“อารักษ์คิดแบบนั้นจริงๆ นะคะ น้องปลาไม่อยากเป็นภาระของอานะ”
“อานะที่ไหนล่ะ นี่อารักษ์ต่างหาก”
รอยยิ้มอย่างเอียงอายเพราะคำพูดล้อเลียนของเขา ช่วยทำให้บรรยากาศดีขึ้นอย่างเหลือเชื่อ ‘ผ่อนคลาย ผ่อนคลาย’ นี่เขาต้องท่องให้ขึ้นใจใช่ไหม ไม่อย่างนั้นการอยู่ใกล้ชิดมัสยาจะทำให้เขาทั้ง ‘ตึง’ ทั้ง ‘เครียด’ ได้ง่าย
“ว่าแต่น้องปลาหิวหรือเปล่าล่ะ แวะทานอะไรกันก่อนไปถึงร้านดีมั้ย”
“นิดหน่อยค่ะ แต่น้องปลาตามใจอารักษ์ แล้วอารักษ์ล่ะคะ หิวมั้ย”
“อืม...”
เขาพูดได้แค่นั้น เพราะริมฝีปากที่เคลือบลิปกลอสสีชมพูอ่อนแวววาวนั้นคลี่ยิ้มพร้อมผินหน้ามองเขา มีผลทำให้ลมหายใจของเขาติดขัดอีกแล้ว เห็นทีเขาต้องใส่ใจพูดคุยกับเธอให้มากกว่าที่จะนิ่งเงียบอยู่ในภวังค์หวามๆ ของตนเอง
แต่จะเป็นผลดีกับเขาจริงเหรอ ในเมื่อริมฝีปากคลี่ยิ้มนั้นคล้ายจะส่งผลให้เขาฟุ้งซ่านมากกว่าเดิม เพราะสิ่งที่เขาคิดว่าหิวนั้นไม่ใช่ข้าว ไม่ใช่หมู ไก่ หรือว่าพืชผักใดๆ ทว่าเป็น ‘ปลา’
มัสยาเหลือบมองคนด้านข้างอย่างไม่เข้าใจ อารักษ์สุดหล่อของเธอดูแปลกไปมากจริงๆ หรือจริงๆ แล้วเธอไม่ควรจะพาตัวเองเข้ามาใกล้ชิดกับเขาเลย เพราะเขาช่างเป็นผู้ชายอันตรายต่อหัวใจเธอสุดๆ และคงไม่ใช่แค่เธอแน่ที่คิดแบบนี้
ผู้ชายหล่อจัดชนิดทำให้เธอตะลึงอ้าปากค้าง ใบหน้าคมเข้มเพราะเครื่องหน้าจัดเต็ม ไม่ว่าจะเป็นคิ้วสีน้ำตาลเข้ม จมูกโด่ง ริมฝีปากหยักลึกน่าจูบ โดยเฉพาะดวงตาสีเขียวคู่นั้นที่สะกดให้เธอยอมทุกสิ่งทุกอย่าง ยอมให้เขาจับจูบลูบคลำด้วยความเต็มใจ
และไม่ใช่เพียงความหล่อกระชากใจ แต่เป็นเพราะเก่งบวกรวย จึงไม่แปลกหรอกที่เขาจะถูกรุมล้อมไปด้วยสาวๆ มากมายอย่างที่แม่เล่าให้ฟัง หรือแม้กระทั่งเห็นกับตาตัวเองก็เคยมาแล้ว เขาเพอร์เฟกต์อย่างนี้จะหันมามองเธอที่เป็นเพียงผู้หญิงบ้านติดกันอย่างนั้นเหรอ
ความคิดเข้าข้างตัวเองเมื่อคืนลดจาก 10 ลงเหลือ 0 ในทันที เขาอาจจะเมาจริงตามที่แก้ตัวก็ได้ ทั้งที่คนเมานั้นไม่มีกลิ่นแอลกอฮอล์เลยสักนิด กลิ่นนั่นเป็นน้ำหอมหลังโกนหนวดของผู้ชายต่างหาก สรุปแล้วการไปฝึกงานที่ร้านอาหารของเขา นั่นคือสิ่งที่เขาเต็มใจตามปากพูด หรือเป็นเพราะเขาจำใจต้องรับเธออย่างเสียไม่ได้กันแน่ มัสยาได้แต่ครุ่นคิดเพราะพลขับที่หล่อจนโลกตะลึงนั้นก็ไม่ได้หันมองเธอหรือชวนเธอคุยอีกเลย
.
.
