“แกต่างหากที่หาที่ตาย คุณเฝิงเขายกคนมาถึงที่แล้ว แกยังไม่รู้จักความเป็นความตายอีก!” กู้ซิ่งเหว่ยจับข้อมือของหลี่โม่เอาไว้ มือทั้งสองข้างออกแรงบิดข้อมือของหลี่โม่ แต่ในฉับพลันที่ออกแรงนั้น ข้อมือของหลี่โม่กลับไม่ได้ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย ทันใดนั้นกู้ซิ่งเหว่ยก็เลือดเย็นเฉียบไปทั่วร่าง เมื่อนั้นจึงนึกถึงเรื่องที่หลี่โม่สู้กับพวกโจรเรียกค่าไถ่ด้วยตัวคนเดียวก่อนหน้านี้ขึ้นมา กู้ซิ่งเหว่ยเข้าใจดีว่าด้วยรูปร่างผอมบางเช่นนี้ของตน ต่อให้มีอีกสักสิบคนก็ไม่ใช่คู่มือของหลี่โม่ เมื่อมองไปยังกู้เจี้ยนเจียงส่งสายตาให้ตนอีกครั้ง เลือดที่เย็นเฉียบของกู้ซิ่งเหว่ยก็กลายเป็นเกล็ดน้ำแข็งทันที แม่งเอ๊ยติดกับแล้ว นึกไม่ถึงเลยว่ากู้เจี้ยนเจียงจะไม่ได้ลงมือ! “หลี่โม่ นี่ก็เพื่อคนในตระกูล ดังนั้นนายคุกเข่าลงเถอะ อย่าทำให้ทุกคนลำบากใจเลย” หลี่โม่หัวเราะเย็นชา เขาสะบัดข้อมือ สลัดมือของกู้ซิ่งเหว่ยออก ก่อนจะตบหน้ากู้ซิ่งเหว่ยไปหนึ่งฉาด กู้ซิ่งเหว่ยถูกหลี่โม่หวดใส่จนลอยกระเด็นออกไปราวกับเศษกระดาษ ทั้งร่างกระแทกเข้ากับกำแพง ก่อนจะค่อย ๆ ไถลร่วงลงมา ความเจ็บปวดอันรุนแรงนั้น ทำให้กู้ซิ่งเหว่ยสลบไปทันที
เหอลี่ฉวินและคนอื่น ๆ พากันเยาะเย้ย และความอดทนในใจของเฝิงจื่อไฉก็ได้หมดลง “พวกแกตระกูลกู้มันขยะเกินไปแล้ว ฉันว่าพวกเราจัดการกับไอ้ขยะนี่กันเองก็แล้วกัน” สีหน้าของกู้เจี้ยนกั๋วและกู้เจี้ยนเจียงต่างย่ำแย่ถึงขีดสุด ความไม่ร่วมมือของหลี่โม่ ทำให้ทั้งสองคนรู้สึกถึงวิกฤตอย่างรุนแรง คาดว่าหลังจากที่เฝิงจื่อไฉจัดการหลี่โม่แล้ว เขาคงจะยื่นเงื่อนไขโหดร้ายยิ่งขึ้น อย่างนั้นก็ไม่ต่างกับมอบทรัพย์สินของตระกูลกู้ให้กับคนอื่นแต่โดยดี แต่กู้เจี้ยนกั๋วและกู้เจี้ยนเจียงก็ไม่มีหนทางอื่นใด หากยั่วโมโหหลี่โม่และลงมือกับหลี่โม่ขึ้นมาจริง ๆ ชีวิตที่เหลือของกู้เจี้ยนกั๋วและกู้เจี้ยนเจียงก็คงจะต้องนอนอยู่บนเตียงไปตลอดชีวิต ในขณะที่พวกของเฝิงจื่อไฉกำลังบันดาลโทสะ คนตระกูลกู้กำลังจนปัญญา และพวกบอดี้การ์ดกำลังครั่นเนื้อครั่นตัวอยากลงมือ เสียงฝีเท้าอันพร้อมเพรียงก็พลันดังขึ้น เสียงฝีเท้านั้นไม่เพียงพร้อมเพรียงเป็นระเบียบ ทั้งยังดังกระหึ่ม เห็นได้ชัดว่ามีจำนวนคนไม่น้อย เฝิงจื่อไฉขมวดคิ้ว คิดในใจว่าเป็นคนที่ชูจงเทียนส่งมางั้นเหรอ? แต่ก็รู้สึกว่าไม่น่าจะใช่ ชูจงเทียนเพิ่งจะถูกลอบโจมตี แม้ว่าจะโชคดีหนีเอาช
