กู้ซิ่งเหว่ยที่อยู่ในห้องทำงานข้าง ๆ ได้ยินเสียงข้างนอกฟังดูผิดปกติจึงแอบโผล่หัวออกไปดู เห็นกลุ่มนักมวยยืนอย่างกระอักกระอ่วนอยู่หน้าประตูห้องทำงานของกู้หยุนหลานก็พลันตกอยู่ในความงงงัน นักมวยอาชีพพวกนี้เองก็ไม่ได้เรื่องเหมือนกันเหรอ? แต่ละคนแพ้ให้กับหลี่โม่เสียแล้วเหรอ? ยังดีที่พี่ซานไม่ได้ออกมาด้วย บางทีพี่ซานอาจจะสามารถจัดการเจ้าหลี่โม่ได้ก็ได้ เขาเป็นถึงยอดฝีมือที่จ้างมาเป็นล้านเชียวนะ หวังว่าจะใช้การได้บ้างแหละ กู้ซิ่งเหว่ยกำลังภาวนาอยู่ในใจ เมื่อเขาได้ยินเสียงคำรามของพี่ซาน เขาก็อยากจะเข้าไปดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งในที่สุดความอยากรู้อยากเห็นก็มีมากกว่า กู้ซิ่งเหว่ยแอบย่องออกจากห้องทำงาน เขายืนอยู่ข้างหลังนักมวยร่างกำยำแล้วยื่นหัวมองเข้าไปในห้องทำงานของกู้หยุนหลาน พี่ซานชกหมัดซ้ายไปที่แก้มของหลี่โม่ หลี่โม่เบี่ยงตัวหลบไปด้านข้าง กู้ซิ่งเหว่ยกำมือทั้งสองข้างแน่น ในใจอดรู้สึกเสียดายแทนพี่ซานไม่ได้ ถ้าหมัดเมื่อครู่ต่อยโดนหลี่โม่ น่ากลัวว่าสมองสุนัขของหลี่โม่คงถูกซัดกระเด็นออกมาแน่ แต่การโจมตีต่อเนื่องอย่างรวดเร็วของพี่ซานสร้างความมั่นใจให้กู้ซ
ตึงเครียด เสียใจ และหวาดกลัว ดวงตาของกู้ซิ่งเหว่ยเกิดน้ำตารื้นขึ้นมา ถ้ารู้ว่าผลลัพธ์จะเป็นแบบนี้กู้ซิ่งเหว่ยจะไม่มีทางไปหาพี่ซานแน่ แต่ในตอนนี้ไม่มีคำว่าถ้าอีกแล้ว พี่ซานมองหลี่โม่ด้วยดวงตาแดงก่ำ ในใจไร้ซึ่งความคิดที่จะต่อต้านแม้แต่น้อย พี่ซานที่เคยเจอกับผู้แข็งแกร่งมาแล้วจึงเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า หากเผชิญหน้ากับผู้ไม่อาจเอาชนะได้ก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้ ไม่อย่างนั้นก็จะมีหนทางเดียวคือความตายเท่านั้น “คุณเก่งกาจมาก ผมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคุณเลย ได้โปรดไว้ชีวิตผมด้วยเถอะครับ” พี่ซานก้มหัวลงและเอ่ยขึ้น พวกนักมวยต่างมองดูพี่ซานด้วยความตื่นตะลึง พี่ซานผู้ซึ่งเคยแข็งแกร่งอย่างไม่มีผู้ใดเทียมถึงกับยอมก้มหัวทั้งยังร้องขอชีวิต ทั้งหมดนี้ดูน่าอัศจรรย์มาก หลี่โม่ชี้ไปทางกู้ซิ่งเหว่ยที่อยู่ข้างนอก “เขาเป็นคนพานายมาที่นี่เหรอ?" “ใช่ครับ ไอ้ลูกหมานั่นแหละ” พี่ซานมองไปยังกู้ซิ่งเหว่ยด้วยแววตาโกรธเกรี้ยว พี่ซานผู้ไม่กล้ามีความขุ่นเคืองต่อหลี่โม่แม้แต่น้อย เขาจึงเอาความโกรธทั้งหมดไปลงที่กู้ซิงเว่ย “นายน่าจะรู้นะว่าต้องทำยังไง” หลี่โม่เอ่ยอย่างเรียบเฉย “วางใจได้ ผมจะอัดไอ้ลูกหมานี
