เหลียงอวี้เป็นนินจาแห่งแดนซากุระ ท่านปาจ่ายเงินไปก้อนโตจึงได้เหลียงอวี้มาเป็นบอดี้การ์ดอยู่ข้างกายเขาเงาเทา ๆ เมื่อกี้ที่เหมือนเงาของท่านปา เป็นเคล็ดลับในวิชานินจาของแดนซากุระ เงาเทา ๆ นั้นในช่วงเวลาสำคัญสามารถช่วยป้องกันการโจมตีท่านปาได้ เท่ากับว่าท่านปามีชีวิตเพิ่มอีกหนึ่งชีวิตแต่เคล็ดลับที่แสดงออกไปนั้น ทำให้เหลียงอวี้อ่อนแอมาก สีหน้าของเธอกลายเป็นขาวซีดเดินไปถึงมุมของคฤหาสน์ขึ้นไปนั่งในรถเอสยูวีคันหนึ่ง เหลียงอวี้พักผ่อนไปสักพักแล้วจึงขับรถตามขบวนรถของท่านปาไปท่านปาหลับตาสงบสติอยู่ในรถ ในใจคิดว่าอีกสักครู่จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นจากแผนการที่ลูกน้องกำหนดไว้ อีกสักพักไปครอบครองจุดครอบคลุมของโรงงานร้างก่อน หลังจากยึดพื้นที่ที่ได้เปรียบได้แล้ว จึงจะคุ้มกันท่านปาเข้าไปในโรงงานร้างได้ ......ในโรงงานร้างฉินจี้เย่ดูเวลา ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว"นายคงไม่ให้พวกฉันรออยู่ที่นี่หนึ่งวันหรอกนะ นี่มันใกล้จะผ่านไปหนึ่งชั่วโมงแล้ว ทางท่านปาไม่เห็นมีความเคลื่อนไหวอะไรเลย”เย่จงเทียนยิ้มเย็นชาแล้วพูด “ไอ้ปัญญาอ่อนนี่ต้องฝันกลางวันอยู่แน่ ๆ ถึงจะรอยันเที่ยงคืน ท่านปาก็ไม่มีทางมาที่นี่
“ท่านปายังมาไม่ถึง จะถือว่านายชนะได้ยังไง นับถือสมองทึ่ไม่ปกติของนายจริง ๆ ”“อีกเดี๋ยวเขาคงไม่คิดว่าเขาเป็นพระผู้ช่วยชีวิตแบบพระพุทธเจ้าอะไรแบบนั้นหรอกเหรอ คนแบบนี้น่าจะส่งเข้าโรงพยาบาลประสาทจริง ๆ”“ถ้าไม่ใช่เพราะสู้เขาไม่ได้ ฉันก็อยากจะอัดเขาแรง ๆ สักที ทำให้เขารู้ว่าเลือดตกยางออกมันเป็นยังไง”กลุ่มคนพวกนั้นพูดไปด่าไป คิดว่าหลี่โม่เสียสติจนเกิดภาพหลอน เอาแต่พูดเรื่องไร้สาระเต็มไปหมดหลี่โม่ส่ายหัว มองฉินจี้เย่อย่างไม่พอใจ “นายส่งคนไปดูที่อยู่ของท่านปาเหรอ? ถ้าส่งคนไปก็ไปถาม ถ้าไม่ได้ส่งคนไปก็รีบส่งไปสิ” ฉินจี้เย่อึ้งเพิ่งนึกได้ว่าไม่ได้ส่งคนไปจับตาดูที่ที่อยู่ของท่านปน เขาคิดว่าตลอดว่าท่านปาไม่มีทางออกมา เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ยามที่ลาดตระเวนพบเข้า ดังนั้นจึงไม่ได้ส่งคนไปคอยจับตาดู“ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ส่งคนไปคอยดู แต่มีความจำเป็นต้องไปคอยเฝ้าด้วยเหรอ ท่านปาไม่มีทางออกนอกคฤหาสน์หรอก นายอย่าฝันเลย!” พูดจบ มือถือของฉินจี้เย่ก็ดังขึ้นเขาควักมือถือออกมารับสาย หลังจากที่ฉินจี้เย่ส่งเสียงอืมสองครั้งก็เบิกตาโต“แกไม่ได้มองผิดใช่ไหม ขบวนรถท่านปากำลังขับมาทางนี้แล้ว?”ฉินจี้เย่ตะโกนอ
