“ถุย!” ยอดฝีมือคนหนึ่งถ่มน้ำลายด้วยความโมโห จากนั้นจึงหมุนตัวคิดจะหนีไป หลี่โม่เลิกคิ้ว ขาขวาเตะก้อนหินก้อนหนึ่งบนพื้น ก้อนหินพุ่งออกอย่างรวดเร็วและทรงพลัง ก่อนกระแทกเข้าที่หัวเข่าของยอดฝีมือคนนั้น พลั่ก! หัวเข่าของยอดฝีมือคนนั้นถูกหินกระแทกหักและคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้นทันที เขาเจ็บจนน้ำตาเอ่อคลอเบ้า “ขาของฉัน! หลี่โม่ ไอ้ลูกหมาแกโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว! ฉันจะไปอยู่แล้ว แกก็ยังไม่...... อ๊าก!” ในตอนที่ยอดฝีมือกำลังด่าทออยู่ หานเถี่ยโถวก็กระโดดขึ้นมาจากพื้น แล้วโบกฝ่ามือตบหน้ายอดฝีมือคนนั้นอย่างแรงสองที “กล้าดียังไงถึงมาด่าลูกพี่ของฉัน ฉันจะฆ่าแกให้ตายคอยดู! พวกแกทุกคนอย่าขยับนะโว้ย! ลูกพี่ของฉันยังไม่ให้พวกแกไป ถ้าใครไม่พอใจ ก็เข้ามาถามหมัดของฉันหานเถี่ยโถวซะก่อน!” หานเถี่ยโถวไม่ปล่อยโอกาสที่จะแสดงความภักดีต่อหลี่โม่ เป็นโอกาสที่จังหวะเหมาะเจาะมาก เหล่ายอดฝีมือที่เตรียมจะกระจายตัวหลบหนีไปต่างชะงักฝีเท้าด้วยความตื่นกลัวและสับสน มีแค่หลี่โม่คนเดียวก็น่ากลัวพอแล้ว ยังจะเพิ่มหานเถี่ยโถวที่แปรพักตร์อีก พวกเขารู้สึกเหมือนหมดทางรอดโดยสมบูรณ์ “หานเถี่ยโถว นายทำเกินไปแล้ว ทุกคนต
ยอดฝีมือที่หลบหนีคนนั้นมีเลือดไหลออกมาจากด้านหลังศีรษะ ก้อนหินที่หลี่โม่โยนออกไปนั้น ได้สังหารเขาไปแล้ว หัวใจของหานเถี่ยโถวสั่นไหว เขาแอบนึกดีใจที่เมื่อครู่ตนได้เลือกตัวเลือกที่ถูกต้องที่สุด หานเถี่ยโถวจินตนาการไม่ออกเลยว่า หลี่โม่ที่อยู่ตรงหน้านั้นแข็งแกร่งแค่ไหนกันแน่ เขาแค่รู้สึกว่า หลี่โม่ระดับสูงกว่ายอดฝีมือทั้งหมดที่เขาเคยเห็นตลอดชีวิตที่ผ่านมา ยอดฝีมือคนอื่น ๆ ที่มีความคิดรอบคอบต่างสะเทือนขวัญกับการตายของยอดฝีมือคนนั้น เก่งกาจในการต่อสู้ระยะประชิดก็ว่าไปอย่าง แต่การใช้ก้อนหินโจมตีระยะไกลยังร้ายกาจขนาดนี้ ช่างทำให้รู้สึกสิ้นหวังจริง ๆ เมื่อเผชิญหน้ากับหลี่โม่ซึ่งมีความสามารถในการต่อสู้ทั้งระยะประชิดและการโจมตีระยะไกล เหล่ายอดฝีมือก็ต่างเก็บความคิดเล่ห์เหลี่ยมในใจไป และคิดว่าการยอมเชื่อฟังคำสั่งของหลี่โม่จะเป็นการดีกว่า ...... ในรถบัญชาการ กุ่ยเอ้อเฝ้ารออย่างเงียบ ๆ หลังจากรอไปห้านาที หลงหานกวงก็ทนนิ่งเงียบไม่ไหวขึ้นมาเสียก่อน “กุ่ยเหล่าเอ้อ ถ้าจะทำอะไรก็ทำต่อไปเลยสิ คนจากสำนักของนายถึงตอนนี้ก็ยังไม่มา คุณคิดว่า ผมหลงหานกวงเป็นคนโง่จริงๆ งั้นเหรอ พวกเขาไม่มีสมองจนถ
