รู้สึกได้ว่าจู่ ๆ ร่างกายของหลี่โม่ก็ปรากฏกลิ่นอายสังหาร พวกเย่จงเทียนกับเว่ยหย่งล้วนตกใจจนใจเต้นรัวกลิ่นอายสังหารที่รุนแรง แม้ว่าพวกเขาจะเป็นคนโหดเหี้ยมที่ฆ่าคนมานับไม่ถ้วนก็รู้สึกใจสั่นสายตาของเย่จงเทียนจ้องหลี่โม่นิ่ง ๆ รู้สึกถึงกลิ่นอายสังหารบนตัวของหลี่โม่อย่างละเอียด หลังจากผ่านไปสักพักสีหน้าของเย่จงเทียนก็เป็นราวกับขี้เถ้า พูดเสียงแหบ “นี่ นี่ไม่ใช่กลิ่นอายสังหาร”“คุณพูดอะไร?” เว่ยหย่งมองเย่จงเทียนอย่างสงสัยสายตาที่เย่จงเทียนมองหลี่โม่เปลี่ยนเป็นเลื่อมใส ความทรงจำในอดีตที่ฝุ่นจับถูกเปิดออก การต่อสู้ของภูเขาเหล่าวาเข้ามาในหัวของเย่จงเทียนตอนนี้คนลึกลับที่มีกลิ่นอายสังหารในแบบที่เหมือนกันกับบนตัวของหลี่โม่ ช่วยเย่จงเทียนป้องกันภูเขาเหล่าวาไว้ถ้าไม่ใช่คนลึกลับคนนั้นที่มาปรากฏตัวในช่วงเวลาสำคัญ เย่จงเทียนก็คงกลายเป็นศพไปนานแล้ว“ฉันไม่รู้ว่าคุณจะใช่เขาหรือเปล่า แต่คุณกับเขามีกลิ่นอายที่เหมือนกัน ฉันเย่จงเทียนจะเชื่อฟังคำสั่งของคุณ ให้ตายยังไงก็ไม่มีทางให้ผู้คุ้มกันของท่านปาเข้ามาได้แม้แต่ก้าวเดียว ยกเว้นว่าพวกเขาจะข้ามศพฉันไป”ทัศนคติที่เย่จงเทียนมีต่อหลี่โม่เปลี่ยนไปท
ขบวนรถของท่านปาหยุดลงอย่างช้า ๆ เสียงเปิดและปิดประตูก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เหล่าผู้คุ้มกันลงจากรถราวกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ และมองไปยังแนวป้องที่พวกของเย่จงเทียนตั้งขึ้นด้วยสายตาระแวดระวัง "ระวังตัว!" หัวหน้าผู้คุ้มกันส่งเสียงคำราม พวกผู้คุมต่างใช้รถเป็นที่กำบังและเล็งปืนไปที่แนวป้องกันของพวกเย่จงเทียน ถึงขั้นยกเครื่องยิงบาซูก้าขึ้นมาจากรถคันด้านหลัง ทำให้เปลือกตาของฉินจี้เย่กระตุกยิก ฉินจี้เย่ยกมือขึ้นเหนือศีรษะ พยักหน้าและโค้งตัวมองไปที่รถเบนซ์กันกระสุนที่ห่างไปไม่ไกล รถเบนซ์กันกระสุนเสริมความยาว ความสูงและความหนา ใหญ่กว่ารถยนต์ทั่วไปขึ้นมาเท่าตัวและดูเหมือนกับสัตว์ร้ายตัวหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น “อย่าเพิ่งยิงครับ ไม่ต้องตึงเครียดไปครับ ผมขอคุยกับท่านปาสักหน่อยได้ไหม? ผมมาส่งข้อความแทนคุณหลี่ หลี่โม่ พวกเรามีอะไรพูดคุยกันดี ๆ เถอะครับ ถ้าต่อสู้กันขึ้น คนที่บาดเจ็บล้มตายไปก็มีแต่พี่น้องของตัวเองทั้งนั้นไม่ใช่เหรอครับ?” ฉินจี้เย่เข้าสู่การแสดงอย่างรวดเร็ว แม้ว่าขาทั้งสองข้างจะสั่นไม่หยุดแต่ปากของเขาก็กลับพูดได้อย่างคล่องแคล่ว การเผชิญหน้ากับท่านปา โดยเฉพาะอย่างยิ
