วันต่อมาเวลาใกล้เที่ยง กู้เจี้ยนกั๋ว กู้เจี้ยนเจียง และกู้ซิ่งเหว่ยรวมถึงคนอื่น ๆ พากันยืนอยู่ที่ประตูของบริษัท ราวกับว่ารอต้อนรับแขกผู้มีเกียรติในไม่ช้ารถอาวดี้สามคันก็มาจอดที่ทางเข้าอาคาร กู้เจี้ยนกั๋วเดินไปที่รถอาวดี้ทั้งสามคันด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาประตูรถอาวดี้ทั้งสามคันก็เปิดออกพร้อมกัน และคนหนุ่มสาวทั้งสามคนที่ลงจากรถทำให้กู้เจี้ยนกั๋วตกตะลึงเล็กน้อยเดิมทีผู้จัดการสินเชื่อของธนาคารทั้งสามแห่งจะตอบรับการต้อนรับเป็นอย่างดี แต่กู้เจี้ยนกั๋วมองไปที่คนหนุ่มสาวแปลกหน้าสามคนที่มา เขาสับสนว่าทั้งสามคนนี้ดูท่าทางไม่คุ้นเคย"พวกคุณเป็นใคร ?" กู้เจี้ยนกั๋วถามด้วยความสงสัย"ดิฉันเป็นพนักงานของธนาคารกลาง นี่คือจดหมายทางการจากทางธนาคารของเรา กรุณาเซ็นรับด้วยค่ะ"“ผมเป็นเจ้าหน้าที่ของธนาคารแห่งกรุงโซล และผมก็มาส่งจดหมายทางการนี้ด้วยเช่นกัน กรุณาเซ็นรับด้วยครับ”"มาส่งจดหมายจากทางการด้วยเช่นกัน ดูเหมือนว่าตระกูลของคุณจะไปทำให้ใครขุ่นเคืองในเวลาเดียวกันยังไงอย่างงั้นเลยนะครับ"กู้เจี้ยนกั๋วรู้สึกมึนงงมาก จ้องมองไปที่พนักงานของธนาคารทั้งสามแห่ง ในใจรู้สึกไม่สู้ดีนัก"ผู้จัดการของพ
"พี่ใหญ่ ได้เรื่องยังไงบ้าง?" กู้เจี้ยนเจียงถามด้วยน้ำเสียงกระซิบกู้เจี้ยนกั๋วส่ายหัวไปมา "ถามอะไรไม่ได้เลย ทุกคนบอกว่าไม่ต้องถาม ฉันก็ไม่กล้าถาม แถมยังบอกว่าให้เราเตรียมเงินโดยเร็ว หากไม่จ่ายตามกำหนด จะส่งฟ้องและส่งประมูลให้เร็วที่สุด""เฮ่อ!"กู้เจี้ยนเจียงอ้าปากถอดหายใจ เริ่มรู้สึกหนักใจยิ่งขึ้น“ต้องมีอิทธิพลมาก คนที่จะสามารถทำขนาดนี้ได้ แต่การกระทำเพียงครั้งเดียวก็สามารถหาคำตอบได้ แต่เราไม่ได้ไปทำผิดอะไรกับใครเลย”สีหน้าของกู้ซิ่งเหว่ยเริ่มเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ และเขาก็ตบโต๊ะอย่างแรง "มันต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับไอ้หลี่โม่เจ้าเล่ห์นั่นแน่! เราไม่ได้สร้างปัญหาอะไร ก็ต้องเป็นเพราะมันแน่นอน ก่อนหน้านี้ปัญหาทุกอย่างก็เป็นเพราะมันไม่ใช่เหรอไง!”กู้เจี้ยนเจียงพยักหน้า รู้สึกว่าสิ่งที่กู้ซิ่งเหว่ยพูดมีความเป็นไปได้"ฉันก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน เรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับไอ้คนไม่เอาไหนนั่นแน่ ๆ และกู้หยุนหลานก็ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย”ด้วยใบหน้าที่มืดมนของกู้เจี้ยนกั๋ว เขาก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรหากู้หยุนหลานเมื่อต่อสายติดแล้ว กู้เจี้ยนกั๋วก็คำรามเสียงดัง "กู้หยุนหลาน! แกรีบพาไอ
