ชนาธิป
"ถ้าคุณชนาธิปยังไม่คุยตอนนี้ งั้นผมขอตัวไปคุยกับผู้รับเหมาก่อนนะครับ"หลังจากที่ผักขาเอ่ยจบประโยคเจ้าตัวก็รีบสาวเท้าเดินหนีจากนายน์ไปในทันที
"หึ! หนีเก่งจริงๆ"
ด้านนายน์เองเมื่อเห็นโอเมก้าตัวน้อยที่เขาพยายามตามหามาตลอดหลายปีมีท่าทีไม่อยากจะเข้าใกล้ตัวเองเท่าไหร่นัก ก็ได้แต่กระตุกยิ้มมุมปากพร้อมกับหัวเราะในลำคอเบา ๆ อย่างชอบใจ ก่อนที่จะก้าวเท้าเดินตามหลังของผักขาที่เดินไปทางน้องชายตัวเองเพื่อจะคุยงานต่อ
"อ่าวพี่ผัก คุยงานกับคุณสถาปนิกเสร็จแล้วเหรอ"ข้าวเม่าที่กำลังแจกบัวลอยที่ผักขาทำแบ่งใส่ถ้วยพลาสติกให้กับเหล่าผู้เหมาอยู่นั้น เมื่อหันมาเห็นพี่ชายตัวเองก็เอ่ยถามขึ้นพลางขมวดคิ้วทำหน้าสงสัยเพราะนี้พึ่งผ่านไปไม่กี่นาทีเองทำไมพี่ชายเขาคุยเร็วจัง
"เอ่อ...."ผักขาที่ยังคิดข้อแก้ตัวกับน้องชายไม่ได้ก็ได้แต่อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ แต่ทว่าชนาธิปที่เห็นท่าทีอึกอักของคนตัวเล็กก็นึกอะไรบางอย่างได้ จึงเอ่ยแทรกตอบข้าวเม่าไป
"อ๋อ ยังหรอกครับคุณผักขาเขาบอกว่าจะให้ผมไปคุยที่บ้านน่ะครับ เห็นบอกว่าอยากให้คุณอรอนงค์ช่วยดูอีกทีว่าตรงไหนมีปัญหาหรือเปล่าถ้าเขาต้องการจะแก้ไข"
"ห๊ะ?"ผักขาเบิกตากว้างหันไปมองยังต้นเสียงที่ไม่รู้ว่าเจ้าของเสียงนั้นเดินตามมาตั้งแต่เมื่อไหร่ด้วยแววตาอึ้ง ๆ
"อ่าว อย่างงั้นเหรอพี่"ข้าวเม่าที่ไม่รู้อะไรก็นึกว่าเป็นอย่างที่ชนาธิปว่าจริง ๆ ก็หันไปถามความเห็นจากพี่ชายตัวเองอีกรอบ
ส่วนผักขาที่ยังงงงวยอยู่ก็ได้แต่จ้องมองใบหน้าหล่อของนายน์ด้วยแววตาเบิกกว้าง ก่อนที่จะหันไปตอบน้องชายอย่างจำใจ
"อืมใช่ พี่อยากให้คุณนายอรดูแบบโครงสร้างช่วยอีกทีน่ะ เผื่อมีตรงไหนที่พี่อยากแก้แล้วมันไม่ดีตามที่พี่คิด"
"อ่อ อย่างนี้นี่เอง งั้นตรงนี้ก็เหลือคุยกับผู้รับเหมาก็จบแล้วใช่มั้ย"
"อืม ใช่แล้วถามทำไมอ่ะ แกรีบไปไหนอย่างงั้นเหรอ"ผักขาเอ่ยถามน้องชายขึ้น เมื่อเห็นท่าทีของน้องชายที่ก้มมองมือถือในมือด้วยท่าทีเครียด ๆ
"ไอ้ปริ้นเพื่อนผมอ่ะดิ มันทักมาบอกว่ามีเรื่องชกต่อยบอกให้ผมไปหามันที่โรงพักหน่อย"ข้าวเม่าเอ่ยตอบพี่ชายด้วยสีหน้าเครียด ๆ
"ห๊าาาา"
"คุณข้าวเม่าไปหาเพื่อนเลยก็ได้นะครับ เดี๋ยวคุณผักขาผมไปส่งก็ได้ ยังไงผมก็ต้องเข้าไปคุยกับคุณอรอนงค์ที่บ้านอยู่แล้ว"นายน์รีบเอ่ยอาสาขึ้นทันที
เมื่อเห็นจังหวะที่จะได้อยู่กันสองคนมีหรือที่นายน์จะปล่อยโอกาสไป
"เอ่อ...งั้นผมรบกวนคุณสถาปนิกด้วยนะครับ"ข้าวเม่าที่เป็นห่วงเพื่อนรีบเอ่ยตอบข้อเสนอของชนาธิปที่จะไปส่งพี่ชายตัวเองในทันที
"ไม่เป็นไรเลยครับ"
ส่วนด้านผักขาที่เห็นชายหนุ่มทั้งสองเอ่ยตกลงกันเองสองคนโดยที่ไม่ถามตัวเขาก็รีบเอ่ยแทรกขึ้นในทันที
"เดี๋ยวสิไอ้เม่า นี่แกจะทิ้งพี่ไว้ที่นี้คนเดียวหรือไง"ผักขาคว้าหมับเข้าที่แขนแกร่งของน้องชายพลางเอ่ยถามด้วยสีหน้าอึ้ง ๆ
"พี่ก็ได้ยินแล้วนี่ว่าไอ้ปริ้นมันอยู่ที่โรงพัก อีกอย่างผมก็ไม่ได้ทิ้งพี่สักหน่อย ก็พี่บอกเองว่ายังไงพี่ก็ต้องไปคุยงานกับคุณเขาที่บ้าน ผมก็แค่ให้พี่ติดรถไปกับคุณสถาปนิกก็แค่นั้นเอง ปล่อยผมได้แล้วผมต้องรีบไปประกันตัวไอ้ปริ้น"ว่าจบข้าวเม่าก็แกะมือพี่ชายออกแล้วรีบยัดถุงที่เหลือบัวลอย2ถ้วยใส่มือพี่ชาย ก่อนที่จะรีบเดินไปขึ้นรถแล้วขับออกไปทันที
"ไอ้ข้าวเม่า! ไอ้น้องเวรเอ๊ยยย"ผักขาที่ทำอะไรไม่ได้เหมือนอย่างเคยก็ได้แต่ตะโกนด่าไล่หลังน้องชายเพื่อระบายอารมณ์เท่านั้น
