สวีอวิ๋นอวิ๋นทำปากมุ่ย หน้าของเธอเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “หยุนหลาน เธอปกป้องเขาแบบนี้ เป็นเพราะเธอเห็นว่าเขาน่าสงสารก็เลยใจดีใช่ไหม เธอเลี้ยงดูเขาเหมือนลูกชายเธอเลย”“มันไม่ใช่อย่างที่เธอคิดนะ หลี่โม่เขาเป็นคนที่มีความสามารถ เพียงแต่เขาไม่แสดงออกเท่านั้นเอง” กู้หยุนหลานพยายามโต้เถียงให้หลี่โม่หลี่โม่เป็นใครกันแน่ กู้หยุนหลานก็ยังไม่เข้าใจ แต่หลังจากผ่านเรื่องราวกันมามากมายขนาดนี้ กู้หยุนหลานรู้ได้ว่าเขาเป็นคนดีมากแน่นอนบางทีเงิน ชื่อเสียง และอำนาจอาจจะไม่มีความหมายสำหรับหลี่โม่ แต่กู้หยุนหลานคิดว่าหากหลี่โม่ต้องการ สิ่งเหล่านั้นอาจหามาได้ง่ายมาก ๆ สำหรับเขาเดิมทีสวีอวิ๋นอวิ๋นคิดจะอดทนไว้ไม่พูด ถึงอย่างไรการหลอกล่อให้กู้หยุนหลานไปที่งานเลี้ยงโรงกลั่นไวน์ต่างหากที่เป็นเรื่องจริงจัง ขอแค่กู้หยุนหลานไปถึงที่นั่น สวีอวิ๋นอวิ๋นก็จะได้ผลประโยชน์มากมายเลยแต่พอได้ยินกู้หยุนหลานบอกว่าหลี่โม่ไม่ได้แสดงความสามารถออกมา สวีอวิ๋นอวิ๋นก็อดไม่ได้ “หยุนหลาน เธอโกหกแค่เพราะจะปกป้องเขาเนี่ยนะ มันเกินไปหน่อยไหม นี่เธอยังคิดว่าฉันเป็นเพื่อนซี้ของเธอหรือเปล่า? ฉันแค่ล้อเล่นว่าสามีของเธอเป็นคนไร้ประโยช
สวีอวิ๋นอวิ๋นถูกคำพูดของหลี่ทำให้เธอโกรธจนร้องไห้ออกมา จนต้องเปลี่ยนให้กู้หยุนหลานมานั่งที่คนขับแล้วขับรถต่อ คราวนี้รถเงียบลง สวีอวิ๋นอวิ๋นปิดปากไม่พูดจา บรรยากาศในรถก็ดีขึ้นมากรถบีเอ็มดับเบิ้ลยูจอดอยู่ที่ลานจอดรถนอกโรงกลั่นไวน์แล้ว ตอนนี้มีรถหรูจอดอยู่เต็มไปหมด รถบีเอ็มดับเบิ้ลยูไฟฟ์ซีรี่ส์ของสวีอวิ๋นอวิ๋นก็อยู่ในระดับล่างสุดของรถที่นี่พอลงจากรถ สวีอวิ๋นอวิ๋นก็มองรถหรูรอบตัวด้วยความงุนงง “ปอร์เช่ เฟอรารี่ แลมโบกินี่ บูกัตติเวย์รอน พระเจ้า!”มองรถหรูเหล่านี้ สวีอวิ๋นอวิ๋นก็ดูเหมือนจะเห็นทายาทคนรวยรุ่นที่สองที่เปล่งประกายขึ้นมาเลย อารมณ์ของเธอก็พลุ่งพล่าน รีบหยิบกระจกแต่งหน้าออกจากกระเป๋ามาส่องดูเมื่อเห็นว่าขอบตาของเธอแดงและบวมเล็กน้อย สวีอวิ๋นอวิ๋นก็มองหลี่โม่ตาแข็ง คิดว่าทั้งหมดเป็นเพราะหลี่โม่“ฉันเติมหน้าก่อน รอแป๊บนะ”สวีอวิ๋นอวิ๋นพูดจบก็กลับไปที่รถ แล้วเริ่มแต่งหน้าอย่างรวดเร็วหลี่โม่กับกู้หยุนหลานยืนอยู่ด้วยกัน มองรถหรูที่อยู่รอบ ๆ โดยที่ในใจไม่มีความรู้สึกอะไรเลย“เดี๋ยวคุณคุยกับอวิ๋นอวิ๋นน้อยลงหน่อยนะคะ อย่าไปทำให้อวิ๋นอวิ๋นโกรธจนร้องไห้ ยังไงเราก็มาเพื่อช่วยเหลือ
