เมื่อได้ยินคำพูดของซูเหวินเหมา กู้เจี้ยนกั๋วและกู้เจี้ยนเจียงก็ตะลึงงันโดยสมบูรณ์ นี่คือซูเหวินเหมางั้นเหรอ? เจ้าตระกูลซูแห่งเมืองหลวงที่ร่ำลือกัน! ตระกูลซูที่ครองธุรกิจบันเทิงครึ่งค่อนของเมืองหลวง! แต่ผู้นำตระกูลของตระกูลซู จะมารับโทษกับหลี่โม่ทำไมกัน? หลี่โม่มันเป็นแค่ขยะที่เกาะผู้หญิงกินเท่านั้น มันมีดีอะไรถึงทำให้ผู้นำตระกูลซูมารับโทษด้วยตัวเองได้! กู้เจี้ยนกั๋วและกู้เจี้ยนเจียงตัวสั่นสะท้าน รู้สึกไม่สบายตัวไปหมด สถานการณ์ตรงหน้านี้เกินกว่าความคาดหมายของพวกเขามากเกินไป ถึงขั้นที่ไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาสามารถจินตนาการถึงได้เลย “ผู้-ผู้นำตระกูลซู คุณ ทำไมคุณถึงมาขอรับโทษกับหลี่โม่ เขา-เขาเป็นแค่… แค่ขยะคนหนึ่งเท่านั้นนะ” กู้เจี้ยนเจียงพูดอย่างตะกุกตะกักไปหมด แต่ด้วยความสงสัยใคร่รู้ จึงอดไม่ได้ที่จะถามออกมา “หึ!” ซูเหวินเหมาแค่นหัวเราะอย่างเย็นชา โดยไม่ได้สนใจคำถามของกู้เจี้ยนเจียง หากเปลี่ยนเป็นสถานที่อื่น ถ้ามีคนกล้าถามคำถามแบบนี้ ซูเหวินเหมาคงให้บอดี้การ์ดกระทืบเขาให้ตายแน่ แต่ที่นี่ไม่เหมือนกัน เขามาเพื่อขอรับโทษกับหลี่โม่ หากทำการล่วงเกินให้หลี่โม่ไม่พอใจเพี
“จะเรียกมาได้ยังไงล่ะครับ ทั้งหมดเป็นเรื่องบังเอิญก็เท่านั้น” หลี่โม่เอ่ยอย่างราบเรียบ กู้เจี้ยนกั๋วและกู้เจี้ยนเจียงได้ยินคำพูดเหล่านี้ สายตาที่มองไปยังซูเหวินเหมาก็พลันเปลี่ยนไป และสงสัยอย่างยิ่งว่าซูเหวินเหมาตรงหน้าผู้นี้เป็นตัวปลอม “คุณเป็นนักแสดงที่หลี่โม่จ้างมาจริง ๆ เหรอ? แสดงได้เหมือนมากเลยนะ บอกมาสิว่าหลี่โม่จ่ายให้พวกนายเท่าไหร่ ฉันจะให้เป็นเท่าตัว ขอแค่นายเปิดโปงหลี่โม่ได้ก็พอ” กู้เจี้ยนกั๋วพูดด้วยรอยยิ้ม “มาพูดกับเจ้านายของเราได้ยังไง! อยากตายเรอะ!” ผู้ช่วยของซูเหวินเหมาตะคอกด้วยความโมโห แค่มาขอรับโทษก็อัปยศอดสูมากพอแล้ว แต่ยังไม่ทันขอรับโทษ ก็ถูกเย้ยหยันเสียก่อนแล้ว ซึ่งทำให้เหล่าลูกน้องซูเหวินเหมาต่างรู้สึกโมโหมาก ซูเหวินเหมาโบกมือไปมา ผู้ช่วยพลันก้มหน้าลงไม่พูดอะไรอีก “ซูเหวินเหมาจากตระกูลซูแห่งเมืองหลวงมาขอรับโทษกับคุณหลี่ ขอความกรุณาพบกับคุณหลี่สักครั้ง” ประตูของห้องประชุม ราวกับร่องแม่น้ำขวางกั้นก็ไม่ปาน หากยังไม่ได้รับการอนุญาตจากหลี่โม่ ซูเหวินเหมาก็ไม่กล้าเหยียบเข้าไปใบห้องประชุมแม้แต่ก้าวเดียว เพราะนี่คือธรรมเนียม หากเข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาต
ซูเหวินเหมากลิ้งเข้าไปในห้องประชุม แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความอัปยศอดสู แต่ต่อหน้าความแข็งแกร่งของหลี่โม่แล้ว เขาก็ยังคงรักษารอยยิ้มบางเอาไว้ ไม่กล้าเผยความรู้สึกภายในใจออกมาแม้แต่น้อย เมื่อเห็นว่ามีคนกลิ้งเข้ามาจริง ๆ พวกของเฝิงจื่อไฉต่างก็ตกตะลึงเล็กน้อย ก่อนจะพากันหัวเราะลั่นขึ้นมา “ไอ้ขยะนี่แกไปหานักแสดงมาจากไหนกันเนี่ย แสดงเก่งจริง ๆ ให้กลิ้งเข้ามา ก็กลิ้งเข้ามาจริง ๆ เสียด้วย ต่อไปฉันเองก็ต้องจ้างนักแสดงแบบนี้ไว้สักสองสามคน จะต้องเป็นเพื่อนรักจอมเสแสร้งแน่ ๆ” “เพื่อเงินแล้วมันออกจะไร้ยางอายไปหน่อยมั้ง ถ้าคนขี้ขลาดแบบนี้ยังเป็นผู้นำตระกูลซูได้ ฉันละอยากจะขำให้ดิ้นตาย” “นักแสดงคนนี้จ้างมาเท่าไหร่ล่ะ ฉันให้ราคาสิบเท่าเลย ขอแค่นายคลานเข้ามาเห่าให้ฉันสักสองคำก็พอแล้ว” พวกของเฝิงจื่อไฉเอาซูเหวินเหมามาล้อเลียนสนุกปาก ความโกรธเกรี้ยวทั้งหมดในใจของซูเหวินเหมาได้ย้ายไปยังพวกเฝิงจื่อไฉแล้ว “คุณหลี่ ผมกลิ้งเข้ามาแล้ว คนพวกนี้ไม่เคารพต่อคุณหลี่ คุณหลี่โปรดให้คนของผมช่วยระบายความขุ่นเคืองให้คุณหลี่เถอะครับ” ซูเหวินเหมายังรักษาท่าทางที่กลิ้งเข้ามาอยู่ พร้อมเอ่ยอย่างนอบน้อมและจริงใจ หล
“ผู้นำตระกูลซู พวกเราสำนึกผิดแล้ว เชิญสั่งสอนพวกเราได้ตามสบาย แต่อย่าไปถึงคนในครอบครัวเลย และหลังจากที่สั่งสอนพวกเราแล้ว ได้โปรดอย่าลงมือกับครอบครัวของเราเลยนะครับ” ซูเหวินเหมาหัวเราะอย่างเย็นชา ก่อนใบหน้าจะเปลี่ยนเป็นฉีกยิ้มสอพลอ เอ่ยกับหลี่โม่ว่า “คุณหลี่ บอกมาได้เลยครับว่าจะจัดการพวกเขายังไงดี? ต่อให้บอกให้ขุดรากถอนโคน ขอเพียงคุณพูดมาคำเดียว ผมก็จะให้คนไปกวาดล้างตระกูลของพวกเขาให้หมด” เฝิงจื่อไฉและคนอื่น ๆ ตัวสั่นงันงก เริ่มรู้สึกอยากจะร้องไห้ขึ้นมาแล้ว เดิมคิดจะมาอวดแสนยานุภาพ แต่ใครจะไปรู้ว่าดันมาชนเข้ากับกำแพงเหล็กเสียนี่ “ผู้นำตระกูลซู ท่านไม่จำเป็นต้องกำจัดให้สิ้นซากถึงขนาดนั้นก็ได้ หลี่โม่ แก แก...” เฝิงจื่อไฉไม่อาจพูดคำพูดต่อจากนั้นออกไปได้ เขาบาดหมางกับหลี่โม่ใหญ่โตขนาดนั้น ยามนี้จะให้ขอความเมตตาจากศัตรูคู่แค้น เฝิงจื่อไฉทำใจทำไม่ลงจริง ๆ หลี่โม่ดึงให้กู้หยุนหลานนั่งลง แล้วเอ่ยอย่างเชื่องช้า “นายจะสั่งสอนยังไงก็แล้วแต่เลย ถ้าทำให้ฉันเห็นความจริงใจของนายได้ก็จะดีที่สุด” ซูเหวินเหมาใจสั่นสะท้าน รู้ว่าเรื่องนี้จะต้องจัดการให้ดีให้ได้ หากจัดการไม่ได้ดั่งใจหลี่โม่ เกร
เมื่อเห็นซูเหวินเหมาที่คำรามราวกับราชสีห์กราดเกรี้ยว ในใจพวกเฝิงจื่อไฉก็ไม่อาจมีความคิดที่จะต่อต้านแม้เพียงนิด หากชูจงเทียนอยู่ที่นี่ บางทีพวกเฝิงจื่อไฉอาจจะยังต่อต้านอยู่บ้าง แต่น่าเสียดายที่พวกเขาได้เผชิญหน้ากับผู้นำตระกูลซูที่เป็นเหมือนสัตว์ประหลาดมหึมา “โขก โขกให้แรง ๆ !” เฝิงจื่อไฉกัดฟันตะโกนบอกกับพวกเหอลี่ฉวินที่อยู่ข้าง ๆ เหอลี่ฉวินและคนอื่น ๆ ทำตามเฝิงจื่อไฉ โขกหัวคำนับให้หลี่โม่สุดแรง หน้าผากกระแทกกับพื้นส่งเสียงดัง ตึง ตึง