"เอายังไงครับ ไปกันเลยมั้ย"ชนาธิปเอ่ยถามคนตัวเล็กที่ยืนหันหลังให้ตัวเอง พลางนัยน์ตาคมก็ไล่มองสำรวจร่างกายของคนตรงหน้า ก่อนที่จะไปหยุดสายตาที่ต้นคอของผักขาที่มีรอยกัดแผลเป็นนูนขึ้นมา ที่ดูก็รู้ว่าเป็นรอยพันธะที่ตัวเขาเป็นคนทิ้งไว้เมื่อ5ปีก่อน
"ผมขอไปคุยกับผู้รับเหมาก่อนนะครับ"
"โอเค....อ่าาไม่รอให้พูดจบประโยคเละแฮะ"นายน์บ่นออกมาเสียงเบา เมื่อเห็นว่าผักขานั้นที่พูดจบก็เดินหนีไปเลยไม่รอให้เขานั้นเอ่ยตอบเลยสักนิด
ผักขาเดินไปคุยงานกับผู้รับเหมาเพื่อที่จะตกลงกันว่าจะเริ่มก่อสร้างตรงส่วนไหนก็มีนายน์ยืนสังเกตดูและมองตามคนร่างบางอยู่ตลอด ก่อนที่จะหันไปเอ่ยปากไล่เลขาชายคนสนิทให้กลับไปก่อน เพราะตัวเขานั้นต้องการที่จะอยู่กับผักขาแค่สองคนบนรถ
จะได้พูดเคลียร์กันสักที
บนรถ
หลังจากที่ผักขาพูดคุยกับผู้รับเหมาอยู่สักพักก็เป็นอันตกลงกันเรียบร้อยว่าจะเริ่มงานในวันพรุ่งนี้ ผักขาจึงเดินกลับมาหานายน์และเดินขึ้นมานั่งบนรถข้างคนขับเพื่อจะไปคุยรายละเอียดอะไรกันต่อที่บ้านของผักขา
"เลขาคุณล่ะ"ผักขาเอ่ยถามขึ้นทันทีที่เห็นคนตัวสูงเปิดประตูรถและขึ้นมานั่งฝั่งคนขับโดยไร้เงาของเลขาชายที่ผักขาเห็นตั้งแต่แรกที่ลงจากรถ
จะว่าไปก็ไม่เห็นสักพักแล้วนะ
"เขามีงานด่วนที่ต้องกลับกรุงเทพกะทันหันน่ะครับ"นายน์เอ่ยตอบด้วยใบหน้ายิ้ม ๆ ก่อนที่จะเอี้ยวตัวมาทางผักขา จนทำให้ผักขาที่ไม่ทันตั้งตัวเบิกตากว้างร้องถามขึ้นอย่างตกใจ
"นี่คุณจะทำอะไร!"
"ผมแค่จะคาดเบลท์ให้คุณเองครับ"นายน์ยังคงเอ่ยตอบด้วยท่าทีนิ่ง ๆ และใบหน้าประดับรอยยิ้มพลันจมูกก็แอบสูดดมกลิ่นฟีโรโมนที่เจือจางของผักขา
"ผมคาดเองได้! ออกไปหาง ๆ ผมเลยนะ"
"ขอโทษทีถ้าผมทำให้คุณตกใจ"ชนาธิปเอ่ยพูดขึ้นมาแค่นี้ ก่อนที่จะทำการสตาร์ทรถแล้วขับไปตามเส้นทางที่คนด้านข้างบอก
ระหว่างทางที่ล้อรถวิ่งแล่นไปถามท้องถนนภายในรถก็ปกคลุมไปด้วยความเงียบโดยไม่มีใครเอ่ยพูดอะไร ชนาธิปที่ทำหน้าที่เป็นสารถีก็ทอดสายตามองไปยังถนนเส้นยาวเบื้องหน้า แต่ก็มีบ้างที่เหลือบสายตามองมายังโอเมก้าตัวน้อยที่นั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถอยู่ด้านข้างเขา
ส่วนด้านผักขาที่รู้สึกเกร็งเป็นทุนเดิมอยู่แล้วที่ต้องมาเจออัลฟ่าหนุ่มที่ตัวเองหนีหายเขามาถึง5ปี แล้วยิ่งตอนนี้ต้องมานั่งรถคันเดียวกับเขาสองต่อสองก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกเกร็งและประหม่าเข้าไปอีก
"นี่ผักขา ผมถามอะไรหน่อยสิ"เป็นนายน์ที่เอ่ยทำลายความเงียบภายในรถลง
ส่วนผักขาที่นั่งเกร็งเม้มปากเงียบมาตั้งแต่ต้นทางก็หันไปมองชายหนุ่มตัวสูงอย่างชั่งใจว่าจะเอ่ยพูดคุยกับเขาดีมั้ย แต่สุดท้ายผักขาก็ได้แต่ถอนหายใจทิ้งออกมาเฮือกใหญ่แล้วเอ่ยพูดกับนายน์
"ครับ คุณมีอะไรจะถามผมเหรอ"
"ทำไมวันนั้นคุณถึงหนีผมมา"นายน์เอ่ยถามเปิดประเด็นเรื่องเมื่อ5ปีก่อนขึ้นพลางนัยน์ตาคมก็ทอดมองไกลไปยังถนนเบื้องหน้าไม่ได้หันมามองคนข้างกายเลยว่าตอนนี้ได้แสดงสีหน้ายังไง
"คะ คุณพูดเรื่องอะไรผมไม่เห็นเข้าใจเลย ผมไปหนีอะไรคุณตอนไหนกัน"ผักขาเลือกที่จะเอ่ยตอบโกหกออกมา
เขาไม่อยากจะยอมรับความจริงกับชนาธิป เขาไม่อยากจะยุ่งวุ่นวายกับผู้ชายคนนี้ เขาอยากจะใช้ชีวิตอยู่เงียบ ๆ เหมือนเดิมที่ผ่านมา
อยากจะทำเหมือนมันไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เอี้ยดดดด
เมื่อได้ยินคำตอบจากคนร่างบาง ชนาธิปตัดสินใจเลี้ยวรถจอดสนิทที่ข้างทางทันที ก่อนที่จะหันไปพูดกับผักขาด้วยสีหน้าแสดงออกถึงความไม่พอใจ
