ยอดฝีมือที่หลบหนีคนนั้นมีเลือดไหลออกมาจากด้านหลังศีรษะ ก้อนหินที่หลี่โม่โยนออกไปนั้น ได้สังหารเขาไปแล้ว หัวใจของหานเถี่ยโถวสั่นไหว เขาแอบนึกดีใจที่เมื่อครู่ตนได้เลือกตัวเลือกที่ถูกต้องที่สุด หานเถี่ยโถวจินตนาการไม่ออกเลยว่า หลี่โม่ที่อยู่ตรงหน้านั้นแข็งแกร่งแค่ไหนกันแน่ เขาแค่รู้สึกว่า หลี่โม่ระดับสูงกว่ายอดฝีมือทั้งหมดที่เขาเคยเห็นตลอดชีวิตที่ผ่านมา ยอดฝีมือคนอื่น ๆ ที่มีความคิดรอบคอบต่างสะเทือนขวัญกับการตายของยอดฝีมือคนนั้น เก่งกาจในการต่อสู้ระยะประชิดก็ว่าไปอย่าง แต่การใช้ก้อนหินโจมตีระยะไกลยังร้ายกาจขนาดนี้ ช่างทำให้รู้สึกสิ้นหวังจริง ๆ เมื่อเผชิญหน้ากับหลี่โม่ซึ่งมีความสามารถในการต่อสู้ทั้งระยะประชิดและการโจมตีระยะไกล เหล่ายอดฝีมือก็ต่างเก็บความคิดเล่ห์เหลี่ยมในใจไป และคิดว่าการยอมเชื่อฟังคำสั่งของหลี่โม่จะเป็นการดีกว่า ...... ในรถบัญชาการ กุ่ยเอ้อเฝ้ารออย่างเงียบ ๆ หลังจากรอไปห้านาที หลงหานกวงก็ทนนิ่งเงียบไม่ไหวขึ้นมาเสียก่อน “กุ่ยเหล่าเอ้อ ถ้าจะทำอะไรก็ทำต่อไปเลยสิ คนจากสำนักของนายถึงตอนนี้ก็ยังไม่มา คุณคิดว่า ผมหลงหานกวงเป็นคนโง่จริงๆ งั้นเหรอ พวกเขาไม่มีสมองจนถ
มีดล่าสัตว์สร้างบาดแผลขนาดใหญ่บนร่างของกุ่ยเอ้อ และทิ้งรอยแผลเป็นที่ดูน่ากลัวแต่ไม่ร้ายแรงบนร่างกายของกุ่ยเอ้อ จากนั้นเหล่ายอดฝีมือที่ซุ่มโจมตีอยู่ทั้งหมดก็พุ่งออกมา อาวุธต่าง ๆ มุ่งเป้าไปยังกุ่ยเอ้อ ฉากที่พวกเขาปิดล้อมหลี่โม่เมื่อครู่นี้ได้เกิดขึ้นอีกครั้ง ทว่ากุ่ยเอ้อไม่ใช่หลี่โม่ จึงไม่สามารถต้านทานการโจมตีอย่างกะทันหันของยอดฝีมือจำนวนมากขนาดนี้ได้ “เวรเอ๊ย! พวกแกบ้าไปแล้วเหรอ?! ทำไมถึงได้มาโจมตีกันหมด ทำไมพวกนายถึงได้ทรยศฉัน! หรือว่าเงินที่ฉันให้มันไม่พอ?!” กุ่ยเอ้อคำรามอย่างบ้าคลั่ง บนร่างกายก็มีบาดแผลเพิ่มมากขึ้น “กุ่ยเอ้อ นี่ไม่ใช่ปัญหาเรื่องเงิน ถ้าจะโทษ ก็โทษแกเองที่ไปยุ่งกับคนไม่ควรยุ่งด้วย!” “ถ้าเราไม่ฆ่านาย พวกเราจะเป็นคนที่ต้องตาย ดังนั้นก็อย่ามาโกรธแค้นพวกเราเลย ตายซะเถอะ กุ่ยเอ้อ!” เหล่ายอดฝีมือไม่ยั้งมืออีกต่อไป พวกเขาใช้ทุกกระบวนท่าอย่างสุดกำลัง รุมโจมตีใส่กุ่ยเอ้ออย่างสุดความสามารถ กุ่ยเอ้อดวงตาแดงก่ำ รู้ว่าตนคงจะต้องตายที่นี่วันนี้ และคิดว่าหากต้องตายเขาก็ต้องลากเพื่อนร่วมทางไปด้วยสักสองสามคนให้ได้ ดังนั้นเขาจึงต่อสู้โต้กลับเหล่ายอดฝีมืออย่างสุดชีวิต
