เฉินเสี่ยวถงขานเรียกเสียงเบา โม่หงที่เข่าหักอยู่ไม่ไกลและใช้มือสองข้างคลานไปกับพื้นหยุดชะงัก ก่อนมองไปยังทิศทางที่เฉินเสี่ยวถงเดินมาด้วยแววตาเป็นประกาย โม่หงเกลียดแค้นหลี่โม่อย่างสุดซึ้ง เพราะหัวเข่าหักโดยสมบูรณ์ ขาขวาของโม่หงนับว่าพิการอย่างสิ้นเชิง ตอนนี้แม้แต่จะลุกขึ้นเดินก็ยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ โม่หงซึ่งแต่เดิมคิดว่าคงได้แต่ต้องคลานหนีเอาชีวิตรอดเท่านั้น ในตอนนี้เมื่อมองไปยังเฉินเสี่ยวถงผ่านพงหญ้า เขาก็รู้สึกว่าน่าจะสามารถจับเฉินเสี่ยวถงเป็นตัวประกันและหนีไปได้ สาวสวยขนาดนี้ จะต้องเป็นผู้หญิงข้างกายหลี่โม่แน่ ๆ ขอเพียงจับตัวเฉินเสี่ยวถงไว้ได้ บางทีไม่เพียงแค่หนีรอดได้เท่านั้น เขาอาจได้แก้แค้นด้วยก็ได้! โม่หงสูดหายใจลึก สองมือออกแรงพยุงร่างขึ้น จากนั้นจึงยกขาซ้ายขึ้นมานั่งคุกเข่าข้างเดียวบนพื้น โม่หงที่เคลื่อนไหวไม่สะดวกรู้สึกว่าตนมีโอกาสเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ถึงยังไงเฉินเสี่ยวถงมีปืนอยู่ในมือ หากเขาโจมตีพลาดไป ก็อาจถูกเฉินเสี่ยวถงยิงตายได้ โม่หงซุ่มรออย่างเงียบ ๆ ราวกับสัตว์ป่าที่กำลังล่าเหยื่อ รอให้เฉินเสี่ยวถงมาถึงอยู่ในพงหญ้าหนาทึบ แต่ก่อนที่เฉินเสี่ยวถงจะเดินเข้า
หัวหน้าจางพากำลังคนรีบรุดมาถึง เมื่อเห็นภาพของสถานที่เกิดเหตุ หัวหน้าจางและคนอื่น ๆ ต่างก็พากันขนหัวลุก ดูแค่จำนวนของศพก็สามารถยืนยันได้แล้วว่า เกิดการต่อสู้อันดุเดือดแบบไหนขึ้น “กระจายกำลังไปเป็นทีม ระวังตัวด้วย!” หัวหน้าจางตะโกนดังลั่น หน่วยลาดตระเวนต่างหยิบปืนพกออกมา แล้วเดินเข้าไปค้นหาอย่างระมัดระวัง เหตุการณ์รุนแรงแบบนี้เป็นเรื่องที่พวกเขาไม่เคยเจอมาก่อน “หัวหน้าจาง” หลี่โม่ตะโกนออกมาจากในบ้าน เพื่อป้องกันไม่ให้เหล่าเจ้าหน้าที่ยิงปืนด้วยความตื่นตระหนก หลี่โม่จึงไม่ออกมาโดยทันที “คุณหลี่!” หัวหน้าจางดีใจมาก ขอเพียงหลี่โม่ไม่เป็นอะไรก็พอแล้ว หากเกิดอะไรขึ้นกับหลี่โม่ โทษตายหมื่นครั้งก็ไม่พอไถ่ความผิด “คุณหลี่ คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ?” หัวหน้าจางเอ่ยถามเสียงดัง “ผมไม่เป็นไร พวกคุณไม่ต้องเป็นห่วง ผมกำจัดพวกมันหมดแล้ว พวกคุณจัดการเก็บกวาดสถานที่ให้เรียบร้อยทีนะ” หัวหน้าจางได้ยินคำพูดของหลี่โม่ก็พลันโล่งใจ เขาโบกมือให้กับลูกน้อง เจ้าหน้าที่ทุกคนจึงเก็บปืนลง “ตรวจสอบที่เกิดเหตุ ทำตามปกติ” หัวหน้าจางออกคำสั่ง จากนั้นจึงรีบเดินไปทางบ้านที่หลี่โม่อยู่ หลังจากเข้าม