"เฮ่ออ นี่ผักขาถึงวันนั้นผมจะไร้สติและเห็นหน้าคุณไม่ค่อยชัด แต่ผมจำกลิ่นของคุณได้แม่นนะและผมเองก็มั่นใจว่าคุณเองก็จำกลิ่นของผมได้เช่นกัน"
"คุณพูดเรื่องบ้าอะไรของคุณคุณชนาธิป ผมไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย"ผักขายังคงยืนกรานคำเดิมของตัวเอง
ส่วนชนาธิปที่เห็นทินภัทรยังคงปากแข็งไม่ยอมรับหรือพูดอะไรอีก แถมยังหันหน้ามองออกไปทางหน้าต่างรถเพื่อหลบสายตาของเขา นายน์ก็ได้แต่จำนนและยอมถอยให้ก่อนในวันนี้
"โอเคผักขาวันนี้คุณปฏิเสธที่จะยอมรับเรื่องเมื่อ5ปีก่อนก็ไม่เป็นไร แต่คุณอย่าลืมว่ารอยที่คอของคุณมันปฏิเสธไม่ได้หรอกนะ ว่าคุณเป็นโอเมก้าของผมแล้ว"
ตอนนี้อยากจะปฏิเสธก็ปฏิเสธไปเถอะ แต่ถ้ายอมรับเมื่อไหร่ ผมไม่ยอมปล่อยคุณไปอีกแน่
กล้ามากที่ได้ผมแล้วหนีมา ปล่อยให้ผมตามหาอยู่ตั้งนานหลายปี
หลังจากที่จบประโยคคำพูดของชนาธิป ทินภัทรก็ไม่ได้เอ่ยพูดหรือตอบอะไรกลับมาอีกและเมื่อนายน์เห็นผักขาเอาแต่นั่งเงียบหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างรถอย่างเดียว ก็ไม่ได้เอ่ยพูดหรือซักไซ้ก่อนที่จะหันกลับมาตั้งใจขับรถตรงไปบ้านของผักขาตามเดิมผ่านไปไม่นานรถคันหรูก็แล่นเข้ามาจอดสนิทในรั้วบ้านสองชั้นขนาดพอดี ชนาธิปจัดการดับเครื่องยนต์แล้วหันไปมองคนด้านข้างที่พอรถจอดสนิทก็เก็บข้าวของแล้วรีบเปิดประตูก้าวลงจากรถอย่างเร็ว โดยที่ไม่หันมามองคนตัวสูงแม้แต่น้อยและเมื่อเป็นอย่างนั้นตัวชนาธิปเองก็รีบปลดเบลท์เอี้ยวตัวไปคว้าแบบโครงสร้างที่อยู่ด้านหลังแล้วรีบลงจากรถก้าวเดินเร็วๆตามโอเมก้าร่างบางเข้าบ้าน"กลับมาแล้วเหรอผัก ทำไมกลับมาเร็วจัง"ทันทีที่สองเท้าของผักขาก้าวเข้ามาในบ้านเสียงของอรอนงค์ผู้เป็นแม่ที่นอนดูทีวีอยู่ที่ประจำก็ทักถามขึ้นทั้งที่สายตาไม่ได้มองมาที่ลูกชายยังคงเอาแต่จับจ้องอยู่ที่หน้าจอทีวี"คุณนายผมไม่ได้มาคนเดียว"ผักขาที่เห็นผู้เป็นแม่นอนดูทีวีด้วยท่าทีสบาย ๆ ก็เอ่ยบอกเป็นนัยว่าตัวเองไม่ได้กลับมาเพียงคนเดียวหรือกลับมากลับน้องชายนะ ให้รีบลุกขึ้น
"แม่ว่าไงนะ!"ทันภัทรร้องถามผู้เป็นแม่ขึ้นด้วยสีหน้าตกใจ เมื่อได้ยินประโยคที่อรอนงค์ผู้ให้กำเนิดตัวเองเอ่ยบอกท่ามกลางโต๊ะกินข้าวมาอย่างนั้น"หูตึงหรือยังไงผักขา ก็บอกอยู่ว่าวันนี้นายน์จะค้างที่บ้านของเรา"อรอนงค์เอ่ยตอบลูกชายคนโตกลับไปด้วยสีหน้าเรียบนิ่งพลางมือก็เอื้อมไปตักหารใส่จานข้าวของอัลฟ่าตัวสูงด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม โดยไม่สนใจสีหน้าของลูกชายว่าตอนนี้แสดงสีหน้าตกใจมากแค่ไหน"!!!""กินเยอะๆนะจ๊ะนายน์""ขอบคุณครับคุณน้า"ในตอนนี้พวกเขาทั้งสามคนได้ย้ายมานั่งรวมตัวกันอยู่ที่โต๊ะอาหาร โดยมีสมาชิกเพิ่มมาอีกหนึ่งคนเป็นสี่นั้นก็คือ อัญชัน ลูกสาวคนสุดท้องของคุณนายอรอนงค์"ดะ เดี๋ยวสิแม่! ทำไมแม่ให้เขาค้างที่บ้านของเราล่ะ"ด้านผักขาที่พึ่งหายอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน ก็เอ่ยถามผู้เป็นแม่ขึ้นด้วยสีหน้างงงวยและไม่เข้าใจ"ก็เผอิญว่าโรงแรมที่นายน์เขาจองไว้มีปัญหา ทำให้เขาเข้าพักไม่ได้อีกอย่างเลขาเขาก็ติดธุระด่วนเลยไม่ว่างมาหาที่พักใหม่ให้ แม่ก็เลยให้นายน์พักที่บ้านของเรา"อรอนงค์เอ่ยอธิบายให้ลูกชายฟัง แต่ก็ดูเหมือนลูกชายของเธอจะยังคงไม่เข้าใจ
