น่ากลัวที่สุดคือบุรุษที่นั่งจ้องหน้านางอยู่ “ท่านแม่ทัพ” สวินเย่ว์ส่งสัญญาณ ทหารที่อยู่ใกล้ลากตัวเสี่ยวจูที่ถูกโซ่ล่ามมือและเท้าแน่นหนามากองตรงหน้า จางรั่วเวยเห็นสภาพเสี่ยวจูแล้ว นางถึงเข่าอ่อนหมดไม่มีแรงลุกขึ้นยืน ซูหลี่น่าเหลือบมองใบหน้าถมึงทึงของสวินเย่ว์ นางยกมือกระดิกนิ้วแล้วชี้ไปยังสองหนุ่มสาวบนร
รถม้าคันหนึ่งถูกไล่ล่ามากว่าครึ่งชั่วยามแล้ว ร่างบอบบางของเด็กหญิงวัยสิบขวบที่สวมชุดเด็กชายอยู่นั้น ถูกบิดากอดไว้แนบแน่นอย่างปกป้อง เด็กน้อยจ้องมองหัวไหล่ของบิดาที่ชุ่มโชกไปด้วยโลหิต นางกัดริมฝีปากแน่นกลั้นเสียงร้องแต่กระนั้นน้ำตาหยดใสยังไหลรินจากดวงตาคู่งาม หนีมาได้ไกลถึงเพียงนี้ อีกแค่ไม่กี่สิบลี้ก็จะถึงที่หมายแล้วแท้ๆ เหตุใดสวรรค์ไม่เมตตา “พ่อผิดต่อเจ้าแล้ว ซีเอ๋อร์” น้ำเสียงของบิดาปลอบประโลมอยู่ริมหู หัวใจเหมือนมีมือยักษ์มาบีบเค้นจนเจ็บปวดเกินพรรณนา ด้วยสถานการณ์บังคับ เขาในฐานะหัวหน้าองครักษ์ต้องปกป้ององค์รัชทายาท ทว่าเวลานี้กลับต้องใช้บุตรสาวเพียงคนเดียวสวมชุดรัชทายาทลวงเหล่านักฆ่ามาอีกทางเพื่อให้คนของเขาพาองค์รัชทายาทเสด็จกลับวังโดยด่วน “ซีเอ๋อร์อย่าได้กลัว” วงแขนโอบกอดบุตรสาวแนบแน่น ภรรยารักของเขานั้นเป็นเพียงนางกำนัลเล็กๆ ในวังหลวง เมื่ออยู่จนอายุครบกำหนดก็ออกมาใช้ชีวิตนอกวังตามกฎ เขาผู้แอบรักนางมาเนิ่นนานจึงได้แต่งงานกันอย่างเงียบๆ มีบุตรสาวที่แสนน่ารัก ไม่คาดคิดว่าวันหนึ่งเขาจะต้องใช้ชีวิตบุตรสาวตัวเองทำการเสี่ยงอันตรายเช่นนี้
นางกรีดร้องราวคนเสียสติ หลีเหว่ยไม่สนใจรีบลุกขึ้นออกจากรถม้า ทว่าเพียงแค่ลุกขึ้นยืน ผนังด้านหนึ่งของรถม้าก็เปิดออกราวกับเป็นเวทีแสดงงิ้ว เบื้องหน้ามีโต๊ะชุดหนึ่งตั้งอยู่พร้อมกับบุรุษผู้หนึ่งหน้าตาดุดันจ้องมองราวกับจะฉีกคนทั้งสองเป็นชิ้นๆ อีกหนึ่งเป็นสตรีในชุดสีม่วงที่นั่งจิบสุราด้วยท่าทีเกียจคร้าน นางหยิบถั่วทอดเข้าปากแล้วเอ่ยทั้งที่ยังเคี้ยวถั่วทอดอยู่“อะไรกัน? เท่านี้เองรึ ข้าอุตส่าห์ตระเตรียมงานอย่างดี พวกเจ้าสองคนเล่นกันแค่นี้เองหรือ? ไม่คุ้มค่าเหนื่อยของข้าเลย”หลีเหว่ยจำหญิงสาวผู้นี้ได้เป็นอย่างดี นางคือคนที่เขาเคยบังเอิญพบเจอที่โรงเตี๊ยมและยังขอให้เขาช่วยหาที่พักให้ ส่วนจางรั่วเวยถึงกับอ้าปากค้าง