สวีอวิ๋นอวิ๋นอยู่ในรถมองเหม่อเลย รอกระทั่งสองคนนั้นวิ่งหนีไป สวีอวิ๋นอวิ๋นจึงได้รีบวิ่งออกมาราวกับแมวถูกเหยียบหาง“หลี่โม่!”สวีอวิ๋นอวิ๋นโบกมือด้วยความโกรธ “นายรู้ไหมว่าพวกเขาเป็นใคร? นายกล้าดียังไงไปมีเรื่องกับพวกเขา? นายเจอหายนะครั้งใหญ่แล้วล่ะ!”“พวกเขาเป็นใคร? ไม่เคยเจอมาก่อนเลย ไม่รู้จักด้วย”“นายตาบอดเหรอ! พวกเขาเป็นคุณชายรองคุณชายเล็กของบ้านตระกูลฉิน! ตระกูลฉินที่เมืองหลวง!” สวีอวิ๋นอวิ๋นตะโกนอย่างโกรธ ๆไปหาเรื่องคุณชายของตระกูลฉินที่เมืองหลวง สำหรับสวีอวิ๋นอวิ๋นแล้วเป็นเรื่องที่ไม่กล้าจินตนาการเลย ต่อให้เป็นคนรวยในกรุงโซลแต่พอเจอคุณชายตระกูลฉินก็ต้องก้มหน้าโค้งให้พวกเขากันหมด“อ๋อ งั้นก็ไม่มีอะไรต้องกังวลแล้ว” หลี่โม่พูดเรียบ ๆ สวีอวิ๋นอวิ๋นมองหลี่โม่อย่างแปลกใจและคิดว่า 'หลี่โม่โง่หรือเปล่า ยังจะพูดมาได้ว่าไม่มีอะไรต้องกังวล หมอนี่มองตัวเองเป็นราชาจริง ๆ !'“นายยังจะไม่กังวลอีก ตระกูลฉินที่เมืองหลวงมีอิทธิพลมากแค่ไหนรู้ไหม?! แค่ตระกูลฉินกระทืบเท้า ทั้งกรุงโซลก็สั่นสะเทือนแล้ว!”“อวิ๋นอวิ๋น เธอไม่ต้องไปกังวลเรื่องเขาเลย ถ้าเขาก่อปัญหาก็ให้เขาจัดการเอง”กู้หยุนหลานป
คุณชายรองฉินรีบเดินเข้าไปตรงหน้าของหลี่โม่ แล้วโบกมือแรง ๆ พวกบอดี้การ์ดก็เข้าไปล้อมหลี่โม่กับกู้หยุนหลานทันที“ฮ่าฮ่าฮ่า ไอ้ลูกหมา ตอนนี้กลัวแล้วล่ะสิ? เมื่อกี้ตอนที่ทำฉันแกดูหยิ่งมากเลยนี่ ตอนนี้เปลี่ยนไปแล้วงั้นเหรอ? ถึงเวลาที่ฉันจะหยิ่งบ้างแล้ว!”คุณชายเล็กฉินเดินเข้าไปข้าง ๆ คุณชายรองฉิน หรี่ตามองกู้หยุนหลาน มองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า จนน้ำลายแทบไหลออกมาแล้ว“หึหึ สาวสวยคนนี้ยังดูธรรมชาติจริง ๆ นะ ไม่เหมือนไปทำศัลยกรรมที่ไหนเลย แต่เธอดีกว่านางแบบสาวหน้าแดงพวกนั้นเป็นพันเท่า ฉันไม่คิดว่าจะมีคนสวยแบบนี้ในโซล”ฉินจี้เย่แอบถอนหายใจในใจ มองไปที่น้องชายทั้งสองของเขา ราวกับว่าเขาเห็นตัวเองเมื่อไม่นานมานี้ หาเรื่องใครไม่หา ไปมีเรื่องกับหลี่โม่ นี่ไม่ใช่ว่าเป็นการรีบหาความตายเหรอฉินจี้เย่ยืนอยู่ด้านหลังน้องชายทั้งสอง มองหลี่โม่ด้วยสายตาขอโทษ ขณะที่เขากำลังจะจัดการน้องชายงี่เง่าสองคน ฉินจี้เย่ส่ายหัวเล็กน้อยเมื่อเห็นหลี่โม่ฉินจี้เย่ที่เตรียมจะเตะออกไปรีบหยุดการกระทำทันที เขายืนอยู่ข้างหลังน้องทั้งสองคนอย่างเงียบ ๆ รอคำสั่งของหลี่โม่พวกคนอยากรู้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ สวีอวิ๋นอวิ๋นที่อยู่ใน
ฉินจี้เย่ทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ ถ้าให้พวกบอดี้การ์ดแตะต้องแม้แต่เส้นขนของหลี่โม่ เรื่องนี้จะไม่จบง่าย ๆ แน่นั่นมันหลี่โม่ที่กล้าต่อยกระทั่งท่านปานะ!วันนั้นท่านปาถูกตีอย่างแรงขนาดนั้น คนเก่ง ๆ อย่างหลี่โม่พูดว่าจะต่อยก็ต่อยเลย ตระกูลฉินเทียบไม่ได้แม้แต่เส้นขนของท่านปาเลยด้วยซ้ำ แล้วจะมีความสามารถไปสู้กับหลี่โม่ได้อย่างไรพวกคนที่ดูอยู่ก็อึ้งเช่นกัน มองฉินจี้เย่อย่างแปลกใจ ไม่เข้าใจว่าฉินจี้เย่เป็นบ้าอะไร ทำไมจู่ ๆ ถึงลงมือทำร้ายคนของตัวเองพวกบอดี้การ์ดหยุดการลงมือไว้แล้วมองฉินจี้เย่กับอย่างมึนงง ไม่รู้ว่าควรจะจับหลี่โม่หรือควรทำอย่างไรดี“คะ คุณชายใหญ่ นี่คุณ?” หัวหน้าบอดี้การ์ดพยักหน้าถามอย่างจริงจัง“พี่ใหญ่ พี่บ้าไปแล้วเหรอ มาเตะพวกเราทำไม!”