“นายคงจะไม่กล้าหรอก ภายในประเทศนี้เป็นเขตอิทธิพลของแดนมังกร เดี๋ยวฉันจะคิดบัญชีเรื่องที่นายเป็นหนอนบ่อนไส้อีกที ไหนบอกมาสิว่าหลี่โม่ให้นายมาบอกอะไร” "หลี่โม่บอกว่าให้คุณพาผู้คุ้มกันเข้าไปพบเขาได้แค่สองคนเท่านั้น เกินมาแค่คนเดียวก็ไม่ได้ แน่นอนว่าข้างในมีหลี่โม่อยู่แค่คนเดียวครับ ไม่มีใครอีกแม้แต่คนเดียว ผมสาบานกับพระเจ้าได้เลย” หลังจากฉินจี้เย่พูดจบก็มองไปที่ท่านปาอย่างระมัดระวังและรอคำตอบจากท่านปา ท่านปาหลับตาพลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกว่าไหน ๆ ก็มาแล้วถ้าไม่กล้าไปพบหลี่โม่ในเวลานี้ก็คงจะกลายเป็นตัวตลกที่น่าหัวเราะแน่ "จู๋รื่อกับฮั่นซานไปกับฉัน พวกนายที่เหลือคอยคุ้มกันอยู่ข้างนอก" หัวหน้าผู้คุ้มกันพูดอย่างเคร่งเครียด "ท่านปา ไม่ได้นะครับ ให้พวกเราบุกเข้าไปดีกว่าครับ" “บุกอะไรกัน เรื่องเล็ก ๆ แค่นี้มีอะไรน่ากลัวล่ะ” ท่านปาเปิดประตูรถออกมา จู๋รื่อกับฮั่นซานยืนคุ้มกันขนานอยู่ข้าง ๆ ท่านปา ทั้งสองร่างสูงใหญ่กำยำ ดวงตาส่องประกายวูบวาบราวกับเสือดุ "ผมจะนำทางให้เองครับ" ฉินจี้เย่เดินนำอยู่ข้างหน้าพร้อมกับโค้งตัวเล็กน้อย คอยนำทางอยู่ข้างหน้าท่านปาเหมือนกับคนรับใช้อย่างไ
หลี่โม่ส่ายหัว เขาไม่สนใจสิ่งที่ท่านปาพูดเลยแม้แต่น้อย สำหรับหลี่โม่แล้วความแตกแยกของแดนมังกรนั้นเป็นไปไม่ได้เลย “ผมจะให้โอกาสคุณมาภักดีต่อผม หวังว่าคุณจะคว้ามันไว้ได้” หลี่โม่กล่าวเอ่ยอย่างเรียบเฉย "กล้านัก! พูดอย่างนั้นกับท่านปาได้ยังไง!” จู๋รื่อเผยสายตาดุร้ายจ้องเขม็งไปที่หลี่โม่อย่างเอาเป็นเอาตาย หลังของเขาโค้งลงเล็กน้อยเหมือนกับเสือชีตาห์ที่เตรียมออกล่า "ฮ่าฮ่าฮ่า" ท่านปาแหงนหน้าหัวเราะลั่น “คำพูดที่โง่เขลาแบบนี้นายก็ยังเอ่ยออกมาได้ ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่านายไปเอาความมั่นใจมาจากไหน หรือจะบอกว่านายเป็นไอ้ขยะมาหลายปีจนสมองมีปัญหาไปแล้วจริง ๆ” “คนที่สมองมีปัญหาก็คือคุณ ถ้าหากคุณไม่มาภักดีตอบผม ต่อไปคุณจะต้องเสียใจกับการเลือกในวันนี้แน่” หลี่โม่กล่าวอย่างหนักแน่น ท่านปาเบ้ปากอย่างดูถูก พร้อมกับส่ายหัวแล้วพูดว่า "นายมันช่างไร้เดียงสาจริง ๆ ดูการ์ตูนมากเกินไปหรือเปล่า? คิดว่านายมีอำนาจบารมี แค่ไปข่มขู่ใครก็ทำให้คนอื่นยอมก้มหัวบูชาได้จริง ๆ งั้นเหรอ?" “จู๋รื่อ นายไปสั่งสอนเขาสักหน่อยซิ อัดจนกว่าเขาจะคุกเข่าร้องหาพ่อไปเลย” ท่านปามองไปที่หลี่โม่อย่างเย็นชา สีหน้าพลันเย็นเยื
ท่านปาเหล่มองหลี่โม่ ยิ่งคิดก็ยิ่งสับสน เขาคิดไม่ออกเลยว่าหลี่โม่มาถึงขั้นนี้ได้อย่างไร บางทีอาจเป็นเพราะมีพลังอันแกร่งกล้าเช่นนี้อยู่หลี่โม่ก็เลยกล้ายโสโอหังแบบนี้ใช่ไหม? ฮั่นซานก้าวไปข้างหน้าและยืนเบี่ยงไปด้านหน้าท่านปา เพื่อให้สามารถสกัดการโจมตีของหลี่โม่ได้ในทันทีโดยที่ไม่บดบังสายตาของท่านปาด้วย หลี่โม่กลับไม่รู้สึกโมโหอะไรแม้แต่น้อยและก้มหน้าลงมองไปที่จู๋รื่อด้วยรอยยิ้ม "แกอยากรู้ไหมว่าเพราะอะไร? จริง ๆ แล้วมันง่ายมาก