เพราะหญิงผู้นั้นคือคนที่มารับนางจากจวนแม่ทัพทว่าคนที่น่ากลัวที่สุดคือบุรุษที่นั่งจ้องหน้านางอยู่ “ท่านแม่ทัพ” สวินเย่ว์ส่งสัญญาณ ทหารที่อยู่ใกล้ลากตัวเสี่ยวจูที่ถูกโซ่ล่ามมือและเท้าแน่นหนามากองตรงหน้า จางรั่วเวยเห็นสภาพเสี่ยวจูแล้ว นางถึงเข่าอ่อนหมดไม่มีแรงลุกขึ้นยืน ซูหลี่น่าเหลือบมองใบหน้าถมึงทึงของสวินเย่ว์ นางยกมือกระดิกนิ้วแล้วชี้ไปยังสองหนุ่มสาวบนร
เสิ่นฉางซีหลับตาลง นางมิได้ฝันไปสินะ ไต้ซือซูมาเตือนสตินางและช่วยให้นางเจ็บปวดน้อยลง เอ๊ะ! ถ้าเช่นนั้น...“หยางเอ๋อร์ ท่านแม่ทัพมาเยี่ยมแม่หรือไม่”“ท่านพ่อมาดูอาการท่านแม่แล้วออกไปขอรับ”“ท่านพ่อ?” เสิ่นฉางซีประหลาดใจที่จู่ๆ บุตรชายเรียกสวินเย่ว์ว่า ‘ท่านพ่อ’ ทั้งที่ก่อนหน้านี้พยายามอย่างไรก็ยังดื้อดึงไม่ยอมเรียก หยางหยางหลบตามารดา เขาอาจเป็นเด็กเจ้าเล่ห์แต่ไม่เคยโกหกมารดาได้สักครั้ง“เจ้าต่อรองเรื่องใดกับท่านแม่ทัพ?”“ไม่มีเสียหน่อย” หยางหยางตอบตะกุกตะกัก “ท่านแม่ตื่นแล้ว หิวหรือไม่ ข้าจะไปบอกให้บ่าวรับใช้เตรียมอาหารให้ท่านนะ”หยางหยางหมุนตัวเตรียมวิ่งหนี แต่ยังช้าเกินกว่ามือเรียวของมารดาคว้าแขนของเขาไว้ได้ทัน นี่ท่านแม่มีวรยุทธ์หรือเพราะเขากลัวจนหลบไม่ทันกันแน่นะ!“เจ้ากล้าปิดบังแม่รึ”หยางหยางอ้าปากแต่พูดไม่ออก เขาหันไปขอความช่วยเหลือจากอันอัน แต่น้องชายกลับส่ายหน้าไปมาเร็วๆ เพียงการแสดงออกเช่นนี้ คนเป็นแม่อย่างเสิ่นฉางซีเข้าใจได้ทันที นางวาดขาลงจากเตียง แล้วยันกายลุกขึ้นอย่างลำบาก สองขายังคงอ่อนแรงอยู่มาก ร่างกายจึงทรุดลงไปนั่งเช่นเดิม“ท่านแม่ ท่านยังไม่แข็งแรง อย่าลงจากเตีย
“ท่านต้องช่วยแก้แค้นให้มารดาของข้า” หยางหยางยืดอกแล้วปรายตามองบ่าวชายสองคนที่หิ้วปีกเสี่ยวจูออกมาพอดี “คนที่ทำให้มารดาของข้าเจ็บ มันต้องเจ็บมากกว่าที่มารดาของข้าได้รับ” เสี่ยวจูที่ได้ยินเข้าถึงกับส่ายหน้าไปมา นางถูกสวินเย่ว์เตะไปหนึ่งครั้งถึงกับกระอักเลือดออกมา เจ็บร้าวซี่โครงจนคาดว่ากระดูกคงจะหัก หากถูกโบยจะมิตายคาไม้เลยหรือ นางพยายามสะบัดตัวแล้วร้องอ้อนวอน “ท่านแม่ทัพเมตตาบ่าวด้วย บ่าวไม่รู้เรื่องใดจริงๆ เจ้าค่ะ” เสียงร้องไห้ของนางน่าเวทนายิ่ง “เรื่องทั้งหมดเป็นความคิดของฮูหยินน้อยทั้งหมดเจ้าค่ะ” สวินเย่ว์กลอกตามองแผ่นฟ้า