มัสยาแหงนใบหน้าขึ้นมองป้ายไม้แกะสลักขนาดใหญ่ที่ติดอยู่บริเวณระเบียงด้านนอกของร้านอาหารที่จัดสร้างในรูปแบบของเรือนไทยภาคอีสาน
‘แซ่บ อินดี้’ ชื่อเหมาะกับร้านจริงๆ เพราะไม่ใช่แค่ความเป็นอีสานจะแสดงออกจากรูปลักษณ์ภายนอกที่มองเห็น ทว่าการตกแต่งประดับประดาทั่วบริเวณโดยใช้ของสมัยใหม่และสมัยเก่าผสมผสานกันและกันไว้อย่างลงตัวนั้นยังงดงามโดดเด่นบ่งบอกถึงวัฒนธรรมที่ควรอนุรักษ์ไว้ให้จงดี
โดยเฉพาะโคมไฟประดับประดาอยู่ตามจุดต่างๆ นั้น คือความเป็นอินดี้อย่างที่มองเห็นด้วยตาเปล่าจริงๆ เพราะถูกดีไซน์โดยการนำหลอดประหยัดไฟบรรจุไว้ใน ‘ฮวด’ นึ่งข้าวเหนียว ซึ่งเป็นของใช้ประจำบ้านของชุมชนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ใครจะคิดว่าสิ่งที่มองเห็นว่าธรรมดานั้น เมื่อถูกนำมาผสมผสานให้ลงตัว กลับดูน่ามองน่าชมมากขึ้น
“ลงมาสิคะน้องปลา หิวแล้วไม่ใช่เหรอ”
รอยยิ้มเจื่อนแบบอายๆ ส่งให้กับคุณอาสุดหล่อที่อ้อมมาเปิดประตูให้ โดยปกติแล้วเธอไม่ใช่ลูกคุณหนูจนต้องมีคนมาเปิดประตูรถให้ถึงจะเดินลงมาได้ แต่ในวันนี้ภวังค์สั่นหัวใจทำให้เธอคิดโน่นนี่จนลืมจะก้าวลง
“ขอบคุณค่ะ” เอ่ยขอบคุณเบาๆ แต่ก็รู้ว่าเขาได้ยินเพราะรอยยิ้มหล่อนั้นบาดหัวใจเธอจนเป็นแผล หรือเธอควรจะชั่งใจในเรื่องการฝึกงานอีกครั้ง หากดึงดันที่จะฝึกงานที่นี่ เธอจะยั้งหัวใจตัวเองไว้ได้หรือเปล่า จะทนเก็บกั้นสิ่งที่หัวใจเรียกร้องได้จริงๆ นะเหรอ หากอารักษ์คิดตรงกับเธอคงจะดี แต่ถ้าไม่ล่ะ สัมพันธภาพระหว่าง 2 ครอบครัวจะจบลงเพราะเธอเป็นคนทำลายหรือเปล่า
คิดได้ดังนั้น มัสยาจึงเดินตามอารักษ์เข้าไปในร้านอย่างเงียบๆ เพราะหากเธอตั้งใจจะฝึกงานจริง ในขณะนี้หัวใจและสมองของเธอควรจะโฟกัสแต่เพียงเรื่องงานเท่านั้น นอกเสียจากว่าการฝึกงานครั้งนี้มีบางอย่างแอบแฝง บางอย่างที่รู้ดีอยู่แก่ใจ
ภาพโดยรวมของร้านที่มองเห็นดูจะเสร็จเรียบร้อยแทบทั้งหมดแล้ว คงมีแค่การเดินไฟเท่านั้นที่ยังเห็นมีคนงานหลายคนติดตั้งอยู่ และเมื่อหนึ่งในนั้นหันมาเห็นอารักษ์กับเธอ เขายิ้มและเดินเข้ามาหาในทันที
“สวัสดีครับคุณอารักษ์”
“สวัสดีครับ รอผมนานหรือยังครับ”
“ไม่ครับ ผมก็เพิ่งมาถึงเหมือนกัน”
ชายวัยกลางคนที่อารักษ์แนะนำว่าเป็นผู้รับเหมาตกแต่งร้าน แยกตัวไปคุยกับอารักษ์ในโซนกำลังติดตั้งไฟ มัสยาจึงเลือกจะเดินชมบริเวณโดยรอบของร้าน และทุกจุดที่ไปเยือนก็ทำให้เธอได้ยิ้มทุกครั้งไป เพราะอดคิดไม่ได้ว่า เพียงเธอจะผลัดเปลี่ยนเดรสสีชมพูนี้ออกและสวมใส่เสื้อคอกระเช้ากับผ้าซิ่นพื้นบ้านเข้าไปแทน คงจะเข้ากับบรรยากาศของร้านได้อย่างลงตัว
ร่างงามระหงเดินมาถึงโซนด้านข้างที่จัดแต่งโต๊ะอาหารกลางแจ้งเอาไว้ มีระเบียงไม้สูงระดับเอวเป็นแนวกั้น ทว่าพื้นที่นั้นไม่ได้เป็นแบบสี่เหลี่ยมมุมฉากดั่งเคยเห็นจากร้านอาหารทั่วไป แต่กลับถูกสร้างเป็นโค้งเว้าตามต้นลีลาวดีต้นใหญ่ที่ถูกปลูกกระจายอยู่ และมีต้นหนึ่งถูกล้อมจนคล้ายกับว่าจะอยู่กึ่งกลางระเบียง