คุณชายรองฉินจ้องฉินจี้เย่อย่างโกรธมาก รู้สึกว่าตัวเองเสียหน้าต่อหน้าคนเยอะ“พวกแกไปจับสองคนนี่มาเป็นกระสอบทรายสิ”ฉินจี้เย่ชี้ไปที่น้องชายแล้วพูดกับบอดี้การ์ด“เห้อ!”ทุกคนสูดลมหายใจพร้อมกันและเสียงดังมาก ๆ ก็เกิดขึ้นพร้อมกัน“นี่มันอะไรกัน คนที่อายุมากและไม่มีความปรานีอย่างฉินจี้เย่นั้น ไม่มีทางทำแบบนี้โดยไม่มีเหตุผลหรอกนะ”“การตีน้อ
“ซ้อมมัน! ซ้อมให้หนัก! ซ้อมให้ตาย!” ฉินจี้เย่เอ่ยอย่างโหดเหี้ยม “พี่ใหญ่ พี่บ้าไปแล้วเหรอ ให้คนมาซ้อมพวกเราทำไมเนี่ย?!” คุณชายรองฉินถามด้วยความตื่นตระหนก "แกยังกล้าถามว่าทำไมอีกเหรอ? พวกแกไปล่วงเกินคุณหลี่ก็คือการรนหาที่ตายแล้ว! อัดไอ้พวกเด็กนี่ให้กระดูกหักให้หมดทั้งร่างซะ!" หลังจากฉินจี้เย่พูดจบก็ทำให้เป็นตัวอย่างก่อน พลันเหวี่ยงกำปั้นเข้าใส่ไหล่ของน้องชายจอมงี่เง่าทั้งสองคน หมัดอันหนักหน่วง ชกใส่จนคุณชายรองฉินและคุณชายเล็กฉินกรีดร้องคร่ำครวญ “ทำแบบนี้เนี่ย เร็ว ๆ เข้า” หลังจากทำการสาธิตเสร็จแล้ว ฉินจี้เย่ถลึงตามองไปที่พวกบอดี้การ์ดแล้วพูดขึ้น เหล่าบอดี้การ์ดกัดฟันฝืนลงมือ ทุบตีคุณชายรองฉินและคุณชายเล็กฉินอย่างรุนแรง พวกชาวบ้านกินเผือกต่างหวาดหวั่นพรั่นพรึง การลงไม้ลงมือกับพี่น้งของตัวเองอย่างโหดเหี้ยมแบบนี้ หากไม่มีเหตุผลที่เพียงพอมันก็คงไม่ใช่เรื่องที่เข้าท่าอย่างแน่นอน ท่ามกลางสายตาของพวกชาวบ้านกินเผือก ฉินจี้เย่ก็เดินไปหาหลี่โม่ ก่อนจะโค้งตัวคำนับทำมุม 110 องศาให้กับหลี่โม่ อีกแค่นิดเดียวหัวของเขาก็จะชนกับปลายเท้าอยู่แล้ว "คุณหลี่ ผมขออภัยแทนน้องชายงี่เง่าท
เมื่อเห็นเหล่าลูกเศรษฐีรอบตัวถอยห่างกู้ชิงหลินก็ยิ่งโมโหมากกว่าเดิม เธอชี้ไปที่หลี่โม่แล้วเอ่ยตะคอก “หลี่โม่ ไอ้ขยะนี่ แกยังกล้ามาจองหองที่นี่อีกงั้นเหรอ?!” “กู้ชิงหลิน?” หลี่โม่มองกู้ชิงหลินเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ จากนั้นจึงมองเห็นว่าสวีอวิ๋นอวิ๋นอยู่ด้วยกันกับกู้ชิงหลิน ทันใดนั้นก็พลันเข้าใจขึ้นมา กู้หยุนหลานเองก็เห็นกู้ชิงหลินอยู่กับสวีอวิ๋นอวิ๋นเช่นกัน เธอมองไปยังสวีอวิ๋นอวิ๋นด้วยสายตาที่ผิดหวังแล้วถอนหายใจ สวีอวิ๋นอวิ๋นผงะไปเล็กน้อย รู้ว่าตนถูกเปิดโปงแล้ว หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งสวีอวิ๋นอวิ๋นก็วิ่งหนีออกไปจากข้างกายกู้ชิงหลิน เมื่อวิ่งมาหากู้หยุนหลาน สวีอวิ๋นอวิ๋นก็ดึงแขนของกู้หยุนหลานแล้วพูดว่า “หยุนหลาน เธอเข้าใจผิดแล้ว