ส่วนใหญ่เป็นเพราะพรสวรรค์ ฉันมีพรสวรรค์ที่ไม่มีใครเทียบได้ซึ่งพระเจ้ามอบให้ แค่อ่านหนังสือไปเรื่อยเปื่อยก็เก่งกาจได้ขนาดนี้แล้วน้่นแหละ” จู๋รื่อนึกอยากจะร้องไห้ขึ้นมา แค่อ่านหนังสือไปเรื่อยเปื่อยก็เก่งกาจขนาดนี้ มันไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย จู๋รื่อหมั่นมานะฝึกฝนอย่างหนักมาเป็นสิบยี่สิบปีถึงสามารถเป็นได้อย่างตอนนี้ เขาไม่เชื่อสิ่งที่หลี่โม่พูดเลยสักนิด ต่อให้เป็นนักเรียนหัวกะหิที่ความจำดีแค่ไหนถ้าหากบรรลุได้ถึงขนาดนี้ ก็ต้องใช้ความพยายามอย่างมากเหมือนกัน! "หลี่โม่ นายคิดว่าจะบังคับให้ฉันยอมจำนนได้ด้วยกำลังงั้นเหรอ? ฉันไม่ใช่พวกขี้ขลาดกลัวตายนะ!" ท่านปาเอ่ยอย่า
"เหลียงอวี้ เหลียงอวี้ รีบมาช่วยฉันเร็วเข้า!" ท่านปาบังคับตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งและตะโกนเสียงดังลั่น เงาร่างหนึ่งแวบผ่านไปอย่างรวดเร็วในเงามืดที่อยู่ไม่ไกล เหลียงอวี้ที่สวมชุดนินจาสีดำปรากฏตัวขึ้นข้างกายท่านปา “ท่านปาอย่าตกใจไป เหลียงอวี้อยู่ที่นี่แล้ว” เหลียงอวี้ดึงกริชที่เหน็บอยู่ที่เอวออกมา แล้วจ้องมองที่หลี่โม่ด้วยดวงตาเป็นประกาย "นินจาหญิงเหรอ? น่าสนใจนี่” มุมปากของหลี่โม่หยักโค้งเป็นรอยยิ้ม เขามองสำรวจเหลียงอวี้ด้วยแววตาขี้เล่น เหลียงอวี้ขมวดคิ้ว รู้สึกว่าแววตาของหลี่โม่กำลังดูหมิ่นตน "ท่านปา ได้โปรดออกไปก่อนเถอะค่ะ ปล่อยให้ที่นี่เป็นหน้าที่ของเหลียงอวี้เอง" เหลียงอวี้ไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะหลี่โม่ได้ แต่รู้สึกว่าตนสามารถถ่วงเวลาออกไปได้สักหน่อย “หลี่โม่ เวลาตายของนายมาถึงแล้ว เหลียงอวี้ ฆ่าเขาซะ ฉันจะออกไปรอฟังข่าวจากเธอ” ท่านปายืนขึ้นจากพื้นด้วยเสียงฮึดฮัด แล้ววิ่งหนีต่อไปอย่างตื่นตระหนก หลี่โม่ส่ายหน้า เขาอ้อมเหลียงอวี้แล้วไล่ตามท่านปาไป ร่างของเหลียงอวี้วาบหาย รีบตามย่างก้าวของหลี่โม่ไปเพื่อขวางทางเขาเอาไว้ "มีฉันอยู่ นายอย่าคิดว่าจะผ่านไปได้ง่าย ๆ เลย"
รอบ ๆ ไม่มีการเคลื่อนไหว ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในกระแสอากาศแม้แต่น้อย หลี่โม่จึงวางใจและเดินต่อไปข้างหน้า หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว ไม่มีอันตรายใด ๆ เกิดขึ้นทั้งสิ้น ดูราวกับว่านินจาสาวเหลียงอวี้ได้หนีไปแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าของท่านปาฉีกกว้างมากขึ้นเรื่อย ๆ คนที่เดินเข้ามาในเงาอย่างระมัดระวังเช่นนี้และพยายามหลีกเลี่ยงการโจมตีของเหลียงอวี้อย่างหลี่โม่ ท่านปาเคยเห็นมานักต่อนักแล้ว สองครั้งที่แล้วท่านปายังรู้สึกตื่นตระหนกเพราะพวกเขาเข้ามาใกล้ แต่หลังจากที่พวกมันกลายเป็นเหยื่อของเหลียงอวี้ ท่านปาจึงยิ้มออกมาได้อย่างไม่สะท้าน ใกล้ตายแล้ว