ครั้งแล้วครั้งเล่า โขกแล้วโขกอีก หน้าผากของพวกเฝิงจื่อไฉเคล้าไปด้วยเลือด บนพื้นถูกพวกเขาโขกจนเป็นรอยเปื้อนเลือด กู้เจี้ยนกั๋วและคนอื่น ๆ มองจนอกสั่นขวัญหาย สายตาเพ่งมองไปที่ตัวหลี่โม่ไม่หยุด ในใจคาดเดาว่าระหว่างหลี่โม่และซูเหวินเหมานั้น เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ซูเหวินเหมายืนอยู่ข้างกายหลี่โม่ โดยที่เอวยังรักษาท่าเคารพโค้งสามสิบองศาเอาไว้ ไม่ได้แตกต่างไปจากยามที่ขันทีรับใช้ฮ่องเต้ในวังเลย ในใจกู้หยุนหลานมีความคิดหลายอย่างผุดขึ้นมาอย่างไม่ขาดสาย คาดเดาว่าที่ซูเหวินเหมาเป็นเช่นนั้นต้องมีความเกี่ยวข้องกับฝูเฉียนแน่ แต่ระหว่างฝูเฉียนกับหลี่โม่ พ
แต่เฝิงจื่อไฉไม่กล้าที่จะปฏิเสธแม้แต่น้อย แค่สามารถทำให้ออกไปได้นั่น ก็ถือว่าทำได้ดีมากแล้วทีเดียว “งั้นฉันกลิ้งแล้ว พวกนายก็ต้องกลิ้งเหมือนกัน แล้วก็พวกคนคุ้มกัน พวกแกก็ต้องกลิ้งตามฉันไปด้วย!”เฝิงจื่อไฉพูดกับเหอลี่ฉวินและบอดี้การ์ด ไหน ๆ เขาก็เสียหน้าไปแล้ว เฝิงจื่อไฉไม่ต้องการที่จะเสียหน้าไปมากกว่านี้ เขาปล่อยให้ลูกน้องของเขาเห็นเรื่องตลกพวกนี้ไม่ได้ เขาต้องพาลูกน้องออกไปด้วยกันเหอลี่ฉวินและคนอื่น ๆ ได้ถูกโลกนี้ให้บทเรียน โดยรู้ว่าไม่มีประโยชน์ที่จะต่อสู้ พวกเขาทั้งหมดลงไปนอนกองกับพื้นพร้อมกับเฝิงจื่อไฉ พยายามที่จะกลิ้งตัวออกไปทีละคนแม้ว่าผู้คุ้มกันจะไม่เต็มใจ แต่ภรรยาและลูก ๆ ของพวกเขาล้วนอยู่ในจินไห่ หากพวกเขาไม่ปฏิบัติตาม เกรงว่าทั้งครอบครัวจะต้องได้รับความเดือดร้อนดังนั้นคนคุ้มกันจึงนอนลง และกลิ้งตัวออกไปด้วยกัน “อ๊ะ! เจ็บ ทำไมมันเจ็บแบบนี้ว่ะ” เฝิงจื่อไฉสัมผัสบาดแผลขณะกลิ้ง และเหงื่อก็ไหลออกมาจากความเจ็บปวดความเสียใจไม่รู้จบปะทุขึ้นในหัวใจของเฝิงจื่อไฉ รอให้อาการบาดเจ็บของเขาหายดีแล้วค่อยกลับมาแก้แค้นหลี่โม่ เขาจะได้ไม่ต้องพบกับซูเหวินเหมา หรือต่อให้ได้พบซูเหวินเ
หัวใจของกู้เจี้ยนกั๋วเย็นชาไปชั่วขณะ ทัศนคติของซูเหวินเหมาได้แสดงออกมาให้เห็นทุกอย่างแล้วแต่การจะก้มหัวให้หลี่โม่และอ้อนวอนหลี่โม่ กู้เจียงกั๋วทำไม่ได้จริง ๆกู้เจี้ยนกั๋วมองไปที่กู้หยุนหลาน "หยุนหลาน แกก็เป็นสมาชิกของตระกูลกู้ แกควรจะยืนขึ้นและพูดอะไรบ้างในเวลานี้นะ" "หนูฟังหลี่โม่ค่ะ" กู้หยุนหลานจับมือหลี่โม่แล้วพูด “แก หลี่โม่เป็นลูกเขยของบ้านแก เขาต้องฟังแก” กู้เจี้ยนกั๋วกล่าวอย่างร้อนรน“แต่นี่เป็นเรื่องใหญ่ หนูตัดสินใจแทนหลี่โม่ไม่ได้ค่ะ”หากเป็นเมื่อก่อนกู้หยุนหลานจะช่วยตระกูลกู้อย่างไม่มีเงื่อนไขแน่นอน แต่หลังจากผ่านอะไรต่อมิอะไรมามากมาย การได้เห็นนิสัยที่แท้จริงของญาติ ๆ ของตระกูลกู้ หัวใจของกู้หยุนหลานก็เย็นชาไปแล้วจะทำอย่างไรเมื่อกู้หยุนหลานไม่เต็มใจที่จะยุ่งกับเรื่องนี้อีกต่อไป ขอแค่หลี่โม่พอใจก็พอกู้เจี้ยนกั๋วมองไปที่หลี่โม่ด้วยใบหน้าที่ขมขื่น และต่อสู้กับหัวใจของเขาตลอดเวลาหลี่โม่ยิ้มเบา ๆ โดยไม่สนใจการแสดงออกและความคิดภายในของกู้เจี้ยนกั๋ว สิ่งที่เกิดขึ้นกับกู้เจี้ยนกั๋วนั้นไม่สำคัญสำหรับหลี่โม่แต่เพื่อประโยชน์ของกู้หยุนหลาน หลี่โม่จะไม่ปล่อยให้ตระกูลกู้