พวกเย่จงเทียนมองหลี่มั่วอย่างหมดคำพูด ใคร ๆ ก็รู้ว่าแกคือแก สิ่งที่อยากรู้ก็คือเบื้องหลังตัวตนของแก เข้าใจไหมเนี่ย?!เย่จงเทียนมองหลี่โม่อย่างจนใจ โมโหแต่ไม่กล้าพูด ชีวิตยังอยู่ในมือของหลี่โม่หลี่โม่เขย่ากล่องสีเงิน มองฉินจี้เย่ที่กังวลมาก“นายแพ้แล้ว ควรจะเป็นฝ่ายมาทำให้การเดิมพันสมบูรณ์นะ”“ฉัน เอ่อ… ฉัน”ฉินจี้เย่กังวลจนจะร้องไห้แล้ว ยังมีเหลืออีกตั้งสิบกว่าเม็ด ถ้ากินเข้าไปในท้องหมด มันจะเข้าไปกระทบกันเองแล้วระเบิดไหมเนี่ย!ฉินจี้เย่คิดไปถึงภาพอันงดงามที่ระเบิดเซนเซอร์จะฆ่าตนเอง ชั่วพริบตาก็ทรุดลงอย่างใจสั่น“ฉันไม่กินระเบิดได้ไหม ฉันจะให้เงินนาย ให้เงินนายแบบเยอะมาก ๆ เลย” ฉินจี้เย่พูดพลางร้องไห้“คิดจะเดิมพันก็ต้องยอมรับความสูญเสียให้ได้ ถ้านายไม่กิน อาจจะต้องไปเจอบรรพบุรุษนายตอนนี้เลยนะ” น้ำเสียงของหลี่โม่ที่เย็นชาทำให้ฉินจี้เย่สั่นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ฉินจี้เย่ก็ค่อย ๆ ลุกขึ้น เดินไปหาหลี่โม่ช้า ๆ ยังไม่ต้องเปิดไพ่ตายเลย?ฉินจี้เย่เดินไปพลางคิดไป แต่ตอนที่เดินไปถึงตรงหน้าหลี่โม่ ฉินจี้เย่ก็ไม่เข้าใจหลี่โม่เปิดกล่องสีเงิน ให้ฉินจี้เย่หยิบระเบิดเซนเซอร์ไปเองฉินจ
รู้สึกได้ว่าจู่ ๆ ร่างกายของหลี่โม่ก็ปรากฏกลิ่นอายสังหาร พวกเย่จงเทียนกับเว่ยหย่งล้วนตกใจจนใจเต้นรัวกลิ่นอายสังหารที่รุนแรง แม้ว่าพวกเขาจะเป็นคนโหดเหี้ยมที่ฆ่าคนมานับไม่ถ้วนก็รู้สึกใจสั่นสายตาของเย่จงเทียนจ้องหลี่โม่นิ่ง ๆ รู้สึกถึงกลิ่นอายสังหารบนตัวของหลี่โม่อย่างละเอียด หลังจากผ่านไปสักพักสีหน้าของเย่จงเทียนก็เป็นราวกับขี้เถ้า พูดเสียงแหบ “นี่ นี่ไม่ใช่กลิ่นอายสังหาร”“คุณพูดอะไร?” เว่ยหย่งมองเย่จงเทียนอย่างสงสัยสายตาที่เย่จงเทียนมองหลี่โม่เปลี่ยนเป็นเลื่อมใส ความทรงจำในอดีตที่ฝุ่นจับถูกเปิดออก การต่อสู้ของภูเขาเหล่าวาเข้ามาในหัวของเย่จงเทียนตอนนี้คนลึกลับที่มีกลิ่นอายสังหารในแบบที่เหมือนกันกับบนตัวของหลี่โม่ ช่วยเย่จงเทียนป้องกันภูเขาเหล่าวาไว้ถ้าไม่ใช่คนลึกลับคนนั้นที่มาปรากฏตัวในช่วงเวลาสำคัญ เย่จงเทียนก็คงกลายเป็นศพไปนานแล้ว“ฉันไม่รู้ว่าคุณจะใช่เขาหรือเปล่า แต่คุณกับเขามีกลิ่นอายที่เหมือนกัน ฉันเย่จงเทียนจะเชื่อฟังคำสั่งของคุณ ให้ตายยังไงก็ไม่มีทางให้ผู้คุ้มกันของท่านปาเข้ามาได้แม้แต่ก้าวเดียว ยกเว้นว่าพวกเขาจะข้ามศพฉันไป”ทัศนคติที่เย่จงเทียนมีต่อหลี่โม่เปลี่ยนไปท