“ผมไม่ไป ลูกกระจ๊อกยังต้องกตัญญูต่อลูกพี่ ลูกพี่ คุณยังขาดคนอยู่หรือเปล่า ให้ผมเฝ้าบ้านเวรยามตอนกลางคืนให้ก็ได้นะครับ” หานเถี่ยโถวไม่มีความคิดจะหนีไปแม้แต่น้อย ในที่สุดเขาก็ได้พบกับผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องกอดต้นขาใหญ่นี้เอาไว้ให้ได้ หานเถี่ยโถวใช้วิธีนี้มาแต่ไหนแต่ไร เมื่อเจอผู้มีฝีมือก็ยอมแพ้ หลังจากยอมแพ้แล้วก็จะประจบสอพลอ จากนั้นก็จะยกยอปอปั้นต่าง ๆ นานา และเรียนรู้จากผู้มีฝีมือ หลังจากใช้วิธีที่ไร้ยางอายแบบนี้แล้ว หานเถี่ยโถวกลับเปลี่ยนจากเด็กบ้าน ๆ กลายเป็นยอดฝีมือชั้นดี ในตอนนี้หานเถี่ยโถววางแผนที่จะใช้อุบายเดิม และเกาะแข็งเกาะขาต่อไปอย่างไร้ยางอาย หลี่โม่เลิกคิ้วเล็กน้อย แค่นหัวเราะเย็นชาแล้วเอ่ย "คนที่อยากเฝ้าบ้านให้ฉันมีตั้งเยอะแยะ ยังไม่ถึงตานายหรอก" “ผม… ผมสามารถทำอย่างอื่นได้ด้วยนะ ผมเฝ้ารถพาหมาไปเดินเล่นก็ได้” หานเถี่ยโถวพูดเสียงเบา “นายนี่มันแบบอย่างแห่งความไร้ยางอายจริง ๆ ฉันว่าที่นี่น้ำใสเขาเขียวเป็นสถานที่ฝังศพที่ดี ถ้านายยังไม่ไป ก็พักผ่อนยาวที่นี่ไปเลยแล้วกัน” หลี่โม่พูดอย่างราบเรียบ “แหะ ๆ อย่าเลยครับ ผมยังอยากทำเพื่อลูกพี่อยู่ ถ้าอย่างนั้นผมข
เฉินเสี่ยวถงขานเรียกเสียงเบา โม่หงที่เข่าหักอยู่ไม่ไกลและใช้มือสองข้างคลานไปกับพื้นหยุดชะงัก ก่อนมองไปยังทิศทางที่เฉินเสี่ยวถงเดินมาด้วยแววตาเป็นประกาย โม่หงเกลียดแค้นหลี่โม่อย่างสุดซึ้ง เพราะหัวเข่าหักโดยสมบูรณ์ ขาขวาของโม่หงนับว่าพิการอย่างสิ้นเชิง ตอนนี้แม้แต่จะลุกขึ้นเดินก็ยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ โม่หงซึ่งแต่เดิมคิดว่าคงได้แต่ต้องคลานหนีเอาชีวิตรอดเท่านั้น ในตอนนี้เมื่อมองไปยังเฉินเสี่ยวถงผ่านพงหญ้า เขาก็รู้สึกว่าน่าจะสามารถจับเฉินเสี่ยวถงเป็นตัวประกันและหนีไปได้ สาวสวยขนาดนี้ จะต้องเป็นผู้หญิงข้างกายหลี่โม่แน่ ๆ ขอเพียงจับตัวเฉินเสี่ยวถงไว้ได้ บางทีไม่เพียงแค่หนีรอดได้เท่านั้น เขาอาจได้แก้แค้นด้วยก็ได้! โม่หงสูดหายใจลึก สองมือออกแรงพยุงร่างขึ้น จากนั้นจึงยกขาซ้ายขึ้นมานั่งคุกเข่าข้างเดียวบนพื้น โม่หงที่เคลื่อนไหวไม่สะดวกรู้สึกว่าตนมีโอกาสเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ถึงยังไงเฉินเสี่ยวถงมีปืนอยู่ในมือ หากเขาโจมตีพลาดไป ก็อาจถูกเฉินเสี่ยวถงยิงตายได้ โม่หงซุ่มรออย่างเงียบ ๆ ราวกับสัตว์ป่าที่กำลังล่าเหยื่อ รอให้เฉินเสี่ยวถงมาถึงอยู่ในพงหญ้าหนาทึบ แต่ก่อนที่เฉินเสี่ยวถงจะเดินเข้า