"งั้นคุณก็กลับไปรอ" หลี่โม่กล่าวอย่างใจเย็น"ขอบคุณครับ ขอบคุณคุณชายหลี่ที่ให้อภัย"ซูเหวินเหมาตื่นเต้นจนแทบจะร้องไห้ เมื่อกี้เขานอนหมอบนิ่งเหมือนเด็กน้อย เพียงเพราะคำพูดของหลี่โม่การกลับไปและรอหมายความว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น ต่อไปตระกูลซูก็ยังคงเป็นตระกูลซู แต่ซูเหวินเหมาจะเก็บสิ่งนี้ไว้เตือนใจ และเขาต้องคอยห้ามปรามสมาชิกในตระกูล"ให้ผมไปส่งคุณชายหลี่และคุณหนูกู้ พวกคุณจะไปไหนเหรอครับ" ซูเหวินเหมายังคงถามด้วยความเคารพ“พวกเรากำลังจะกลับบ้าน งั้นขอติดรถคุณไปด้วยแล้วกัน”ซูเหวินเหมาเดินไปสองก้าวและเปิดประตูรถลินคอล์นให้หลี่โม่และกู้หยุนหลานด้วยความเคารพนบนอบรอให้หลี่โม่และกู้หยุนหลานนั่งก่อน แม้ว่ายังมีที่ว่างอีกมากในเบาะหลังของลินคอล์น แต่ซูเหวินเหมาก็ไม่ได้ขึ้นไปนั่ง แถมยังไปนั่งข้างคนขับอีกขบวนรถเริ่มเคลื่อนออกช้า ๆ ส่งหลี่โม่และกู้หยุนหลานไปยังที่พักของพวกเขาหลี่โม่ไม่ได้ให้ซูเหวินเหมาส่งเขาอีก เขาเดินจับมือกับกู้หยุนหลานกลับเข้าบ้านไปซูเหวินเหมามองหลี่โม่เดินจากไปอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า "ส่งรูปคุณชายหลี่ให้ทุกคนในตระกูล เพื่อที่ว่าเมื่อพวกมันเห็นคุณหลี่ชายในครั้งต่อไ
คังหย่งอันกดหมายเลขของคังหย่งเฉียน แล้วพูดเสียงเข้ม "หย่งเฉียน ฉันได้ยินมาว่า แกกับเหวินซินมีปัญหากันเรื่องวิลล่าบนยอดเขาเหรอ?" “พี่ใหญ่ มีปัญหากันน่ะสิ ศิษย์พี่เกิ่งยังถูกทำร้ายจนเข่าหักแล้ว! ศิษย์พี่เกิ่งติดต่อกับอาจารย์โอวหยางไปแล้ว เรื่องนี้อภัยให้ไม่ได้แน่นอน!” คังหย่งเฉียนโกรธแค้นคังเหวินซิน ถ้าไม่ใช่เพราะคังเหวินซินพาหลี่โม่ไปที่นั่น เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น แต่ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว คังหย่งเฉียนเองก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ทำได้เพียงเอาความโมโหไปลงที่คังเหวินซินเท่านั้น “หย่งเฉียน ไม่ว่ายังไงก็ตาม แกต้องรับรองความปลอดภัยของเหวินซิน ฉันไม่สนว่า อาจารย์โอวหยางพวกเขาจะทำอะไรกับเพื่อนของเหวินซิน แต่พวกเขาจะทำร้ายเหวินซินไม่ได้เด็ดขาด!” “พี่ใหญ่ ฉันไม่กล้ารับประกันหรอก รับประกันได้แค่ลูกชายของพี่จะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงตายเท่านั้น ถ้าอาจารย์โอวหยางต้องการลงโทษลูกชายของพี่จริง ๆ ฉันจะไปขวางได้ยังไง ฉันขวางไม่ได้หรอก ไม่กล้าขวางด้วย!" คังหย่งอันขมวดคิ้วแน่น หากคังหย่งเฉียนอยู่ต่อหน้าคังหย่งอันในตอนนี้ คังหย่งอันจะต้องตบเขาให้ตายคามือแน่นอน “หย่งเฉียน! แกเป็นอาข