ดอกสีขาวมีเกสรสีเหลืองให้กลิ่นหอมอ่อนๆ หล่นอยู่เกลื่อนพื้นกระดานไม้ ดูสวยและอ่อนหวานเสียจนมัสยาต้องก้มหยิบขึ้นมาสูดดม พลางหันมองอีกซีกด้านที่ยังไม่ได้เดินไปถึง และเมื่อเห็นว่าอารักษ์รูปหล่อยังยืนคุยกับช่างรับเหมาไม่เสร็จ มัสยาจึงเดินสำรวจต่อไปในทันที ทิวไม้ตัดแต่งเป็นกำแพงบดบังสายตาจากคนภายนอกนั้นถูกแบ่งแยกให้เป็นพื้นที่ส่วนตัวของผู้บริหาร โดยจัดเป็นบันไดเชื่อมขึ้นไปถึงเรือนไทยอีสานที่ตั้งเยื้องอยู่ในฝั่งขวามือ แม้จะมองออกว่าเป็นพื้นที่ส่วนตัว แต่มัสยากลับไม่รอช้าที่จะขึ้นไป เพราะถือว่าไหนๆ เธอก็ยังไม่ตัดสินใจที่จะฝึกงานที่นี่หรือไม่ อย่างน้อยก็ขอให้เธอมีโอกาสเห็นสถานที่ทำงานของอารักษ์ให้ทั่วทุกซอกทุกมุม เพราะหากเธอเลือกเปลี่ยนที่ฝึกงาน เธอคงไม่มีโอกาสไหนที่จะได้เข้ามาสำรวจแบบนี้อีกแน่ และมัสยาก็รู้ว่าเธอเลือกไม่ผิด เพราะระเบียงด้านบนนี้ทำให้เธอมองเห็นพื้นที่โดยรอบของร้านอาหารแทบทุกมุม โดยเฉพาะโซนเอ้าท์ดอร์ด้านหน้าที่จัดโต๊ะไว้ตามมุมต่างๆ พร้อมประดับไปด้วยต้นไม้ดูร่มรื่น ซึ่งหากอารักษ์หรืออาจมีผู้บริหารท่านอื่น อยากรู้ว่าช่วงเวลานี้มีลูกค้ามากหรือน้อยก็แค
“ทำไมล่ะน้องปลา อยู่กับอาในห้องนี้ก่อนไม่ได้เหรอคะ” ไม่รู้อะไรดลใจให้เขาพูดไปแบบนั้น แต่อาการประหม่าพร้อมกระเถิบหนีของมัสยาทำให้เขาอยากลองใจ อยากรู้ว่าเธอรู้สึกเช่นเดียวกันกับเขาหรือเปล่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนยังอยู่ในความทรงจำหรือเธอสลัดไล่มันออกไปจนหมดแล้ว เพราะมัสยาไม่ใช่เด็กตัวอ้วนกลมในวันวาน เธองดงามไปทั้งเนื้อทั้งตัวแบบนี้ คงไม่ใช่เขาคนแรกหรอกที่หมายปอง และเขาอาจไม่ใช่คนที่เธอพอใจก็เป็นได้ “น้องปลาร้อนน่ะค่ะ” “ร้อนก็เปิดแอร์” “เอ่อ... น้องปลาว่าอากาศมันไม่พอ น้องปลาขอออกไปสูดอากาศข้างนอกก่อนนะคะ” “น้องปลารังเกียจอาเหรอคะ ถึงทนอยู่ร่วมห้องกับอาไม่ได้” “ทำไมอารักษ์พูดแบบนั้นล่ะคะ” ถามราวละเมอ เมื่อร่างกายเหมือนถูกตรึงไว้ด้วยคำถามของเขา พร้อมสมองกำลังประมวลเหตุการณ์เข้าข้างตัวเองอีกแล้ว อารักษ์พูดแบบนี้กับเธอเพราะมีความหมายซ่อนเร้นใช่ไหม อารักษ์กำลังจะบอกอะไรบางอย่างกับเธอใช่ไหม “เพราะ...” คำตอบล่ะคืออะไร เขาควรจะตอบมัสยาว่าอะไรถึงจะถูกต้องตรงใจมากที่สุด จะบอกว่าเขาอยากจะทำเหมือนเมื่อคืนอย่าง
“อา... อาไม่อยาก...” “ไม่อยาก... ไม่อยากแล้วมาทำแบบนี้กับน้องปลาทำไมคะ อารักษ์จะบอกว่าเมาทั้งไม่ได้ดื่มเหล้า จะบอกว่าไม่ได้ตั้งใจ ทั้งที่อารักษ์ทั้งกอด ทั้งจูบ ทั้งแลกลิ้นกับน้องปลาเหรอคะ” มัสยาดิ้นรนให้หลุดจากท่อนแขนกักกันเธอเอาไว้ ณ เวลานี้เธอเสียศูนย์ที่สุดแล้ว อารักษ์เห็นเธอเป็นของเล่นแก้เหงา เป็นตุ๊กตาบาร์บี้ที่จะจับจะแตะตรงไหนก็ได้ และเมื่อรู้ว่าเล่นเกินฐานะตุ๊กตา เขาก็เลือกที่จะหยุดซะง่ายๆ “น้องปลาฟังอาก่อนสิคะ” อาการพยศของมัสยาเป็นสิ่งที่เขาไม่คิดว่าจะได้เห็น แต่เธอก็ควรโกรธเขาจริงๆ นั่นแหละ แล้วจะทำยังไงล่ะเธอถึงจะเข้าใจ “ไม่ฟังค่ะ เราคงไม่มีอะไรต้องคุยกันอีก และน้องปลาก็จะไม่มาฝึกงานที่นี่ด้วย สถานะของเราจะเป็นแค่ ‘เพื่อนบ้าน’ เท่านั้น ปล่อยน้องปลาสิคะอารักษ์ ปล่อยค่ะ น้องปลาบอกว่าให้ปล่อย” “อาไม่ปล่อย จนกว่าน้องปลาจะฟังอาพูดก่อน” “มีอะไรต้องพูดอีกเหรอคะ อารักษ์ทำมากกว่าพูดแล้ว แค่นี้น้องปลาก็เจ็บจนจะกระอักเลือดแล้วค่ะ ปล่อยน้องปลาเดี๋ยวนี้ ถ้ายังอยากเป็นเพื่อนบ้านกันอยู่” เสียงเข้มเริ่มจะสั่นเพราะแรงสะอื้
‘อารักษ์... รักน้องปลานะคะ ไม่รู้ว่ารักตั้งแต่ตอนไหน อาจจะนานแล้วหรืออาจจะเมื่อคืนนี้ก็ได้ แต่ที่อาบอกกับตัวเองได้ก็คือ อาไม่เคยเกิดความรู้สึกนี้กับผู้หญิงคนไหนมาก่อน เมื่อคืนนี้อาไม่ได้เมา อาตั้งใจ และตอนนี้อาก็ไม่เมา ไม่เพ้อ และไม่ได้มโนไปเอง น้องปลารู้มั้ย ตั้งแต่เมื่อคืน น้องปลาทำให้อานอนไม่หลับ อาเฝ้าแต่คิดถึงใบหน้านี้ ดวงตาคู่นี้ ริมฝีปากหวานๆ นี้ และก็... ทั้งหมดที่เป็นน้องปลา จนอาไม่มีสมาธิจะทำอะไรเลย ถ้าความรักมันคือการคิดถึง การอยากอยู่ใกล้ อยากเห็นคนคนนั้นอยู่ในสายตาตลอด ทุกความคิดมีแต่คนคนนั้นอยู่ในนี้ สิ่งที่อารักษ์เป็นอยู่นี้ เรียกว่า ‘ความรัก’ ได้มั้ย’ มัสยาอดยิ้มไม่ได้ทุกครั้งยามคิดถึงคำสารภาพจากเขา คำสารภาพของคนข้างบ้านพร้อมจูบร้อนๆ ที่พร่ำพรอดไปทั่วทั้งเนื้อตัวของเธอ ‘นอกร่มผ้า’ เท่านั้นที่เขาทำ ‘น้องปลาอย่าเรียกอารักษ์ขาอีกนะ อาอยากให้น้องปลาพร้อมมากที่สุด เพราะถ้าอาทนไม่ไหวขึ้นมา น้องปลาจะได้เรียกอารักษ์ขาไปทั้งวันทั้งคืน ห้ามหยุดจนกว่าอาจะเหนื่อย’ ‘อารักษ์อ่ะ พูดอะไรก็ไม่รู้ น้องปลาไม่พูดด้วยแล้ว’ ‘ไม่พูดก็ได้ เก็บ
“พี่หลามว่ามันไม่น่าเกลียดเหรอคะ ที่เราดูจะสนับสนุนให้น้องปลาไปฝึกงานที่ร้านของรักษ์เขาน่ะ” กุ้งนางหันกลับมาถามสามี เมื่อมองตามรถยนต์ของอารักษ์ไปจนลับสายตา “กุ้งหมายความว่ายังไงล่ะ อะไรที่ว่าน่าเกลียด” ฉลามถามพร้อมลดหนังสือพิมพ์ลง “ก็... พี่หลามไม่เห็นเหรอคะ รักษ์เขาทั้งหนุ่มทั้งหล่อขนาดนั้น ลูกเราก็เป็นสาว ให้ไปด้วยกันอย่างนั้นจะดีเหรอคะ” “พี่ไม่เข้าใจที่กุ้งพูดอ่ะ ก่อนที่รักษ์จะมาก็ดูกุ้งจะสนับสนุนน้องปลาให้ไปฝึกงานกับรักษ์ไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมตอนนี้ถึงว่าน่าเกลียดล่ะ” “ก็เพราะมันตรงกับสาขาที่ลูกเราเรียน และมีรักษ์ช่วยดูแล กุ้งก็เลยเบาใจ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว” “ไม่ใช่ยังไงกุ้ง นี่อย่าบอกนะว่ากลัวเจ้ารักษ์มันจะงาบลูกสาวเราน่ะ” “แล้วพี่หลามจะให้กุ้งคิดยังไง ก็กุ้งไม่คิดว่ารักษ์เขาจะดูดีขนาดเนี้ย ไม่เจอกันสิบปีเขาไม่เปลี่ยนเลย ไม่เหมือน...” “ได้โปรดเถอะเมียจ๋า อย่าเอาผัวจ๋าไปเปรียบเทียบกับไอ้ยีนลูกครึ่งแบบนั้น ผัวน่ะครึ่งลูก ยังไงก็คงจะหล่อไม่เท่าเจ้ารักษ์หรอกนะ” “ก็ใช่สิ พี่หลามก็เห็นว่ารักษ์เขาหล่อข