"คุณอย่าลืมสิว่าคุณเป็นคู่ของผมนะผักขา คุณห้ามไปยุ่งกับคนอื่น!"หลังจากจบประโยคคำพูดของชนาธิป ทินภัทรและคนตัวสูงก็ยังคงจ้องสบตากันอยู่อย่างนั้น นายน์ที่จ้องมองนัยน์ตาอันวูบไหวของผักขาก็ค่อย ๆ เคลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้อย่างลืมตัว จนใบหน้าของคนทั้งสองห่างกันเพียงไม่กี่เซ็นแต่ทว่าก่อนที่ริมฝีปากของนายน์จะแตะลงที่กลีบปากนุ่มของคนร่างบาง ข้าวเม่าที่เดินลงมาจากชั้นสองของบ้านเข้ามาเห็นเหตุการณ์ก็กระแอมไอขึ้นเบา ๆ พร้อมกับเอ่ยพูดเป็นการขัดจังหวะ"อะ แฮม โว้ยยยอากาศวันนี้มันเร่าร้อนจริง ๆ เนาะ"ข้าวเม่าพูดขึ้นเสียงดังพลางก้าวเดินผ่านห้องรับแขกที่คนทั้งสองอยู่ตรงไปยังประตูทางออกของบ้านอย่างลอยหน้าลอยตาด้านผักขาที่ได้ยินเสียงของน้องชายก็ได้สติรีบยกมือขึ้นมาผลักอกแกร่งของนายน์ให้พ้นจากตัวเอง ก่อนจะรีบลุกจากโซฟาแล้ววิ่งขึ้นไปยังชั้นสองเพื่อกลับห้องนอนด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ แต่ก็ไม่วายที่จะหันมาว่าให้ชนาธิป"คุณมันบ้า คุณชนาธิป!""...""ทำอะไรก็เกรงใจสถานที่บ้าง นี่มันกลางบ้านนะครับคุณพี่สถาปนิก"ข้าวเม่าที่นั่งใส่รองเท้าผ้าใบอยู่เอ่ยพูดข
วันต่อมาหลังจากเหตุการณ์เมื่อวานที่ผักขาได้มีปากเสียงกับน้ำฝน ในวันนี้ก็เริ่มมีข่าวลือเกี่ยวข้องของผักขาดังขึ้นในหมู่บ้านอีกครั้งและตัวผักขาเองก็พอจะรู้ว่าใครเอาข่าวเกี่ยวกับเขาไปแพร่กระจายให้คนเขาเอามาพูดกันเสีย ๆ หาย ๆยัยน้ำฝนตัวดีนั้นแน่ ๆยัยบ้านั้นคงจะโมโหที่เมื่อวานโดนชนาธิปข่มขู่เป็นแน่ เพราะหลังจากที่จบประโยคคำพูดของชนาธิปที่ว่าห้ามมายุ่งวุ่นวายกับตัวเขาอีก น้ำฝนก็รีบวิ่งหนีไปทันทีและหลังจากนั้นพวกเราทั้งสองก็พากันกลับบ้านโดยที่ไม่มีใครได้เอ่ยพูดอะไรอีก"ทำไมอยู่ ๆ พวกแม่ค้าพ่อค้าที่ตลาดก็เอาเรื่องคู่ของพี่ผักมาพูดอีกแล้ว"ข้าวเม่าที่พึ่งกลับมาถึงบ้านเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าไม่พอใจทันทีที่นั่งลงยังโซฟาในห้องรับแขกที่ในตอนนี้ทุกคนได้นั่งรวมตัวกันดูทีวีกับคุณนายอรอนงค์อยู่"เฮ่อ ช่างมันเถอะเรื่องของเขา อยากพูดอะไรก็พูดไปเดี๋ยวพวกเขาก็พากันลืมแล้วหาเรื่องใหม่มาพูดอยู่ดี"ผักขาถอนหายใจทิ้งออกมาเฮือกใหญ่พลางมือก็จิ้มผลผลไม้เข้าปากกิน ส่วนดวงตาก็มองไปย
วันเวลาผ่านพ้นไป1สัปดาห์แสงจันทร์ทอประกายและแสงระยิบระยับของหมู่ดาวในทิวทัศน์ยามค่ำคืนที่เจิดจรัสงดงามอยู่บนท้องฟ้า ทินภัทรที่ไม่มีอะไรทำหรือไม่มีใครคอยมากวนใจเฉกเช่นหลายวันก่อนที่ผ่านมา ก็ปลีกตัวมานั่งทำหน้าหงอยมองผืนฟ้าอยู่ที่ชิงช้าตัวเดิมที่ทุกวันนี้แทบจะเป็นที่ประจำของเจ้าตัวอยู่แล้ว"มานั่งทำเอ็มวีอะไรอยู่นี้อ่ะพี่ผัก ไม่กลัวยุงมาหามไปหรือไง"เสียงทุ้มของน้องชายที่พึ่งจะเดินเข้ามาทิ้งตัวนั่งลงที่ชิงช้าตัวข้าง ๆ เอ่ยถามขึ้น พลันนัยน์ตาคมของข้าวเม่าก็ลอบมองสังเกตท่าทีของพี่ชายตัวเองไปด้วย"ก็เปล่า ก็มันไม่มีอะไรให้ทำแล้วอ่ะ ไซต์งานอะไรก็ไม่มีอะไรให้ไปตรวจดูแล้ว หอพักเองอัญชันก็เริ่มเข้าที่เข้าทางหมดแล้วช่วงนี้พี่ก็เลยไม่รู้จะทำอะไร เลยรู้สึกเบื่อ ๆ นิดหน่อยก็เลยมานั่งคิดอะไรเพลิน ๆ อยู่นี้อย่างที่เห็น"ผักขาเอ่ยตอบอธิบายกับน้องชายยาวเหยียด ก่อนที่จะพ่นลมหายใจทิ้งออกมาเฮือกใหญ่"อ่อเหรอ ไอ้เราก็นึกว่าพี่ชายจะเหงาที่หลายวันที่ผ่านมานี้ไม่มีคนมาคอยกวนใจ"ข้าวเม่าเอ่ยพูดขึ้นด้วยใบหน้ายียวนกวนประสาทพี่ชายพร้อมกับออกแรงเท้า
หลายวันผ่านไปทินภัทรยังคงใช้ชีวิตเหมือนเดิมที่ผ่านมา คือตื่นเช้ามาก็ทำอาหารและกินข้าวกับครอบครัว พอสายหน่อยก็แวะไปดูความคืบหน้าของไซต์งานก่อสร้าง ตกบ่ายก็ไปเดินตลาดกับน้องชายเพื่อเก็บค่าเช่าแผงกับซื้อของมาทำอาหารในมื้อเย็น พอถึงช่วงค่ำกินข้าวอะไรเสร็จผักขาก็มานั่งเล่นมือถือที่ชิงช้าตัวเดิมเหมือนรอใครบางคนทักหาหรือไม่ก็โทรหาตัวเขา"วันนี้เงียบหายไปเลยแฮะ"ผักขาสบถกับตัวเองเสียงเบาหลังจากที่เขาออกมานั่งเล่นอยู่ตรงนี้นานนับชั่วโมง แล้วก็ไม่เห็นอัลฟ่าตัวสูงที่มักจะทักมาหรือโทรมากวนตัวเขาในเวลาช่วงนี้ของทุกวัน"หายไปไหนของเขานะ?"ผักขายังคงสบถบ่นกับตัวเองพลางนัยน์ตาสวยก็เหลือบมองที่หน้าจอมือถือของตัวเองเป็นระยะๆ ก่อนที่จะพ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วเงยหน้าทอดสายตามองท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ที่วันนี้แทบจะไร้ดวงดาวให้เขาดู"วันนี้ท้องฟ้าก็แทบไม่มีดาวให้เห็นอีกแล้วเหรอเนี่ย"ทินภัทรนั่งเหม่อมองท้องฟ้ายามค่ำราตรีอยู่นั้นพลันอยู่ ๆ ภายในร่างกายของผักขาก็รู้สึกร้อนรุ่มขึ้นมาเสียดื้อๆ จนเจ้าตัวต้องยกมือทั้งสองขึ้นมาลูบแขนทั้งสองข้างของ
ข้าวเม่าเวลา06:17นาทีเจ้าของความสูงร้อยเก้าสิบเซนติเมตรที่กำลังหลับใหลอยู่ในห้วงนิทราบนเตียงนอนขนาด5ฟุตเป็นต้องสะดุ้งลืมตาตื่นขึ้น เมื่ออยู่ๆเขาก็รู้สึกร้อนรุ่มข้างในร่างกาย จนทำให้เจ้าตัวต้องดีดตัวลุกขึ้นมานั่งหายใจหอบหนักอยู่ข้างเตียงนอนที่ในตอนนี้มีเพื่อนร่างบางของเขานอนคว่ำหลับใหลเปลือยกายอยู่อีกฝั่งของเตียงนอน"อึก เป็นอะไรวะเนี่ยอยู่ ๆ ร่างกายก็รู้สึกร้อนขึ้นมา"ข้าวเม่าสบถบ่นกับตัวเองเสียงเบาพลางนัยน์ตาคมก็เหลือบไปมองเพื่อนร่างบางเจ้าของห้องที่ตอนนี้นอนคว่ำโชว์แผ่นหลังขาวเนียนให้เขาดูอยู่"หลับสบายเชียวนะ"คนตัวสูงบ่นออกมาเสียงเบาด้วยใบหน้ายิ้มน้อย ๆ อีกครั้ง ก่อนที่จะหยัดตัวลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่ออาบน้ำชำระล้างร่างกายของตัวเองระหว่างที่ข้าวเม่ากำลังอาบน้ำอยู่นั้น ตัวของข้าวเม่าเองก็รู้สึกว่าภายในร่างกายของเขานั้นรู้สึกแปลก ๆ เพราะตั้งแต่ที่ข้าวเม่ารู้สะดุ้งตื่นมาเขาก็รู้สึกว่าภายในร่างกายของเขานั้นรู้สึกร้อนรุ่มและครั่นเนื้อครั่นตัว แถมเขายังรู้สึกมีอารมณ์ความต้องการมากกว่
เวลา08:23นาทีหลังจากที่ทินภัทรเกิดอาการฮีทและได้ชนาธิปใช้มือช่วยตลอดอาการฮีท เช้าวันถัดมาอาการฮีทของโอเมก้ากลิ่นผักชะอมอย่างผักขาก็หายเป็นปลิดทิ้ง ทั้งที่ปกติแล้วเวลาที่เจ้าตัวถึงช่วงฮีทตัวของผักขาต้องทนทุกข์กับความทรมานที่ไม่มีฟีโรโมนจากอัลฟ่าคู่ของตัวเองค่อยทำให้สบายใจอยู่ในห้องถึง2-3วัน แต่ทว่าครั้งนี้อาการฮีทของผักขากลับหายไปเพียงแค่ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้นเองนี้คงจะเป็นผลจากการที่ได้ฟีโรโมนของคู่พันธะค่อยปลอบประโลมซินะ"คุณน้ากับอัญชันจะกลับมาวันไหนเหรอครับผัก"เสียงทุ้มของคนตัวสูงที่นั่งอยู่โต๊ะกินข้าวเรียกสติผักขาที่กำลังยืนทำกับข้าวอย่างเหม่อลอยอยู่กับความคิดให้หันมาสนใจยังต้นเสียง"ไม่แน่ใจ คุณนายบอกแค่ว่าจะไปต่างจังหวัดกับยัยอัญ2-3วันแค่นั้นเอง"ผักขาที่ได้สติกลับมาก็หันมามองนายน์ ก่อนที่จะเอ่ยตอบเสียงเบาแล้วหันกลับไปสนใจการทำอาหารตรงหน้าต่อ"อ่ออย่างงั้นเหรอครับ แล้วผักมีอะไรให้พี่ช่วยมั้ย"นายย์ขานรับเสียงเบา ก่อนที่จะหั