เมื่อได้ยินคำพูดของซูเหวินเหมา กู้เจี้ยนกั๋วและกู้เจี้ยนเจียงก็ตะลึงงันโดยสมบูรณ์ นี่คือซูเหวินเหมางั้นเหรอ? เจ้าตระกูลซูแห่งเมืองหลวงที่ร่ำลือกัน! ตระกูลซูที่ครองธุรกิจบันเทิงครึ่งค่อนของเมืองหลวง! แต่ผู้นำตระกูลของตระกูลซู จะมารับโทษกับหลี่โม่ทำไมกัน? หลี่โม่มันเป็นแค่ขยะที่เกาะผู้หญิงกินเท่านั้น มันมีดีอะไรถึงทำให้ผู้นำตระกูลซูมารับโทษด้วยตัวเองได้! กู้เจี้ยนกั๋วและกู้เจี้ยนเจียงตัวสั่นสะท้าน รู้สึกไม่สบายตัวไปหมด สถานการณ์ตรงหน้านี้เกินกว่าความคาดหมายของพวกเขามากเกินไป ถึงขั้นที่ไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาสามารถจินตนาการถึงได้เลย “ผู้-ผู้นำตระกูลซู คุณ ทำไมคุณถึงมาขอรับโทษกับหลี่โม่ เขา-เขาเป็นแค่… แค่ขยะคนหนึ่งเท่านั้นนะ” กู้เจี้ยนเจียงพูดอย่างตะกุกตะกักไปหมด แต่ด้วยความสงสัยใคร่รู้ จึงอดไม่ได้ที่จะถามออกมา “หึ!” ซูเหวินเหมาแค่นหัวเราะอย่างเย็นชา โดยไม่ได้สนใจคำถามของกู้เจี้ยนเจียง หากเปลี่ยนเป็นสถานที่อื่น ถ้ามีคนกล้าถามคำถามแบบนี้ ซูเหวินเหมาคงให้บอดี้การ์ดกระทืบเขาให้ตายแน่ แต่ที่นี่ไม่เหมือนกัน เขามาเพื่อขอรับโทษกับหลี่โม่ หากทำการล่วงเกินให้หลี่โม่ไม่พอใจเพี
“จะเรียกมาได้ยังไงล่ะครับ ทั้งหมดเป็นเรื่องบังเอิญก็เท่านั้น” หลี่โม่เอ่ยอย่างราบเรียบ กู้เจี้ยนกั๋วและกู้เจี้ยนเจียงได้ยินคำพูดเหล่านี้ สายตาที่มองไปยังซูเหวินเหมาก็พลันเปลี่ยนไป และสงสัยอย่างยิ่งว่าซูเหวินเหมาตรงหน้าผู้นี้เป็นตัวปลอม “คุณเป็นนักแสดงที่หลี่โม่จ้างมาจริง ๆ เหรอ? แสดงได้เหมือนมากเลยนะ บอกมาสิว่าหลี่โม่จ่ายให้พวกนายเท่าไหร่ ฉันจะให้เป็นเท่าตัว ขอแค่นายเปิดโปงหลี่โม่ได้ก็พอ” กู้เจี้ยนกั๋วพูดด้วยรอยยิ้ม “มาพูดกับเจ้านายของเราได้ยังไง! อยากตายเรอะ!” ผู้ช่วยของซูเหวินเหมาตะคอกด้วยความโมโห แค่มาขอรับโทษก็อัปยศอดสูมากพอแล้ว แต่ยังไม่ทันขอรับโทษ ก็ถูกเย้ยหยันเสียก่อนแล้ว ซึ่งทำให้เหล่าลูกน้องซูเหวินเหมาต่างรู้สึกโมโหมาก ซูเหวินเหมาโบกมือไปมา ผู้ช่วยพลันก้มหน้าลงไม่พูดอะไรอีก “ซูเหวินเหมาจากตระกูลซูแห่งเมืองหลวงมาขอรับโทษกับคุณหลี่ ขอความกรุณาพบกับคุณหลี่สักครั้ง” ประตูของห้องประชุม ราวกับร่องแม่น้ำขวางกั้นก็ไม่ปาน หากยังไม่ได้รับการอนุญาตจากหลี่โม่ ซูเหวินเหมาก็ไม่กล้าเหยียบเข้าไปใบห้องประชุมแม้แต่ก้าวเดียว เพราะนี่คือธรรมเนียม หากเข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาต
ซูเหวินเหมากลิ้งเข้าไปในห้องประชุม แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความอัปยศอดสู แต่ต่อหน้าความแข็งแกร่งของหลี่โม่แล้ว เขาก็ยังคงรักษารอยยิ้มบางเอาไว้ ไม่กล้าเผยความรู้สึกภายในใจออกมาแม้แต่น้อย เมื่อเห็นว่ามีคนกลิ้งเข้ามาจริง ๆ พวกของเฝิงจื่อไฉต่างก็ตกตะลึงเล็กน้อย ก่อนจะพากันหัวเราะลั่นขึ้นมา “ไอ้ขยะนี่แกไปหานักแสดงมาจากไหนกันเนี่ย แสดงเก่งจริง ๆ ให้กลิ้งเข้ามา ก็กลิ้งเข้ามาจริง ๆ เสียด้วย ต่อไปฉันเองก็ต้องจ้างนักแสดงแบบนี้ไว้สักสองสามคน จะต้องเป็นเพื่อนรักจอมเสแสร้งแน่ ๆ” “เพื่อเงินแล้วมันออกจะไร้ยางอายไปหน่อยมั้ง ถ้าคนขี้ขลาดแบบนี้ยังเป็นผู้นำตระกูลซูได้ ฉันละอยากจะขำให้ดิ้นตาย” “นักแสดงคนนี้จ้างมาเท่าไหร่ล่ะ ฉันให้ราคาสิบเท่าเลย ขอแค่นายคลานเข้ามาเห่าให้ฉันสักสองคำก็พอแล้ว” พวกของเฝิงจื่อไฉเอาซูเหวินเหมามาล้อเลียนสนุกปาก ความโกรธเกรี้ยวทั้งหมดในใจของซูเหวินเหมาได้ย้ายไปยังพวกเฝิงจื่อไฉแล้ว “คุณหลี่ ผมกลิ้งเข้ามาแล้ว คนพวกนี้ไม่เคารพต่อคุณหลี่ คุณหลี่โปรดให้คนของผมช่วยระบายความขุ่นเคืองให้คุณหลี่เถอะครับ” ซูเหวินเหมายังรักษาท่าทางที่กลิ้งเข้ามาอยู่ พร้อมเอ่ยอย่างนอบน้อมและจริงใจ หล
“ผู้นำตระกูลซู พวกเราสำนึกผิดแล้ว เชิญสั่งสอนพวกเราได้ตามสบาย แต่อย่าไปถึงคนในครอบครัวเลย และหลังจากที่สั่งสอนพวกเราแล้ว ได้โปรดอย่าลงมือกับครอบครัวของเราเลยนะครับ” ซูเหวินเหมาหัวเราะอย่างเย็นชา ก่อนใบหน้าจะเปลี่ยนเป็นฉีกยิ้มสอพลอ เอ่ยกับหลี่โม่ว่า “คุณหลี่ บอกมาได้เลยครับว่าจะจัดการพวกเขายังไงดี? ต่อให้บอกให้ขุดรากถอนโคน ขอเพียงคุณพูดมาคำเดียว ผมก็จะให้คนไปกวาดล้างตระกูลของพวกเขาให้หมด” เฝิงจื่อไฉและคนอื่น ๆ ตัวสั่นงันงก เริ่มรู้สึกอยากจะร้องไห้ขึ้นมาแล้ว เดิมคิดจะมาอวดแสนยานุภาพ แต่ใครจะไปรู้ว่าดันมาชนเข้ากับกำแพงเหล็กเสียนี่ “ผู้นำตระกูลซู ท่านไม่จำเป็นต้องกำจัดให้สิ้นซากถึงขนาดนั้นก็ได้ หลี่โม่ แก แก...” เฝิงจื่อไฉไม่อาจพูดคำพูดต่อจากนั้นออกไปได้ เขาบาดหมางกับหลี่โม่ใหญ่โตขนาดนั้น ยามนี้จะให้ขอความเมตตาจากศัตรูคู่แค้น เฝิงจื่อไฉทำใจทำไม่ลงจริง ๆ หลี่โม่ดึงให้กู้หยุนหลานนั่งลง แล้วเอ่ยอย่างเชื่องช้า “นายจะสั่งสอนยังไงก็แล้วแต่เลย ถ้าทำให้ฉันเห็นความจริงใจของนายได้ก็จะดีที่สุด” ซูเหวินเหมาใจสั่นสะท้าน รู้ว่าเรื่องนี้จะต้องจัดการให้ดีให้ได้ หากจัดการไม่ได้ดั่งใจหลี่โม่ เกร