หัวหน้าจางพากำลังคนรีบรุดมาถึง เมื่อเห็นภาพของสถานที่เกิดเหตุ หัวหน้าจางและคนอื่น ๆ ต่างก็พากันขนหัวลุก ดูแค่จำนวนของศพก็สามารถยืนยันได้แล้วว่า เกิดการต่อสู้อันดุเดือดแบบไหนขึ้น “กระจายกำลังไปเป็นทีม ระวังตัวด้วย!” หัวหน้าจางตะโกนดังลั่น หน่วยลาดตระเวนต่างหยิบปืนพกออกมา แล้วเดินเข้าไปค้นหาอย่างระมัดระวัง เหตุการณ์รุนแรงแบบนี้เป็นเรื่องที่พวกเขาไม่เคยเจอมาก่อน “หัวหน้าจาง” หลี่โม่ตะโกนออกมาจากในบ้าน เพื่อป้องกันไม่ให้เหล่าเจ้าหน้าที่ยิงปืนด้วยความตื่นตระหนก หลี่โม่จึงไม่ออกมาโดยทันที “คุณหลี่!” หัวหน้าจางดีใจมาก ขอเพียงหลี่โม่ไม่เป็นอะไรก็พอแล้ว หากเกิดอะไรขึ้นกับหลี่โม่ โทษตายหมื่นครั้งก็ไม่พอไถ่ความผิด “คุณหลี่ คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ?” หัวหน้าจางเอ่ยถามเสียงดัง “ผมไม่เป็นไร พวกคุณไม่ต้องเป็นห่วง ผมกำจัดพวกมันหมดแล้ว พวกคุณจัดการเก็บกวาดสถานที่ให้เรียบร้อยทีนะ” หัวหน้าจางได้ยินคำพูดของหลี่โม่ก็พลันโล่งใจ เขาโบกมือให้กับลูกน้อง เจ้าหน้าที่ทุกคนจึงเก็บปืนลง “ตรวจสอบที่เกิดเหตุ ทำตามปกติ” หัวหน้าจางออกคำสั่ง จากนั้นจึงรีบเดินไปทางบ้านที่หลี่โม่อยู่ หลังจากเข้าม
“นายท่าน ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว หากท่านคิดว่า พวกเราทำอะไรผิดก็ลงโทษเราได้เลยครับ พวกเราจะไม่ทักท้วงอย่างแน่นอน” เหล่าลูกน้องขอรับโทษจากหลินเจิ้งหนานอย่างพร้อมเพรียง ถึงอย่างไรการกระทำเมื่อครู่ก็ถือเป็นการอุกอาจเช่นกัน ในตอนนี้หลินเจิ้งหนานเองก็สงบสติอารมณ์ลง เมื่อนึกถึงเงาร่างที่ราวกับเทพแห่งความตายของหลี่โม่เมื่อครู่นี้ ในใจหลินเจิ้งหนานยังคงรู้สึกหวาดกลัวไม่น้อย “ช่างมันเถอะ พวกนายเองก็เหมือนกัน… เลิกพูดเรื่องพวกนี้ได้แล้ว ฉันควรติดต่อกุ่ยเอ้อสักหน่อย หวังว่ากุ่ยเอ้อจะไม่ตำหนิเรา” ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นการเผ่นหนีไป พอเรื่องถึงตัว ไม่ว่าจะพูดยังไงก็ไร้เกียรติสิ้นดี หากกุ่ยเอ้อจะโยนความผิดที่ทำให้แผนการล้มเหลวมาให้หลินเจิ้งหนาน หลินเจิ้งหนานเองก็คงทำได้เพียงยอมรับเท่านั้น หลินเจิ้งหนานหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วกดหมายเลขของกุ่ยเอ้อ ตำแหน่งศพของกุ่ยเอ้อ ยังไม่เข้าสู่ระยะการค้นหาของพวกหัวหน้าจาง แต่เมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น จู่ ๆ ร่างที่สวมเสื้อคลุมสีดำก็ปรากฏตัวขึ้น ร่างสวมเสื้อคลุมหรี่ตามองศพของกุ่ยเอ้อ หลังจากนั้นสามวินาที เขาก็ก้มลงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าของกุ่ยเอ้