เนื้อหาในตอนนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเนื้อหาหลักและเป็นเพียงจินตนาการของผู้แต่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตจริงแม้แต่น้อย*โปรใช้วิจารณญาณในการอ่าน*หลังจากจบการไปเที่ยวฮันนีมูนกัน ชนาธิปก็พาผักขามาหาคุณหญิงรตรีและประสิทธิ์ชัยผู้เป็นพ่อ เพื่อบอกข่าวดีว่าผักขาภรรยาตัวน้อยของเขาได้ตั้งท้องจริง ๆ แล้วไม่ได้หลอกเหมือนครั้งก่อนแต่ทว่าพวกท่านทั้งสองกับไม่ยอมเชื่อลูกชายตัวดีอย่างนายน์ เพราะเกรงว่าเจ้าลูกชายจะมาหลอกให้ดีใจเก้อเหมือนครั้งก่อน จนผักขาต้องเป็นคนพูดแทนและเอาภาพอัลตร้าซาวด์ที่ไปหาหมอและฝากครรภ์ก่อนที่จะมาหาพวกท่าน ให้ผู้ใหญ่ทั้งสองดูพวกท่านถึงได้เชื่อและต่างร้องดีใจแล้วพากันอวยพรให้ผักขาสุขภาพแข็งแรงกันยกใหญ่หลังจากที่แจ้งข่าวให้ทุกคนในครอบครัวทั้งฝ่ายของผักขาและของนายน์ได้รับรู้ว่าผักขากำลังตั้งท้องมีหลานให้ได้อุ้ม พอทุกคนรู้ต่างก็พากันดีใจเพราะจะได้อุ้มหลานสองคนในเวลาไล่เลี่ยกันแล้วในตอนนี้วันเวลาก็ผ่านมา 4 เดือนแล้วและตลอด 3-4 เดือนที่ผ่านมาตัวผักขานั้นไม
เนื้อหาในตอนนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเนื้อหาหลักและเป็นเพียงจินตนาการของผู้แต่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตจริงแม้แต่น้อย*โปรใช้วิจารณญาณในการอ่าน*เหตุการณ์หลังจากงานแต่งงาน1อาทิตย์ทินภัทรหลังจากที่พี่นายน์ได้ขอผมแต่งงานที่บ้านของเขาในวันนั้นและผมได้ตอบตกลงไป 2เดือนต่อมางานแต่งของผมและพี่นายน์ก็ได้จัดขึ้นอย่างอลังการ โดยงานแต่งในครั้งนี้ทางฝั่งพ่อแม่ของพี่นายน์เป็นฝ่ายรับผิดชอบเองทุกอย่างเลย ส่วนทางของผมทำเพียงแค่ลองชุดและรอเดินเข้าพิธีก็เท่านั้นแล้วถ้าจะถามว่าในตอนนี้ตัวผมกำลังทำอะไรอยู่ ก็กำลังนอนหมดสภาพอยู่บนเตียงในบ้านพักตากอากาศริมทะเลน่ะสิอ่ะ ๆ อย่าพึ่งคิดไปไกลกับคำว่าหมดสภาพของผมนะ ที่ผมบอกว่าหมดสภาพคือหมดสภาพในการอ้วกจนเหนื่อยและหน้ามืดต่างหากล่ะ แล้วก็ไม่ต้องสงสัยนะครับว่าทำไมผมถึงมีอาการแบบนี้ ผมรู้ว่าพวกคุณคงจะเดาออกกันได้ เพราะอาการแบบนี้มันมีไม่กี่อย่างหรอกใช่แล้วล่ะครับ ในตอนนี้ผมกำลัง
"คุณพ่ออออ"ชนาธิปร้องเรียกผู้เป็นพ่อเสียงหลง เมื่อรับรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองเข้าใจนั้นผิดไปส่วนด้านผักขาที่เข้าใจผิดไม่ต่างกับคนรักก็ยืนเบิกตากว้างอ้าปากเหวอ ก่อนที่จะหันไปสบตากับผู้ใหญ่ทั้งสองด้วยใบหน้าเอียงอายแล้วก้มหัวลงเล็กน้อยเป็นการขอโทษที่ทำให้วุ่นวายกับความเข้าใจผิดของตัวเอง"ผมขอโทษนะครับที่ทำให้คุณน้าคุณอาวุ่นวาย เป็นผักเองที่เข้าใจผิดและคิดไปเองจนทำให้ทุกคนต้องมาทะเลาะกันแบบนี้"ผักขาก้มหน้าเอ่ยขอโทษออกมาเสียงเบา"อ่ะ หนูผักไม่ต้องขอโทษเลยลูก หนูผักไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อยหนูผักจะขอโทษทำไมจ๊ะ อีกอย่างคนที่ผิดจริง ๆ คือตานายน์ต่างหากที่มาชวนทะเลาะ"คุณหญิงรตรีรีบเอ่ยพูดกับโอเมก้าตัวน้อยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนทันที ก่อนที่ช่วงท้ายจะหันไปพูดและมองหน้าลูกชายตาขวาง"คุณแม่ครับบบ"นายน์ที่เห็นมารดามองตัวเองตาขวางก็เอ่ยเรียกเสียงอ่อน แต่ทว่ารตรีกับพูดสวนกลับมาด้วยน้ำเสียงแข็ง"อะไร ไม่ต้องมาเรียกด้วยน้ำเสียงแบบนั้นเลยนะ บอกเลยไม่ใจอ่อนให้หรอกนะบอกไว้ก่อน""คุณประสิทธิ์ชัย....ดูเมียของคุณทำกับลูกชายของคุณสิ"เมื่อเห็นว่าพูดกับผู้เป็นแม่
