หลังจากใครบางคนเจออาหารหลากหลาย สีสันสวยงามบนโต๊ะในห้องอาหาร แล้วกินอย่างแช่มชื่นรื่นรมย์จนลืมตัวเขาที่เป็นสามีหมิงเฉิงก็ได้แต่พ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิดขึ้นมาอีกครา หากแต่กลับทำอันใดมิได้ นอกจากปล่อยเลยตามเลย ยอมให้ชายาอยู่กับเสด็จแม่ไปก่อนชายหนุ่มสะบัดชายผ้าสีดำเนื้อดีเสียงดังพึ่บ เกิดกระแสลมเย็นจัดสายหนึ่ง ที่แสดงถึงอารมณ์ร้อนรุ่มเดือดดาล แล้วเดินจากมาอย่างไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก ไม่นาน...ก็กลับมาถึงตำหนักบูรพา แล้วเรียกหาองครักษ์คนสนิททันทีหลังจากหมิงจินเดินเข้ามายังห้องชั้นสองด้านในซึ่งปราศจากผู้ใดและห่างไกลพื้นดิน หมิงเฉิงที่ยืนรออยู่แล้วตรงริมหน้าต่างบานเดิม เพียงปรายหางตาคู่คมมองนิ่ง แล้วเอ่ยเนิบช้า“ข้าอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับชายาโหวทั้งหมดตั้งแต่นางเกิดและเติบโตมา”ไม่มีอ้อมค้อม ไม่มีผ่อนปรน และใจร้อนยิ่งยามหมิงเฉิงต้องการสิ่งใด หากมิใช่เข่นฆ่าล่าสังหารศัตรูหรือล้างผลาญเมืองใด ก็มักจะเอ่ยปากตามตรงกับหมิงจินเช่นนี้การสืบข่าวและวิเคราะห์เจาะลึกอย่างฉลาดปราดเปรื่องย่อมเป็นหมิงจินเท่านั้นที่เขาไว้ใจ โดยเฉพาะเรื่องนี้เรื่องที่ลึกลับซับซ้อนซ่อนเล่ห์แสนกลอันอาจจะถึงขั้นทำให้ใครบ
สายลมพัดพลิ้วเข้ามาทางริมหน้าต่าง ความมืดสลัวรางยามราตรีกาล มีเพียงแสงเทียนอ่อนจาง ส่องกระทบใบหน้าบุรุษ เผยให้เห็นสีหน้าเย็นชา ท่วงท่าเคร่งขรึม ทว่าสายตากลับมีประกายความหวังวาบผ่าน มันสะท้อนความแวววาวราวกับเจอเรื่องตื่นเต้นบางประการหมิงเฉิงให้รู้สึกยินดี มิได้มีความตื่นตกใจอันใด ปากออกคำสั่งอีกครั้งว่า “เจ้ารีบวางแผนเดินหมากเลย”หมิงจินยกยิ้มมุมปาก “พี่สามอาจไม่รู้ ข้ามีคู่คิดดีเยี่ยม และวางหมากเอาไว้แล้ว ขอเพียงท่านช่วยอีกแรง”หมิงเฉิงพยักหน้าน้อยๆ อย่างพึงพอใจแล้วเอ่ยอีกครา “เช่นนั้น ฤดูล่าสัตว์ปีนี้ เสด็จแม่มิได้ไปด้วย เจ้าก็อยู่เสียที่นี่ ดูแลเสด็จแม่ก็พอ แล้วตามสืบเรื่องของนางต่อ รอข้ากลับมา” หมิงจินได้ยินเช่นนั้นจึงรีบเอ่ยว่า “ย่อมดี พี่สามโปรดวางใจ ระหว่างที่ท่านเดินทางไกล ตัวข้าจะเร่งจัดการให้ทางนี้” สองพี่น้องมักเป็นเหมือนเช่นทุกครั้ง พวกเขามักรู้ใจกันเหนือสิ่งใด ประโยคเพียงสั้นๆ ง่ายๆ ล้วนกระจ่างแจ้งแค่มองตาอันที่จริง ว่าที่จักรพรรดิหนุ่มในคราบองครักษ์คนสนิทลอบพินิจทุกคนจนเห็นแจ้งแล้ว เพียงแต่ว่ายังคงไม่แน่ใจในอะไรหลายๆ อย่าง ทว่าบัดนี้ ความมั่นใจพลันเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ
หนึ่งเดือนผ่านพ้น...โม๋เอ๋อร์พำนักอยู่ตำหนักฉีหยางกงกับเจียงฮองเฮาอย่างแช่มชื่นเบิกบาน อาหารเลิศล้ำพร้อมพรั่งโดยที่หมิงเฉิงมิได้มาหากันแต่อย่างใด เพราะมัวแต่ยุ่งวุ่นวายกับงานราชกิจส่วนตัวระหว่างนี้หญิงสาวได้รับข่าวจากหยูเสวี่ยเป็นครั้งคราวเกี่ยวกับสามีและจวนโหวจากจดหมายฉบับน้อยของอีกฝ่ายข่าวว่าบรรดาอนุชายาที่ถูกขับออกจากตำหนักบูรพา บ้างไปถือศีลบวชชี บ้างเก็บตัวไม่ออกนอกเรือน บ้างไม่คบค้าสมาคมกับใคร บ้างตกน้ำตกบันได ตื่นมาก็พูดจาไม่รู้เรื่องหลายสกุลยังส่งของขวัญมาให้ตำหนักบูรพาไม่เคยขาด แสดงถึงใจรักภักดีที่มีต่อรัชทายาทไม่เสื่อมคลายยังมีข่าวว่าจวนโหวจัดงานเลี้ยงน้ำชาอย่างเอิกเกริก หลังจากได้รับสิ่งของล้ำค่ามากมายจากองค์รัชทายาทหมิงเฉิงที่ยกขบวนขนย้ายไปส่งมอบให้อย่างยิ่งใหญ่ คล้ายของแทนใจ อันแสดงถึงความโปรดปรานต่อพระชายาโหวเหนือใคร ทำให้งานเลี้ยงมีแขกเหรื่อตบเท้ามาร่วมยินดีอย่างฮึกเหิม สร้างเส้นสายทางการเมืองได้อย่างเหนียวแน่นมากยิ่งขึ้นเดิมทีมีผู้กังขาและออกความเห็นว่าเป็นเพียงละครตบตาของรัชทายาทหมิงเฉิง หมายเรียกความมั่นใจแห่งอำนาจคืนมา เพราะที่มีแต่เดิมถูกขับออกไปจนหมด สร้าง
ช่วงใกล้สิ้นปีในฤดูกาลอันหนาวเหน็บอย่างนี้มักจะมีกิจกรรมที่เหล่าเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงโปรดปราน และจัดขึ้นเป็นประเพณีสำคัญประจำปีเป็นพิธีบูชาบรรพบุรุษและเทพเจ้า เพื่อขอให้มีโชคมีลาภ ชีวิตยืนยาว หลีกเลี่ยงภัยพิบัติและได้รับความเป็นสิริมงคลนั่นก็คือพิธีการล่าสัตว์ซึ่งมักจะจัดขึ้นในทุกๆ ปีช่วงเดือนสิบหรือเดือนสิบเอ็ดเป็นต้นไปเมื่อม่านหมอกยามรุ่งสางจางไปมากโข ดวงตะวันฉายแสงไปทั่วนภาในวันที่ ‘สิบห้าเดือนสิบเอ็ด’ ขบวนพยุหยาตราจึงตั้งแถวเรียงรายอย่างเอิกเกริกยิ่งใหญ่ภายในคณะเดินทางไปร่วมพิธีล่าสัตว์อันศักดิ์สิทธิ์ประจำปีนี้ มีเชื้อพระวงศ์ราชนิกุลมากมาย พร้อมทั้งบรรดาขุนนางขั้นต่างๆ และเหล่าทหารยศน้อยยศใหญ่พากันเดินทางไกลไปเป็นขบวนโม๋เอ๋อร์ได้ร่วมประเพณีนี้เช่นกัน ในฐานะราชนิกุลหญิงผู้หนึ่งซึ่งเป็นถึงพระชายาในองค์รัชทายาท นางได้นั่นรถม้าคันใหญ่ ภายในตกแต่งประณีต มีคั่งแทนตั่ง มีตู้เป็นชั้นไม้สลักแสนวิจิตร ด้านในมีของกินมากมาย สะดวกสบายเหลือเกินหญิงสาวนั่งอยู่ด้านในคนเดียว เพราะว่าวันนี้หยูเสวี่ยมิได้มาด้วยกัน โม๋เอ๋อร์เห็นอีกฝ่ายกำลังวิ่งวุ่นเล่นสนุกอันใดกับองครักษ์จินมิทราบได้ จึงปล่อยไปเช