“ไอ้บัดซบเอ๊ย! ใครกล้ามาต่อกรกับฉันโอวหยางจื้อ มันผู้นั้นจะต้องตาย!” โอวหยางจื้อพึมพำอย่างด้วยความอาฆาตแค้น แล้วสั่งให้ลูกศิษย์ไปจองตั๋วเครื่องบิน ...... คังเหวินซินมาส่งหลี่โม่และคนอื่น ๆ ที่บ้าน หลังจากมองดูทั้งสามเดินเข้าไปข้างในแล้ว จึงสตาร์ทรถและขับออกไปอย่างช้า ๆ “อาเล็กถูกจัดการจนหมดท่าแล้ว ต้องบอกพ่อสักคำไหมนะ อาเล็กจะได้ไปตีไข่ใส่สีอีก” หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง คังเหวินซินก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดหมายเลขพ่อของเขาคังหย่งอัน “ฮัลโหล พ่อครับ ผมเพิ่งจะขายวิลล่าบนยอดเขาที่สวนหนานชุ่ยให้เพื่อผมไป ขายราคาต้นทุนน่ะครับ” คังหย่งอันขมวดคิ้ว "นั่นเป็นวิลล่าที่อาเล็กของแกจะเอาไม่ใช่เหรอ แกเอาไปให้เพื่อนได้ยังไง? ผู้จัดการฝ่ายขายว่ายังไงบ้าง?" คังเหวินซินอึ้งครู่หนึ่ง รู้สึกถึงความผิดปกติในคำพูดของคังหย่งอัน "พ่อ พ่อรู้ได้ยังไงว่าอาเล็กอยากได้วิลล่านั่น?” “อาเล็กของแกเคยบอกพ่อว่า วิลล่าหลังนั้นเป็นของขวัญที่เขาจะเก็บไว้ให้กับปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ในต่างประเทศโอวหยางจื้อ แกคงเคยได้ยินเกี่ยวกับโอวหยางจื้อมาบ้างใช่ไหม? เขาเคยรับหน้าที่เป็นผู้กำกับฉากแอ็คชั่นให้กับภาพย
ในแผนกดูแลพิเศษของโรงพยาบาล คังหย่งเฉียนและคนอื่น ๆ นั่งล้อมรอบเตียง มองดูพี่เกิ่งค่อย ๆ ฟื้นคืนสติ เข่าที่หักของพี่เกิ่งได้รับการผ่าตัดแล้ว แต่หลังการผ่าตัด พี่เกิ่งจะได้แต่นั่งอยู่บนรถเข็นเท่านั้น “ซี๊ด ขากับเข่าฉันเป็นยังไงบ้าง?” พี่เกิ่งถามอย่างร้อนใจ “ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวล ผ่าตัดเสร็จแล้ว เพียงแต่ระดับการรักษาของที่นี่ยังต่ำไปหน่อย หลังจากฟื้นตัวแล้วพี่ต้องนั่งรถเข็น” คังหย่งเฉียนพูดเสียงเบาหวิว “ไอ้บัดซบ! ฉันไม่อยากนั่งรถเข็น! ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้!” พี่เกิ่งคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว รู้สึกเลวร้ายไปทั้งร่างกาย ชีวิตบนรถเข็น ไม่ใช่ชีวิตที่พี่เกิ่งต้องการเลย ถ้าต้องนั่งรถเข็นแล้ว ต่อไปจะฝึกศิลปะการต่อสู้ หรือออกไปรังแกคนอื่นอย่างไร แล้วจะไปจีบสาว ๆ ได้อย่างไร! “ฉันจะย้ายโรงพยาบาล ฉันจะไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลที่ดีที่สุด!” “พี่เกิ่งอย่าเพิ่งตื่นตูม หมอบอกว่า รอพี่ฟื้นตัวดีแล้ว ก็สามารถทำการผ่าตัดครั้งที่สองในโรงพยาบาลที่ดีกว่านี้เพื่อเปลี่ยนข้อต่อเทียมได้” คังหย่งเฉียนปลอบใจพี่เกิ่งไปพลางก็ขยิบตาให้กับพวกพี่น้องคนอื่น ๆ ส่งสัญญาณให้พวกเขารีบมาช่วยกันโน้มน้าว ศิษย์พี่ห