ตอนที่กู้ชิงหลินมาดูเรื่องวุ่นวายพวกเราก็บังเอิญเจอกัน เมื่อกี้คนเบียดเสียดกันเลยเบียดพวกเรามายืนด้วยกันน่ะ” “หึ” กู้หยุนหลานหัวเราะอย่างเย็นชาเล็กน้อย แล้วดึงแขนของตนที่สวีอวิ๋นอวิ๋นจับอยู่กลับมา สวีอวิ๋นอวิ๋นรู้สึกโมโหขึ้นมาเล็กน้อย ทว่าเมื่อสายตามองไปยังหลี่โม่ สวีอวิ๋นอวิ๋นก็ข่มความขุ่นเคืองในใจเอาไว้ “หยุนหลาน เธอเชื่อฉันเถอะนะ ฉันรู้ว่าเมื่
เมื่อเห็นกู้ชิงหลินวิ่งเตลิดหนีไปทั้งน้ำตา สวีอวิ๋นอวิ๋นก็รู้สึกตื่นตระหนกอย่างยิ่ง สายตาที่มองไปยังหลี่โม่พลันแปลกประหลาดไปทันที ทั้งหมดนี้เป็นภาพลวงตาใช่ไหม? หลี่โม่ ไอ้ขยะนี่ จู่ ๆ มันจะไปทรงพลังอำนาจขึ้นมาได้ยังไง นี่มันไม่เหมือนกับที่คิดเอาไว้เลยสักนิด! สวีอวิ๋นอวิ๋นตกอยู่ในความสับสนมึนงง เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ทำให้เธอตระหนกตกใจมากเกินไปจริง ๆ พวกลูกเศรษฐีไม่น้อยที่มามุงดูต่างรีบกรูกันเข้ามา ต้องการที่จะทักทายหลี่โม่ ไม่ว่าจะสามารถสร้างความสัมพันธ์กับหลี่โม่ได้หรือไม่ อย่างไรก็ต้องเสนอหน้าเข้าไปทำความรู้จักก่อน ต่อไปหากบังเอิญพบกับหลี่โม่อีกครั้งจะได้มีเรื่องให้คุยสานสัมพันธ์ได้ “คุณหลี่ ผมคือเฉินเซี่ยงหนานจากตระกูลเฉิน เป็นเกียรติจริง ๆ ที่ได้พบคุณ พวกเรามานั่งดื่มด้วยกันสักแก้วสิครับ” “ผมคือจางเทียนซิงจากตระกูลจาง ผมกับพี่ฉินต่างก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ต่อไปคุณหลี่เองก็เป็นเพื่อนผมเหมือนกัน ยังไงขอเชิญคุณหลี่นั่งลงคุยกันสักหน่อยนะครับ” หลี่โม่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่รู้สึกสนใจคุณชายเศรษฐีที่กรูกันเข้ามาเหล่านั้นแม้แต่น้อย แล้วดึงกู้หยุนหลานเดินไปที่เงียบ ๆ อีกด้
คังหย่งอันกดหมายเลขของคังหย่งเฉียน แล้วพูดเสียงเข้ม "หย่งเฉียน ฉันได้ยินมาว่า แกกับเหวินซินมีปัญหากันเรื่องวิลล่าบนยอดเขาเหรอ?" “พี่ใหญ่ มีปัญหากันน่ะสิ ศิษย์พี่เกิ่งยังถูกทำร้ายจนเข่าหักแล้ว! ศิษย์พี่เกิ่งติดต่อกับอาจารย์โอวหยางไปแล้ว เรื่องนี้อภัยให้ไม่ได้แน่นอน!” คังหย่งเฉียนโกรธแค้นคังเหวินซิน ถ้าไม่ใช่เพราะคังเหวินซินพาหลี่โม่ไปที่นั่น เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น แต่ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว คังหย่งเฉียนเองก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ทำได้เพียงเอาความโมโหไปลงที่คังเหวินซินเท่านั้น “หย่งเฉียน ไม่ว่ายังไงก็ตาม แกต้องรับรองความปลอดภัยของเหวินซิน ฉันไม่สนว่า อาจารย์โอวหยางพวกเขาจะทำอะไรกับเพื่อนของเหวินซิน แต่พวกเขาจะทำร้ายเหวินซินไม่ได้เด็ดขาด!” “พี่ใหญ่ ฉันไม่กล้ารับประกันหรอก รับประกันได้แค่ลูกชายของพี่จะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงตายเท่านั้น ถ้าอาจารย์โอวหยางต้องการลงโทษลูกชายของพี่จริง ๆ ฉันจะไปขวางได้ยังไง ฉันขวางไม่ได้หรอก ไม่กล้าขวางด้วย!" คังหย่งอันขมวดคิ้วแน่น หากคังหย่งเฉียนอยู่ต่อหน้าคังหย่งอันในตอนนี้ คังหย่งอันจะต้องตบเขาให้ตายคามือแน่นอน “หย่งเฉียน! แกเป็นอาข