มีดล่าสัตว์สร้างบาดแผลขนาดใหญ่บนร่างของกุ่ยเอ้อ และทิ้งรอยแผลเป็นที่ดูน่ากลัวแต่ไม่ร้ายแรงบนร่างกายของกุ่ยเอ้อ จากนั้นเหล่ายอดฝีมือที่ซุ่มโจมตีอยู่ทั้งหมดก็พุ่งออกมา อาวุธต่าง ๆ มุ่งเป้าไปยังกุ่ยเอ้อ ฉากที่พวกเขาปิดล้อมหลี่โม่เมื่อครู่นี้ได้เกิดขึ้นอีกครั้ง ทว่ากุ่ยเอ้อไม่ใช่หลี่โม่ จึงไม่สามารถต้านทานการโจมตีอย่างกะทันหันของยอดฝีมือจำนวนมากขนาดนี้ได้ “เวรเอ๊ย! พวกแกบ้าไปแล้วเหรอ?! ทำไมถึงได้มาโจมตีกันหมด ทำไมพวกนายถึงได้ทรยศฉัน! หรือว่าเงินที่ฉันให้มันไม่พอ?!” กุ่ยเอ้อคำรามอย่างบ้าคลั่ง บนร่างกายก็มีบาดแผลเพิ่มมากขึ้น “กุ่ยเอ้อ นี่ไม่ใช่ปัญหาเรื่องเงิน ถ้าจะโทษ ก็โทษแกเองที่ไปยุ่งกับคนไม่ควรยุ่งด้วย!” “ถ้าเราไม่ฆ่านาย พวกเราจะเป็นคนที่ต้องตาย ดังนั้นก็อย่ามาโกรธแค้นพวกเราเลย ตายซะเถอะ กุ่ยเอ้อ!” เหล่ายอดฝีมือไม่ยั้งมืออีกต่อไป พวกเขาใช้ทุกกระบวนท่าอย่างสุดกำลัง รุมโจมตีใส่กุ่ยเอ้ออย่างสุดความสามารถ กุ่ยเอ้อดวงตาแดงก่ำ รู้ว่าตนคงจะต้องตายที่นี่วันนี้ และคิดว่าหากต้องตายเขาก็ต้องลากเพื่อนร่วมทางไปด้วยสักสองสามคนให้ได้ ดังนั้นเขาจึงต่อสู้โต้กลับเหล่ายอดฝีมืออย่างสุดชีวิต
“ผมไม่ไป ลูกกระจ๊อกยังต้องกตัญญูต่อลูกพี่ ลูกพี่ คุณยังขาดคนอยู่หรือเปล่า ให้ผมเฝ้าบ้านเวรยามตอนกลางคืนให้ก็ได้นะครับ” หานเถี่ยโถวไม่มีความคิดจะหนีไปแม้แต่น้อย ในที่สุดเขาก็ได้พบกับผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องกอดต้นขาใหญ่นี้เอาไว้ให้ได้ หานเถี่ยโถวใช้วิธีนี้มาแต่ไหนแต่ไร เมื่อเจอผู้มีฝีมือก็ยอมแพ้ หลังจากยอมแพ้แล้วก็จะประจบสอพลอ จากนั้นก็จะยกยอปอปั้นต่าง ๆ นานา และเรียนรู้จากผู้มีฝีมือ หลังจากใช้วิธีที่ไร้ยางอายแบบนี้แล้ว หานเถี่ยโถวกลับเปลี่ยนจากเด็กบ้าน ๆ กลายเป็นยอดฝีมือชั้นดี ในตอนนี้หานเถี่ยโถววางแผนที่จะใช้อุบายเดิม และเกาะแข็งเกาะขาต่อไปอย่างไร้ยางอาย หลี่โม่เลิกคิ้วเล็กน้อย แค่นหัวเราะเย็นชาแล้วเอ่ย "คนที่อยากเฝ้าบ้านให้ฉันมีตั้งเยอะแยะ ยังไม่ถึงตานายหรอก" “ผม… ผมสามารถทำอย่างอื่นได้ด้วยนะ ผมเฝ้ารถพาหมาไปเดินเล่นก็ได้” หานเถี่ยโถวพูดเสียงเบา “นายนี่มันแบบอย่างแห่งความไร้ยางอายจริง ๆ ฉันว่าที่นี่น้ำใสเขาเขียวเป็นสถานที่ฝังศพที่ดี ถ้านายยังไม่ไป ก็พักผ่อนยาวที่นี่ไปเลยแล้วกัน” หลี่โม่พูดอย่างราบเรียบ “แหะ ๆ อย่าเลยครับ ผมยังอยากทำเพื่อลูกพี่อยู่ ถ้าอย่างนั้นผมข
เฉินเสี่ยวถงขานเรียกเสียงเบา โม่หงที่เข่าหักอยู่ไม่ไกลและใช้มือสองข้างคลานไปกับพื้นหยุดชะงัก ก่อนมองไปยังทิศทางที่เฉินเสี่ยวถงเดินมาด้วยแววตาเป็นประกาย โม่หงเกลียดแค้นหลี่โม่อย่างสุดซึ้ง เพราะหัวเข่าหักโดยสมบูรณ์ ขาขวาของโม่หงนับว่าพิการอย่างสิ้นเชิง ตอนนี้แม้แต่จะลุกขึ้นเดินก็ยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ โม่หงซึ่งแต่เดิมคิดว่าคงได้แต่ต้องคลานหนีเอาชีวิตรอดเท่านั้น ในตอนนี้เมื่อมองไปยังเฉินเสี่ยวถงผ่านพงหญ้า เขาก็รู้สึกว่าน่าจะสามารถจับเฉินเสี่ยวถงเป็นตัวประกันและหนีไปได้ สาวสวยขนาดนี้ จะต้องเป็นผู้หญิงข้างกายหลี่โม่แน่ ๆ ขอเพียงจับตัวเฉินเสี่ยวถงไว้ได้ บางทีไม่เพียงแค่หนีรอดได้เท่านั้น เขาอาจได้แก้แค้นด้วยก็ได้! โม่หงสูดหายใจลึก สองมือออกแรงพยุงร่างขึ้น จากนั้นจึงยกขาซ้ายขึ้นมานั่งคุกเข่าข้างเดียวบนพื้น โม่หงที่เคลื่อนไหวไม่สะดวกรู้สึกว่าตนมีโอกาสเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ถึงยังไงเฉินเสี่ยวถงมีปืนอยู่ในมือ หากเขาโจมตีพลาดไป ก็อาจถูกเฉินเสี่ยวถงยิงตายได้ โม่หงซุ่มรออย่างเงียบ ๆ ราวกับสัตว์ป่าที่กำลังล่าเหยื่อ รอให้เฉินเสี่ยวถงมาถึงอยู่ในพงหญ้าหนาทึบ แต่ก่อนที่เฉินเสี่ยวถงจะเดินเข้า
หัวหน้าจางพากำลังคนรีบรุดมาถึง เมื่อเห็นภาพของสถานที่เกิดเหตุ หัวหน้าจางและคนอื่น ๆ ต่างก็พากันขนหัวลุก ดูแค่จำนวนของศพก็สามารถยืนยันได้แล้วว่า เกิดการต่อสู้อันดุเดือดแบบไหนขึ้น “กระจายกำลังไปเป็นทีม ระวังตัวด้วย!” หัวหน้าจางตะโกนดังลั่น หน่วยลาดตระเวนต่างหยิบปืนพกออกมา แล้วเดินเข้าไปค้นหาอย่างระมัดระวัง เหตุการณ์รุนแรงแบบนี้เป็นเรื่องที่พวกเขาไม่เคยเจอมาก่อน “หัวหน้าจาง” หลี่โม่ตะโกนออกมาจากในบ้าน เพื่อป้องกันไม่ให้เหล่าเจ้าหน้าที่ยิงปืนด้วยความตื่นตระหนก หลี่โม่จึงไม่ออกมาโดยทันที “คุณหลี่!” หัวหน้าจางดีใจมาก ขอเพียงหลี่โม่ไม่เป็นอะไรก็พอแล้ว หากเกิดอะไรขึ้นกับหลี่โม่ โทษตายหมื่นครั้งก็ไม่พอไถ่ความผิด “คุณหลี่ คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ?” หัวหน้าจางเอ่ยถามเสียงดัง “ผมไม่เป็นไร พวกคุณไม่ต้องเป็นห่วง ผมกำจัดพวกมันหมดแล้ว พวกคุณจัดการเก็บกวาดสถานที่ให้เรียบร้อยทีนะ” หัวหน้าจางได้ยินคำพูดของหลี่โม่ก็พลันโล่งใจ เขาโบกมือให้กับลูกน้อง เจ้าหน้าที่ทุกคนจึงเก็บปืนลง “ตรวจสอบที่เกิดเหตุ ทำตามปกติ” หัวหน้าจางออกคำสั่ง จากนั้นจึงรีบเดินไปทางบ้านที่หลี่โม่อยู่ หลังจากเข้าม
“นายท่าน ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว หากท่านคิดว่า พวกเราทำอะไรผิดก็ลงโทษเราได้เลยครับ พวกเราจะไม่ทักท้วงอย่างแน่นอน” เหล่าลูกน้องขอรับโทษจากหลินเจิ้งหนานอย่างพร้อมเพรียง ถึงอย่างไรการกระทำเมื่อครู่ก็ถือเป็นการอุกอาจเช่นกัน ในตอนนี้หลินเจิ้งหนานเองก็สงบสติอารมณ์ลง เมื่อนึกถึงเงาร่างที่ราวกับเทพแห่งความตายของหลี่โม่เมื่อครู่นี้ ในใจหลินเจิ้งหนานยังคงรู้สึกหวาดกลัวไม่น้อย “ช่างมันเถอะ พวกนายเองก็เหมือนกัน… เลิกพูดเรื่องพวกนี้ได้แล้ว ฉันควรติดต่อกุ่ยเอ้อสักหน่อย หวังว่ากุ่ยเอ้อจะไม่ตำหนิเรา” ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นการเผ่นหนีไป พอเรื่องถึงตัว ไม่ว่าจะพูดยังไงก็ไร้เกียรติสิ้นดี หากกุ่ยเอ้อจะโยนความผิดที่ทำให้แผนการล้มเหลวมาให้หลินเจิ้งหนาน