กู้ซิ่งเหว่ยถูกมัดมือทั้งสองข้างเอาไว้บนสังเวียน กลุ่มนักมวยล้อมรอบกู้ซิ่งเหว่ยเอาไว้ด้วยรอยยิ้มหยัน “พวกแก พวกแกจะทำอะไร อย่าทำร้ายฉันนะ ฉันไม่ทนมือทนเท้านักหรอก ปล่อยฉันไปเถอะ?” “ปล่อยแกน่ะเหรอ? ฝันไปเถอะ! แกเป็นคนที่คู่อริของฉันส่งมาเพื่อวางกับดักฉันโดยเฉพาะเลยใช่ไหม! มือของฉันมันเดี้ยงไปแล้ว การแข่งรอบต่อไปก็คงไม่สามารถเอาชนะได้อีกแล้ว!” พี่ซานเตะเก้าอี้อย่างรุนแรง เก้าอี้ไม้เนื้อแข็งก็แหลกเป็นเสี่ยง ๆ ทันใด เมื่อมองดูพี่ซานที่กำลังเดือดดาล วิญญาณของกู้ซิ่งเหว่ยก็แทบจะหลุดลอยไป “ไม่ใช่ ไม่ใช่นะครับ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคู่อริของคุณคือใคร ผมแค่ต้องการให้คุณช่วยจัดการไอ้คนไร้ประโยชน์หลี่โม่นั่นเท่านั้นเอง” "ถ้าเขาเป็นคนไร้ประโยชน์ แกก็คงเป็นขยะเปียกที่ไร้ประโยชน์ยิ่งกว่าเป็นหมื่นเท่า คนที่ฉันไม่สามารถเอาชนะได้ จะเป็นคนไร้ประโยชน์ได้ยังไง! อัดมันให้น่วม อัดจนกว่ามันจะกระอักเลือดออกมา” พี่ซานออกคำสั่ง เหล่านักมวยพลันหยิบกระสอบป่านหนา ๆ มาห่อบนร่างของกู้ซิ่งเหว่ยเอาไว้ จากนั้นก็เริ่มชกไปบนร่างกายท่อนบนของกู้ซิ่งเหว่ย ราวกับกำลังชกกระสอบทราย ผลัวะ ผลัวะ ผลัวะ เสียงของกำปั้
“อ๋อ เอ่อ ฉันจะมาถามว่าซิ่งเหว่ยอยู่ที่นี่กับเธอหรือเปล่า หรือว่าพวกเธอเห็นซิ่งเหว่ยบ้างไหม?” กู้เจี้ยนกั๋วถามอย่างกินปูนร้อนท้อง “ผมเจอเขาในช่วงก่อนเที่ยงคืนนะครับ แต่เขาถูกกลุ่มเพื่อนของเขาพาไปแล้ว ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเขาไปที่ไหน” หลี่โม่กล่าวด้วยรอยยิ้มบาง “เพื่อนของเขา? ไอ้เจ้าเด็กนั่นมันไปเถรไถลที่ไหนอีก? ไม่รู้จักบอกกันสักคำ” กู้เจี้ยนกั๋วบ่นพึมพำเล็กน้อยทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น กู้เจี้ยนกั๋วหยิบมือถือออกมาดูหมายเลขโทรเข้าเล็กน้อย มันเป็นหมายเลขหนึ่งที่ไม่คุ้นเคย “สวัสดีครับผมกู้เจี้ยนกั๋ว ไม่ทราบว่าใครโทรมาครับ” "จากโรงพยาบาลศูนย์ค่ะ คุณกู้ซิ่งเหว่ยเป็นลูกชายของคุณใช่ไหมคะ?” “ใช่ครับ ลูกชายผมเอง เขาไปอยู่โรงพยาบาลศูนย์ได้ยังไง เขาเป็นอะไรหรือเปล่าครับ?” กู้เจี้ยนกั๋วถามอย่างเคร่งเครียด “เขามีเลือดออกภายในรุนแรงมาก จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดด่วน คุณรีบมาที่โรงพยาบาลเพื่อเซ็นยินยอมก่อนการผ่าตัดด่วนเลยค่ะ มาให้เร็วที่สุดเลยนะคะ “ทำไมถึงมีเลือดออกภายในได้? มันคงไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตใช่ไหมครับ?” กู้เจี้ยนกั๋วตื่นตระหนกอย่างสมบูรณ์ “ไม่มีใครร