ไม่คิดว่าชีวิตของตนต้องมาเผชิญเรื่องเช่นนี้ เขาก้มมองหยางหยางที่ถอดแบบเขาแทบจะแกะออกจากพิมพ์เดียวกัน นางเป็นเพียงหญิงชาวบ้านธรรมดา เป็นแม่ครัวในหอนางโลมแต่กลับมีจิตใจงดงาม เลี้ยงดูบุตรชายของเขาได้อย่างดีเยี่ยม ผิดกับคนเหล่านี้ที่เติบโตในสถานที่ที่ดีแต่กลับจิตใจโสมมยิ่งนัก “เรียกสิ” สวินเย่ว์เอ่ยกับหยางหยาง เด็กน้อยแอบเบ้ปากเล็กน้อยแล้วพูดเสียงเบา “ท่านพ่อ” “อะไรนะ” เขาแ
“แค่หักแขนก็พอ” “ดี! ตามนั้น” “ท่านแม่ทัพ เมตตาด้วย” “เลือกเอาว่าจะตัดแขนหรือหักแขน!” ต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก แน่นอนว่ายอมถูกหักดีกว่าถูกตัด และไม่อาจพูดได้ว่าทำไปตามคำสั่งของฮูหยินใหญ่ สวินเย่ว์ปรายตามององค์ชายฝูเจี๋ยแล้วหันมาสบตากับบุตรชายตนเอง “ดูแลแม่ของเจ้า ประเดี๋ยว ‘พ่อ’ กลับมา” หยางหยางพยักหน้ารับแล้วจูงมืออันอันเข้าไปด้านใน ด้านนอกมีทหารองครักษ์รายล้อม นอกจากหมอและบ่าวรับใช้หญิงสองคนแล้วไม่มีผู้ใดเข้าใกล้ได้ “อันอัน” หยางหยางเรียกน้องชายที่ร้องไห้จนดวงตาบวมช้ำ เด็กชายตัวน้อยเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงเรียก “ข้าขอบใจเจ้ามาก” หยางหยางกลั้นน้ำตาฝืนยิ้มออกมา “ข้า...” เด็กน้อยพยายามรวบรวมเสียงเพื่อเปล่งคำพูดออกมา “ข้า...”“หากไม่มีเจ้า มารดาของข้าต้องถูกคนเหล่านั้นทำร้ายบาดเจ็บสาหัสกว่านี้เป็นแน่” เด็กน้อยพูดไม่ออกแต่โผเข้ากอดหยางหยางแน่น “ข้าอยากช่วยท่านแม่ได้มากกว่านี้” “อันอัน” หยางหยางตบหลังน้องชายต่างสายเลือดเบาๆ “ท่านแม่บอกว่า เจ้าพบเรื่องเลวร้ายม
“เย่ว์เอ๋อร์ ใจเย็นก่อน” ฮูหยินใหญ่รีบห้ามปราม เด็กคนนี้โกรธร้ายโมโหแรง สามีของนางไม่อยู่ หากเขาระเบิดอารมณ์ออกมาเกรงว่าคนรอบข้างได้ล้มตายกันแน่! “สวินเย่ว์” นางเรียกชื่อเขา เป็นครั้งแรกที่นางเรียกชื่อเขาต่อหน้าผู้อื่นเช่นนี้ เสิ่นฉางซีเองรับรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้น “ข้า...” “ไม่ต้องพูดอะไรทั้งสิ้น” เขาอุ้มนางไม่สนใจว่าตนเองจะเปื้อนเลือดของนาง “ตามหมอเดี๋ยวนี้! สั่งปิดจวน ห้ามผู้ใดเข้าออก ข้าสวินเย่ว์ต้องรู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้นกับคนของข้า!” “รับทราบ!” “องครักษ์เงา คุ้มครององค์ชายฝูเจี๋ย!”
