อย่างไรก็ตาม ต่อหน้าราชินีมังกรจางเต๋ออู่ไม่กล้าแสดงท่าทีออกมาแม้แต่น้อย ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือเป็นอีกเครื่องอย่างเงียบ ๆ และกดหมายเลขของเฉินเสี่ยวถง ในตอนนี้ รถเมอร์เซเดสเบนซ์ของคังเหวินซินได้หยุดอยู่หน้าอาคารบริษัท กู้ชิงหลินตามหลี่โม่เดินเข้าไปในอาคาร ขณะที่เฉินเสี่ยวถงรั้งท้ายอยู่ข้างหลัง เมื่อได้ยินเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือ เฉินเสี่ยวถงก็เหลือบมองที่แผ่นหลังของหลี่โม่ ก่อนหยุดฝีเท้าและหยิบมือถือออกมา เมื่อเห็นชื่อผู้โทรที่แสดงบนหน้าจอโทรศัพท์ เฉินเสี่ยวถงก็รู้สึกว่า เลือดทั่วร่างกายเย็นเฉียบ จางเต๋ออู่! นั่นเป็นชื่อที่ทำให้เฉินเสี่ยวถงฝันร้าย ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา เฉินเสี่ยวถงคิดว่าตนจะได้ตื่นจากฝันร้าย และหนีจากเงาของจางเต๋ออู่พ้นแล้ว ทว่าเสียงเรียกเข้าในตอนนี้ ได้ทำลายความวาดหวังของเฉินเสี่ยวถงจนแหลกสลาย หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เฉินเสี่ยวถงก็กดปุ่มรับสาย “ฮัลโหล โทรหาฉันทำไม เดี๋ยวตัวตนของฉันก็ถูกเปิดเผยหรอก” เฉินเสี่ยวถงพูดเสียงเบา “เฮอะ! อย่ามาทำเสแสร้ง การปกปิดตัวตนมันเป็นเรื่องของเธอ ฉันแค่จะบอกให้เธอรู้ไว้ว่า ถ้าเธอยังหากุญแจลับไม่เจออีก
หลี่โม่จ้องเขม็งกู้ชิงหลินราวกับไก่ชนอย่างหมดคำจะพูด และหลังจากนั้นไม่นานเขาก็มองไปทางกู้หยุนหลานด้วยสายตาอ้อนวอน กู้หยุนหลานกลอกตาใส่หลี่โม่ แล้วยกมือขึ้นเคาะโต๊ะ “ฉันต้องทำงาน คนที่ไม่มีธุระอะไรก็ออกไปเถอะ คังเหวินซินช่วยพาเสี่ยวถงออกไปเดินเล่นหน่อยนะ” กู้หยุนหลานเอ่ยขึ้น กู้ชิงหลินและเฉินเสี่ยวถงต่างไม่สามารถปฏิเสธได้ ทั้งสองมองหน้ากันอย่างดุร้าย แล้วจึงทยอยออกจากห้องทำงานของกู้หยุนหลานทีละคน หลี่โม่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วพูดด้วยความกังวล "บอกผมหน่อยว่ามันเกิดอะไรขึ้น นี่ผมกลายหนุ่มเนื้อหอมซะแล้วเหรอ? ผมไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองมีเสน่ห์มาก่อนเลย" “อย่าหลงตัวเองนักเลยน่า ทำไมฉันถึงรู้สึกว่า ท่าทีของกู้ชิงหลินที่มีต่อคุณเปลี่ยนไปนิดหน่อยนะ? เรื่องที่งานเลี้ยงเมื่อคราวก่อนที่โรงกลั่นไวน์องุ่นทำให้เธอหวั่นไหวขึ้นมาหรือเปล่า?” กู้หยุนหลานเองก็รู้สึกว่า กู้ชิงหลินมีบางอย่างผิดปกติ ท่าทีของเธอที่มีต่อหลี่โม่นั้นอย่างกับพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ “ผมจะรู้ได้ยังไง? กู้ชิงหลินกับเฉินเสี่ยวถงต่างก็ทำผมปวดหัวไปหมด เรากำลังพูดถึงเรื่องที่จะไปดูวิลล่าอยู่เลยนี่ พวกเขาทำเสียเวลาหมดเลย”