“ไอ้บัดซบเอ๊ย! ใครกล้ามาต่อกรกับฉันโอวหยางจื้อ มันผู้นั้นจะต้องตาย!” โอวหยางจื้อพึมพำอย่างด้วยความอาฆาตแค้น แล้วสั่งให้ลูกศิษย์ไปจองตั๋วเครื่องบิน ...... คังเหวินซินมาส่งหลี่โม่และคนอื่น ๆ ที่บ้าน หลังจากมองดูทั้งสามเดินเข้าไปข้างในแล้ว จึงสตาร์ทรถและขับออกไปอย่างช้า ๆ “อาเล็กถูกจัดการจนหมดท่าแล้ว ต้องบอกพ่อสักคำไหมนะ อาเล็กจะได้ไปตีไข่ใส่สีอีก” หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง คังเหวินซินก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดหมายเลขพ่อของเขาคังหย่งอัน “ฮัลโหล พ่อครับ ผมเพิ่งจะขายวิลล่าบนยอดเขาที่สวนหนานชุ่ยให้เพื่อผมไป ขายราคาต้นทุนน่ะครับ” คังหย่งอันขมวดคิ้ว "นั่นเป็นวิลล่าที่อาเล็กของแกจะเอาไม่ใช่เหรอ แกเอาไปให้เพื่อนได้ยังไง? ผู้จัดการฝ่ายขายว่ายังไงบ้าง?" คังเหวินซินอึ้งครู่หนึ่ง รู้สึกถึงความผิดปกติในคำพูดของคังหย่งอัน "พ่อ พ่อรู้ได้ยังไงว่าอาเล็กอยากได้วิลล่านั่น?” “อาเล็กของแกเคยบอกพ่อว่า วิลล่าหลังนั้นเป็นของขวัญที่เขาจะเก็บไว้ให้กับปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ในต่างประเทศโอวหยางจื้อ แกคงเคยได้ยินเกี่ยวกับโอวหยางจื้อมาบ้างใช่ไหม? เขาเคยรับหน้าที่เป็นผู้กำกับฉากแอ็คชั่นให้กับภาพย
ในแผนกดูแลพิเศษของโรงพยาบาล คังหย่งเฉียนและคนอื่น ๆ นั่งล้อมรอบเตียง มองดูพี่เกิ่งค่อย ๆ ฟื้นคืนสติ เข่าที่หักของพี่เกิ่งได้รับการผ่าตัดแล้ว แต่หลังการผ่าตัด พี่เกิ่งจะได้แต่นั่งอยู่บนรถเข็นเท่านั้น “ซี๊ด ขากับเข่าฉันเป็นยังไงบ้าง?” พี่เกิ่งถามอย่างร้อนใจ “ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวล ผ่าตัดเสร็จแล้ว เพียงแต่ระดับการรักษาของที่นี่ยังต่ำไปหน่อย หลังจากฟื้นตัวแล้วพี่ต้องนั่งรถเข็น” คังหย่งเฉียนพูดเสียงเบาหวิว “ไอ้บัดซบ! ฉันไม่อยากนั่งรถเข็น! ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้!” พี่เกิ่งคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว รู้สึกเลวร้ายไปทั้งร่างกาย ชีวิตบนรถเข็น ไม่ใช่ชีวิตที่พี่เกิ่งต้องการเลย ถ้าต้องนั่งรถเข็นแล้ว ต่อไปจะฝึกศิลปะการต่อสู้ หรือออกไปรังแกคนอื่นอย่างไร แล้วจะไปจีบสาว ๆ ได้อย่างไร! “ฉันจะย้ายโรงพยาบาล ฉันจะไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลที่ดีที่สุด!” “พี่เกิ่งอย่าเพิ่งตื่นตูม หมอบอกว่า รอพี่ฟื้นตัวดีแล้ว ก็สามารถทำการผ่าตัดครั้งที่สองในโรงพยาบาลที่ดีกว่านี้เพื่อเปลี่ยนข้อต่อเทียมได้” คังหย่งเฉียนปลอบใจพี่เกิ่งไปพลางก็ขยิบตาให้กับพวกพี่น้องคนอื่น ๆ ส่งสัญญาณให้พวกเขารีบมาช่วยกันโน้มน้าว ศิษย์พี่ห