ไม่นาน ...บรรดาทหารชั้นผู้น้อยก็วิ่งแถวเรียงรายมายืนโอบล้อมแท่นประทับชั่วคราวที่กลางลานกว้าง แต่ละคนยืนเป็นระเบียบราวกับผนังผาสูงตระหง่าน เปลี่ยนพื้นหญ้าธรรมดาที่ปกคลุมด้วยละอองหิมะสีขาวให้กลายเป็นสนามประลองขนาดย่อม เพื่อให้เหล่าเชื้อพระวงศ์ได้ทดสอบฝีมือของทหารกล้าในอาณัติเมื่อบรรดาขุนนางระดับขุนศึกเดินทางมานั่งลงยังตำแหน่งของตนเอง การสนทนาปราศรัยจึงเกิดขึ้นอื้ออึงอยู่ชั่วครู่ จากนั้นเสียงแหลมเล็กของขันทีก็ดังขึ้น เพื่อประกาศการดำเนินเสด็จขององค์จักรพรรดิและเหล่าเชื้อพระวงศ์ท้ายขบวนของราชนิกุลคนอื่นๆ ตรงทางเดินเข้าลานประลอง หมิงเฉิงในอาภรณ์สีดำตัวยาวคาดลายเมฆาทองคำเคลื่อนคล้อยที่ไหล่ซ้ายขวาแลดูลึกลับน่าค้นหา พาร่างสูงใหญ่สง่างามราศีเหนือหมู่มวลเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าโม๋เอ๋อร์ดวงตาคมดำอันลึกล้ำไร้ก้นบึ้งให้หยั่งถึง จ้องมองชายาของตนนิ่งนาน สบประสานดวงตากลมโตสดใสอย่างต้องการดึงดูดอีกฝ่ายให้หลงเสน่ห์เพียงเขาหลายวันที่ไม่เจอหน้า มิคาดว่านางจะงามขึ้นถึงเพียงนี้เป็นความจริงที่รัชทายาทหนุ่มผู้หล่อเหลาทรงพลังยังคงไม่รู้ตัวเลยสักนิด ว่าผู้ที่ถูกดึงดูดจนตกบ่วงเสน่หาเป็นตัวเขาเอง มิใช่สตรีตรงห
วันนี้เป็นวันแรกที่โม๋เอ๋อร์ได้ปรากฏกายต่อธารกำนัลอันประกอบไปด้วยบุคคลแห่งราชสำนักนับร้อยทันทีที่ร่างระหงงามงอนในอาภรณ์สีหวานขับสีผิวขาวผ่องดวงตากลมโตสดใสล้อแสงตะวันกำลังเยื้องกรายแช่มช้าเคียงข้างสวามี พลันนั้นดวงตาทุกคู่ล้วนตื่นตะลึงหลายคนตีเข่าตนเองฉาดใหญ่ ในใจลอบคิดไปในทิศทางเดียวกันว่า มิน่าเล่า! รัชทายาทถึงโปรดปรานหนักหนา นางงดงามปานนางฟ้าถึงเพียงนี้...ฮ่องเต้หมิงเองยังทรงแปลกพระทัยไม่น้อย พระองค์คาดไม่ถึงว่าสตรีสกุลโหวจะงามพิลาศล้ำถึงเพียงนี้ นับว่าไม่แปลก หากเฉิงเอ๋อร์จักอดใจไม่ไหว ข่มเหงกันทั้งคืน จนนางต้องร่ำไห้เช่นนั้น!คำสันนิษฐานเหล่านั้นล้วนผิดมหันต์ต่อบุรุษเช่นหมิงเฉิง เพราะความงามล้ำเลิศอันใดล้วนไม่เป็นผลกับเขา มีเพียงสิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวตัวเขา คือแน่งน้อยวันวาน เจ้าของนัยน์ตาสีเขียวมรกตและปราณเย็นที่คุ้นเคยโม๋เอ๋อร์ล้วนมีทั้งหมด และพลั้งเผลอเผยออกมาบ่อยครั้งกระทั่งหมิงเฉิงยังไม่อาจเข้าใจ ว่าเหตุใดเขาจึงปักใจเชื่อว่าเป็นนาง ทว่าเขากลับไม่กล้าถาม ด้วยกลัวเหลือเกินกับคำตอบที่อาจจะได้รับ ว่านางไม่ใช่...ทั้งสองเดินเคียงข้างกันอย่างงามสง่าสมเป็นคู่ยวนยาง ที่ฟ้าประ