“นี่? เสี่ยวคัง นายเสียสติไปแล้วเหรอ? สิ่งที่พี่หลี่โม่พูดคงไม่ใช่เรื่องจริงหรอก อย่าบอกนะว่านายจะฝึกด้วยการขับรถแทรกเตอร์จริง ๆ ?” เฉินเสี่ยวถงพูดแขวะอย่างเอือมระอา “สิ่งที่อาจารย์พูดเป็นความจริงแน่นอน ผมจะพยายามเต็มที่ครับอาจารย์!” คังเหวินซินพูดอย่างจริงจัง “มีความตั้งใจดี งั้นก็ไปดูวิลล่าที่สวนหนานชุ่ยกันก่อนเถอะ ขึ้นรถ” หลี่โม่เอ่ย คังเหวินซินรีบเปิดประตูรถ จากนั้นหลี่โม่และคนอื่น ๆ ก็พากันขึ้นรถ รถเมอร์เซเดสเบนซ์สตาร์ทเครื่องอย่างนุ่มนวล และมุ่งหน้าไปยังสวนหนานชุ่ยที่ชานเมือง ระหว่างทางคังเหวินซินโทรติดต่อผู้จัดการฝ่ายขายของสวนหนานชุ่ย “ฮัลโหล ผู้จัดการหวัง ฉันคังเหวินซินนะ” “สวัสดีครับคุณชาย มีเรื่องอะไรให้รับใช้ครับ?” ผู้จัดการหวังพูดอย่างกระตือรือร้น “ฉันจะพาอาจารย์ไปดูบ้าน วิลล่าที่ดีที่สุดบนยอดเขาหลังนั้นน่ะ นายช่วยเตรียมไว้ให้หน่อย” ผู้จัดการหวังขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วพูดอย่างค่อนข้างลำบากใจ "นั่นคือหลังที่คุณอาของคุณวางแผนจะเก็บไว้เองนะครับ คุณพาเพื่อนไปดูวิลล่าหลังอื่นดีไหมครับ?" “ทำไม คำพูดของฉันเทียบกับคุณอาไม่ได้หรือไง? อีกอย่างเขาจะอยากได้วิลล่าที่เม
ผู้จัดการหวังหยิบบุหรี่ออกมาคาบที่มุมปาก เตรียมจะสูบบุหรี่เพื่อสงบสติอารมณ์ คำขอของคังเหวินซินทำให้ผู้จัดการหวังตั้งตัวไม่ติด การจะดูบ้านมันไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าอีกฝ่ายถูกใจขึ้นมาจริง ๆ จะทำอย่างไรล่ะ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องราคาต้นทุนหรือเปล่า ถ้าคังหย่งเฉียนเข้ามาครอบครองวิลล่าหลังนี้ เขาก็คงไม่ได้เงินเลยสักแดงเดียว พอนึกถึงคังหย่งเฉียนขึ้นมาผู้จัดการหวังรู้สึกปวดจี๊ด ๆ ขึ้นมา เจ้านั่นเป็นปีศาจเจ้าสำราญแห่งตระกูลคัง วัน ๆ เอาแต่เกียจคร้าน กินดื่มเที่ยวเล่น ยิ่งกว่านั้นยังคบค้ากับพวกอันธพาล ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสตระกูลคังก็ยังถูกคังหย่งเฉียนยั่วโมโหจนเส้นเลือดในสมองตีบ แทบทุกคนในตระกูลคังล้วนทำเป็นไม่สนใจคังหย่งเฉียน ตราบใดที่คังหย่งเฉียนไม่ได้ก่อปัญหา ก็ไม่มีใครสนใจว่า คังหย่งเฉียนจะทำอะไร ถ้าหากยกวิลล่าให้เพื่อนของคังเหวินซินจริง ๆ คังหย่งเฉียนคงจะพาคนมาสับเขาเป็นชิ้น ๆ ถึงที่แน่ หลังจากสูบบุหรี่หมดมวน ผู้จัดการหวังก็ขยี้ก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ รู้สึกว่ายังไงก็ควรแจ้งให้คังหย่งเฉียนรู้สักหน่อย ส่วนคังหย่งเฉียนจะต่อสู้กับคังเหวินซินอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องระหว่างพวกเขา