ขบวนรถของท่านปาหยุดลงอย่างช้า ๆ เสียงเปิดและปิดประตูก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เหล่าผู้คุ้มกันลงจากรถราวกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ และมองไปยังแนวป้องที่พวกของเย่จงเทียนตั้งขึ้นด้วยสายตาระแวดระวัง "ระวังตัว!" หัวหน้าผู้คุ้มกันส่งเสียงคำราม พวกผู้คุมต่างใช้รถเป็นที่กำบังและเล็งปืนไปที่แนวป้องกันของพวกเย่จงเทียน ถึงขั้นยกเครื่องยิงบาซูก้าขึ้นมาจากรถคันด้านหลัง ทำให้เปลือกตาของฉินจี้เย่กระตุกยิก ฉินจี้เย่ยกมือขึ้นเหนือศีรษะ พยักหน้าและโค้งตัวมองไปที่รถเบนซ์กันกระสุนที่ห่างไปไม่ไกล รถเบนซ์กันกระสุนเสริมความยาว ความสูงและความหนา ใหญ่กว่ารถยนต์ทั่วไปขึ้นมาเท่าตัวและดูเหมือนกับสัตว์ร้ายตัวหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น “อย่าเพิ่งยิงครับ ไม่ต้องตึงเครียดไปครับ ผมขอคุยกับท่านปาสักหน่อยได้ไหม? ผมมาส่งข้อความแทนคุณหลี่ หลี่โม่ พวกเรามีอะไรพูดคุยกันดี ๆ เถอะครับ ถ้าต่อสู้กันขึ้น คนที่บาดเจ็บล้มตายไปก็มีแต่พี่น้องของตัวเองทั้งนั้นไม่ใช่เหรอครับ?” ฉินจี้เย่เข้าสู่การแสดงอย่างรวดเร็ว แม้ว่าขาทั้งสองข้างจะสั่นไม่หยุดแต่ปากของเขาก็กลับพูดได้อย่างคล่องแคล่ว การเผชิญหน้ากับท่านปา โดยเฉพาะอย่างยิ
“นายคงจะไม่กล้าหรอก ภายในประเทศนี้เป็นเขตอิทธิพลของแดนมังกร เดี๋ยวฉันจะคิดบัญชีเรื่องที่นายเป็นหนอนบ่อนไส้อีกที ไหนบอกมาสิว่าหลี่โม่ให้นายมาบอกอะไร” "หลี่โม่บอกว่าให้คุณพาผู้คุ้มกันเข้าไปพบเขาได้แค่สองคนเท่านั้น เกินมาแค่คนเดียวก็ไม่ได้ แน่นอนว่าข้างในมีหลี่โม่อยู่แค่คนเดียวครับ ไม่มีใครอีกแม้แต่คนเดียว ผมสาบานกับพระเจ้าได้เลย” หลังจากฉินจี้เย่พูดจบก็มองไปที่ท่านปาอย่างระมัดระวังและรอคำตอบจากท่านปา ท่านปาหลับตาพลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกว่าไหน ๆ ก็มาแล้วถ้าไม่กล้าไปพบหลี่โม่ในเวลานี้ก็คงจะกลายเป็นตัวตลกที่น่าหัวเราะแน่ "จู๋รื่อกับฮั่นซานไปกับฉัน พวกนายที่เหลือคอยคุ้มกันอยู่ข้างนอก" หัวหน้าผู้คุ้มกันพูดอย่างเคร่งเครียด "ท่านปา ไม่ได้นะครับ ให้พวกเราบุกเข้าไปดีกว่าครับ" “บุกอะไรกัน เรื่องเล็ก ๆ แค่นี้มีอะไรน่ากลัวล่ะ” ท่านปาเปิดประตูรถออกมา จู๋รื่อกับฮั่นซานยืนคุ้มกันขนานอยู่ข้าง ๆ ท่านปา ทั้งสองร่างสูงใหญ่กำยำ ดวงตาส่องประกายวูบวาบราวกับเสือดุ "ผมจะนำทางให้เองครับ" ฉินจี้เย่เดินนำอยู่ข้างหน้าพร้อมกับโค้งตัวเล็กน้อย คอยนำทางอยู่ข้างหน้าท่านปาเหมือนกับคนรับใช้อย่างไ