การท้าประลองดำเนินต่อไปเป็นคู่ๆ ทุกคนล้วนมีรูปร่างที่กำยำล่ำสัน ท่วงท่าแคล่วคล่อง กร้าวแกร่งห้าวหาญ ทั้งยังวาดกระบวนท่าร่ายดาบฟาดกระบี่ได้งดงามยิ่ง พลิ้วเหลือเกินโม๋เอ๋อร์นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าพวกบุรุษจะต่อสู้กันด้วยท่าทางปานเทพธิดาเช่นนี้ พวกเขาฝึกวรยุทธ์ด้วยความรื่นรมย์โดยแท้ ประหนึ่งสาวงามกระนั้นตัวนางก็เคยฝึกร่ายรำ แต่มันยากมาก ไม่สนุกเลยสักนิด รอชมผู้อื่นสนุกกว่ามากนัก อืม...พวกเขาใช้กระบวนท่าเช่นนี้ฆ่ากัน แล้วอีกฝ่ายจะตายหรือไม่หนอ อ้อ...คงตายกระมัง ดาบคมกริบปานนั้น!อา...พวกบุรุษมักเป็นเช่นนี้ ดูดียิ่งนัก!เทพปีศาจโม๋กุ่ยเสินผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ เพียงเลิกคิ้วผู้อื่นก็พิการตลอดชีวิต แต่กลับมิเคยได้ฆ่าใคร จึงไม่ค่อยจะเข้าใจการเข่นฆ่าของพวกมนุษย์สักเท่าไหร่ยามจ้องมองการประลองของบุรุษที่กลางสนาม โม๋เอ๋อร์จึงครุ่นคิดเรื่อยเปื่อยเหม่อลอยไปถึงไหนต่อไหน ดวงตาคู่งามจึงสดใสเปล่งประกายวาวระยับคล้ายกับประทับใจมากหมิงเฉิงให้นึกขุ่นเคือง เรียวคิ้วขมวดแน่น สีหน้าบึ้งตึง ก่อนเอียงหน้ากระซิบที่ริมหูชายา ปล่อยลมร้อนผ่าวใส่นางว่า“จงจับตาดูข้าให้ดี สามีเจ้าย่อมเก่งกล้ากว่าผู้ใด”กล่าวจบก็ลุกข
การประลองฝีมือของเหล่าบุรุษเริ่มเปลี่ยนไปจากทุกปีเดิมทียามผู้กล้าประชันกัน หมิงเฉิงมักจะนั่งอยู่เงียบๆ ประหนึ่งศิลาหนาหนักไม่ขยับไปทางใดเขาเพียงดื่มเหล้าเคล้าบรรยากาศอันเย็นเยียบท่ามกลางเหมันต์ ราวราชันย์แห่งผืนป่ากำลังนิทราดวงตาเรียวคมอันมืดดำลึกลับเพียงมองสำรวจทุกผู้คนอย่างเฉยชา ใบหน้าหล่อเหลาไร้อารมณ์ร่วมในทุกครั้งไปทว่าวันนี้ เขากลับตื่นผงาดลุกขึ้นมา ถอดเสื้อคลุมตัวหนาสีดำออกไป เผยเพียงเสื้อสีครามที่มีกล้ามเนื้อนูนเด่นรำไร อวดโฉมสง่างามต่อธารกำนัลในแบบที่ไม่เคยทำ แล้วย่างกรายพาร่างสูงใหญ่มายืนโดดเด่นอยู่กลางลานกว้าง ออกคำสั่งท้าประลองกับผู้กล้าทุกคนอย่างเหี้ยมเกรียม และแน่นอนว่าไม่มีผู้ใดกล้าขัดคำสั่งเลยสักคน แต่ละคนจึงตั้งท่าเตรียมพร้อมประจัญบาน ลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างประสานเสียงร่างกายงามสง่าอันสูงค่าขององค์รัชทายาทหนุ่มผู้นี้ แน่นอนว่าหากใครได้มีโอกาสประลองฝีมือด้วย นับได้ว่ามีวาสนา ไม่เสียชาติเกิดโดยแท้ แค่เขาไม่พลั้งมือฆ่าก็นับว่าเป็นบุญยิ่งผู้คนที่นั่งรอบนอกพลันหรี่ตา มองหมิงเฉิงอย่างครุ่นคิดหากมีคนซ้อนแผนคิดสังหารยามนี้ มิใช่เลวร้ายหรือไร?หมิงเฉิงย่อมรู้แจ้งทุกความ
ภายในกระโจมหลังงาม รอบด้านมีแสงเทียนสีทองข้างเตียงนอนมีนางกำนัลสองคนกำลังหลับใหลไร้สติตรงประตูทางเข้ากระโจมที่ถูกปิดเอาไว้ด้วยผ้าเนื้อหนา ไร้ผู้ใดเข้ามา มีเพียงสองชายหญิงคู่หนึ่ง ซึ่งกำลังยืนประจันหน้าเงียบงัน ไร้ภาวะเจรจาโดยพลัน สิ่งที่หมิงเฉิงไม่รู้ คือสร้อยเขี้ยวราชสีห์ที่ห้อยคอกำลังเรืองแสงบางเบาจนพลังแห่งการปกป้องที่ซ่อนเร้นในสร้อยส่งผลให้สตรีงดงามตรงหน้าถึงกับเก็บอาการไม่อยู่ จนต้องเปิดเผยตัวตนที่เป็นปีศาจในที่สุดเรียวนิ้วงามที่กำลังยกขึ้นเพื่อลูบไล้ร่างแกร่งพลันชะงัก แม้รอยยิ้มยั่วยวนยังไม่ทันจางหาย หากแต่พลังจากเขี้ยวราชสีห์กลับทำให้นัยน์ตาดำขลับของนางกลายเป็นสีเขียวเข้ม ปฏิกิริยาระหว่างนางกับเขี้ยวราชสีห์มีสัมพันธ์บางอย่างต่อกันหัวใจชายในอกแกร่งพลันเต้นระส่ำรุนแรง เมื่อหมิงเฉิงเห็นดวงตาสีเขียวของนางเนิ่นนาน มิใช่เพียงชั่ววูบเดียวเหมือนของชายาโหวทว่าในขณะที่มือแกร่งกำลังจะเอื้อมขึ้นมารั้งร่างระหงให้เข้าใกล้เพื่อพินิจให้ชัดเจนยิ่งกว่าเดิม หญิงงามพลันถอยร่นหนีห่างออกไปถึงสามก้าว จากนั้นเรือนร่างอรชรก็เริ่มเปลี่ยนสีจากเนื้อเนียนสีขาวละเอียดลออเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลือง เส้นผ
ร่างสูงเดินมาหยุดยืนเบื้องหน้ากระโจมชั่วครู่ ฝ่ามือใหญ่ค่อยๆ เปิดประตูที่ทำจากผ้าเนื้อหนา แล้วเดินเข้าไปช้าๆเมื่อเดินเข้ามาในกระโจมของพระชายา สายตาคมกวาดมองไปที่เตียงนอน เห็นนางกำนัลสองคนกำลังหลับใหลประหนึ่งตายจากอยู่บนฟูกที่พื้นหน้าเตียงเรียวคิ้วที่ขมวดมุ่นอยู่เป็นทุนเดิม ยิ่งขมวดพันกันแน่นคล้ายกลายเป็นปมเชือก เมื่อมองไม่เห็นเงาร่างของใครบางคนนอนอยู่บนเตียงนั่นสายตาคมกล้าจึงกวาดมองไปทั่วกระโจม ทันใดนั้นพลันสะดุดกับสตรีนางหนึ่ง ซึ่งยืนอยู่ตรงมุมอับภายในกระโจมร่างหนานิ่งค้างในบัดดล จ้องมองสตรีนางนั้นนิ่งงันเพราะว่าดึกมากแล้ว แสงเทียนสีทองจึงเริ่มมอดดับ ความสว่างจึงสาดส่องไม่ทั่วสักเท่าไหร่ หมิงเฉิงจึงเห็นสตรีปริศนาแค่เพียงรำไรในครรลองสายตา นางแต่งกายด้วยชุดสีขาวบางเบา แหวกสาบเสื้อเปิดเปลือยเนินเนื้ออวบอิ่มนูนเด่นออกมามากกว่าครึ่งเต้า สร้างความรู้สึกวาบหวามไม่เบาแก่ผู้จ้องมองม่านตาดำพลันหดเล็กแคบ ตรึงมองนางไม่ไหวติงหมิงเฉิงชะงักงันไปชั่วขณะ มิใช่เพราะความเย้ายวนที่เรือนกาย ทว่าเป็นเพราะเมื่อสตรีงดงามนางนี้ค่อยๆ ผินหน้ามา เค้าโครงหน้าตาของนางหาใช่ชายาแห่งเขาไม่!ชายหนุ่มยิ่งขม
เมื่อสิ้นเสียงเหล่าสัตว์ร้าย สิ้นความโกลาหลวุ่นวาย ความสงบจึงกลับเข้ามาอีกครั้งความเคลือบแคลงสงสัยเกี่ยวกับสัตว์ป่าจำนวนมากที่เข้ามาทำร้ายองค์รัชทายาทถูกอาบไล้ไปทั่วบริเวณ แต่กระนั้นฮ่องเต้ต้าหมิง ก็ทรงทำได้เพียงเรียกรวมทุกคนเข้าร่วมหารือในกระโจมหลักเหล่าองค์ชาย แม่ทัพใหญ่และทหารกล้าอีกหลายนายเข้าร่วมประชุมเคร่งเครียด เร่งหาสาเหตุต้นตอและวิธีรับมือกับสัตว์ป่าในวันรุ่งในใจทุกคนเริ่มหวาดหวั่นว่าการที่พวกเขามาล่าสัตว์ในครานี้ ตัวพวกเขาเองอาจจะกลายเป็นฝ่ายถูกสัตว์ล่าเสียมากกว่าหมิงเฉิงที่กำลังยืนนิ่งขรึมอยู่กลางลาน