หลินเจิ้งหนานเองก็คงทำได้เพียงยอมรับเท่านั้น หลินเจิ้งหนานหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วกดหมายเลขของกุ่ยเอ้อ ตำแหน่งศพของกุ่ยเอ้อ ยังไม่เข้าสู่ระยะการค้นหาของพวกหัวหน้าจาง แต่เมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น จู่ ๆ ร่างที่สวมเสื้อคลุมสีดำก็ปรากฏตัวขึ้น ร่างสวมเสื้อคลุมหรี่ตามองศพของกุ่ยเอ้อ หลังจากนั้นสามวินาที เขาก็ก้มลงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าของกุ่ยเอ้
“ไม่ต้องเกร็ง ฉันไม่ได้จะมาทำอะไรนาย ฉันแค่อยากรู้ว่าก่อนที่กุ่ยเอ้อจะตายมันเกิดอะไรขึ้น ใครเป็นคนสังหารเขา” ชายสวมเสื้อคลุมเอ่ย “ครับ ผมจะเล่าให้คุณฟังเอง ไม่ทราบว่าจะให้เรียกคุณว่าอะไรดี” หลินเจิ้งหนานพูดประจบ “หึหึ เรียกฉันว่ากุ่ยหูก็พอ” “สวัสดีครับท่านกุ่ยหู ผมคือหลินเจิ้งหนาน ก่อนหน้านี้จางเต๋ออู่ให้กุ่ยเอ้อมาช่วยชี้แนะผมจัดการกับหลี่โม่ กุ่ยเอ้อได้จ้างเพื่อนยอดฝีมือหลายคนมาช่วย มีหลงหานกวง หานเถี่ยโถวแล้วก็คนอื่น ๆ ตอนนั้นลูกน้องของหลงหานกวงถูกไอ้พวกเจ้าถิ่นมันจับตัวไป แล้วหลี่โม่ก็ไปสอบปากคำลูกน้องของหลงหานกวง กุ่ยเอ้อคิดว่านี่เป็นโอกาส...” หลินเจิ้งหนานอธิบายสถานการณ์อย่างละเอียด จนกระทั่งพูดถึงเรื่องที่ตนถูกพาตัวหนีออกมาก่อน “พวกเราจึงหนีออกมาทั้งอย่างนั้น ส่วนเรื่องหลังจากนั้นผมก็ไม่รู้แล้ว ผมไม่รู้ด้วยว่ากุ่ยเอ้อตายได้ยังไง แต่ว่ามันจะต้องเกี่ยวข้องกับหลี่โม่แน่ ถึงแม้หลี่โม่จะไม่ได้เป็นคนฆ่าเอง ก็ต้องเป็นคนสั่งให้ฆ่าแน่” แม้หลินเจิ้งหนานจะไม่ได้เห็นสถานการณ์ของกุ่ยเอ้อ แต่เหตุการณ์ในตอนนั้น ไม่ต้องใช้สมองก็พอจะเดาได้ กุ่ยหูหรี่ตา จิตสังหารแผ่ซ่านออกมาทางสายต
คังหย่งอันกดหมายเลขของคังหย่งเฉียน แล้วพูดเสียงเข้ม "หย่งเฉียน ฉันได้ยินมาว่า แกกับเหวินซินมีปัญหากันเรื่องวิลล่าบนยอดเขาเหรอ?" “พี่ใหญ่ มีปัญหากันน่ะสิ ศิษย์พี่เกิ่งยังถูกทำร้ายจนเข่าหักแล้ว! ศิษย์พี่เกิ่งติดต่อกับอาจารย์โอวหยางไปแล้ว เรื่องนี้อภัยให้ไม่ได้แน่นอน!” คังหย่งเฉียนโกรธแค้นคังเหวินซิน ถ้าไม่ใช่เพราะคังเหวินซินพาหลี่โม่ไปที่นั่น เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น แต่ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว คังหย่งเฉียนเองก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ทำได้เพียงเอาความโมโหไปลงที่คังเหวินซินเท่านั้น “หย่งเฉียน ไม่ว่ายังไงก็ตาม แกต้องรับรองความปลอดภัยของเหวินซิน ฉันไม่สนว่า อาจารย์โอวหยางพวกเขาจะทำอะไรกับเพื่อนของเหวินซิน แต่พวกเขาจะทำร้ายเหวินซินไม่ได้เด็ดขาด!” “พี่ใหญ่ ฉันไม่กล้ารับประกันหรอก รับประกันได้แค่ลูกชายของพี่จะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงตายเท่านั้น ถ้าอาจารย์โอวหยางต้องการลงโทษลูกชายของพี่จริง ๆ ฉันจะไปขวางได้ยังไง ฉันขวางไม่ได้หรอก ไม่กล้าขวางด้วย!" คังหย่งอันขมวดคิ้วแน่น หากคังหย่งเฉียนอยู่ต่อหน้าคังหย่งอันในตอนนี้ คังหย่งอันจะต้องตบเขาให้ตายคามือแน่นอน “หย่งเฉียน! แกเป็นอาข