"หนูคิดดีแล้วเหรอที่มาคบกับตานายน์ลูกชายของฉัน"ทันทีที่จบประโยคคำถามของประสิทธิ์ชัยผู้เป็นบิดาของคนรัก ท่าทีของผักขาจากที่เกร็งเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็นั่งเกร็งมากกว่าเดิมพลางใบหน้าหวานก็แสดงสีหน้ากระอักกระอ่วนออกมาให้ผู้ใหญ่ทั้งสองได้เห็น"......"ผักขานั่งบีบมือเม้มปากเข้าหากันแน่น พลันหัวสมองก็นึกคิดไปต่าง ๆ นานาว่าพ่อแม่ของคนพี่ต้องไม่ชอบตัวเองเป็นแน่ ถึงได้ถามออกมาอย่างนั้น อาจจะเป็นเพราะฐานะทางบ้านของตัวผักขาเองที่ไม่ได้ดีอะไรมากมาย ต่างจากทางฝั่งของนายน์ที่เป็นผู้ดีมีตระกูลที่มีหน้ามีตาทางสังคมและร่ำรวยมหาศาลตัวของผักขาคงจะไม่เหมาะสมกับลูกชายของพวกท่านทั้งสองทินภัทรยังคงนั่งก้มหน้านัยน์ตาแดงก่ำจมอยู่กับความคิดในหัวของตัวเอง ทางพ่อและแม่ของนายน์ที่นั่งรอคำตอบจากคนร่างบาง แต่ทว่าผ่านไปหลายนาทีเด็กหนุ่มตรงหน้าของพวกเขาก็ไม่เอ่ยตอบอะไรแถมยังหน้าก้มหน้าก้มตาไม่เงยหน้ามาสบตา ก่อนที่คุณหญิงรตรีจะหันพยักหน้าให้สามีเป็นสัญญาณว่าเธอนั้นจะเป็นฝ่า
2เดือนต่อมาหลังจากวันที่ชนาธิปขอผักขาเป็นแฟน ในวันนี้ก็ผ่านมาแล้ว2เดือนที่คนทั้งสองได้ตกลงคบหาดูใจกัน ใช่แล้วล่ะทุกคนอ่านไม่ผิดกันหรอก ในวันนั้นผักขาได้ตกลงปลงใจที่จะเป็นแฟนกับนายน์และในตอนนี้เองผักขาก็ได้ตัดสินใจขึ้นเครื่องบินลัดฟ้ามาที่กรุงเทพกับนายน์ เพื่อที่จะมากินข้าวกับครอบครัวของคนพี่เพราะพวกท่านทั้งสองนั้นอยากจะทำความรู้จักกับผักขา ผักขาก็เลยต้องนั่งเครื่องบินขึ้นมาอย่างที่เห็นแต่เดิมทีผู้ใหญ่ทั้งสองนั้นอยากที่จะเจอผักขานานแล้วล่ะ เพราะทันทีที่ผักขาตกลงคบหากับคนพี่ วันต่อมาคนอายุเยอะกว่าอย่างนายน์ก็โทรไปเล่าให้บิดาและมารดาฟังทันทีว่าตนนั้นได้มีแฟนแล้ว จนผักขาที่เห็นนายน์เล่าไปยิ้มไปอดที่จะส่ายหัวไปมากับความเห่อไม่ได้และตลอดระยะเวลา2เดือนที่นายน์ลาพักร้อนกับผู้เป็นพ่อและมาอาศัยเที่ยวเล่นอยู่ที่บ้านของเขาตั้งแต่ตกลงคบกัน ด้านพ่อกับแม่ของนายน์ก็โทรมาบอกให้ลูกชายพาผักขาไปรู้จักกับพวกท่านอยู่บ่อยครั้งแต่ทว่าผักขาก็หาข้ออ้างต่าง ๆ มากมายมาบ่ายเบี่ยงตลอด เพราะตัวของผักขานั้นยังกังวลกลัวว่าพ่อแม่ของแฟนหนุ่มนั้นจะ
"เอาล่ะพี่ทำให้หนูผักเสร็จแล้ว ทีนี้ถึงตาของพี่แล้วนะครับคนดี หนูผักช่วยถอดกางเกงให้พี่นายน์หน่อยสิ ถอดมันด้วยปากของหนูผักนะครับ หึหึ"จบประโยคนายน์ก็ดันคนน้องที่นั่งคร่อมตักเขาอยู่ให้ลงไปนั่งคุกเข่าอยู่ด้านล่าง ส่วนตัวเองก็เลื่อนมือมาปลดกระดุมเสื้อออกทีละเม็ดจนหมด เผยให้เห็นลอนกล้ามที่ซ่อนอยู่ใต้สาบเสื้อบ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวนั้นดูแลร่างกายอย่างดีแค่ไหน"เป็นคนหื่นกามแบบนี้เหรอเนี่ย"ผักขาบ่นพึมพำออกมาเบา ๆผักขาที่นั่งเปลือยเปล่าไร้อาภรณ์อยู่ปลายเท้าของนายน์เผลอกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคออย่างยากลำบาก พลางนัยน์ตาสวยก็ช้อนขึ้นมาสบกับดวงตาคมที่มองมาที่ตัวเองด้วยแววตาโลมเลีย ก่อนที่ผักขาจะตัดสินใจเดินเข่าเข้าไปแทรกตรงกลางหว่างขาของนายน์อย่างช้า ๆ พลันในหัวก็เอ่ยบ่นตัวเองไปด้วยทำบ้าอะไรของมึงอยู่เนี่ยผักขา ฮื้อออเขินจนตัวจะแตกอยู่แล้ว แต่จะถอยตอนนี้ก็ไม่ได้แล้วด้วย ดันไปปากดีกับพี่มันไว้อีก เอาว่ะ! มาขนาดนี้แล้วก็ไปมันให้สุด!"อ่าาาส์ คนดีหนูจะทำให้พี่หัวใจวายตายเอานะครับ"นายน์ครางต่ำในลำคอพร้อมกับเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบพร่าพลางนัยน์ตาคมก็จ้องมองก