สีหน้าเย็นเยียบ ประหนึ่งวิญญาณลอยไปไกลก่อนหน้า ยังถูกตามตัวมาร่วมหารือเช่นกัน ด้วยตัวเขานั้นคือหัวข้อใหญ่แห่งการประชุม พื้นที่โล่งภายในกระโจมหลัก มีขุนศึกทั้งบุ๋นบู๊กำลังยืนรวมตัวกันด้วยท่าทีเคร่งเครียด เบื้องหน้าของพวกเขาคือองค์จักรพรรดิต้าหมิงประทับนั่งเหนือสุด ด้านซ้ายและขวาของพระองค์คือองค์ชายทั้งสอง หมิงเหอ และหมิงเฉิงบุรุษชุดครามเปื้อนเลือดสัตว์ป่ายังคงนั่งนิ่งเงียบงัน ปราศจากวาจาแม้ครึ่งคำ ทั้งๆ ที่หัวข้อหารือของทุกคนในกระโจมคือเรื่องของเขา ใบหน้าหล่อเหลาของ
ความกลัววูบหนึ่งในแบบที่ไม่เคยเป็นกับใคร พลันเกิดขึ้นกับสตรีเช่นโม๋เอ๋อร์ ในจังหวะเดียวกันที่เงาร่างอรชรพลันสาดแสงแวบหนึ่ง แล้ววาบหายไปเพียงเสี้ยวอึดใจ ผ้าม่านกระโจมพลันเปิดสะบัด ร่างแกร่งพลันพุ่งพรวดเข้ามาหมิงเฉิงวิ่งถลาเข้าหารวดเร็ว ทันได้เห็นแสงสีทองวูบไหวในอากาศ เพียงเสี้ยวเวลาเท่านั้น ร่างสูงยืนนิ่ง เรียวตาเบิกกว้าง ใบหน้าแข็งค้าง ริมฝีปากเปล่งเรียกคราหนึ่ง“หนวี่เอ๋อร์...”บุรุษยืนเคว้ง มองโดยรอบภายในกระโจม ลำตัวแข็งเกร็ง ชะงักนิ่งเงียบงันนามหนวี่เอ๋อร์นี้ ล้วนมาจากเซียนหนวี่และหนวี่เสินที่หมิงเฉิงมั่นใจเหลือเกิน ว่านางสูงส่งเทียมฟ้าหาใช่สตรีธรรมดา ในความรู้สึกหมิงเฉิงหมุนกายวิ่งออกนอกกระโจม สองตาคมปลาบกวาดมองไปทั่วบริเวณ ไม่สนใจเหล่าทหารที่กำลังโกลาหลวุ่นวายกับการกำจัดซากสัตว์ป่าที่ล้มตายก่อนหน้าสองเท้าก้าวฉับๆ ไปทิศทางหนึ่ง เมื่อเห็นนางกำนัลเดินผ่านก็เรียกมา แล้วถามหาพระชายาของตน“พระชายาตกใจกับเหตุการณ์เมื่อครู่ ร่ำไห้เสียขวัญยิ่ง ยามนี้อยู่ในกระโจม บ่าวหลายคนไปอยู่เป็นเพื่อนแล้วเพคะ”นั่นคือคำตอบของนางกำนัลก่อนยอบกายแล้วล่าถอยไปหมิงเฉิงได้แต่ยืนอึ้ง เงียบงันอยู่เช่
ลานโล่งเยื้องด้านหน้ากระโจมขององค์รัชทายาทเหล่าสัตว์ป่าดุร้ายยังคงกระโจนขึ้นหน้าแบบไม่คิดชีวิต ทุกตัวไม่สนใจคมดาบของทหารคนใด เอาแต่ขู่คำรามกรรโชกรุนแรง แล้วพุ่งทะยานเข้าใส่ เพียงหมิงเฉิงผู้เดียวรัชทายาทหนุ่มแค่นเสียงสบถในลำคอ เงื้อดาบขึ้นหน้าฟาดฟันไม่มียั้งทว่าในเสี้ยวเวลานั้นเอง เหล่าสัตว์ร้ายหิวกระหายคล้ายกับได้สติฉับพลัน ดวงตาสีแดงเพลิงของพวกมันพลันเบิกกว้างถลึงมองค้างทั้งเสือร้ายและหมาป่าต่างพากันชะงักงันกลางอากาศ ก่อนจะทิ้งร่างกระแทกพื้น ทุกตัวดิ่งร่วงลงต่ำราวห่าฝนกะทันหันร่างของสัตว์ใหญ่ตกกระทบพื้นดินดังพลั่กพลั่กติดต่อกัน จากนั้นพวกมันก็ตะลึงลานก่อนร้องโหยหวนคล้ายเจ็บปวดรวดร้าวอย่างแสนสาหัส แล้วรีบปัดป่ายสี่ขาลนลานลุกขึ้นวิ่งหนีออกไปคนละทิศละทาง ประหนึ่งหนูเจอราชสีห์ หวาดกลัวสุดชีวิตเสียงสวบสาบครืนครืนเกิดขึ้นจากฝีเท้ามากมายของเหล่าสัตว์ร้ายที่คล้ายกับหนีตาย เพียงพริบตา เหล่าสัตว์ป่าล้วนหายไปในความมืดมิดของผืนป่า ประหนึ่งลมพัดโหมหอบใหญ่หมิงเฉิงตะลึงในใจ เรียวคิ้วคมกระตุกวูบ สัมผัสได้ถึงไอเย็นที่คุ้นเคย จากทางด้านหลัง ที่กระโจมนั่นแน่งน้อย!ชายหนุ่มไม่รอช้า ไม่สนใจผู้ใด