“ไอ้บัดซบเอ๊ย! ใครกล้ามาต่อกรกับฉันโอวหยางจื้อ มันผู้นั้นจะต้องตาย!” โอวหยางจื้อพึมพำอย่างด้วยความอาฆาตแค้น แล้วสั่งให้ลูกศิษย์ไปจองตั๋วเครื่องบิน ...... คังเหวินซินมาส่งหลี่โม่และคนอื่น ๆ ที่บ้าน หลังจากมองดูทั้งสามเดินเข้าไปข้างในแล้ว จึงสตาร์ทรถและขับออกไปอย่างช้า ๆ “อาเล็กถูกจัดการจนหมดท่าแล้ว ต้องบอกพ่อสักคำไหมนะ อาเล็กจะได้ไปตีไข่ใส่สีอีก” หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง คังเหวินซินก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดหมายเลขพ่อของเขาคังหย่งอัน “ฮัลโหล พ่อครับ ผมเพิ่งจะขายวิลล่าบนยอดเขาที่สวนหนานชุ่ยให้เพื่อผมไป ขายราคาต้นทุนน่ะครับ” คังหย่งอันขมวดคิ้ว "นั่นเป็นวิลล่าที่อาเล็กของแกจะเอาไม่ใช่เหรอ แกเอาไปให้เพื่อนได้ยังไง? ผู้จัดการฝ่ายขายว่ายังไงบ้าง?" คังเหวินซินอึ้งครู่หนึ่ง รู้สึกถึงความผิดปกติในคำพูดของคังหย่งอัน "พ่อ พ่อรู้ได้ยังไงว่าอาเล็กอยากได้วิลล่านั่น?” “อาเล็กของแกเคยบอกพ่อว่า วิลล่าหลังนั้นเป็นของขวัญที่เขาจะเก็บไว้ให้กับปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ในต่างประเทศโอวหยางจื้อ แกคงเคยได้ยินเกี่ยวกับโอวหยางจื้อมาบ้างใช่ไหม? เขาเคยรับหน้าที่เป็นผู้กำกับฉากแอ็คชั่นให้กับภาพย
ในแผนกดูแลพิเศษของโรงพยาบาล คังหย่งเฉียนและคนอื่น ๆ นั่งล้อมรอบเตียง มองดูพี่เกิ่งค่อย ๆ ฟื้นคืนสติ เข่าที่หักของพี่เกิ่งได้รับการผ่าตัดแล้ว แต่หลังการผ่าตัด พี่เกิ่งจะได้แต่นั่งอยู่บนรถเข็นเท่านั้น “ซี๊ด ขากับเข่าฉันเป็นยังไงบ้าง?” พี่เกิ่งถามอย่างร้อนใจ “ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวล ผ่าตัดเสร็จแล้ว เพียงแต่ระดับการรักษาของที่นี่ยังต่ำไปหน่อย หลังจากฟื้นตัวแล้วพี่ต้องนั่งรถเข็น” คังหย่งเฉียนพูดเสียงเบาหวิว “ไอ้บัดซบ! ฉันไม่อยากนั่งรถเข็น! ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้!” พี่เกิ่งคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว รู้สึกเลวร้ายไปทั้งร่างกาย ชีวิตบนรถเข็น ไม่ใช่ชีวิตที่พี่เกิ่งต้องการเลย ถ้าต้องนั่งรถเข็นแล้ว ต่อไปจะฝึกศิลปะการต่อสู้ หรือออกไปรังแกคนอื่นอย่างไร แล้วจะไปจีบสาว ๆ ได้อย่างไร! “ฉันจะย้ายโรงพยาบาล ฉันจะไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลที่ดีที่สุด!” “พี่เกิ่งอย่าเพิ่งตื่นตูม หมอบอกว่า รอพี่ฟื้นตัวดีแล้ว ก็สามารถทำการผ่าตัดครั้งที่สองในโรงพยาบาลที่ดีกว่านี้เพื่อเปลี่ยนข้อต่อเทียมได้” คังหย่งเฉียนปลอบใจพี่เกิ่งไปพลางก็ขยิบตาให้กับพวกพี่น้องคนอื่น ๆ ส่งสัญญาณให้พวกเขารีบมาช่วยกันโน้มน้าว ศิษย์พี่ห