“นายท่าน ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว หากท่านคิดว่า พวกเราทำอะไรผิดก็ลงโทษเราได้เลยครับ พวกเราจะไม่ทักท้วงอย่างแน่นอน” เหล่าลูกน้องขอรับโทษจากหลินเจิ้งหนานอย่างพร้อมเพรียง ถึงอย่างไรการกระทำเมื่อครู่ก็ถือเป็นการอุกอาจเช่นกัน ในตอนนี้หลินเจิ้งหนานเองก็สงบสติอารมณ์ลง เมื่อนึกถึงเงาร่างที่ราวกับเทพแห่งความตายของหลี่โม่เมื่อครู่นี้ ในใจหลินเจิ้งหนานยังคงรู้สึกหวาดกลัวไม่น้อย “ช่างมันเถอะ พวกนายเองก็เหมือนกัน… เลิกพูดเรื่องพวกนี้ได้แล้ว ฉันควรติดต่อกุ่ยเอ้อสักหน่อย หวังว่ากุ่ยเอ้อจะไม่ตำหนิเรา” ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นการเผ่นหนีไป พอเรื่องถึงตัว ไม่ว่าจะพูดยังไงก็ไร้เกียรติสิ้นดี หากกุ่ยเอ้อจะโยนความผิดที่ทำให้แผนการล้มเหลวมาให้หลินเจิ้งหนาน หลินเจิ้งหนานเองก็คงทำได้เพียงยอมรับเท่านั้น หลินเจิ้งหนานหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วกดหมายเลขของกุ่ยเอ้อ ตำแหน่งศพของกุ่ยเอ้อ ยังไม่เข้าสู่ระยะการค้นหาของพวกหัวหน้าจาง แต่เมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น จู่ ๆ ร่างที่สวมเสื้อคลุมสีดำก็ปรากฏตัวขึ้น ร่างสวมเสื้อคลุมหรี่ตามองศพของกุ่ยเอ้อ หลังจากนั้นสามวินาที เขาก็ก้มลงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าของกุ่ยเอ้
“ไม่ต้องเกร็ง ฉันไม่ได้จะมาทำอะไรนาย ฉันแค่อยากรู้ว่าก่อนที่กุ่ยเอ้อจะตายมันเกิดอะไรขึ้น ใครเป็นคนสังหารเขา” ชายสวมเสื้อคลุมเอ่ย “ครับ ผมจะเล่าให้คุณฟังเอง ไม่ทราบว่าจะให้เรียกคุณว่าอะไรดี” หลินเจิ้งหนานพูดประจบ “หึหึ เรียกฉันว่ากุ่ยหูก็พอ” “สวัสดีครับท่านกุ่ยหู ผมคือหลินเจิ้งหนาน ก่อนหน้านี้จางเต๋ออู่ให้กุ่ยเอ้อมาช่วยชี้แนะผมจัดการกับหลี่โม่ กุ่ยเอ้อได้จ้างเพื่อนยอดฝีมือหลายคนมาช่วย มีหลงหานกวง หานเถี่ยโถวแล้วก็คนอื่น ๆ ตอนนั้นลูกน้องของหลงหานกวงถูกไอ้พวกเจ้าถิ่นมันจับตัวไป แล้วหลี่โม่ก็ไปสอบปากคำลูกน้องของหลงหานกวง กุ่ยเอ้อคิดว่านี่เป็นโอกาส...” หลินเจิ้งหนานอธิบายสถานการณ์อย่างละเอียด จนกระทั่งพูดถึงเรื่องที่ตนถูกพาตัวหนีออกมาก่อน “พวกเราจึงหนีออกมาทั้งอย่างนั้น ส่วนเรื่องหลังจากนั้นผมก็ไม่รู้แล้ว ผมไม่รู้ด้วยว่ากุ่ยเอ้อตายได้ยังไง แต่ว่ามันจะต้องเกี่ยวข้องกับหลี่โม่แน่ ถึงแม้หลี่โม่จะไม่ได้เป็นคนฆ่าเอง ก็ต้องเป็นคนสั่งให้ฆ่าแน่” แม้หลินเจิ้งหนานจะไม่ได้เห็นสถานการณ์ของกุ่ยเอ้อ แต่เหตุการณ์ในตอนนั้น ไม่ต้องใช้สมองก็พอจะเดาได้ กุ่ยหูหรี่ตา จิตสังหารแผ่ซ่านออกมาทางสายต