"มาทำให้คนอื่นมีอารมณ์ด้วยแล้ว แล้วจะหนีกลับห้องหรือไงหะ"ประโยคที่ทินภัทรเอ่ยพูดนั้นทำให้ชนาธิปยืนเบิกตากว้างตะลึงงันไปชั่วขณะ เพราะเขานั้นคาดไม่ถึงว่าคนร่างบางตรงหน้าของเขาจะพูดอะไรแบบนี้ออกมาเพราะประโยคที่พูดมาเมื่อกี้นั้น ไม่ต่างจากผักขาชวนเขามีอะไรด้วยเลย"ผักขา...เมื่อกี้พูดอะไรออกมารู้ตัวหรือเปล่า"นายน์เดินกลับมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าของผักขาอีกครั้งพร้อมกับเอ่ยถามคนตรงหน้าขึ้นว่า สิ่งที่ตัวเองเอ่ยพูดมาเมื่อกี้นั้นคิดดีแล้วใช่มั้ย หรือที่พูดออกมาแบบนี้เป็นเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ในร่างกายด้านผักขาที่นั่งเงียบอยู่สักพักก็เงยหน้าขึ้นมาสบกับนัยน์ตาคมอยู่สักพัก ก่อนที่จะตัดสินใจหยัดตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วก้าวเดินเข้าไปประชิดตัวของนายน์ แขนเรียวทั้งสองยกขึ้นคล้องลำคอแกร่ง ก่อนที่เท้าเล็กทั้งสองจะเขย่งขึ้น ดวงหน้าหวานเคลื่อนเข้าใกล้ใบหน้าหล่อ ทันใดนั้นริมฝีปากเล็กก็ประกบจูบริมฝีปากของนายน์อย่างแผ่วเบาริมฝีปากอุ่นค่อย ๆ ขยับนวดคลึงกลีบปากหนาเบา ๆ พลางกายบาง
เวลาผ่านพ้นไป3เดือนเวลา22:12นาทีในตอนนี้อพาร์ทเม้นท์ของผักขาก็สร้างเสร็จมาได้สักพักแล้ว และตอนนี้เองที่บ้านของผักขาก็กำลังจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ให้กับตึกใหม่ที่จะเปิดให้คนที่จองไว้เข้ามาพักอยู่ได้ในวันพรุ่งนี้และงานเลี้ยงในวันนี้เองก็เป็นการเลี้ยงส่งชนาธิปด้วยไปในตัวด้วยหลังจากเริ่มสังสรรค์กันตั้งแต่หนึ่งทุ่ม จนเวลาล่วงเลยมาถึงตอนนี้ตัวของผักขาที่ดื่มจนเริ่มรู้สึกมึนเล็กน้อย ก็ได้หลบออกมาจากงานเลี้ยงมานั่งเหม่อดูดาวอยู่ที่ชิงช้ามุมประจำของเจ้าตัว"อพาร์ทเม้นท์ก็สร้างเสร็จแล้ว ต่อไปนี้พี่มันก็คงไม่มีเหตุผลอะไรให้มาที่นี้อีกแล้วซินะ"ผักขาที่นั่งแกร่งชิงช้าเล่นเบา ๆ พึมพำออกมาด้วยสีหน้าและความรู้สึกวูบโหวงในใจ พลันนัยน์ตาสีน้ำตาลก็แสดงแววตาวูบไหวเมื่อนึกได้ว่างานที่นี้ของชนาธิปได้จบลงแล้ว และคนเป็นพี่ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องกลับมาที่นี้อีก"แล้วทำไมมึงต้องรู้สึกเศร้าด้วยเนี่ยผักขา พี่มันไปก็ดีแล้วไม่ใช่หรือไง"ผักขาบ่นพึมพำกับตัวเองออกมาอีกครั้งพลางใบหน้าหวานก็เงยหน้ามองท้องฟ้า ที่มีดวงจันทร์ทอประกายแสงอ
ณ.โรงพยาบาล"ครับ? คุณหมอว่ายังไงนะครับ?"ทินภัทรถามคุณหมอชายวัยกลางคนขึ้นอีกครั้งด้วยสีหน้าและน้ำเสียงอึ้งตกใจ"ตอนนี้สถานะเพศรองของคนไข้ได้เปลี่ยนแปลงจากเบ้ตากลายเป็นอัลฟ่าแล้วครับ"คุณหมอเอ่ยแจ้งอีกครั้งด้วยน้ำเสียงและท่าทางใจเย็นเพราะคุณหมอทราบดีว่าเรื่องแบบนี้เป็นใครใครก็ตกใจ ก็อยู่ๆพี่น้องที่เห็นกันมาตั้งแต่เกิดก็เกิดมาสถานะเปลี่ยนเป็นอัลฟ่าแบบนี้ มันก็ต้องตกใจกันเป็นธรรมดาอยู่แล้ว"เป็นไปได้ยังไง...."ผักขาพึมพำออกมาเสียงเบาอย่างคนหมดแรงพลางใบหน้าหวานก็ยังคงแสดงสีหน้าอย่างไม่อยากจะเชื้อในสิ่งที่ตัวเองพึ่งจะรับรู้จากปากของคุณหมอด้านนายน์ที่นั่งฟังอยู่เก้าอี้ข้างๆ เมื่อเห็นสีหน้าอ่อนแรงของผักขาก็เอื้อมมือไปกุมมือบางเพื่อเป็นการให้กำลังใจ"ไม่เป็นไรนะ"นายน์หันมาเอ่ยพูดกับคนร่างบางที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ด้วยใบหน้ายิ้มอ่อนโยน"หมอเข้าใจนะครับว่าตอนนี้ญาติของคนไข้กำลังตกใจแต่เรื่องแบบนี้สามารถเกิดขึ้นได้ครับ เพราะสถานะเพศรองของบางคนเขาก็ซ่อนอยู่กว่าจะแสดงสถานะจริง ๆ ของตัวเองออกมาก็ตอนที่โตเต็มไวหรือก็คือช่วง