พี่เกิ่งร้องโหยหวนออกมา รู้สึกว่าขาซ้ายพลิกกลับไปด้านหลัง พลันสูญเสียการทรงตัวและล้มหงายไปข้างหลังทันที พลั่ก พี่เกิ่งล้มหงายลงกับพื้น ปากก็ร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา คังหย่งเฉียนถูกกระตุ้นด้วยเสียงร้องของพี่เกิ่งจนตัวสั่นไปทั้งตัว เสียงวิ้ง ๆ ที่ดังอยู่ในหัวยิ่งชัดเจนขึ้นมาทันใด คังหย่งเฉียนกุมใบหน้าที่บวมแดงไปครึ่งหนึ่งมองไปทางศิษย์พี่เกิ่ง ดวงตาของคังหย่งเฉียนก็แทบจะหลุดออกจากเบ้า ศิษย์พี่เกิ่งที่คังหย่งเฉียนเคยคิดว่า แข็งแกร่งไร้เทียมทานนั้น ตอนนี้กำลังร้องคร่ำครวญราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังจะตาย เมื่อมองขาขวาของพี่เกิ่งหักงอในองศาที่ผิดธรรมชาติ คังหย่งเฉียนก็รู้สึกว่า เลือดทั่วร่างกายเย็นเฉียบขึ้นมา นี่เป็นเรื่องที่มนุษย์สามารถทำได้อย่างนั้นเหรอ? นี่เป็นผลลัพธ์ที่สามารถใช้กำปั้นทำได้เหรอ? นี่มันซูเปอร์ไซย่าในตำนานหรืออย่างไรกัน?! พวกศิษย์น้องของพี่เกิ่งหลายคนต่างหวาดกลัวกับความเผด็จการของหลี่โม่ ทั้งกลุ่มพลันหมดความโอหังไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาลากพี่เกิ่งขึ้นมาจากพื้นแล้ววิ่งตะบึงออกไปข้างนอกอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่คำพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในที่นี้คือศิษย์
คังเหวินซินรออยู่สามวินาที แต่ละวินาทีราวกับยาวนานเป็นปี รออยู่นานฝ่ามือของพี่เกิ่งก็ยังไม่ตบลงมาสักที คังเหวินซินจึงลืมตาขึ้น เมื่อเอียงหน้ามองเห็นฝ่ามือของพี่เกิ่งอยู่ห่างจากหน้าตนแค่เฉียดฉิว หัวใจของคังเหวินซินแทบจะกระโดดออกมาจากปาก หลังจากที่เห็นข้อมือของพี่เกิ่งถูกหลี่โม่คว้าไว้ คังเหวินซินถึงได้รู้สึกว่า หัวใจของตัวเองกลับเข้าที่ได้แล้ว คังเหวินซินที่สงบลงแล้ว รีบถอยไปหลบด้านหลังหลี่โม่ แล้วร้องตะโกนด้วยน้ำตาแห่งความซาบซึ้ง "อาจารย์!" “นายอย่าร้องไห้น่าสมเพชนักสิ มันทำฉันขายหน้านะ” หลี่โม่พูดด้วยรอยยิ้ม คังเหวินซินตะลีตะลานเช็ดเบ้าตา ไม่ยอมให้ตัวเองร้องไห้ออกมา พี่เกิ่งจ้องมองหลี่โม่อย่างโมโห แอบพยายามดึงข้อมือของตัวเองกลับมาอย่างลับ ๆ แต่ไม่ว่าพี่เกิ่งจะพยายามออกแรงแค่ไหน มือของหลี่โม่ก็ราวกับคีมปากเสือหนีบข้อมือของพี่เกิ่งเอาไว้แน่น จนข้อมือของพี่เกิ่งไม่มีทางสลัดหลุดได้เลย “ปล่อยมือฉัน!” พี่เกิ่งตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยว “แกบอกให้ปล่อยก็ต้องปล่อยเหรอ? แกน่าจะอธิบายเรื่องที่จะลงไม้ลงมือกับลูกศิษย์ฉันเมื่อกี้นี้มาสักหน่อยไหม?” หลี่โม่พูดอย่างเย็นชา คังเหวินซินส