หลี่โม่สมควรตายแล้ว ขอแค่ก้าวไปข้างหน้าอีกเพียงสองก้าวเขาก็จะสิ้นชีพ! ในใจของท่านปาเต็มไปด้วยความคาดหวัง อยากจะเห็นสภาพที่หลี่โม่ตาย หลี่โม่ดูเหมือนจะผ่อนความระมัดระวังลง ฝีเท้าก็พลันเร่งขึ้นอย่างกะทันหัน และพุ่งไปหาท่านปาอย่างรวดเร็ว จู่ ๆ ลำแสงเย็นเยือกก็ปรากฏขึ้นที่ด้านหลังหลี่โม่ เหลียงอวี้ปรากฏตัวขึ้นข้างหลังหลี่โม่ มีดสั้นแหวกอากาศอย่างไร้ซุ่มเสียงและแทงเข้าที่หลังของหลี่โม่ "ฮ่าฮ่าฮ่า" ท่านปาอ้าปากหัวเราะร่า ท่าทางราวกับได้เห็นหลี่โม่ถูกแท
โอสถคร่าวิญญาณเป็นพิษในตำนาน หลังจากที่กินเข้าไปแล้ว จะต้องกินยาแก้พิษทุก ๆ ครึ่งเดือน หากไม่มียาแก้พิษ คนที่กินโอสถคร่าวิญญาณเข้าไปเลือดจะไหลออกจากทวารทั้งเจ็ดจนสิ้นชีพและก่อนตายจะต้องเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัส ว่ากันว่าวิธีการกลั่นและสูตรยาแก้พิษของโอสถคร่าวิญญาณได้สูญหายไปหมดแล้ว เพียงแต่ในคลังสมบัติของแดนมังกรยังมีอยู่ในจำนวนน้อยนิดเท่านั้น ท่านปาไม่คาดคิดว่าเฉียนฝูจะสามารถช่วยหลี่โม่เอาสิ่งเหล่านี้ออกมาได้และยิ่งไม่คาดคิดว่าหลี่โม่จะให้ตนกินโอสถคร่าวิญญาณ เมื่อรู้สึกถึงความร้อนที่ไหลลงสู่ช่องท้องของเขา ท่านปาก็รู้สึกไม่สบายไปทั้งตัว นับจากนี้ไปชีวิตของเขาได้อยู่ภายใต้การควบคุมของหลี่โม่แล้ว ความรู้สึกนี้ทำให้จิตวิญญาณของท่านปาพังทลายลงอย่างสมบูรณ์ “นายจะทำอะไรกันแน่ มีอะไรจะพูดก็พูดกันดี ๆ ไม่ได้เลยรึไง! ทำไมต้องเอาของแบบนี้มาให้ฉันกินด้วย!” “คุณต่างหากที่ไม่ยอมพูดดี ๆ มีแต่ต้องเอาของแบบนี้ให้คุณกินเท่านั้นถึงจะคุยกันดี ๆ ได้ไม่ใช่เหรอ?” หลี่โม่ตบแก้มของท่านปาเบา ๆ ท่านปากัดฟันและจ้องไปที่หลี่โม่ราวกับจะกินเลือดกินเนื้ออยู่สองสามวินาที จากนั้นร่างของเขาค่อย ๆ ค่อมงอลงเห
คังหย่งอันกดหมายเลขของคังหย่งเฉียน แล้วพูดเสียงเข้ม "หย่งเฉียน ฉันได้ยินมาว่า แกกับเหวินซินมีปัญหากันเรื่องวิลล่าบนยอดเขาเหรอ?" “พี่ใหญ่ มีปัญหากันน่ะสิ ศิษย์พี่เกิ่งยังถูกทำร้ายจนเข่าหักแล้ว! ศิษย์พี่เกิ่งติดต่อกับอาจารย์โอวหยางไปแล้ว เรื่องนี้อภัยให้ไม่ได้แน่นอน!” คังหย่งเฉียนโกรธแค้นคังเหวินซิน ถ้าไม่ใช่เพราะคังเหวินซินพาหลี่โม่ไปที่นั่น เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น แต่ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว คังหย่งเฉียนเองก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ทำได้เพียงเอาความโมโหไปลงที่คังเหวินซินเท่านั้น “หย่งเฉียน ไม่ว่ายังไงก็ตาม แกต้องรับรองความปลอดภัยของเหวินซิน ฉันไม่สนว่า อาจารย์โอวหยางพวกเขาจะทำอะไรกับเพื่อนของเหวินซิน แต่พวกเขาจะทำร้ายเหวินซินไม่ได้เด็ดขาด!” “พี่ใหญ่ ฉันไม่กล้ารับประกันหรอก รับประกันได้แค่ลูกชายของพี่จะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงตายเท่านั้น ถ้าอาจารย์โอวหยางต้องการลงโทษลูกชายของพี่จริง ๆ ฉันจะไปขวางได้ยังไง ฉันขวางไม่ได้หรอก ไม่กล้าขวางด้วย!" คังหย่งอันขมวดคิ้วแน่น หากคังหย่งเฉียนอยู่ต่อหน้าคังหย่งอันในตอนนี้ คังหย่งอันจะต้องตบเขาให้ตายคามือแน่นอน “หย่งเฉียน! แกเป็นอาข