หลี่โม่ส่ายหัว เขาไม่สนใจสิ่งที่ท่านปาพูดเลยแม้แต่น้อย สำหรับหลี่โม่แล้วความแตกแยกของแดนมังกรนั้นเป็นไปไม่ได้เลย “ผมจะให้โอกาสคุณมาภักดีต่อผม หวังว่าคุณจะคว้ามันไว้ได้” หลี่โม่กล่าวเอ่ยอย่างเรียบเฉย "กล้านัก! พูดอย่างนั้นกับท่านปาได้ยังไง!” จู๋รื่อเผยสายตาดุร้ายจ้องเขม็งไปที่หลี่โม่อย่างเอาเป็นเอาตาย หลังของเขาโค้งลงเล็กน้อยเหมือนกับเสือชีตาห์ที่เตรียมออกล่า "ฮ่าฮ่าฮ่า" ท่านปาแหงนหน้าหัวเราะลั่น “คำพูดที่โง่เขลาแบบนี้นายก็ยังเอ่ยออกมาได้ ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่านายไปเอาความมั่นใจมาจากไหน หรือจะบอกว่านายเป็นไอ้ขยะมาหลายปีจนสมองมีปัญหาไปแล้วจริง ๆ” “คนที่สมองมีปัญหาก็คือคุณ ถ้าหากคุณไม่มาภักดีตอบผม ต่อไปคุณจะต้องเสียใจกับการเลือกในวันนี้แน่” หลี่โม่กล่าวอย่างหนักแน่น ท่านปาเบ้ปากอย่างดูถูก พร้อมกับส่ายหัวแล้วพูดว่า "นายมันช่างไร้เดียงสาจริง ๆ ดูการ์ตูนมากเกินไปหรือเปล่า? คิดว่านายมีอำนาจบารมี แค่ไปข่มขู่ใครก็ทำให้คนอื่นยอมก้มหัวบูชาได้จริง ๆ งั้นเหรอ?" “จู๋รื่อ นายไปสั่งสอนเขาสักหน่อยซิ อัดจนกว่าเขาจะคุกเข่าร้องหาพ่อไปเลย” ท่านปามองไปที่หลี่โม่อย่างเย็นชา สีหน้าพลันเย็นเยื
ท่านปาเหล่มองหลี่โม่ ยิ่งคิดก็ยิ่งสับสน เขาคิดไม่ออกเลยว่าหลี่โม่มาถึงขั้นนี้ได้อย่างไร บางทีอาจเป็นเพราะมีพลังอันแกร่งกล้าเช่นนี้อยู่หลี่โม่ก็เลยกล้ายโสโอหังแบบนี้ใช่ไหม? ฮั่นซานก้าวไปข้างหน้าและยืนเบี่ยงไปด้านหน้าท่านปา เพื่อให้สามารถสกัดการโจมตีของหลี่โม่ได้ในทันทีโดยที่ไม่บดบังสายตาของท่านปาด้วย หลี่โม่กลับไม่รู้สึกโมโหอะไรแม้แต่น้อยและก้มหน้าลงมองไปที่จู๋รื่อด้วยรอยยิ้ม "แกอยากรู้ไหมว่าเพราะอะไร? จริง ๆ แล้วมันง่ายมาก ส่วนใหญ่เป็นเพราะพรสวรรค์ ฉันมีพรสวรรค์ที่ไม่มีใครเทียบได้ซึ่งพระเจ้ามอบให้ แค่อ่านหนังสือไปเรื่อยเปื่อยก็เก่งกาจได้ขนาดนี้แล้วน้่นแหละ” จู๋รื่อนึกอยากจะร้องไห้ขึ้นมา แค่อ่านหนังสือไปเรื่อยเปื่อยก็เก่งกาจขนาดนี้ มันไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย จู๋รื่อหมั่นมานะฝึกฝนอย่างหนักมาเป็นสิบยี่สิบปีถึงสามารถเป็นได้อย่างตอนนี้ เขาไม่เชื่อสิ่งที่หลี่โม่พูดเลยสักนิด ต่อให้เป็นนักเรียนหัวกะหิที่ความจำดีแค่ไหนถ้าหากบรรลุได้ถึงขนาดนี้ ก็ต้องใช้ความพยายามอย่างมากเหมือนกัน! "หลี่โม่ นายคิดว่าจะบังคับให้ฉันยอมจำนนได้ด้วยกำลังงั้นเหรอ? ฉันไม่ใช่พวกขี้ขลาดกลัวตายนะ!" ท่านปาเอ่ยอย่า