กู้หยุนหลานมองไปยังหลี่โม่อย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นหลี่โม่ขยิบตาให้ เธอจึงไม่พูดอะไรและเก็บความสงสัยไว้ในใจ ผู้จัดการหวังโบกมือให้พนักงานขายสาว พนักงานสาวที่ถือสัญญาอยู่แล้วเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ผู้จัดการหวัง นี่เป็นสัญญาของวิลล่ายอดเขาค่ะ แต่ราคานี้มัน…” สีหน้าของพนักงานสาวดูบูดเบี้ยวเล็กน้อย ถ้าขายวิลล่านี้ออกไปในราคาต้นทุน เธอคงไม่ได้รับค่าคอมมิชชั่นเลยสักแดง! ที่ผ่านมาเศรษฐีในเมืองฮั่นจำนวนมากต่างก็ถูกใจวิลล่าแห่งนี้ แต่เพราะมีการปิดกั้นการซื้อขาย เลยไม่ได้ขายอย่างเป็นทางการ เดิมทีพวกพนักงานสาวนั้นเตรียมพร้อมที่จะทำกำไรมหาศาลด้วยการขายวิลล่าหลังนี้หลังจากที่เปิดการขายแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ความฝันของพวกเธอกำลังจะมลายหายไปซะแล้ว “พวกเธอมีสิทธิ์พูดงั้นเหรอ? นี่คือการตัดสินใจของคุณชายใหญ่!” ผู้จัดการหวังตำหนิพนักงานขายสาว พนักงานสาวหดคอและปิดปากเงียบไม่กล้าพูดอีก ผู้จัดการหวังเปิดสัญญาตรวจดู หลังจากยืนยันความถูกต้องแล้ว เขาก็ถือสัญญาเดินไปหาหลี่โม่ “อ่านสัญญาดูก่อนนะครับ หากไม่มีปัญหาอะไร เราจะไปเซ็นสัญญาที่สำนักงานของผมกัน ผมไม่สามารถนำตราประทับอะไรพวกนั้นพกติดต
“คุณชาย อย่ามาขู่ผมเลยครับ ผมไม่กลัวหรอกนะ สิ่งที่ผมพูดไปเมื่อครู่ล้วนมีเหตุมีผล หากไม่เชื่อก็ถามซินแสที่มาดูฮวงจุ้ยให้ได้เลยครับ คำพูดพวกนี้เขาเป็นคนพูดเองกับปากทั้งนั้น” ผู้จัดการหวังแข็งขืน ไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย หลี่โม่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม "เหวินซิน อย่าหุนหันพลันแล่น ผู้จัดการหวังพูดถูกแล้ว คนที่โชคชะตาบารมีไม่ถึง ไม่มีทางข่มพลังฮวงจุ้ยอันยอดเยี่ยมได้แน่นอน” คังเหวินซินพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม "อาจารย์พูดถูกแล้วครับ แต่ด้วยบารมีของอาจารย์ จะต้องสามารถข่มมันได้อย่างแน่นอน พวกเรามาดูกันดีกว่า ที่นี่ล้วนได้รับการตกแต่งอย่างดี คุณหิ้วกระเป๋าเข้ามาอยู่ได้เลย เหลือแค่ดูว่าวิลล่าหลังนี้ถูกใจคุณหรือเปล่าก็พอครับ” เมื่อเห็นคังเหวินซินพยายามเอาอกเอาใจหลี่โม่ ผู้จัดการหวังก็เกิดความสงสัยเล็กน้อย หรือว่าตนจะมองผิดไป? ผู้ชายที่สวมเสื้อผ้าแผงลอยทั้งตัวคนนี้ เป็นคุณชายเศรษฐีที่มาลองสัมผัสประสบการณ์ชีวิตงั้นเหรอ? ไม่อย่างนั้นทำไมคุณชายของตนถึงได้ไปประจบเอาใจเขาขนาดนี้กัน? “คุณชาย ท่านนี้คืออาจารย์ของคุณเหรอครับ?” ผู้จัดการหวังถามอย่างสงสัย “นี่คืออาจารย์ของฉันหลี่โม่ นายสุภาพกับอาจารย์ของฉัน