“ไอ้บัดซบเอ๊ย! ใครกล้ามาต่อกรกับฉันโอวหยางจื้อ มันผู้นั้นจะต้องตาย!” โอวหยางจื้อพึมพำอย่างด้วยความอาฆาตแค้น แล้วสั่งให้ลูกศิษย์ไปจองตั๋วเครื่องบิน ...... คังเหวินซินมาส่งหลี่โม่และคนอื่น ๆ ที่บ้าน หลังจากมองดูทั้งสามเดินเข้าไปข้างในแล้ว จึงสตาร์ทรถและขับออกไปอย่างช้า ๆ “อาเล็กถูกจัดการจนหมดท่าแล้ว ต้องบอกพ่อสักคำไหมนะ อาเล็กจะได้ไปตีไข่ใส่สีอีก” หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง คังเหวินซินก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดหมายเลขพ่อของเขาคังหย่งอัน “ฮัลโหล พ่อครับ ผมเพิ่งจะขายวิลล่าบนยอดเขาที่สวนหนานชุ่ยให้เพื่อผมไป ขายราคาต้นทุนน่ะครับ” คังหย่งอันขมวดคิ้ว "นั่นเป็นวิลล่าที่อาเล็กของแกจะเอาไม่ใช่เหรอ แกเอาไปให้เพื่อนได้ยังไง? ผู้จัดการฝ่ายขายว่ายังไงบ้าง?" คังเหวินซินอึ้งครู่หนึ่ง รู้สึกถึงความผิดปกติในคำพูดของคังหย่งอัน "พ่อ พ่อรู้ได้ยังไงว่าอาเล็กอยากได้วิลล่านั่น?” “อาเล็กของแกเคยบอกพ่อว่า วิลล่าหลังนั้นเป็นของขวัญที่เขาจะเก็บไว้ให้กับปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ในต่างประเทศโอวหยางจื้อ แกคงเคยได้ยินเกี่ยวกับโอวหยางจื้อมาบ้างใช่ไหม? เขาเคยรับหน้าที่เป็นผู้กำกับฉากแอ็คชั่นให้กับภาพย
ในแผนกดูแลพิเศษของโรงพยาบาล คังหย่งเฉียนและคนอื่น ๆ นั่งล้อมรอบเตียง มองดูพี่เกิ่งค่อย ๆ ฟื้นคืนสติ เข่าที่หักของพี่เกิ่งได้รับการผ่าตัดแล้ว แต่หลังการผ่าตัด พี่เกิ่งจะได้แต่นั่งอยู่บนรถเข็นเท่านั้น “ซี๊ด ขากับเข่าฉันเป็นยังไงบ้าง?” พี่เกิ่งถามอย่างร้อนใจ “ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวล ผ่าตัดเสร็จแล้ว เพียงแต่ระดับการรักษาของที่นี่ยังต่ำไปหน่อย หลังจากฟื้นตัวแล้วพี่ต้องนั่งรถเข็น” คังหย่งเฉียนพูดเสียงเบาหวิว “ไอ้บัดซบ! ฉันไม่อยากนั่งรถเข็น! ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้!” พี่เกิ่งคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว รู้สึกเลวร้ายไปทั้งร่างกาย ชีวิตบนรถเข็น ไม่ใช่ชีวิตที่พี่เกิ่งต้องการเลย ถ้าต้องนั่งรถเข็นแล้ว ต่อไปจะฝึกศิลปะการต่อสู้ หรือออกไปรังแกคนอื่นอย่างไร แล้วจะไปจีบสาว ๆ ได้อย่างไร! “ฉันจะย้ายโรงพยาบาล ฉันจะไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลที่ดีที่สุด!” “พี่เกิ่งอย่าเพิ่งตื่นตูม หมอบอกว่า รอพี่ฟื้นตัวดีแล้ว ก็สามารถทำการผ่าตัดครั้งที่สองในโรงพยาบาลที่ดีกว่านี้เพื่อเปลี่ยนข้อต่อเทียมได้” คังหย่งเฉียนปลอบใจพี่เกิ่งไปพลางก็ขยิบตาให้กับพวกพี่น้องคนอื่น ๆ ส่งสัญญาณให้พวกเขารีบมาช่วยกันโน้มน้าว ศิษย์พี่ห