พี่เกิ่งร้องโหยหวนออกมา รู้สึกว่าขาซ้ายพลิกกลับไปด้านหลัง พลันสูญเสียการทรงตัวและล้มหงายไปข้างหลังทันที พลั่ก พี่เกิ่งล้มหงายลงกับพื้น ปากก็ร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา คังหย่งเฉียนถูกกระตุ้นด้วยเสียงร้องของพี่เกิ่งจนตัวสั่นไปทั้งตัว เสียงวิ้ง ๆ ที่ดังอยู่ในหัวยิ่งชัดเจนขึ้นมาทันใด คังหย่งเฉียนกุมใบหน้าที่บวมแดงไปครึ่งหนึ่งมองไปทางศิษย์พี่เกิ่ง ดวงตาของคังหย่งเฉียนก็แทบจะหลุดออกจากเบ้า ศิษย์พี่เกิ่งที่คังหย่งเฉียนเคยคิดว่า แข็งแกร่งไร้เทียมทานนั้น ตอนนี้กำลังร้องคร่ำครวญราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังจะตาย เมื่อมองขาขวาของพี่เกิ่งหักงอในองศาที่ผิดธรรมชาติ คังหย่งเฉียนก็รู้สึกว่า เลือดทั่วร่างกายเย็นเฉียบขึ้นมา นี่เป็นเรื่องที่มนุษย์สามารถทำได้อย่างนั้นเหรอ? นี่เป็นผลลัพธ์ที่สามารถใช้กำปั้นทำได้เหรอ? นี่มันซูเปอร์ไซย่าในตำนานหรืออย่างไรกัน?! พวกศิษย์น้องของพี่เกิ่งหลายคนต่างหวาดกลัวกับความเผด็จการของหลี่โม่ ทั้งกลุ่มพลันหมดความโอหังไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาลากพี่เกิ่งขึ้นมาจากพื้นแล้ววิ่งตะบึงออกไปข้างนอกอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่คำพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในที่นี้คือศิษย์
คังเหวินซินรออยู่สามวินาที แต่ละวินาทีราวกับยาวนานเป็นปี รออยู่นานฝ่ามือของพี่เกิ่งก็ยังไม่ตบลงมาสักที คังเหวินซินจึงลืมตาขึ้น เมื่อเอียงหน้ามองเห็นฝ่ามือของพี่เกิ่งอยู่ห่างจากหน้าตนแค่เฉียดฉิว หัวใจของคังเหวินซินแทบจะกระโดดออกมาจากปาก หลังจากที่เห็นข้อมือของพี่เกิ่งถูกหลี่โม่คว้าไว้ คังเหวินซินถึงได้รู้สึกว่า หัวใจของตัวเองกลับเข้าที่ได้แล้ว คังเหวินซินที่สงบลงแล้ว รีบถอยไปหลบด้านหลังหลี่โม่ แล้วร้องตะโกนด้วยน้ำตาแห่งความซาบซึ้ง "อาจารย์!" “นายอย่าร้องไห้น่าสมเพชนักสิ มันทำฉันขายหน้านะ” หลี่โม่พูดด้วยรอยยิ้ม คังเหวินซินตะลีตะลานเช็ดเบ้าตา ไม่ยอมให้ตัวเองร้องไห้ออกมา พี่เกิ่งจ้องมองหลี่โม่อย่างโมโห แอบพยายามดึงข้อมือของตัวเองกลับมาอย่างลับ ๆ แต่ไม่ว่าพี่เกิ่งจะพยายามออกแรงแค่ไหน มือของหลี่โม่ก็ราวกับคีมปากเสือหนีบข้อมือของพี่เกิ่งเอาไว้แน่น จนข้อมือของพี่เกิ่งไม่มีทางสลัดหลุดได้เลย “ปล่อยมือฉัน!” พี่เกิ่งตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยว “แกบอกให้ปล่อยก็ต้องปล่อยเหรอ? แกน่าจะอธิบายเรื่องที่จะลงไม้ลงมือกับลูกศิษย์ฉันเมื่อกี้นี้มาสักหน่อยไหม?” หลี่โม่พูดอย่างเย็นชา คังเหวินซินส