พี่เกิ่งร้องโหยหวนออกมา รู้สึกว่าขาซ้ายพลิกกลับไปด้านหลัง พลันสูญเสียการทรงตัวและล้มหงายไปข้างหลังทันที พลั่ก พี่เกิ่งล้มหงายลงกับพื้น ปากก็ร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา คังหย่งเฉียนถูกกระตุ้นด้วยเสียงร้องของพี่เกิ่งจนตัวสั่นไปทั้งตัว เสียงวิ้ง ๆ ที่ดังอยู่ในหัวยิ่งชัดเจนขึ้นมาทันใด คังหย่งเฉียนกุมใบหน้าที่บวมแดงไปครึ่งหนึ่งมองไปทางศิษย์พี่เกิ่ง ดวงตาของคังหย่งเฉียนก็แทบจะหลุดออกจากเบ้า ศิษย์พี่เกิ่งที่คังหย่งเฉียนเคยคิดว่า แข็งแกร่งไร้เทียมทานนั้น ตอนนี้กำลังร้องคร่ำครวญราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังจะตาย เมื่อมองขาขวาของพี่เกิ่งหักงอในองศาที่ผิดธรรมชาติ คังหย่งเฉียนก็รู้สึกว่า เลือดทั่วร่างกายเย็นเฉียบขึ้นมา นี่เป็นเรื่องที่มนุษย์สามารถทำได้อย่างนั้นเหรอ? นี่เป็นผลลัพธ์ที่สามารถใช้กำปั้นทำได้เหรอ? นี่มันซูเปอร์ไซย่าในตำนานหรืออย่างไรกัน?! พวกศิษย์น้องของพี่เกิ่งหลายคนต่างหวาดกลัวกับความเผด็จการของหลี่โม่ ทั้งกลุ่มพลันหมดความโอหังไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาลากพี่เกิ่งขึ้นมาจากพื้นแล้ววิ่งตะบึงออกไปข้างนอกอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่คำพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในที่นี้คือศิษย์
คังเหวินซินรออยู่สามวินาที แต่ละวินาทีราวกับยาวนานเป็นปี รออยู่นานฝ่ามือของพี่เกิ่งก็ยังไม่ตบลงมาสักที คังเหวินซินจึงลืมตาขึ้น เมื่อเอียงหน้ามองเห็นฝ่ามือของพี่เกิ่งอยู่ห่างจากหน้าตนแค่เฉียดฉิว หัวใจของคังเหวินซินแทบจะกระโดดออกมาจากปาก หลังจากที่เห็นข้อมือของพี่เกิ่งถูกหลี่โม่คว้าไว้ คังเหวินซินถึงได้รู้สึกว่า หัวใจของตัวเองกลับเข้าที่ได้แล้ว คังเหวินซินที่สงบลงแล้ว รีบถอยไปหลบด้านหลังหลี่โม่ แล้วร้องตะโกนด้วยน้ำตาแห่งความซาบซึ้ง "อาจารย์!" “นายอย่าร้องไห้น่าสมเพชนักสิ มันทำฉันขายหน้านะ” หลี่โม่พูดด้วยรอยยิ้ม คังเหวินซินตะลีตะลานเช็ดเบ้าตา ไม่ยอมให้ตัวเองร้องไห้ออกมา พี่เกิ่งจ้องมองหลี่โม่อย่างโมโห แอบพยายามดึงข้อมือของตัวเองกลับมาอย่างลับ ๆ แต่ไม่ว่าพี่เกิ่งจะพยายามออกแรงแค่ไหน มือของหลี่โม่ก็ราวกับคีมปากเสือหนีบข้อมือของพี่เกิ่งเอาไว้แน่น จนข้อมือของพี่เกิ่งไม่มีทางสลัดหลุดได้เลย “ปล่อยมือฉัน!” พี่เกิ่งตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยว “แกบอกให้ปล่อยก็ต้องปล่อยเหรอ? แกน่าจะอธิบายเรื่องที่จะลงไม้ลงมือกับลูกศิษย์ฉันเมื่อกี้นี้มาสักหน่อยไหม?” หลี่โม่พูดอย่างเย็นชา คังเหวินซินส