พี่เกิ่งร้องโหยหวนออกมา รู้สึกว่าขาซ้ายพลิกกลับไปด้านหลัง พลันสูญเสียการทรงตัวและล้มหงายไปข้างหลังทันที พลั่ก พี่เกิ่งล้มหงายลงกับพื้น ปากก็ร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา คังหย่งเฉียนถูกกระตุ้นด้วยเสียงร้องของพี่เกิ่งจนตัวสั่นไปทั้งตัว เสียงวิ้ง ๆ ที่ดังอยู่ในหัวยิ่งชัดเจนขึ้นมาทันใด คังหย่งเฉียนกุมใบหน้าที่บวมแดงไปครึ่งหนึ่งมองไปทางศิษย์พี่เกิ่ง ดวงตาของคังหย่งเฉียนก็แทบจะหลุดออกจากเบ้า ศิษย์พี่เกิ่งที่คังหย่งเฉียนเคยคิดว่า แข็งแกร่งไร้เทียมทานนั้น ตอนนี้กำลังร้องคร่ำครวญราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังจะตาย เมื่อมองขาขวาของพี่เกิ่งหักงอในองศาที่ผิดธรรมชาติ คังหย่งเฉียนก็รู้สึกว่า เลือดทั่วร่างกายเย็นเฉียบขึ้นมา นี่เป็นเรื่องที่มนุษย์สามารถทำได้อย่างนั้นเหรอ? นี่เป็นผลลัพธ์ที่สามารถใช้กำปั้นทำได้เหรอ? นี่มันซูเปอร์ไซย่าในตำนานหรืออย่างไรกัน?! พวกศิษย์น้องของพี่เกิ่งหลายคนต่างหวาดกลัวกับความเผด็จการของหลี่โม่ ทั้งกลุ่มพลันหมดความโอหังไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาลากพี่เกิ่งขึ้นมาจากพื้นแล้ววิ่งตะบึงออกไปข้างนอกอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่คำพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในที่นี้คือศิษย์
คังเหวินซินรออยู่สามวินาที แต่ละวินาทีราวกับยาวนานเป็นปี รออยู่นานฝ่ามือของพี่เกิ่งก็ยังไม่ตบลงมาสักที คังเหวินซินจึงลืมตาขึ้น เมื่อเอียงหน้ามองเห็นฝ่ามือของพี่เกิ่งอยู่ห่างจากหน้าตนแค่เฉียดฉิว หัวใจของคังเหวินซินแทบจะกระโดดออกมาจากปาก หลังจากที่เห็นข้อมือของพี่เกิ่งถูกหลี่โม่คว้าไว้ คังเหวินซินถึงได้รู้สึกว่า หัวใจของตัวเองกลับเข้าที่ได้แล้ว คังเหวินซินที่สงบลงแล้ว รีบถอยไปหลบด้านหลังหลี่โม่ แล้วร้องตะโกนด้วยน้ำตาแห่งความซาบซึ้ง "อาจารย์!" “นายอย่าร้องไห้น่าสมเพชนักสิ มันทำฉันขายหน้านะ” หลี่โม่พูดด้วยรอยยิ้ม คังเหวินซินตะลีตะลานเช็ดเบ้าตา ไม่ยอมให้ตัวเองร้องไห้ออกมา พี่เกิ่งจ้องมองหลี่โม่อย่างโมโห แอบพยายามดึงข้อมือของตัวเองกลับมาอย่างลับ ๆ แต่ไม่ว่าพี่เกิ่งจะพยายามออกแรงแค่ไหน มือของหลี่โม่ก็ราวกับคีมปากเสือหนีบข้อมือของพี่เกิ่งเอาไว้แน่น จนข้อมือของพี่เกิ่งไม่มีทางสลัดหลุดได้เลย “ปล่อยมือฉัน!” พี่เกิ่งตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยว “แกบอกให้ปล่อยก็ต้องปล่อยเหรอ? แกน่าจะอธิบายเรื่องที่จะลงไม้ลงมือกับลูกศิษย์ฉันเมื่อกี้นี้มาสักหน่อยไหม?” หลี่โม่พูดอย่างเย็นชา คังเหวินซินส