กู้หยุนหลานมองไปยังหลี่โม่อย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นหลี่โม่ขยิบตาให้ เธอจึงไม่พูดอะไรและเก็บความสงสัยไว้ในใจ ผู้จัดการหวังโบกมือให้พนักงานขายสาว พนักงานสาวที่ถือสัญญาอยู่แล้วเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ผู้จัดการหวัง นี่เป็นสัญญาของวิลล่ายอดเขาค่ะ แต่ราคานี้มัน…” สีหน้าของพนักงานสาวดูบูดเบี้ยวเล็กน้อย ถ้าขายวิลล่านี้ออกไปในราคาต้นทุน เธอคงไม่ได้รับค่าคอมมิชชั่นเลยสักแดง! ที่ผ่านมาเศรษฐีในเมืองฮั่นจำนวนมากต่างก็ถูกใจวิลล่าแห่งนี้ แต่เพราะมีการปิดกั้นการซื้อขาย เลยไม่ได้ขายอย่างเป็นทางการ เดิมทีพวกพนักงานสาวนั้นเตรียมพร้อมที่จะทำกำไรมหาศาลด้วยการขายวิลล่าหลังนี้หลังจากที่เปิดการขายแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ความฝันของพวกเธอกำลังจะมลายหายไปซะแล้ว “พวกเธอมีสิทธิ์พูดงั้นเหรอ? นี่คือการตัดสินใจของคุณชายใหญ่!” ผู้จัดการหวังตำหนิพนักงานขายสาว พนักงานสาวหดคอและปิดปากเงียบไม่กล้าพูดอีก ผู้จัดการหวังเปิดสัญญาตรวจดู หลังจากยืนยันความถูกต้องแล้ว เขาก็ถือสัญญาเดินไปหาหลี่โม่ “อ่านสัญญาดูก่อนนะครับ หากไม่มีปัญหาอะไร เราจะไปเซ็นสัญญาที่สำนักงานของผมกัน ผมไม่สามารถนำตราประทับอะไรพวกนั้นพกติดต
“คุณชาย อย่ามาขู่ผมเลยครับ ผมไม่กลัวหรอกนะ สิ่งที่ผมพูดไปเมื่อครู่ล้วนมีเหตุมีผล หากไม่เชื่อก็ถามซินแสที่มาดูฮวงจุ้ยให้ได้เลยครับ คำพูดพวกนี้เขาเป็นคนพูดเองกับปากทั้งนั้น” ผู้จัดการหวังแข็งขืน ไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย หลี่โม่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม "เหวินซิน อย่าหุนหันพลันแล่น ผู้จัดการหวังพูดถูกแล้ว คนที่โชคชะตาบารมีไม่ถึง ไม่มีทางข่มพลังฮวงจุ้ยอันยอดเยี่ยมได้แน่นอน” คังเหวินซินพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม "อาจารย์พูดถูกแล้วครับ แต่ด้วยบารมีของอาจารย์ จะต้องสามารถข่มมันได้อย่างแน่นอน พวกเรามาดูกันดีกว่า ที่นี่ล้วนได้รับการตกแต่งอย่างดี คุณหิ้วกระเป๋าเข้ามาอยู่ได้เลย เหลือแค่ดูว่าวิลล่าหลังนี้ถูกใจคุณหรือเปล่าก็พอครับ” เมื่อเห็นคังเหวินซินพยายามเอาอกเอาใจหลี่โม่ ผู้จัดการหวังก็เกิดความสงสัยเล็กน้อย หรือว่าตนจะมองผิดไป? ผู้ชายที่สวมเสื้อผ้าแผงลอยทั้งตัวคนนี้ เป็นคุณชายเศรษฐีที่มาลองสัมผัสประสบการณ์ชีวิตงั้นเหรอ? ไม่อย่างนั้นทำไมคุณชายของตนถึงได้ไปประจบเอาใจเขาขนาดนี้กัน? “คุณชาย ท่านนี้คืออาจารย์ของคุณเหรอครับ?” ผู้จัดการหวังถามอย่างสงสัย “นี่คืออาจารย์ของฉันหลี่โม่ นายสุภาพกับอาจารย์ของฉัน