ตอนเที่ยง ณ โรงงานร้างแห่งหนึ่งย่านชานเมือง พื้นที่โดยรอบของโรงงานร้างเต็มไปด้วยหน่วยเฝ้าระวังทั้งในที่แจ้งและที่ลับ และดวงตาจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังจับตามองการเคลื่อนไหวรอบโรงงาน ฉินจี้เย่นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยสีหน้าจริงจังและมีคนสิบกว่าคนนั่งห่างจากเขาไปไม่ไกลด้วยสีหน้าต่างกันไป บางคนก็เย็นชามาก บางคนเกียจคร้าน บางคนช่างพูดอยู่ไม่นิ่ง ดูไปแล้วช่างแปลกประหลาด “คุณชายฉิน แล้วราชาทหารที่คุณพูดถึงนั่นล่ะ พวกเราล้วนเป็นนักฆ่าเลี่ยงชื่อทั้งนั้น ไม่มีภารกิจไหนที่เราไม่เคยทำ อย่าเอาผู้นำอ่อนหัดมาสั่งการพวกเรา ไม่อย่างนั้นพวกเราไปทำกันเองซะยังดีกว่า” นักฆ่าที่นั่งหลุกหลิกอยู่ตลอด ดูไปแล้วเหมือนกับเด็กไฮเปอร์คนหนึ่งพูดขึ้น “เว่ยหย่ง นายสำเหนียกฐานะตัวเองให้ดีจะดีกว่า อย่าลืมสิว่าใครเป็นคนจ่ายค่าจ้างให้นาย” บอดี้การ์ดของฉินจี้เย่เอ่ยด้วยใบหน้าเย็นชา “เฮ้ย แกมันก็แค่สุนัขข้างกายคุณชายฉินไม่ใช่รึไง ไม่ว่าฉันจะทำอะไร ถึงยังไงฉันก็พึ่งความสามารถของตัวเองทำมาหากิน ยังไงก็มีเกียรติมากกว่าหมาอย่างแกเยอะ” เว่ยหย่งกล่าวอย่างเหยียดหยาม บอดี้การ์ดโกรธมากจนจะเอื้อมมือไปชักปืน แต่ฉินจี้เย่ยั้
นักฆ่าอารมณ์ร้อนหลายคนตะโกนขึ้นว่าต้องการฆ่าหลี่โม่เพื่อระบายโทสะในใจ ฉินจี้เย่มองไปทางหลี่โม่ด้วยรอยยิ้ม “คุณหลี่ช่างสร้างเรื่องเก่งจริง ๆ คุณทักทายพวกเขาดี ๆ ไม่ได้เหรอครับ” “ก็แค่พวกกระจอก ทำไมฉันต้องทักทายด้วย” หลี่โม่กล่าวอย่างเรียบเฉย เว่ยหย่งส่งเสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว เขาหยิบมีดผ่าตัดออกมาจากกระเป๋าเสื้อ แล้วสะบัดข้อมือ มีดผ่าตัดกลายเป็นประกายแสงเย็นเยือกพุ่งไปยังหลี่โม่ เว่ยหย่งถือเป็นหนึ่งในสามอันดับต้นของนักฆ่ากลุ่มนี้ เมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ ที่ชอบใช้อาวุธร้อนอย่างพวกปืนแล้ว เว่ยหย่งชอบใช้อาวุธเย็นมากกว่า ซึ่งเขาชอบใช้อาวุธลับเป็นพิเศษ ไม่รู้ว่าเขาได้รับอิทธิพลมาจากเรื่องฤทธิ์มีดสั้นหรือเปล่า ทำให้เว่ยหย่งหมั่นฝึกฝนทักษะการใช้มีดบินอย่างหนัก แทบจะเรียกได้ว่าอัตราเข้าเป้าเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ โดยพื้นฐานหากได้สะบัดมีดบินออกไปแล้วก็ต้องได้เห็นเลือดกันบ้างล่ะ ครั้งนี้เว่ยหย่งรู้สึกว่ามันก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน ชั่วขณะที่มีดผ่าตัดพุ่งออกไป เว่ยหย่งก็เกิดรู้สึกว่าคราวนี้เขาโจมตีโดนหลี่โม่ได้อย่างแน่นอน และสั่งสอนบทเรียนให้กับไอ้เจ้าคนโอหังนี่สักหน่อย มีดผ่าตัดมีควา