กู้หยุนหลานมองไปยังหลี่โม่อย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นหลี่โม่ขยิบตาให้ เธอจึงไม่พูดอะไรและเก็บความสงสัยไว้ในใจ ผู้จัดการหวังโบกมือให้พนักงานขายสาว พนักงานสาวที่ถือสัญญาอยู่แล้วเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ผู้จัดการหวัง นี่เป็นสัญญาของวิลล่ายอดเขาค่ะ แต่ราคานี้มัน…” สีหน้าของพนักงานสาวดูบูดเบี้ยวเล็กน้อย ถ้าขายวิลล่านี้ออกไปในราคาต้นทุน เธอคงไม่ได้รับค่าคอมมิชชั่นเลยสักแดง! ที่ผ่านมาเศรษฐีในเมืองฮั่นจำนวนมากต่างก็ถูกใจวิลล่าแห่งนี้ แต่เพราะมีการปิดกั้นการซื้อขาย เลยไม่ได้ขายอย่างเป็นทางการ เดิมทีพวกพนักงานสาวนั้นเตรียมพร้อมที่จะทำกำไรมหาศาลด้วยการขายวิลล่าหลังนี้หลังจากที่เปิดการขายแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ความฝันของพวกเธอกำลังจะมลายหายไปซะแล้ว “พวกเธอมีสิทธิ์พูดงั้นเหรอ? นี่คือการตัดสินใจของคุณชายใหญ่!” ผู้จัดการหวังตำหนิพนักงานขายสาว พนักงานสาวหดคอและปิดปากเงียบไม่กล้าพูดอีก ผู้จัดการหวังเปิดสัญญาตรวจดู หลังจากยืนยันความถูกต้องแล้ว เขาก็ถือสัญญาเดินไปหาหลี่โม่ “อ่านสัญญาดูก่อนนะครับ หากไม่มีปัญหาอะไร เราจะไปเซ็นสัญญาที่สำนักงานของผมกัน ผมไม่สามารถนำตราประทับอะไรพวกนั้นพกติดต
“คุณชาย อย่ามาขู่ผมเลยครับ ผมไม่กลัวหรอกนะ สิ่งที่ผมพูดไปเมื่อครู่ล้วนมีเหตุมีผล หากไม่เชื่อก็ถามซินแสที่มาดูฮวงจุ้ยให้ได้เลยครับ คำพูดพวกนี้เขาเป็นคนพูดเองกับปากทั้งนั้น” ผู้จัดการหวังแข็งขืน ไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย หลี่โม่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม "เหวินซิน อย่าหุนหันพลันแล่น ผู้จัดการหวังพูดถูกแล้ว คนที่โชคชะตาบารมีไม่ถึง ไม่มีทางข่มพลังฮวงจุ้ยอันยอดเยี่ยมได้แน่นอน” คังเหวินซินพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม "อาจารย์พูดถูกแล้วครับ แต่ด้วยบารมีของอาจารย์ จะต้องสามารถข่มมันได้อย่างแน่นอน พวกเรามาดูกันดีกว่า ที่นี่ล้วนได้รับการตกแต่งอย่างดี คุณหิ้วกระเป๋าเข้ามาอยู่ได้เลย เหลือแค่ดูว่าวิลล่าหลังนี้ถูกใจคุณหรือเปล่าก็พอครับ” เมื่อเห็นคังเหวินซินพยายามเอาอกเอาใจหลี่โม่ ผู้จัดการหวังก็เกิดความสงสัยเล็กน้อย หรือว่าตนจะมองผิดไป? ผู้ชายที่สวมเสื้อผ้าแผงลอยทั้งตัวคนนี้ เป็นคุณชายเศรษฐีที่มาลองสัมผัสประสบการณ์ชีวิตงั้นเหรอ? ไม่อย่างนั้นทำไมคุณชายของตนถึงได้ไปประจบเอาใจเขาขนาดนี้กัน? “คุณชาย ท่านนี้คืออาจารย์ของคุณเหรอครับ?” ผู้จัดการหวังถามอย่างสงสัย “นี่คืออาจารย์ของฉันหลี่โม่ นายสุภาพกับอาจารย์ของฉัน