เมื่อพวกมันกระโจนเข้าใกล้ในระยะประชิด หมิงเฉิงก็ยกดาบหนาหนักในมือขึ้นอย่างไม่ครั่นคร้าม ฟาดฟันสัตว์ป่าหิวกระหายจนกระเด็นไปไกล เลือดสีแดงฉานสาดกระจาย เหม็นคาวคละคลุ้ง ตลบอบอวลชวนสะอิดสะเอียนหนึ่งตัวปลิวไป สองตัวละลิ่วตาม สองแขนปัดป่ายซ้ายขวาด้วยท่วงท่าทรงพลัง ความอำมหิตเกิดขึ้นพริบตาหมิงเฉิงล้วนสังหารเจ้าเดรัจฉานได้หฤโหดยิ่งนักชั่วจังหวะที่เหล่าสัตว์ร้ายกำลังรุมขย้ำบุรุษสูงศักดิ์ บรรดาทหารก็พากันขึ้นหน้า โอบล้อมเข้าหา พร้อมอาวุธเข้าช่วยเหลือ ทุกคนกล้าหาญขึ้นมาก เมื่อเห็นองค์รัชทายาทน่ากลัวยิ่งกว่าพวกสัตว์ป่าทั้งหลายทว่า...เหมือนมันยังไม่หมดง่ายๆเหล่าสัตว์ร้ายจากมุมมืดในป่าใหญ่ คล้ายกับมีจำนวนมากมายมหาศาล ฆ่าให้ตายอย่างไรก็ไม่หมดเสียทีบัดนี้ พลันมีเสียงเคลื่อนตัวสวบสาบแหวกหญ้าพุ่งปราดจากทุกสารทิศ อึดใจก็รวมตัวกันแล้วเกิดเสียงครืนๆ จากในป่าลึก เสียงนั้นคือการเคลื่อนตัวของสัตว์ฝูงหนึ่ง สวบสาบแหวกหญ้าพุ่งปราดจากทุกสารทิศจนรวมตัวกัน แล้วเกิดเสียงครืนๆ จากในป่าลึกดังเข้ามาใกล้ทุกที ทั้งคำราม ขู่กรรโชก เห่าหอน ดังลั่นไปทั่วไม่นาน...แสงสีแดงน่ากลัวมากมายพลันเกิดขึ้นพรึบปานหิ่งห้อยฤดูร้อ
เหล่าทหารกล้าพร้อมอาวุธกระชับแน่นในมือ รุมล้อมเหล่าสัตว์ร้ายอีกชั้นหนึ่ง ทุกคนเหงื่อซึมพร่างพราวที่ขมับซ้ายขวา ริมฝีปากแห้งผาก สองตาทุกคู่จ้องเขม็ง ไม่กล้ากะพริบ พยายามโอบโดยรอบบริเวณ เพื่อกระชับพื้นที่ ทว่าไม่อาจเข้าหาหมิงเฉิงได้แต่อย่างใดฮ่องเต้ เหล่าสนม องค์ชายรอง และพระชายาคนอื่นๆ ต่างได้รับการคุ้มกันห่างออกมา ทุกคนทำได้เพียงมองไปทางกระโจมของหมิงเฉิงอย่างหวาดหวั่นขวัญผวา แตกตื่นตกใจในแววตา เนื้อตัวสั่นเทาไม่หยุดเห็นได้ชัดว่าไม่เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อนเลยสักครั้งทั้งหมดพากันยืนอย่างสงบ เงียบเชียบกันทุกคน ไม่กล้าพูดจา ไม่กล้าแม้แต่จะขยับปลายเท้าเบื้องหน้าของพวกเขา คือบุรุษชุดครามเพียงหนึ่งเดียว ยืนตระหง่านอย่างสงบ ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชา รอบกายแผ่กำจายความเย็นเยียบออกมา ทว่ากลับแผ่ซ่านความร้อนระอุ ใกล้ปะทุจุดเดือด หมิงเฉิงยังคงสงบนิ่งท่ามกลางเหล่าสัตว์ร้ายมากมายที่กำลังคลุ้มคลั่งหลายสิบตัว พวกมันพากันแยกเขี้ยว ดวงตาแดงก่ำพร้อมเดือดดาล ห้อมล้อมเพียงรัชทายาทแค่หนึ่งเดียว ในขณะที่รอบด้านคือทหารดำทะมึน ที่ห้อมล้อมหยั่งเชิงสัตว์ร้าย หมายมิให้กล้ำกราย ทว่ากลับมิกล้าเข้าใกล้ลมเหมันต