มัสยาไม่รู้ตัวเลยว่าเธอตอบสนองอะไรอารักษ์ไปบ้าง รู้แต่ว่าตลอดทั้งร่างกายนี้หมดเรี่ยวแรงจะต้านทานหรือหลีกหนี และหากไม่มีแผงอกกว้างให้เธอซุกซบ ไม่มีท่อนแขนแกร่งตวัดรัดรอบเอวของเธอเอาไว้ เธอก็คงจะทรุดลงไปกองอยู่แทบพื้นโดยเร็วแน่ “หึหึหึ... หรือว่าน้องปลาจะเปลี่ยนใจอยากให้อากินน้องปลาเป็นอาหารกลางวันดี” ใบหน้าแดงระเรื่อและดวงตาหลับตาพริ้มเพราะอิ่มเอิบกับรสจูบสูบวิญญาณของเขาทำให้อารักษ์ต้องหัวเราะในลำคอเบาๆ จนเห็นมัสยาลืมตาขึ้นและพยายามที่จะยืนให้มั่นคงได้ด้วยตัวเอง อ้อมกอดจึงคลายออกให้หลวม “อารักษ์อ่ะ บ้าจริง... น้องปลาไม่คุยด้วยแล้ว” “หึหึหึ... งั้นช่วยอาเตรียมของนะครับ ไม่อย่างนั้นอาอาจจะเปลี่ยนใจ” เขาเองก็ต้องฝืนทั้งกายทั้งใจให้เปลี่ยนเช่นกัน ทั้งที่มัสยาโอนอ่อนผ่อนตามให้เขาสร้างประสบการณ์ครั้งแรก แล้วลูกปลาฉลามสาวตัวนี้จะรู้บ้างไหมล่ะว่าเธอเกือบจะได้ประเดิมความ ‘แซ่บ!’ ของร้านอาหารเปิดใหม่ซะแล้ว “ใครจะยอมกันล่ะ” “ระวังเถอะ ยอมขึ้นมาเมื่อไหร่ อาจะจับฝึกงานทั้งวัน... ทั้งคืน” “อารักษ์บ้า...”
“ว้าย! อารักษ์อ่ะ เซี้ยวจริงๆ” “เซี้ยวที่ไหนล่ะ สะ... เอ่อ... ลองชิมนี่ดีกว่า” คำพูดที่รีบชะงักไว้ได้ทัน แต่ทำให้หัวคิ้วเรียวสวยของมัสยาขมวดเข้าหากัน พร้อมแววตาที่มองมาอย่างสงสัยว่าเขาจะพูดอะไรต่อ จึงต้องรีบเปลี่ยนเรื่องโดยเร็ว จะพูดได้อย่างไรกันล่ะว่าที่ทำอยู่นี้มัน ‘เสียว’ มากกว่า ‘เซี้ยว’ อย่างแน่นอน “ตำปูปลาร้า ตำไทยไข่เค็ม ลาบหมู น้ำตกปลาหมึก ตับหวาน อ่อมไก่ อะไรล่ะที่น้องปลาไม่เคยทาน” “อันนี้ค่ะ” “นี่เรียกว่าอ่อมไก่ อร่อยนะ ลองชิมดู” เขาตักน้ำแกงอ่อมไก่ใส่ช้อนและป้อนจนถึงปาก ทั้งที่ตัวเองนั้นกลืนน้ำลายลงคอดังเอื้อก เมื่อเห็นริมฝีปากสีชมพูนั้นขยับเพื่อจะอ้าออกอย่างกล้าๆ กลัวๆ กับรสชาติใหม่ที่กำลังได้รับ ทว่าเขาสัญญาว่าจะไม่ปล่อยให้เธอกลัวนาน น้ำแกงอ่อมไก่กรุ่นไปด้วยกลิ่นของผักชีลาวและนัวข้นด้วยข้าวคั่วจึงถูกส่งเข้าปากตัวเองอย่างเร็ว ก่อนจะตรงเข้าประกบทาบกับความอ่อนนุ่มนั้นไว้ และใช้ปลายลิ้นนำทางเอารสชาติกลมกล่อมหอมกรุ่นสอดแทรกลงไปให้เธอได้รู้รส กลิ่นของผักชีลาวคลุ้งอยู่ในอุ้งปากก่อนจะส่งผ่านไปยังสมอง
“ลองสวมดูสิคะ” อารักษ์ไม่พูดเปล่าแต่กลับก้าวเดินเข้าประชิดตัว จับร่างของมัสยาหันหลังเพื่อรูดซิปชุดเดรสสีมะนาวนั้นออกเพื่อให้เธอสวมใส่เสื้อผ้าได้ง่ายขึ้น ทว่าเสียงอุทานน้อยๆ ของมัสยาก็ทำให้เขาอยากแกล้ง “อุ้ย! ไม่ต้องค่ะอารักษ์ น้องปลาทำเองได้” มัสยาขืนกายออกห่าง จริงอยู่ว่าเขาจับเธอฝึกงานสุดสยิว โดยการกอดจูบลูบไล้และแลกลิ้น จนจะแทบทั้งตัวอยู่แล้ว แต่จะให้มายืนนิ่งๆ ยอมให้เขาเปลื้องผ้าเธอออกก็คงจะไม่ดีเท่าไร “ทำไมล่ะคะ” อารักษ์ยิ้มแต่ยังขืนร่างเธอให้หันหลังจนได้ เพราะทุกสัมผัสที่แตะต้องลงไปนั้นมัสยากำลังสะท้านไปทั้งตัวจนเขารับรู้ได้ที่ปลายนิ้ว “น้องปลา... เอ่อ... น้องปลาอยากเปลี่ยนเองค่ะ” เธอตอบพลางขืนร่างให้ออกจากร่างแข็งแกร่งที่ซ้อนกายอยู่ด้านหลัง ขนาดใกล้กันแค่นี้เธอยังรู้สึกได้ถึงความร้อนแรงที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างกายของเขา แล้วหากเขาจะพานิ้วร้อนๆ นั้นลากไล้ไปตามแผ่นหลังของเธอล่ะ เธอจะไม่เผลอครางกระเส่าให้เขาทำมากกว่านั้นหรอกเหรอ “แล้วน้องปลารู้เหรอว่าเขาใส่กันยังไง” มัสยามองเสื้อผ้าในมือ เกิดคว
“ผมกราบขอโทษพี่หลามกับพี่กุ้งด้วยนะครับ ที่ทำอะไรไปโดยพลการแบบนี้” ฉลามและกุ้งนาง มองชายหนุ่มรุ่นน้องที่เปลี่ยนสถานะมาเป็นลูกเขยในช่วงเวลาไม่ถึง 10 วันดี แม้จะงง สงสัย และสับสนในความสัมพันธ์ของอารักษ์และมัสยา แต่ทั้งคู่ที่นั่งกุมมือกันและกันเอาไว้ พร้อมทั้งนำทะเบียนสมรสที่แอบไปจดกันมาเมื่อเช้ามาวางให้ดู ก็ทำให้คนเป็นพ่อเป็นแม่นั้นพูดไม่ออก จะให้บอกว่ายกให้หรือไม่ยกให้ดีล่ะ ในเมื่อเรื่องมันมาไกลเกินจะแก้ไขแล้ว “พ่อคะ แม่คะ อารักษ์ไม่ผิดนะคะ น้องปลาผิดเองค่ะ น้องปลารักอารักษ์มาตั้งแต่เริ่มเป็นสาว น้องปลาไม่อยากต้องรออีก น้องปลาขอโทษค่ะ” หยาดน้ำตาของมัสยาไหลลงเป็นสาย เมื่อพ่อกับแม่ไม่ยอมพูดอะไรออกมาเลย เธอไม่อยากให้พ่อแม่คิดว่านี่คือสิ่งที่อารักษ์ฉกฉวยจากเธอ เธอสิที่เป็นฝ่ายเสนอและสนองอารักษ์จนเหน็ดเหนื่อย ไม่อยากให้พ่อแม่มอง
“ฉันถามว่าใครเป็นคนทำ ใคร!” “ฉันเอง” ฮันนี่อยากจะกรีดร้องอีกครั้งเมื่อเห็นคนที่เดินเข้ามา โดยมีพนักงานของร้านหอบเอกสารปึกใหญ่มาด้วย พนักงานสาวหน้าตาจิ้มลิ้มที่อารักษ์หลงหัวปักหัวปำ กำลังยืนประจันหน้าเธออยู่ และมันมีทะเบียนสมรส “ทำแบบนี้หมายความว่ายังไง” ฮันนี่ถามเสียงเหี้ยม “ก็เห่อน่ะค่ะ เพิ่งจดทะเบียนเมื่อเช้าหมาดๆ อยากให้คุณฮันนี่อวยพรให้ แต่กลัวว่าจะน้อยไปเลยก๊อบปี้เพิ่มมา 200 ชุด คุณฮันนี่จะได้เอาไปติดทำวอลเปเปอร์ที่บ้าน เอาไว้ระลึกถึงทุกคืนทุกวัน กำหนดจิตใจตัวเองให้มั่น แล้วท่องว่า ‘เขามีเมียแล้วหนอ เขาแต่งงานแล้วหนอ ยุ่งกับเขาไม่ได้แล้วหนอ’ พอมั้ยค่ะ 200 แผ่น ถ้าไม่พอ ฉันจะให้พนักงานไปก๊อบมาเพิ่ม” “แก... นัง
“ปล่อยผมเถอะฮันนี่ ไม่มีประโยชน์อะไรที่คุณจะมารื้อฟื้น เรื่องของเรามันจบไปนานแล้ว และตอนนี้ผมก็มีคนที่ต้องดูแลทั้งร่างกายและหัวใจของเธอด้วย และเธอก็ทำหน้าที่ดูแลร่างกายนี้ ทั้งด้านล่างและด้านบนเป็นอย่างดี จนผมไม่คิดว่าจะมีใครมาแทนได้” อารักษ์พยายามปลดฝ่ามือของฮันนี่ออกให้นุ่มนวลที่สุด แต่เธอก็ล็อกแน่นยังกับคีมเหล็ก พร้อมกับเสียดสีทั้งท่อนบนและท่อนล่างของเธอเข้าหาเขา “จริงเหรอคะ ฮันนี่ไม่ลืมนะคะว่าครั้งสุดท้ายก่อนที่รักษ์จะไปต่างประเทศ คืนนั้นเราสนุกกันมากแค่ไหน รักษ์ไม่อยากรื้อฟื้นเหรอคะ น้ำผึ้งหยาดเยิ้มของฮันนี่ยังหอม หวาน ไม่เปลี่ยนแปลง และตอนนี้มันก็พร้อมจะให้รักษ์ชิมแล้วด้วยค่ะ” คำพูดสะท้านอารมณ์ทั้งคนพูด คนฟัง และคนที่แอบฟังอยู่ด้านนอก ต่างคนต่างคิดไปคนละทาง คนพูดนั้นซ่านเสียวตั้งแต่เหนี่ยวรั้งร่างแกร่งของอารักษ์เข้าใ