กู้หยุนหลานมองไปยังหลี่โม่อย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นหลี่โม่ขยิบตาให้ เธอจึงไม่พูดอะไรและเก็บความสงสัยไว้ในใจ ผู้จัดการหวังโบกมือให้พนักงานขายสาว พนักงานสาวที่ถือสัญญาอยู่แล้วเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ผู้จัดการหวัง นี่เป็นสัญญาของวิลล่ายอดเขาค่ะ แต่ราคานี้มัน…” สีหน้าของพนักงานสาวดูบูดเบี้ยวเล็กน้อย ถ้าขายวิลล่านี้ออกไปในราคาต้นทุน เธอคงไม่ได้รับค่าคอมมิชชั่นเลยสักแดง! ที่ผ่านมาเศรษฐีในเมืองฮั่นจำนวนมากต่างก็ถูกใจวิลล่าแห่งนี้ แต่เพราะมีการปิดกั้นการซื้อขาย เลยไม่ได้ขายอย่างเป็นทางการ เดิมทีพวกพนักงานสาวนั้นเตรียมพร้อมที่จะทำกำไรมหาศาลด้วยการขายวิลล่าหลังนี้หลังจากที่เปิดการขายแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ความฝันของพวกเธอกำลังจะมลายหายไปซะแล้ว “พวกเธอมีสิทธิ์พูดงั้นเหรอ? นี่คือการตัดสินใจของคุณชายใหญ่!” ผู้จัดการหวังตำหนิพนักงานขายสาว พนักงานสาวหดคอและปิดปากเงียบไม่กล้าพูดอีก ผู้จัดการหวังเปิดสัญญาตรวจดู หลังจากยืนยันความถูกต้องแล้ว เขาก็ถือสัญญาเดินไปหาหลี่โม่ “อ่านสัญญาดูก่อนนะครับ หากไม่มีปัญหาอะไร เราจะไปเซ็นสัญญาที่สำนักงานของผมกัน ผมไม่สามารถนำตราประทับอะไรพวกนั้นพกติดต
“คุณชาย อย่ามาขู่ผมเลยครับ ผมไม่กลัวหรอกนะ สิ่งที่ผมพูดไปเมื่อครู่ล้วนมีเหตุมีผล หากไม่เชื่อก็ถามซินแสที่มาดูฮวงจุ้ยให้ได้เลยครับ คำพูดพวกนี้เขาเป็นคนพูดเองกับปากทั้งนั้น” ผู้จัดการหวังแข็งขืน ไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย หลี่โม่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม "เหวินซิน อย่าหุนหันพลันแล่น ผู้จัดการหวังพูดถูกแล้ว คนที่โชคชะตาบารมีไม่ถึง ไม่มีทางข่มพลังฮวงจุ้ยอันยอดเยี่ยมได้แน่นอน” คังเหวินซินพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม "อาจารย์พูดถูกแล้วครับ แต่ด้วยบารมีของอาจารย์ จะต้องสามารถข่มมันได้อย่างแน่นอน พวกเรามาดูกันดีกว่า ที่นี่ล้วนได้รับการตกแต่งอย่างดี คุณหิ้วกระเป๋าเข้ามาอยู่ได้เลย เหลือแค่ดูว่าวิลล่าหลังนี้ถูกใจคุณหรือเปล่าก็พอครับ” เมื่อเห็นคังเหวินซินพยายามเอาอกเอาใจหลี่โม่ ผู้จัดการหวังก็เกิดความสงสัยเล็กน้อย หรือว่าตนจะมองผิดไป? ผู้ชายที่สวมเสื้อผ้าแผงลอยทั้งตัวคนนี้ เป็นคุณชายเศรษฐีที่มาลองสัมผัสประสบการณ์ชีวิตงั้นเหรอ? ไม่อย่างนั้นทำไมคุณชายของตนถึงได้ไปประจบเอาใจเขาขนาดนี้กัน? “คุณชาย ท่านนี้คืออาจารย์ของคุณเหรอครับ?” ผู้จัดการหวังถามอย่างสงสัย “นี่คืออาจารย์ของฉันหลี่โม่ นายสุภาพกับอาจารย์ของฉัน