น้ำเสียงสั่งทรงอำนาจ สิ้นเสียงของเขาพลันปรากฏร่างทหารองครักษ์นับสิบยืนล้อมกายของเด็กน้อยพร้อมชักกระบี่คมปลาบออกมาเด็กน้อยวัยสี่ขวบตวาดเสียงดังเฉียบขาด แม้เป็นเพียงเด็กน้อยก็ทำเอาคนที่ยึดร่างของเขาไว้ถึงกับปล่อยมือ เด็กน้อยที่ทุกคนเข้าใจว่าเป็นใบ้ มาบัดนี้กลับพูดได้ชัดถ้อยคำ สีหน้าที่เคยหวาดกลัวอยู่เสมอไม่หลงเหลืออีกแล้ว เขากวาดตามองแววตาวาวโรจน์ทั้งที่ดวงตาเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำตา “องครักษ์?” ฮูหยินใหญ่แห่งตระกูลสวินถึงกับผงะไป แม้นางจะไม่รู้เรื่องการทหารแต่รู้ว่าคนเหล่านี้ไม่ใช่คนของกองทหารสวินเย่ว์เป็นแน่ นอกจากเชื้อพระวงศ์แล้ว ชนชั้นใดเล่าจะมีองครักษ์เงาเช่นนี้ “ฮูหยินใหญ่เจ้าคะ?” เสี่ยวจูเห็นใบหน้าซีดเผือดของฮูหยินใหญ่แล้วประหลาดใจนัก เหตุใดต้องเกรงกลัวเด็กตัวแค่นี้ นางยังไม่ได้ล้างแค้นที่ทำให้นางตกน้ำในครานั้น นางก้าวเท้าไปด้านหน้าหมายจะผลักเด็กน้อยให้พ้นทาง แต่ต้องชะงักไปเมื่อปลายกระบี่ชี้มาที่ปลายจมูกของนางเด็กน้อยวัยสี่ขวบสบตากับสวินเหอซื่อ แล้วหมุนตัวเดินไปหาเสิ่นฉางซีที่จ้องมองอย่างตื่นตะลึง ดวงตามีแววหม่นเศร้าและโกรธแค้น เด็กน้อยตวาดเสียงดังออกมา “ปล่อยตัวนาง!”
เสิ่นฉางนั่งเขียนรายการสินเดิมที่ยังทำไม่เสร็จ เหตุที่ทำช้าเพราะนางมักคิดเรื่องวัยเด็กของตน ตำราต่างๆ ที่มารดาสะสมไว้ ความทรงจำเก่าๆ ย้อนคืน จุดรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้าของนาง เสียงคนโหวกเหวกโวยวายดังที่หน้าเรือน เด็กน้อยที่อยู่บนตั่งใกล้ๆ ถึงกับผวา นางคว้าอันอันมากอดกระซิบปลอบโยน ประตูเรือนเปิดออกอย่างแรงพร้อมกับคนงานชายสามสี่คนพุ่งเข้ามา “เกิดเรื่องใดขึ้น! เหตุใดบุกเข้ามาเช่นนี้!” เสี่ยวจูวิ่งเข้ามาทั้งน้ำตานองหน้า นิ้วเรียวชี้มายังเสิ่นฉางซีแล้วตวาดด้วยความโกรธแค้น “เป็นเจ้า! เจ้าทำให้ฮูหยินน้อยแท้งบุตร! เจ้าเจตนาทำร้ายฮูหยินน้อยและบุตรของท่านแม่ทัพสวินเย่ว์!” “เป็นไปไม่ได้!” เสิ่นฉางซีส่ายหน้าไปมา นางมึนงงสับสนกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่ยังไม่ทันได้สอบถามเรื่องราวเท็จจริงเป็นอย่างไร ร่างของนางถูกบ่าวชายฉุดกระชากลากออกมาจากเรือน หญิงรับใช้อีกสองคนเข้ามาคว้าร่างของอันอันไม่ให้วิ่งตาม เด็กน้อยถีบเท้าไปมาดิ้นรนขัดขืน แผดเสียงร้องไห้จ้าแต่ไม่อาจส่งเสียงพูดขอความช่วยเหลือได้ ร่างของหญิงสาวถูกลากออกไปที่ลานหน้า