“เธอคงไม่รู้สินะ ว่าฉันกับรักษ์เป็นอะไรกัน” ฮันนี่เปิดฉากพูดก่อน เธอถือคติเริ่มก่อนย่อมมีชัยไปกว่าครึ่ง และหน้าใสซื่อจืดๆ อย่างนี้ คงปอดแหกแน่ถ้ารู้ว่ากำลังแย่งสามีชาวบ้าน “ไม่รู้ค่ะ และก็คิดว่าไม่อยากรู้ด้วย” มัสยาตอบตรงตามความรู้สึก รู้แล้วได้ประโยชน์อะไรเล่าในเมื่อนี่ไม่ใช่คำบอกเล่าจากอารักษ์ แต่เป็นของใครก็ไม่รู้ที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อนเลย และถ้าฮันนี่สำคัญขนาดนั้นเธอก็มั่นใจว่าอารักษ์ต้องแนะนำให้เธอรู้จักแน่ แต่นี่ไม่ จะเพราะเหตุผลใดล่ะถ้าฮันนี่ไม่ได้สำคัญมากพอ “แต่ฉันอยากให้เธอรู้นะ ว่าฉันกับรักษ์นั้นเราสนิทกันมากแค่ไหน” ฮันนี่รุกต่อ เพราะจากการต่อปากต่อคำพร้อมประเมินมองด้วยสายตา นังเด็กหน้าอ่อนนี่ไม่ธรรมดาแน่ และอาการมึนตึงอย่างนี้ จะอะไรเล่าถ
“นางแบบคนนี้เป็นแฟนคุณรักษ์เหรอ” “ก็คงใช่นั่นแหละ แทบจะเกยขึ้นไปอยู่บนตักซะขนาดนั้น” “แปลว่าเธอเลือกคุณรักษ์เหรอ เห็นมีข่าวกับดาราชายตั้งหลายคน” “เลือกไม่เลือกไม่รู้ แต่ตอนนี้เหมือนเธอกำลังช่วยคุณรักษ์ต้อนรับแขกอยู่นะ สงสัยกะมาเปิดตัวด้วยมั้ง” แขกที่นั่งสนทนากันอยู่ในมุมหนึ่งทำให้มัสยาชะงักฝีเท้าก่อนจะยืนหลบมุมฟังให้จบ เพื่อยืนยันว่าเธอไม่ได้คิดไปเองแน่ เพราะสายตาของคนอื่นก็มองไม่ต่างกัน และอาจแรงกว่าที่เธอมองเสียอีก เมื่อหนึ่งในนั้นพูดขึ้นว่า “ได้ข่าวว่าเธอเป็นเด็กท่าน... เปิดตัวกับคุณรักษ์แบบนี้ ถ้าท่านหึงคุณรักษ์ขึ้นมาล่ะก็ งานนี้คุณรักษ์ซวยแน่ ทางที่ดีวันนี้เราควรจะกินให้ครบทุกเมนูนะ เพราะไม่รู้ว่าที่นี่จะเปิดต่อได้อีกกี่
กระดาษสีนวลที่มีขอบทั้ง 4 ด้านเป็นรูปดอกกุหลาบสีแดงสดเป็นสิ่งที่มัสยาไม่คิดว่าเธอจะได้ครอบครองเร็วขนาดนี้ ไม่ฝันและไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยด้วยซ้ำ โดยเฉพาะฝ่ายชายนั้นเป็นเขา “อารักษ์คะ น้องปลาขอบคุณนะคะ” “ขอบคุณอาเรื่องอะไรคะ” อารักษ์รับฝ่ามือที่กระพุ่มไหว้เขาเอาไว้ ดวงตาคมเข้มแต่อ่อนโยนอย่างที่สุดทอดมองหญิงสาวด้านข้าง สิ่งที่เขาตัดสินใจทำไปทั้งหมดนี้ ไม่ผิดหรอก เพราะเขาเชื่อในเสียงร่ำร้องของหัวใจตัวเอง แม้ว่าชีวิตจะผ่านผู้หญิงมานับร้อย ทั้งคู่ควง ทั้งคู่นอน นานบ้างเร็วบ้างในช่วงเวลาที่คบกัน แต่ก็ไม่เคยมีใครทำให้เขาตัดสินใจทำสิ่งนี้ แต่สำหรับมัสยาไม่ใช่ สำหรับเธอตรงหน้านี้วันเวลาไม่ใช่ตัวแปร หัวใจต่างหากเล่าที่สำคัญ “น้องปลาขอบคุณที่อารักษ์ทำเพื่อน้องปลาได้มากขนาดนี้ ขอบคุณจริงๆ ค่ะ”&nbs