“ไอ้สารเลวคนไหนไม่ดูตาม้าตาเรือ กล้ามาแย่งวิลล่าของอาจารย์ พวกแกยังมัวแต่กินอะไรกันอีก ไปดูด้วยกัน จัดการไอ้พวกสารเลวนั่นซะ” “ศิษย์พี่เกิ่งพูดถูก พวกเราทุกคนต้องไปดูด้วยกัน บ้านของอาจารย์ต้องดีที่สุดเท่านั้น จะผิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว” ศิษย์พี่เกิ่งและคนอื่น ๆ พากันลุกขึ้นทีละคน เมื่อเห็นเช่นนี้คังหย่งเฉียนก็เรียกให้พนักงานคิดเงินทันที แล้วจึงพาพวกของศิษย์พี่เกิ่งมุ่งตรงไปยังสวนหนานชุ่ย ... รถเมอร์เซเดสเบนซ์ขับเข้าไปในสวนหนานชุ่ย และขับตรงไปตามทางขึ้นยอดเขา ใกล้กับยอดเขาของเขาหนานชุ่ยนั้นมีที่ราบอยู่บริเวณหนึ่ง ที่ราบนี้ถูกนำมาใช้สร้างวิลล่า พร้อมทั้งปลูกต้นไม้พืชพรรณเขียวชอุ่มรอบ ๆ วิลล่าอีกด้วย ด้านหน้าวิลล่ายังมีลำธารที่ไหลมาจากยอดเขา ทำให้ฮวงจุ้ยของวิลล่านี้ยอดเยี่ยมมากไร้ที่ติ หน้าน้ำหลังเขา ตำแหน่งปากมังกรจัดวางฮวงจุ้ยอย่างดี ทำให้วิลล่าบนยอดเขาหลังนี้เลิศล้ำไม่มีใครเทียม รถเมอร์เซเดสเบนซ์จอดสนิทหน้าประตูวิลล่ายอดเขา ผู้จัดการหวังและพนักงานขายสาวสองคนยืนรอที่ประตูวิลล่าอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นรถเบนซ์จอดนิ่ง ผู้จัดการหวังก็รีบวิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปช่วยเปิดประตูรถ
“คุณชาย อย่ามาขู่ผมเลยครับ ผมไม่กลัวหรอกนะ สิ่งที่ผมพูดไปเมื่อครู่ล้วนมีเหตุมีผล หากไม่เชื่อก็ถามซินแสที่มาดูฮวงจุ้ยให้ได้เลยครับ คำพูดพวกนี้เขาเป็นคนพูดเองกับปากทั้งนั้น” ผู้จัดการหวังแข็งขืน ไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย หลี่โม่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม "เหวินซิน อย่าหุนหันพลันแล่น ผู้จัดการหวังพูดถูกแล้ว คนที่โชคชะตาบารมีไม่ถึง ไม่มีทางข่มพลังฮวงจุ้ยอันยอดเยี่ยมได้แน่นอน” คังเหวินซินพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม "อาจารย์พูดถูกแล้วครับ แต่ด้วยบารมีของอาจารย์ จะต้องสามารถข่มมันได้อย่างแน่นอน พวกเรามาดูกันดีกว่า ที่นี่ล้วนได้รับการตกแต่งอย่างดี คุณหิ้วกระเป๋าเข้ามาอยู่ได้เลย เหลือแค่ดูว่าวิลล่าหลังนี้ถูกใจคุณหรือเปล่าก็พอครับ” เมื่อเห็นคังเหวินซินพยายามเอาอกเอาใจหลี่โม่ ผู้จัดการหวังก็เกิดความสงสัยเล็กน้อย หรือว่าตนจะมองผิดไป? ผู้ชายที่สวมเสื้อผ้าแผงลอยทั้งตัวคนนี้ เป็นคุณชายเศรษฐีที่มาลองสัมผัสประสบการณ์ชีวิตงั้นเหรอ? ไม่อย่างนั้นทำไมคุณชายของตนถึงได้ไปประจบเอาใจเขาขนาดนี้กัน? “คุณชาย ท่านนี้คืออาจารย์ของคุณเหรอครับ?” ผู้จัดการหวังถามอย่างสงสัย “นี่คืออาจารย์ของฉันหลี่โม่ นายสุภาพกับอาจารย์ของฉัน