เมื่อเห็นซูเหวินเหมาที่คำรามราวกับราชสีห์กราดเกรี้ยว ในใจพวกเฝิงจื่อไฉก็ไม่อาจมีความคิดที่จะต่อต้านแม้เพียงนิด หากชูจงเทียนอยู่ที่นี่ บางทีพวกเฝิงจื่อไฉอาจจะยังต่อต้านอยู่บ้าง แต่น่าเสียดายที่พวกเขาได้เผชิญหน้ากับผู้นำตระกูลซูที่เป็นเหมือนสัตว์ประหลาดมหึมา “โขก โขกให้แรง ๆ !” เฝิงจื่อไฉกัดฟันตะโกนบอกกับพวกเหอลี่ฉวินที่อยู่ข้าง ๆ เหอลี่ฉวินและคนอื่น ๆ ทำตามเฝิงจื่อไฉ โขกหัวคำนับให้หลี่โม่สุดแรง หน้าผากกระแทกกับพื้นส่งเสียงดัง ตึง ตึง ครั้งแล้วครั้งเล่า โขกแล้วโขกอีก หน้าผากของพวกเฝิงจื่อไฉเคล้าไปด้วยเลือด บนพื้นถูกพวกเขาโขกจนเป็นรอยเปื้อนเลือด กู้เจี้ยนกั๋วและคนอื่น ๆ มองจนอกสั่นขวัญหาย สายตาเพ่งมองไปที่ตัวหลี่โม่ไม่หยุด ในใจคาดเดาว่าระหว่างหลี่โม่และซูเหวินเหมานั้น เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ซูเหวินเหมายืนอยู่ข้างกายหลี่โม่ โดยที่เอวยังรักษาท่าเคารพโค้งสามสิบองศาเอาไว้ ไม่ได้แตกต่างไปจากยามที่ขันทีรับใช้ฮ่องเต้ในวังเลย ในใจกู้หยุนหลานมีความคิดหลายอย่างผุดขึ้นมาอย่างไม่ขาดสาย คาดเดาว่าที่ซูเหวินเหมาเป็นเช่นนั้นต้องมีความเกี่ยวข้องกับฝูเฉียนแน่ แต่ระหว่างฝูเฉียนกับหลี่โม่ พ
แต่เฝิงจื่อไฉไม่กล้าที่จะปฏิเสธแม้แต่น้อย แค่สามารถทำให้ออกไปได้นั่น ก็ถือว่าทำได้ดีมากแล้วทีเดียว “งั้นฉันกลิ้งแล้ว พวกนายก็ต้องกลิ้งเหมือนกัน แล้วก็พวกคนคุ้มกัน พวกแกก็ต้องกลิ้งตามฉันไปด้วย!”เฝิงจื่อไฉพูดกับเหอลี่ฉวินและบอดี้การ์ด ไหน ๆ เขาก็เสียหน้าไปแล้ว เฝิงจื่อไฉไม่ต้องการที่จะเสียหน้าไปมากกว่านี้ เขาปล่อยให้ลูกน้องของเขาเห็นเรื่องตลกพวกนี้ไม่ได้ เขาต้องพาลูกน้องออกไปด้วยกันเหอลี่ฉวินและคนอื่น ๆ ได้ถูกโลกนี้ให้บทเรียน โดยรู้ว่าไม่มีประโยชน์ที่จะต่อสู้ พวกเขาทั้งหมดลงไปนอนกองกับพื้นพร้อมกับเฝิงจื่อไฉ พยายามที่จะกลิ้งตัวออกไปทีละคนแม้ว่าผู้คุ้มกันจะไม่เต็มใจ แต่ภรรยาและลูก ๆ ของพวกเขาล้วนอยู่ในจินไห่ หากพวกเขาไม่ปฏิบัติตาม เกรงว่าทั้งครอบครัวจะต้องได้รับความเดือดร้อนดังนั้นคนคุ้มกันจึงนอนลง และกลิ้งตัวออกไปด้วยกัน “อ๊ะ! เจ็บ ทำไมมันเจ็บแบบนี้ว่ะ” เฝิงจื่อไฉสัมผัสบาดแผลขณะกลิ้ง และเหงื่อก็ไหลออกมาจากความเจ็บปวดความเสียใจไม่รู้จบปะทุขึ้นในหัวใจของเฝิงจื่อไฉ รอให้อาการบาดเจ็บของเขาหายดีแล้วค่อยกลับมาแก้แค้นหลี่โม่ เขาจะได้ไม่ต้องพบกับซูเหวินเหมา หรือต่อให้ได้พบซูเหวินเ