อย่างไรก็ตาม ต่อหน้าราชินีมังกรจางเต๋ออู่ไม่กล้าแสดงท่าทีออกมาแม้แต่น้อย ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือเป็นอีกเครื่องอย่างเงียบ ๆ และกดหมายเลขของเฉินเสี่ยวถง ในตอนนี้ รถเมอร์เซเดสเบนซ์ของคังเหวินซินได้หยุดอยู่หน้าอาคารบริษัท กู้ชิงหลินตามหลี่โม่เดินเข้าไปในอาคาร ขณะที่เฉินเสี่ยวถงรั้งท้ายอยู่ข้างหลัง เมื่อได้ยินเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือ เฉินเสี่ยวถงก็เหลือบมองที่แผ่นหลังของหลี่โม่ ก่อนหยุดฝีเท้าและหยิบมือถือออกมา เมื่อเห็นชื่อผู้โทรที่แสดงบนหน้าจอโทรศัพท์ เฉินเสี่ยวถงก็รู้สึกว่า เลือดทั่วร่างกายเย็นเฉียบ จางเต๋ออู่! นั่นเป็นชื่อที่ทำให้เฉินเสี่ยวถงฝันร้าย ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา เฉินเสี่ยวถงคิดว่าตนจะได้ตื่นจากฝันร้าย และหนีจากเงาของจางเต๋ออู่พ้นแล้ว ทว่าเสียงเรียกเข้าในตอนนี้ ได้ทำลายความวาดหวังของเฉินเสี่ยวถงจนแหลกสลาย หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เฉินเสี่ยวถงก็กดปุ่มรับสาย “ฮัลโหล โทรหาฉันทำไม เดี๋ยวตัวตนของฉันก็ถูกเปิดเผยหรอก” เฉินเสี่ยวถงพูดเสียงเบา “เฮอะ! อย่ามาทำเสแสร้ง การปกปิดตัวตนมันเป็นเรื่องของเธอ ฉันแค่จะบอกให้เธอรู้ไว้ว่า ถ้าเธอยังหากุญแจลับไม่เจออีก
หลี่โม่จ้องเขม็งกู้ชิงหลินราวกับไก่ชนอย่างหมดคำจะพูด และหลังจากนั้นไม่นานเขาก็มองไปทางกู้หยุนหลานด้วยสายตาอ้อนวอน กู้หยุนหลานกลอกตาใส่หลี่โม่ แล้วยกมือขึ้นเคาะโต๊ะ “ฉันต้องทำงาน คนที่ไม่มีธุระอะไรก็ออกไปเถอะ คังเหวินซินช่วยพาเสี่ยวถงออกไปเดินเล่นหน่อยนะ” กู้หยุนหลานเอ่ยขึ้น กู้ชิงหลินและเฉินเสี่ยวถงต่างไม่สามารถปฏิเสธได้ ทั้งสองมองหน้ากันอย่างดุร้าย แล้วจึงทยอยออกจากห้องทำงานของกู้หยุนหลานทีละคน หลี่โม่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วพูดด้วยความกังวล "บอกผมหน่อยว่ามันเกิดอะไรขึ้น นี่ผมกลายหนุ่มเนื้อหอมซะแล้วเหรอ? ผมไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองมีเสน่ห์มาก่อนเลย" “อย่าหลงตัวเองนักเลยน่า ทำไมฉันถึงรู้สึกว่า ท่าทีของกู้ชิงหลินที่มีต่อคุณเปลี่ยนไปนิดหน่อยนะ? เรื่องที่งานเลี้ยงเมื่อคราวก่อนที่โรงกลั่นไวน์องุ่นทำให้เธอหวั่นไหวขึ้นมาหรือเปล่า?” กู้หยุนหลานเองก็รู้สึกว่า กู้ชิงหลินมีบางอย่างผิดปกติ ท่าทีของเธอที่มีต่อหลี่โม่นั้นอย่างกับพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ “ผมจะรู้ได้ยังไง? กู้ชิงหลินกับเฉินเสี่ยวถงต่างก็ทำผมปวดหัวไปหมด เรากำลังพูดถึงเรื่องที่จะไปดูวิลล่าอยู่เลยนี่ พวกเขาทำเสียเวลาหมดเลย”