“ไอ้สารเลวคนไหนไม่ดูตาม้าตาเรือ กล้ามาแย่งวิลล่าของอาจารย์ พวกแกยังมัวแต่กินอะไรกันอีก ไปดูด้วยกัน จัดการไอ้พวกสารเลวนั่นซะ” “ศิษย์พี่เกิ่งพูดถูก พวกเราทุกคนต้องไปดูด้วยกัน บ้านของอาจารย์ต้องดีที่สุดเท่านั้น จะผิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว” ศิษย์พี่เกิ่งและคนอื่น ๆ พากันลุกขึ้นทีละคน เมื่อเห็นเช่นนี้คังหย่งเฉียนก็เรียกให้พนักงานคิดเงินทันที แล้วจึงพาพวกของศิษย์พี่เกิ่งมุ่งตรงไปยังสวนหนานชุ่ย ... รถเมอร์เซเดสเบนซ์ขับเข้าไปในสวนหนานชุ่ย และขับตรงไปตามทางขึ้นยอดเขา ใกล้กับยอดเขาของเขาหนานชุ่ยนั้นมีที่ราบอยู่บริเวณหนึ่ง ที่ราบนี้ถูกนำมาใช้สร้างวิลล่า พร้อมทั้งปลูกต้นไม้พืชพรรณเขียวชอุ่มรอบ ๆ วิลล่าอีกด้วย ด้านหน้าวิลล่ายังมีลำธารที่ไหลมาจากยอดเขา ทำให้ฮวงจุ้ยของวิลล่านี้ยอดเยี่ยมมากไร้ที่ติ หน้าน้ำหลังเขา ตำแหน่งปากมังกรจัดวางฮวงจุ้ยอย่างดี ทำให้วิลล่าบนยอดเขาหลังนี้เลิศล้ำไม่มีใครเทียม รถเมอร์เซเดสเบนซ์จอดสนิทหน้าประตูวิลล่ายอดเขา ผู้จัดการหวังและพนักงานขายสาวสองคนยืนรอที่ประตูวิลล่าอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นรถเบนซ์จอดนิ่ง ผู้จัดการหวังก็รีบวิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปช่วยเปิดประตูรถ
ผู้จัดการหวังหยิบบุหรี่ออกมาคาบที่มุมปาก เตรียมจะสูบบุหรี่เพื่อสงบสติอารมณ์ คำขอของคังเหวินซินทำให้ผู้จัดการหวังตั้งตัวไม่ติด การจะดูบ้านมันไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าอีกฝ่ายถูกใจขึ้นมาจริง ๆ จะทำอย่างไรล่ะ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องราคาต้นทุนหรือเปล่า ถ้าคังหย่งเฉียนเข้ามาครอบครองวิลล่าหลังนี้ เขาก็คงไม่ได้เงินเลยสักแดงเดียว พอนึกถึงคังหย่งเฉียนขึ้นมาผู้จัดการหวังรู้สึกปวดจี๊ด ๆ ขึ้นมา เจ้านั่นเป็นปีศาจเจ้าสำราญแห่งตระกูลคัง วัน ๆ เอาแต่เกียจคร้าน กินดื่มเที่ยวเล่น ยิ่งกว่านั้นยังคบค้ากับพวกอันธพาล ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสตระกูลคังก็ยังถูกคังหย่งเฉียนยั่วโมโหจนเส้นเลือดในสมองตีบ แทบทุกคนในตระกูลคังล้วนทำเป็นไม่สนใจคังหย่งเฉียน ตราบใดที่คังหย่งเฉียนไม่ได้ก่อปัญหา ก็ไม่มีใครสนใจว่า คังหย่งเฉียนจะทำอะไร ถ้าหากยกวิลล่าให้เพื่อนของคังเหวินซินจริง ๆ คังหย่งเฉียนคงจะพาคนมาสับเขาเป็นชิ้น ๆ ถึงที่แน่ หลังจากสูบบุหรี่หมดมวน ผู้จัดการหวังก็ขยี้ก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ รู้สึกว่ายังไงก็ควรแจ้งให้คังหย่งเฉียนรู้สักหน่อย ส่วนคังหย่งเฉียนจะต่อสู้กับคังเหวินซินอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องระหว่างพวกเขา