โม๋เอ๋อร์ออกคำสั่งเสียงนุ่มตามเห็นสมควร เพราะว่านางไม่อาจพุ่งตัวออกไปว่องไวให้ใครผิดสังเกตเอาได้เมื่อนางกำนัลทั้งสองคนพากันวิ่งออกไปตามคำสั่ง โม๋เอ๋อร์จึงรีบลุกจากเตียงแล้วสวมชุดคลุมสีชมพูสดใส ปล่อยผมยาวสยายเคลียไหล่ เพราะไม่มีเวลารวบมัด จากนั้นก็เดินตามนางกำนัลไปชั่วอึดใจ นางกำนัลทั้งสองก็วิ่งกลับมาหาโม๋เอ๋อร์ แล้วรีบเล่าความให้ฟังว่า“เรียนพระชายา มีสัตว์ร้ายกลุ่มหนึ่งกำลังรุมทำร้ายองค์รัชทายาทเพคะ ได้ยินทหารเล่าว่า เมื่อช่วงหัวค่ำ รัชทายาทเดินเข้าไปในป่า แล้วกลับออกมา จากนั้น...”โม๋เอ๋อร์ไม่เสียเวลารอฟังจนจบ นางรีบสาวเท้าขึ้นหน้า ทว่านางกำนัลยังคงตามติดเพื่อบอกเล่าต่อความว่า“พวกทหารพากันสงสัยว่าองค์รัชทายาทเข้าป่าไปทำไม แต่บัดนี้ ทุกคนล้วนกระจ่างแจ้งแล้ว”นางกำนัลอีกคนรีบเอ่ยเสริม “พระองค์อาจจะจงใจเข้าไปนำสิ่งของสำคัญในป่าลึกออกมาเป็นแน่ อาจเป็นหินปีศาจ วารีพิฆาต บุปผาสวรรค์ ผลไม้เทพ พวกสัตว์ร้ายจึงตามมาทวงคืน” โม๋เอ๋อร์ปราศจากวาจา นั่นมันคำสันนิษฐานอันใด?ด้วยแน่ใจว่าหมิงเฉิงมิใช่คนโลภ และยิ่งมั่นใจ ว่าเจ้าสิ่งของเหล่านั้น มิใช่ผู้ใดจักหยิบเอามาได้โดยง่ายบ้าไปแล้ว...กระโจม
พลบค่ำ อากาศหนาวเย็นยิ่งกว่ายามกลางวัน บรรยากาศภายในหุบเขาวังเวงยิ่ง ทว่ารอบด้านกลับคึกคักครื้นเครง มีโคมไฟสาดส่องให้แสงสว่างไปทั่วกระโจมที่พักต่างๆ ล้วนแบ่งแยกชายหญิง ไม่เว้นแม้แต่สามีภรรยา องค์ชายกับชายา องค์จักรพรรดิกับพระสนมกฎระเบียบย่อมเป็นเช่นนี้ เพราะฮ่องเต้ทรงพาพระสนมคนโปรดมาถึงสามคน องค์ชายยังพาอนุชายามาด้วยมากกว่าหนึ่งคน หมิงเฉิงกับโม๋เอ๋อร์จึงต้องแยกกระโจมกันแต่โดยดี ไม่อาจทำตามแต่ใจเหมือนดั่งที่นั่งชมการประลองในยามกลางวันได้อีกแล้วยามนี้สี่ทิศโดยรอบ ทหารส่วนใหญ่ทำหน้าที่เวรยามอยู่ไกลๆ บ้างเดินสำรวจ บ้างยืนนิ่งเป็นหุ่นไม้ พวกที่เหลือพากันล้อมวง มีกองไฟอยู่ตรงกลาง บ้างร่ำสุรา บ้างหยอกล้อบ้าระห่ำยังมีบางกลุ่มที่สุมหัวแทบจะชนกัน หัวเราะฮ่าฮ่า ปากก็กล่าวว่า มาๆ วางเงินๆ สูงต่ำข้าแทง ถึงตาเจ้าแล้ว...นอกจากเหล่าทหาร ยังมีบรรดานางกำนัล ในตำแหน่งต่างๆ พากันเดินขวักไขว่เพื่อรับใช้เจ้านายราชนิกุลที่เป็นบุรุษ นั่งเสวนากันในกระโจมหลัก ร่วมโต๊ะอาหารและดื่มเหล้าด้วยกัน ส่วนราชนิกุลฝ่ายสตรี ต่างพากันพักผ่อนแยกย้าย ในกระโจมของแต่ละคน ล้วนไม่ยุ่งเกี่ยวเมื่อเป็นเช่นนี้ โม๋เอ๋อร์จึงนั่