“นี่? เสี่ยวคัง นายเสียสติไปแล้วเหรอ? สิ่งที่พี่หลี่โม่พูดคงไม่ใช่เรื่องจริงหรอก อย่าบอกนะว่านายจะฝึกด้วยการขับรถแทรกเตอร์จริง ๆ ?” เฉินเสี่ยวถงพูดแขวะอย่างเอือมระอา “สิ่งที่อาจารย์พูดเป็นความจริงแน่นอน ผมจะพยายามเต็มที่ครับอาจารย์!” คังเหวินซินพูดอย่างจริงจัง “มีความตั้งใจดี งั้นก็ไปดูวิลล่าที่สวนหนานชุ่ยกันก่อนเถอะ ขึ้นรถ” หลี่โม่เอ่ย คังเหวินซินรีบเปิดประตูรถ จากนั้นหลี่โม่และคนอื่น ๆ ก็พากันขึ้นรถ รถเมอร์เซเดสเบนซ์สตาร์ทเครื่องอย่างนุ่มนวล และมุ่งหน้าไปยังสวนหนานชุ่ยที่ชานเมือง ระหว่างทางคังเหวินซินโทรติดต่อผู้จัดการฝ่ายขายของสวนหนานชุ่ย “ฮัลโหล ผู้จัดการหวัง ฉันคังเหวินซินนะ” “สวัสดีครับคุณชาย มีเรื่องอะไรให้รับใช้ครับ?” ผู้จัดการหวังพูดอย่างกระตือรือร้น “ฉันจะพาอาจารย์ไปดูบ้าน วิลล่าที่ดีที่สุดบนยอดเขาหลังนั้นน่ะ นายช่วยเตรียมไว้ให้หน่อย” ผู้จัดการหวังขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วพูดอย่างค่อนข้างลำบากใจ "นั่นคือหลังที่คุณอาของคุณวางแผนจะเก็บไว้เองนะครับ คุณพาเพื่อนไปดูวิลล่าหลังอื่นดีไหมครับ?" “ทำไม คำพูดของฉันเทียบกับคุณอาไม่ได้หรือไง? อีกอย่างเขาจะอยากได้วิลล่าที่เม
ผู้จัดการหวังหยิบบุหรี่ออกมาคาบที่มุมปาก เตรียมจะสูบบุหรี่เพื่อสงบสติอารมณ์ คำขอของคังเหวินซินทำให้ผู้จัดการหวังตั้งตัวไม่ติด การจะดูบ้านมันไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าอีกฝ่ายถูกใจขึ้นมาจริง ๆ จะทำอย่างไรล่ะ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องราคาต้นทุนหรือเปล่า ถ้าคังหย่งเฉียนเข้ามาครอบครองวิลล่าหลังนี้ เขาก็คงไม่ได้เงินเลยสักแดงเดียว พอนึกถึงคังหย่งเฉียนขึ้นมาผู้จัดการหวังรู้สึกปวดจี๊ด ๆ ขึ้นมา เจ้านั่นเป็นปีศาจเจ้าสำราญแห่งตระกูลคัง วัน ๆ เอาแต่เกียจคร้าน กินดื่มเที่ยวเล่น ยิ่งกว่านั้นยังคบค้ากับพวกอันธพาล ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสตระกูลคังก็ยังถูกคังหย่งเฉียนยั่วโมโหจนเส้นเลือดในสมองตีบ แทบทุกคนในตระกูลคังล้วนทำเป็นไม่สนใจคังหย่งเฉียน ตราบใดที่คังหย่งเฉียนไม่ได้ก่อปัญหา ก็ไม่มีใครสนใจว่า คังหย่งเฉียนจะทำอะไร ถ้าหากยกวิลล่าให้เพื่อนของคังเหวินซินจริง ๆ คังหย่งเฉียนคงจะพาคนมาสับเขาเป็นชิ้น ๆ ถึงที่แน่ หลังจากสูบบุหรี่หมดมวน ผู้จัดการหวังก็ขยี้ก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ รู้สึกว่ายังไงก็ควรแจ้งให้คังหย่งเฉียนรู้สักหน่อย ส่วนคังหย่งเฉียนจะต่อสู้กับคังเหวินซินอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องระหว่างพวกเขา