“ไม่ต้องเกร็ง ฉันไม่ได้จะมาทำอะไรนาย ฉันแค่อยากรู้ว่าก่อนที่กุ่ยเอ้อจะตายมันเกิดอะไรขึ้น ใครเป็นคนสังหารเขา” ชายสวมเสื้อคลุมเอ่ย “ครับ ผมจะเล่าให้คุณฟังเอง ไม่ทราบว่าจะให้เรียกคุณว่าอะไรดี” หลินเจิ้งหนานพูดประจบ “หึหึ เรียกฉันว่ากุ่ยหูก็พอ” “สวัสดีครับท่านกุ่ยหู ผมคือหลินเจิ้งหนาน ก่อนหน้านี้จางเต๋ออู่ให้กุ่ยเอ้อมาช่วยชี้แนะผมจัดการกับหลี่โม่ กุ่ยเอ้อได้จ้างเพื่อนยอดฝีมือหลายคนมาช่วย มีหลงหานกวง หานเถี่ยโถวแล้วก็คนอื่น ๆ ตอนนั้นลูกน้องของหลงหานกวงถูกไอ้พวกเจ้าถิ่นมันจับตัวไป แล้วหลี่โม่ก็ไปสอบปากคำลูกน้องของหลงหานกวง กุ่ยเอ้อคิดว่านี่เป็นโอกาส...” หลินเจิ้งหนานอธิบายสถานการณ์อย่างละเอียด จนกระทั่งพูดถึงเรื่องที่ตนถูกพาตัวหนีออกมาก่อน “พวกเราจึงหนีออกมาทั้งอย่างนั้น ส่วนเรื่องหลังจากนั้นผมก็ไม่รู้แล้ว ผมไม่รู้ด้วยว่ากุ่ยเอ้อตายได้ยังไง แต่ว่ามันจะต้องเกี่ยวข้องกับหลี่โม่แน่ ถึงแม้หลี่โม่จะไม่ได้เป็นคนฆ่าเอง ก็ต้องเป็นคนสั่งให้ฆ่าแน่” แม้หลินเจิ้งหนานจะไม่ได้เห็นสถานการณ์ของกุ่ยเอ้อ แต่เหตุการณ์ในตอนนั้น ไม่ต้องใช้สมองก็พอจะเดาได้ กุ่ยหูหรี่ตา จิตสังหารแผ่ซ่านออกมาทางสายต
อย่างไรก็ตาม ต่อหน้าราชินีมังกรจางเต๋ออู่ไม่กล้าแสดงท่าทีออกมาแม้แต่น้อย ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือเป็นอีกเครื่องอย่างเงียบ ๆ และกดหมายเลขของเฉินเสี่ยวถง ในตอนนี้ รถเมอร์เซเดสเบนซ์ของคังเหวินซินได้หยุดอยู่หน้าอาคารบริษัท กู้ชิงหลินตามหลี่โม่เดินเข้าไปในอาคาร ขณะที่เฉินเสี่ยวถงรั้งท้ายอยู่ข้างหลัง เมื่อได้ยินเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือ เฉินเสี่ยวถงก็เหลือบมองที่แผ่นหลังของหลี่โม่ ก่อนหยุดฝีเท้าและหยิบมือถือออกมา เมื่อเห็นชื่อผู้โทรที่แสดงบนหน้าจอโทรศัพท์ เฉินเสี่ยวถงก็รู้สึกว่า เลือดทั่วร่างกายเย็นเฉียบ จางเต๋ออู่! นั่นเป็นชื่อที่ทำให้เฉินเสี่ยวถงฝันร้าย ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา เฉินเสี่ยวถงคิดว่าตนจะได้ตื่นจากฝันร้าย และหนีจากเงาของจางเต๋ออู่พ้นแล้ว ทว่าเสียงเรียกเข้าในตอนนี้ ได้ทำลายความวาดหวังของเฉินเสี่ยวถงจนแหลกสลาย หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เฉินเสี่ยวถงก็กดปุ่มรับสาย “ฮัลโหล โทรหาฉันทำไม เดี๋ยวตัวตนของฉันก็ถูกเปิดเผยหรอก” เฉินเสี่ยวถงพูดเสียงเบา “เฮอะ! อย่ามาทำเสแสร้ง การปกปิดตัวตนมันเป็นเรื่องของเธอ ฉันแค่จะบอกให้เธอรู้ไว้ว่า ถ้าเธอยังหากุญแจลับไม่เจออีก