ฉินจี้เย่ชำเลืองมองไปยังหลี่โม่แล้วมองไปทางเหอปิง ควันเบื้องหน้าของเหอปิงเบาบางลง เมื่อมองสีหน้าของเหอปิงผ่านม่านควันก็รู้สึกว่าใบหน้าของเหอปิงบิดเบี้ยวไปเล็กน้อย เว่ยหย่งและคนอื่น ๆ มองหลี่โม่ด้วยสายตาโกรธจัด คิดว่าหลี่โม่นั้นกำลังยั่วยุอย่างโจ่งแจ้ง “มันชักจะโอหังไปแล้ว พี่ปิงพวกเราทนไม่ได้แล้ว” เว่ยหย่งเอ่ยด้วยลำคอแหบแห้ง ควันสีขาวสองสายพ่นออกมาจากรูจมูกของเหอปิง ควันหนาทึบลอยอยู่ตรงหน้าเขา ดูราวกับว่าเขากำลังจะกลายเป็นเซียนอย่างนั้น “ไม่ต้องรีบร้อน การจัดการราชาทหารนั่นต่างหากที่เป็นสิ่งสำคัญที่สุด” เหอปิงดีดขี้บุหรี่ทิ้งแล้วพูดอย่างเฉยเมย “ส่วนเขา ค่อยจัดการตอนสุดท้าย” “ราชาทหารมีอะไรต้องกังวลกัน ตอนนี้ราชาทหารมียั้วเยี้ยอย่างกับสุนัข ทหารราชาสิบคนก็มีพวกไร้ความสามารถอยู่แปดคนแล้ว” เว่ยหย่งกล่าวอย่างไม่พอใจ เมื่อครู่เสียหน้าด้วยน้ำมือของหลี่โม่แล้ว เว่ยหย่งแทบทนรอกู้หน้าคืนมาไม่ไหว แต่เว่ยหย่งนั้นไม่สามารถเอามันกลับคืนมาเองได้ เขาจึงได้แต่ขอให้เหอปิงช่วยลงมือ เหอปิงแค่นหัวเราะเย็นชา สายตามองไปที่ฉินจี้เย่ “คุณชายฉิน คุณไม่ต้องปิดไว้แล้ว บอกภูมิหลังของราชาทหาร
สำหรับเย่จงเทียน หลี่โม่ก็ประหลาดใจเล็กน้อย เพราะว่าคนที่มีชีวิตอยู่แล้วมีตำนานได้มากขนาดนี้มีไม่กี่คนตึง ตึง ตึงเสียงฝีเท้าดังเป็นระเบียบราวกับเสียงกลองรบดังขึ้น คนกลุ่มหนึ่งใส่ชุดลายพราง พวกชายฉกรรจ์ที่มีกลิ่นอายสังหารกระจายไปทั่วทั้งตัวเดินเข้ามากลุ่มชายฉกรรจ์อีกด้านใส่ชุดฮาวาย เย่จงเทียนย่ำสเก็ตบอร์ด สูบไปป์และเดินอย่างช้า ๆภายใต้จังหวะการเดินที่เป็นระเบียบเรียบร้อยของพวกชายฉกรรจ์ เย่จงเทียนราชาทหารผู้นี้เห็นได้ชัดว่าเป็นราวกับนักเลง“โธ่ ทุกคนมาเร็วกันเอง เราไม่ได้มาสายใช่ไหม?”เย่จงเทียนหัวเราะร่าพลางพูดฉินจี้เย่รีบลุกขึ้น วิ่งเหยาะ ๆ ไปต้อนรับเย่จงเทียน“พี่เย่ พี่มาทันพอดีเลย ไม่เร็วไม่ช้าจนเกินไปหรอกครับ”ฉินจี้เย่พูดอย่างเอาใจนี่คือคนที่ผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลังส่งมา ฉินจี้เย่ไม่ต้องใช้สมองคิดก็รู้ว่าต้องประจบเย่จงเทียนให้ดีเย่จงเทียนตบแก้มของฉินจี้เย่เบา ๆ หัวเราะแล้วพูด “นายคือเสี่ยวฉินสินะ ใช่แล้ว ๆ พูดจาได้ดี คนของนายมาหมดแล้วสินะ พวกเขาไม่ศรัทธาในตัวฉันใช่ไหม?”“เอ่อ… ผมไปพูดกับพวกเขาได้ครับ พวกเขาต้องเชื่อฟังคำสั่งของพี่แน่นอน”ฉินจี้เย่พูดอย่างกังวล