ยาแก้ไข้เม็ดสีขาว 2 เม็ดถูกส่งเข้าสู่อุ้งปากก่อนจะรับน้ำสะอาดบรรจุอยู่ในแก้วขึ้นดื่ม เมื่อเรียบร้อยแล้วมัสยาจึงส่งรอยยิ้มให้กับผู้เป็นแม่ที่มองมาด้วยความเป็นห่วง “แม่คะ น้องปลาไม่เป็นอะไรมากหรอกค่ะ ไม่ต้องกินยายังได้เลย” “ได้ยังไงล่ะ เราน่ะตัวรุมๆ ถ้าไม่กินเข้าไป คืนนี้ได้ไข้ขึ้นแน่ แล้วนี่ไปตากแดดตากลมที่ไหนมา ทำไมถึงได้เพลียจนเป็นไข้ได้” “เอ่อ... น้องปลาคงหักโหมมากไปหน่อยน่ะค่ะแม่ อยากฝึกงานให้เก่งเร็วๆ ไม่อยากเป็นภาระของอารักษ์เขา” มัสยาพูดพลางก้มหน้าหลบสายตาของแม่ที่มองมาอย่างจับผิด เธอคงหักโหมจริงอย่างที่บอกแม่นั่นแหละ เพราะตลอดทั้งช่วงบ่ายจนถึงเย็น อารักษ์ฝึกงานให้เธอไม่หยุด ไม่ว่าจะเป็นบนเตียง หรือในห้องน้ำ อารักษ์ก็ฝึกให้เธอไม่รู้กี่ครั้งต่อก
‘อารักษ์ขา... อื้อ... ทำอะไรน้องปลา... โอย... เมื่อไหร่จะอาบเสร็จเสียที’ นั่นคือสิ่งที่คิด ทว่าสิ่งแสดงออกนั้นทำได้แต่ขบริมฝีปากล่างจนเจ็บ เพราะอารักษ์ยังคงอาบน้ำให้เธอไม่เสร็จเสียที ยิ่งอาบก็ยิ่งทำให้เธอร้อนจนต้องส่ายใบหน้าไปมา และเมื่อฝ่ามือของอารักษ์ลูบไล้ลงต่ำเพื่อขัดสีดอกไม้แสนสวย มัสยาก็ต้องสะกดอารมณ์ตัวเองเสียจนสั่นไปทั้งร่าง แค่เพียงภายนอกที่ลูบไล้เธอยังสั่นได้ขนาดนี้ และหากเป็นภายในเล่า... “อะ! อารักษ์คะ อารักษ์... พอแล้วค่ะ น้องปลาพอแล้ว” “พอแล้วอะไรกัน อายังอาบน้ำให้น้องปลาไม่สะอาดเลยนะ” เขาพูดพลางผลักดันปลายนิ้วเข้าไปกวาดต้อนชอนไชทำความสะอาดในโพรงดอกไม้ ก่อนจะชักเข้าชักออกเพื่อชำระล้างภายในให้สะอาด “อื้อ... ไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่อาบแบบนี้ อารักษ์... อื้อ...” “ใช่สิคะ นี่แหละวิธีอาบน้ำของอา และมันต้องสะอาดกว่านี้อีก” พูดจบร่างสูงใหญ่ก็ทรุดร่างลงนั่งเพื่อส่งปลายลิ้นเข้าไปทำความสะอาดให้เธอมากขึ้นอีก และก็มากมายเสียจนมัสยาต้องเบิกดวงตากว้างเพื่อจ้องมองในสิ่งมหัศจรรย์ที่เขาทำให้เธอ ก่อนจะหลับตาด้วยความซ่านเสียวและร
“อื้อ... อารักษ์ขา... ใส่เข้ามาอีก อื้อ... ใส่เข้ามาค่ะ น้องปลาทนได้ โอว... อารักษ์ขา... โอ๊ะ! กรี๊ดดดดด...” ความเจ็บปวดที่มาพร้อมกับเสียงดังกึกอยู่ภายในตัวทำให้มัสยารู้ว่า ณ ต่อแต่นี้ไปจะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกแล้ว แต่เธอก็ดีใจที่เธอได้มอบสิ่งนี้ให้กับคนที่เธอเลือกแล้ว คนที่เธอพร้อมจะอยู่เคียงข้างกับเขาตลอดไป “น้องปลาเจ็บมากมั้ยคะ” “มากค่ะอารักษ์ แต่น้องปลาทนได้ อื้อ... อารักษ์ขาอย่าเพิ่งขยับสิคะ น้องปลา... เอ่อ...” “เสียว น้องปลาเสียวใช่มั้ยคะ” ใบหน้าพยักน้อยๆ นั้นทำให้อารักษ์ต้องยิ้ม มัสยาเข้าขากับเขาได้อย่างไม่น่าเชื่อ เธอซ่านเสียวไปในทุกจุดที่เขาแตะต้อง และเมื่อเขาพาความแข็งแกร่งเข้าไปจนสุด แม้จะเจ็บจนน้ำตาเล็ดแต่มัสยาก็แสดงออกว่าความเสียวกำลังมาเยือน “อารักษ์จะทำให้น้องปลามีความสุขที่สุดแล้วนะคะ” มัสยาพยักหน้าหลับตาพริ้ม แม้ว่าเรียวคิ้วจะขมวดจนชิดบ่งบอกถึงความเจ็บปวดแต่เธอกลับไม่ร้องออกมา ยิ่งเห็นดังนั้นอารักษ์ยิ่งต้องถนอมเธอให้มากที่สุด การเคลื่อนไหวจึงเป็นไปอย่างเนิบนาบ จนหัวคิ้วที่ขมวดเข้า