กู้หยุนหลานมองไปยังหลี่โม่อย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นหลี่โม่ขยิบตาให้ เธอจึงไม่พูดอะไรและเก็บความสงสัยไว้ในใจ ผู้จัดการหวังโบกมือให้พนักงานขายสาว พนักงานสาวที่ถือสัญญาอยู่แล้วเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ผู้จัดการหวัง นี่เป็นสัญญาของวิลล่ายอดเขาค่ะ แต่ราคานี้มัน…” สีหน้าของพนักงานสาวดูบูดเบี้ยวเล็กน้อย ถ้าขายวิลล่านี้ออกไปในราคาต้นทุน เธอคงไม่ได้รับค่าคอมมิชชั่นเลยสักแดง! ที่ผ่านมาเศรษฐีในเมืองฮั่นจำนวนมากต่างก็ถูกใจวิลล่าแห่งนี้ แต่เพราะมีการปิดกั้นการซื้อขาย เลยไม่ได้ขายอย่างเป็นทางการ เดิมทีพวกพนักงานสาวนั้นเตรียมพร้อมที่จะทำกำไรมหาศาลด้วยการขายวิลล่าหลังนี้หลังจากที่เปิดการขายแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ความฝันของพวกเธอกำลังจะมลายหายไปซะแล้ว “พวกเธอมีสิทธิ์พูดงั้นเหรอ? นี่คือการตัดสินใจของคุณชายใหญ่!” ผู้จัดการหวังตำหนิพนักงานขายสาว พนักงานสาวหดคอและปิดปากเงียบไม่กล้าพูดอีก ผู้จัดการหวังเปิดสัญญาตรวจดู หลังจากยืนยันความถูกต้องแล้ว เขาก็ถือสัญญาเดินไปหาหลี่โม่ “อ่านสัญญาดูก่อนนะครับ หากไม่มีปัญหาอะไร เราจะไปเซ็นสัญญาที่สำนักงานของผมกัน ผมไม่สามารถนำตราประทับอะไรพวกนั้นพกติดต
คังเหวินซินรออยู่สามวินาที แต่ละวินาทีราวกับยาวนานเป็นปี รออยู่นานฝ่ามือของพี่เกิ่งก็ยังไม่ตบลงมาสักที คังเหวินซินจึงลืมตาขึ้น เมื่อเอียงหน้ามองเห็นฝ่ามือของพี่เกิ่งอยู่ห่างจากหน้าตนแค่เฉียดฉิว หัวใจของคังเหวินซินแทบจะกระโดดออกมาจากปาก หลังจากที่เห็นข้อมือของพี่เกิ่งถูกหลี่โม่คว้าไว้ คังเหวินซินถึงได้รู้สึกว่า หัวใจของตัวเองกลับเข้าที่ได้แล้ว คังเหวินซินที่สงบลงแล้ว รีบถอยไปหลบด้านหลังหลี่โม่ แล้วร้องตะโกนด้วยน้ำตาแห่งความซาบซึ้ง "อาจารย์!" “นายอย่าร้องไห้น่าสมเพชนักสิ มันทำฉันขายหน้านะ” หลี่โม่พูดด้วยรอยยิ้ม คังเหวินซินตะลีตะลานเช็ดเบ้าตา ไม่ยอมให้ตัวเองร้องไห้ออกมา พี่เกิ่งจ้องมองหลี่โม่อย่างโมโห แอบพยายามดึงข้อมือของตัวเองกลับมาอย่างลับ ๆ แต่ไม่ว่าพี่เกิ่งจะพยายามออกแรงแค่ไหน มือของหลี่โม่ก็ราวกับคีมปากเสือหนีบข้อมือของพี่เกิ่งเอาไว้แน่น จนข้อมือของพี่เกิ่งไม่มีทางสลัดหลุดได้เลย “ปล่อยมือฉัน!” พี่เกิ่งตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยว “แกบอกให้ปล่อยก็ต้องปล่อยเหรอ? แกน่าจะอธิบายเรื่องที่จะลงไม้ลงมือกับลูกศิษย์ฉันเมื่อกี้นี้มาสักหน่อยไหม?” หลี่โม่พูดอย่างเย็นชา คังเหวินซินส