“ไอ้สารเลวคนไหนไม่ดูตาม้าตาเรือ กล้ามาแย่งวิลล่าของอาจารย์ พวกแกยังมัวแต่กินอะไรกันอีก ไปดูด้วยกัน จัดการไอ้พวกสารเลวนั่นซะ” “ศิษย์พี่เกิ่งพูดถูก พวกเราทุกคนต้องไปดูด้วยกัน บ้านของอาจารย์ต้องดีที่สุดเท่านั้น จะผิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว” ศิษย์พี่เกิ่งและคนอื่น ๆ พากันลุกขึ้นทีละคน เมื่อเห็นเช่นนี้คังหย่งเฉียนก็เรียกให้พนักงานคิดเงินทันที แล้วจึงพาพวกของศิษย์พี่เกิ่งมุ่งตรงไปยังสวนหนานชุ่ย ... รถเมอร์เซเดสเบนซ์ขับเข้าไปในสวนหนานชุ่ย และขับตรงไปตามทางขึ้นยอดเขา ใกล้กับยอดเขาของเขาหนานชุ่ยนั้นมีที่ราบอยู่บริเวณหนึ่ง ที่ราบนี้ถูกนำมาใช้สร้างวิลล่า พร้อมทั้งปลูกต้นไม้พืชพรรณเขียวชอุ่มรอบ ๆ วิลล่าอีกด้วย ด้านหน้าวิลล่ายังมีลำธารที่ไหลมาจากยอดเขา ทำให้ฮวงจุ้ยของวิลล่านี้ยอดเยี่ยมมากไร้ที่ติ หน้าน้ำหลังเขา ตำแหน่งปากมังกรจัดวางฮวงจุ้ยอย่างดี ทำให้วิลล่าบนยอดเขาหลังนี้เลิศล้ำไม่มีใครเทียม รถเมอร์เซเดสเบนซ์จอดสนิทหน้าประตูวิลล่ายอดเขา ผู้จัดการหวังและพนักงานขายสาวสองคนยืนรอที่ประตูวิลล่าอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นรถเบนซ์จอดนิ่ง ผู้จัดการหวังก็รีบวิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปช่วยเปิดประตูรถ
ผู้จัดการหวังหยิบบุหรี่ออกมาคาบที่มุมปาก เตรียมจะสูบบุหรี่เพื่อสงบสติอารมณ์ คำขอของคังเหวินซินทำให้ผู้จัดการหวังตั้งตัวไม่ติด การจะดูบ้านมันไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าอีกฝ่ายถูกใจขึ้นมาจริง ๆ จะทำอย่างไรล่ะ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องราคาต้นทุนหรือเปล่า ถ้าคังหย่งเฉียนเข้ามาครอบครองวิลล่าหลังนี้ เขาก็คงไม่ได้เงินเลยสักแดงเดียว พอนึกถึงคังหย่งเฉียนขึ้นมาผู้จัดการหวังรู้สึกปวดจี๊ด ๆ ขึ้นมา เจ้านั่นเป็นปีศาจเจ้าสำราญแห่งตระกูลคัง วัน ๆ เอาแต่เกียจคร้าน กินดื่มเที่ยวเล่น ยิ่งกว่านั้นยังคบค้ากับพวกอันธพาล ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสตระกูลคังก็ยังถูกคังหย่งเฉียนยั่วโมโหจนเส้นเลือดในสมองตีบ แทบทุกคนในตระกูลคังล้วนทำเป็นไม่สนใจคังหย่งเฉียน ตราบใดที่คังหย่งเฉียนไม่ได้ก่อปัญหา ก็ไม่มีใครสนใจว่า คังหย่งเฉียนจะทำอะไร ถ้าหากยกวิลล่าให้เพื่อนของคังเหวินซินจริง ๆ คังหย่งเฉียนคงจะพาคนมาสับเขาเป็นชิ้น ๆ ถึงที่แน่ หลังจากสูบบุหรี่หมดมวน ผู้จัดการหวังก็ขยี้ก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ รู้สึกว่ายังไงก็ควรแจ้งให้คังหย่งเฉียนรู้สักหน่อย ส่วนคังหย่งเฉียนจะต่อสู้กับคังเหวินซินอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องระหว่างพวกเขา