เสร็จงานในครัวแล้ว เสิ่นฉางซีจูงมืออันอันพร้อมตะกร้าใส่อาหารและขนมนำกลับไปที่เรือน เพื่อไม่ให้ตัวเองคิดฟุ้งซ่าน นางจึงลงมือจดบันทึกรายการสินเดิมที่ได้รับมาเมื่อหลายวันก่อน หยิบจับสิ่งใด นางก็หวนคิดถึงบิดามารดาที่ล่วงลับไปเสียทุกที ป่านนี้ทั้งสองคงมองนางมาจากบนสวรรค์ ท่านพ่อท่านแม่วางใจเถิด ลูกมีความสุขดี อันอันอยากกินหมูหวาน แต่ตั้งใจอดกลั้นรอหยางหยางกลับจากสำนักศึกษา ระหว่างนี้จึงได้แต่นั่งกินขนมของว่าง เด็กน้อยนั่งบนเก้าอี้กลมแกว่งเท้าไปมา สองมือจับขนมเปี๊ยะดอกเหมยกัดกิน เสิ่นฉางซีเห็นมุมปากของเด็กน้อยเลอะคราบแป้งขนมเปี๊ยะ จึงหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดมุมปากให้ “ท่านแม่” เสียงแผ่วเบาเอ่ยขึ้น เสิ่นฉางซีสบตากับเด็กน้อย ทว่านางกลับรู้สึกว่า แม้อันอันจะจ้องมาทางนางแต่ไม่ได้มองมาที่นาง “คิดถึงแม่หรือ?” เด็กน้อยพยักหน้าหงึกๆ เสิ่นฉางซีอุ้มร่างเด็กน้อยมานั่งบนตัก ทำเหมือนตอนที่หยางหยางยังตัวเล็กเท่าอันอัน นางมักจับลูกชายนั่งตักและอ่านตำราหรือจดรายการอาหารที่ต้องทำ แต่เวลานี้นางกำลังบันทึกรายการ ‘สินเดิม’ ที่ได้รับมา อันอั
“ข้าสามารถเขียนรายกายอาหารให้เจ้านำไปให้แม่ครัวทำให้ได้” “เจ้าทำเองไม่ได้รึ” เสี่ยวจูขมวดคิ้ว “อ้อ! เจ้าไม่ใช่แม่ครัวแล้วนี่ เป็นอนุคนโปรดของท่านแม่ทัพ ต้องขออภัยที่ข้าลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท” “ไม่เป็นไร ประเดี๋ยวข้าเข้าครัวทำให้ฮูหยินน้อยเอง” เสิ่นฉางซีตอบแล้วหันไปคุยกับอันอันด้วยภาษามือ รอบเรือนหลังนี้มีองครักษ์ลับอยู่แต่นางก็ไม่ไว้ใจ หญิงสาวจึงให้เด็กน้อยวางพู่กันแล้วหยิบผ้าเปียกเช็ดมือน้อยๆ ให้อันอัน เด็กชายตัวน้อยอมยิ้ม เขาชอบที่เสิ่นฉางซีใส่ใจดูแลเขาเช่นนี้ ในหัวสมองน้อยๆ ของเขา เอาแต่คิดหาทางจะให้นางกับหยางหยางไปอยู่กับเขาในวังหลวง “เจ้ายิ้มอะไร” เสิ่นฉางซีหัวเราะเบาๆ เห็นเด็กน้อยเอาแต่อมยิ้ม นางก็อดยิ้มตามไม่ได้ อันอันไม่ตอบแต่โผเข้ากอดขาของนาง “เจ้ากอดแม่เช่นนี้จะเดินได้อย่างไร” นางส่ายหน้าไปมาแล้วแกะมือที่รัดรอบขาออก “ไปเถิด ไปในครัวกัน เจ้าอยากกินขนมละสินะ” นางจูงมืออันอันเดินไปที่ครัวด้วยกัน “ฮูหยินน้อยไม่ค่อยอยากอาหารแต่ถ้าเป็นของว่างของกินเล่น นางจะชื่นชอบมาก” เสิ่นฉางซีพึมพำขณะที่จูงมืออันอัน “อันอัน