“ไอ้สารเลวคนไหนไม่ดูตาม้าตาเรือ กล้ามาแย่งวิลล่าของอาจารย์ พวกแกยังมัวแต่กินอะไรกันอีก ไปดูด้วยกัน จัดการไอ้พวกสารเลวนั่นซะ” “ศิษย์พี่เกิ่งพูดถูก พวกเราทุกคนต้องไปดูด้วยกัน บ้านของอาจารย์ต้องดีที่สุดเท่านั้น จะผิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว” ศิษย์พี่เกิ่งและคนอื่น ๆ พากันลุกขึ้นทีละคน เมื่อเห็นเช่นนี้คังหย่งเฉียนก็เรียกให้พนักงานคิดเงินทันที แล้วจึงพาพวกของศิษย์พี่เกิ่งมุ่งตรงไปยังสวนหนานชุ่ย ... รถเมอร์เซเดสเบนซ์ขับเข้าไปในสวนหนานชุ่ย และขับตรงไปตามทางขึ้นยอดเขา ใกล้กับยอดเขาของเขาหนานชุ่ยนั้นมีที่ราบอยู่บริเวณหนึ่ง ที่ราบนี้ถูกนำมาใช้สร้างวิลล่า พร้อมทั้งปลูกต้นไม้พืชพรรณเขียวชอุ่มรอบ ๆ วิลล่าอีกด้วย ด้านหน้าวิลล่ายังมีลำธารที่ไหลมาจากยอดเขา ทำให้ฮวงจุ้ยของวิลล่านี้ยอดเยี่ยมมากไร้ที่ติ หน้าน้ำหลังเขา ตำแหน่งปากมังกรจัดวางฮวงจุ้ยอย่างดี ทำให้วิลล่าบนยอดเขาหลังนี้เลิศล้ำไม่มีใครเทียม รถเมอร์เซเดสเบนซ์จอดสนิทหน้าประตูวิลล่ายอดเขา ผู้จัดการหวังและพนักงานขายสาวสองคนยืนรอที่ประตูวิลล่าอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นรถเบนซ์จอดนิ่ง ผู้จัดการหวังก็รีบวิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปช่วยเปิดประตูรถ
ผู้จัดการหวังหยิบบุหรี่ออกมาคาบที่มุมปาก เตรียมจะสูบบุหรี่เพื่อสงบสติอารมณ์ คำขอของคังเหวินซินทำให้ผู้จัดการหวังตั้งตัวไม่ติด การจะดูบ้านมันไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าอีกฝ่ายถูกใจขึ้นมาจริง ๆ จะทำอย่างไรล่ะ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องราคาต้นทุนหรือเปล่า ถ้าคังหย่งเฉียนเข้ามาครอบครองวิลล่าหลังนี้ เขาก็คงไม่ได้เงินเลยสักแดงเดียว พอนึกถึงคังหย่งเฉียนขึ้นมาผู้จัดการหวังรู้สึกปวดจี๊ด ๆ ขึ้นมา เจ้านั่นเป็นปีศาจเจ้าสำราญแห่งตระกูลคัง วัน ๆ เอาแต่เกียจคร้าน กินดื่มเที่ยวเล่น ยิ่งกว่านั้นยังคบค้ากับพวกอันธพาล ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสตระกูลคังก็ยังถูกคังหย่งเฉียนยั่วโมโหจนเส้นเลือดในสมองตีบ แทบทุกคนในตระกูลคังล้วนทำเป็นไม่สนใจคังหย่งเฉียน ตราบใดที่คังหย่งเฉียนไม่ได้ก่อปัญหา ก็ไม่มีใครสนใจว่า คังหย่งเฉียนจะทำอะไร ถ้าหากยกวิลล่าให้เพื่อนของคังเหวินซินจริง ๆ คังหย่งเฉียนคงจะพาคนมาสับเขาเป็นชิ้น ๆ ถึงที่แน่ หลังจากสูบบุหรี่หมดมวน ผู้จัดการหวังก็ขยี้ก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ รู้สึกว่ายังไงก็ควรแจ้งให้คังหย่งเฉียนรู้สักหน่อย ส่วนคังหย่งเฉียนจะต่อสู้กับคังเหวินซินอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องระหว่างพวกเขา