“ไอ้สารเลวคนไหนไม่ดูตาม้าตาเรือ กล้ามาแย่งวิลล่าของอาจารย์ พวกแกยังมัวแต่กินอะไรกันอีก ไปดูด้วยกัน จัดการไอ้พวกสารเลวนั่นซะ” “ศิษย์พี่เกิ่งพูดถูก พวกเราทุกคนต้องไปดูด้วยกัน บ้านของอาจารย์ต้องดีที่สุดเท่านั้น จะผิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว” ศิษย์พี่เกิ่งและคนอื่น ๆ พากันลุกขึ้นทีละคน เมื่อเห็นเช่นนี้คังหย่งเฉียนก็เรียกให้พนักงานคิดเงินทันที แล้วจึงพาพวกของศิษย์พี่เกิ่งมุ่งตรงไปยังสวนหนานชุ่ย ... รถเมอร์เซเดสเบนซ์ขับเข้าไปในสวนหนานชุ่ย และขับตรงไปตามทางขึ้นยอดเขา ใกล้กับยอดเขาของเขาหนานชุ่ยนั้นมีที่ราบอยู่บริเวณหนึ่ง ที่ราบนี้ถูกนำมาใช้สร้างวิลล่า พร้อมทั้งปลูกต้นไม้พืชพรรณเขียวชอุ่มรอบ ๆ วิลล่าอีกด้วย ด้านหน้าวิลล่ายังมีลำธารที่ไหลมาจากยอดเขา ทำให้ฮวงจุ้ยของวิลล่านี้ยอดเยี่ยมมากไร้ที่ติ หน้าน้ำหลังเขา ตำแหน่งปากมังกรจัดวางฮวงจุ้ยอย่างดี ทำให้วิลล่าบนยอดเขาหลังนี้เลิศล้ำไม่มีใครเทียม รถเมอร์เซเดสเบนซ์จอดสนิทหน้าประตูวิลล่ายอดเขา ผู้จัดการหวังและพนักงานขายสาวสองคนยืนรอที่ประตูวิลล่าอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นรถเบนซ์จอดนิ่ง ผู้จัดการหวังก็รีบวิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปช่วยเปิดประตูรถ
ผู้จัดการหวังหยิบบุหรี่ออกมาคาบที่มุมปาก เตรียมจะสูบบุหรี่เพื่อสงบสติอารมณ์ คำขอของคังเหวินซินทำให้ผู้จัดการหวังตั้งตัวไม่ติด การจะดูบ้านมันไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าอีกฝ่ายถูกใจขึ้นมาจริง ๆ จะทำอย่างไรล่ะ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องราคาต้นทุนหรือเปล่า ถ้าคังหย่งเฉียนเข้ามาครอบครองวิลล่าหลังนี้ เขาก็คงไม่ได้เงินเลยสักแดงเดียว พอนึกถึงคังหย่งเฉียนขึ้นมาผู้จัดการหวังรู้สึกปวดจี๊ด ๆ ขึ้นมา เจ้านั่นเป็นปีศาจเจ้าสำราญแห่งตระกูลคัง วัน ๆ เอาแต่เกียจคร้าน กินดื่มเที่ยวเล่น ยิ่งกว่านั้นยังคบค้ากับพวกอันธพาล ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสตระกูลคังก็ยังถูกคังหย่งเฉียนยั่วโมโหจนเส้นเลือดในสมองตีบ แทบทุกคนในตระกูลคังล้วนทำเป็นไม่สนใจคังหย่งเฉียน ตราบใดที่คังหย่งเฉียนไม่ได้ก่อปัญหา ก็ไม่มีใครสนใจว่า คังหย่งเฉียนจะทำอะไร ถ้าหากยกวิลล่าให้เพื่อนของคังเหวินซินจริง ๆ คังหย่งเฉียนคงจะพาคนมาสับเขาเป็นชิ้น ๆ ถึงที่แน่ หลังจากสูบบุหรี่หมดมวน ผู้จัดการหวังก็ขยี้ก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ รู้สึกว่ายังไงก็ควรแจ้งให้คังหย่งเฉียนรู้สักหน่อย ส่วนคังหย่งเฉียนจะต่อสู้กับคังเหวินซินอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องระหว่างพวกเขา