"คุณลุงคะ อย่าไปดุเขาเลยค่ะ เขาจะไปจัดการเอง ทุกคนเชื่อใจเขาได้ไหมคะ?” กู้หยุนหลานยืนพูดอยู่ข้างหลี่โม่"ให้ตายเถอะ! หยุนหลานนี่เธอบ้าไปแล้วหรือไง เธอจะเชื่อไอ้สามีไม่เอาไหนคนนี้เนี่ยนะ? เธอเชื่อว่ามันจัดการได้อย่างนั้นเหรอ? สมองเธอคงถูกล้างไปแล้วแน่ ๆ !" กู้ซิ่งเหว่ยพูดด้วยความโกรธกู้เจี้ยนเจียงพูดและยิ้มอย่างเย็นชา "หยุนหลาน นี่ไม่ใช่แค่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับพวกเธอ แต่ยังเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการอยู่รอดของตระกูลเราด้วย พวกเธอควรจะอธิบายมาตรง ๆ ว่าใครที่พวกเธอไปยั่วยุมา พวกเราจะแบกหน้าของพวกเราพาพวกเธอไปรับโทษ"เมื่อนึกถึงการรับโทษ กู้หยุนหลานรู้สึกหนาวสั่นในใจ สิ่งที่ญาติ ๆ เหล่านี้เคยทำในอดีต ทำให้หัวใจของกู้หยุนหลานนั้นแตกสลาย"พวกคุณไม่ต้องชดใช้ ฉันเชื่อมั่นว่าหลี่โม่จะสามารถแก้ไขได้" กู้หยุนหลานกล่าวอย่างมั่นใจ"แกเชื่อมันแล้วจะทำอะไรได้ ฮะ?! ไอ้สามีไม่เอาไหนของแกก็เป็นแค่ขยะเปียกเท่านั้น ไม่มีประโยชน์อะไรนอกจากคนที่น่ารังเกียจ! ฉันดูแล้วพวกแกคงจะอยากถูกไล่ออกจากตระกูลสินะ!" กู้เจี้ยนกั๋วตบโต๊ะและคำรามเสียงดัง"หยุนหลาน เธออย่าไปเชื่อไอ้สามีที่ไม่เอาไหนของเธอเลย ถ้ามัน
ชูจงเทียนอึ้งไปครู่หนึ่ง แม้ว่าในใจเขาตอนนี้ไม่มีแม้แต่ความหวัง ต่อให้หลี่โม่หลี่สามารถมาช่วยตนได้ ไม่สิ! ตราบใดที่หลี่โม่ส่งคนมาช่วยตน ตนจะรอดได้อย่างแน่นอน !ไม่ว่าอย่างไร ชูจงเทียนก็ได้เชื่อมั่นในตัวหลี่โม่ และรู้ว่าหลี่โม่มีอำนาจสามารถทำได้ทุกอย่าง"ผมอยู่ ที่นี่ หมู่บ้านหวงหยัน พวกเรากำลังจะไปที่โกดังนอกหมู่บ้านหวงหยัน โกดังนั้นเป็นเซฟเฮาส์ที่ผมสร้างไว้ ตราบใดที่ผมหลบหนีเข้าไปได้ ผมเดาว่าพวกมันจะเปิดประตูไม่ได้ เป็นเวลาเจ็ดถึงแปดชั่วโมง""ดี คุณรีบหนีไปหลบที่นั่นก่อน ผมจะไปตอนนี้เลย"หลี่โม่พูดจบก็วางสาย กู้เจี้ยนกั๋วเฝ้ารอหลี่โม่ด้วยความโกรธ "แกจะไปทำอะไร?! ไม่ใช่จะไปสร้างหายนะอีกนะ! แกอยากจะเห็นตระกูลกู้ของพวกเราพินาศใช่ไหม?!""ผมจะไปจัดการเรื่องการระงับเงินกู้ของธนาคาร พวกคุณควรปฏิบัติต่อภรรยาของผมให้ดีกว่านี้"หลังจากเตือนกู้เจี้ยนกั๋วและคนอื่น ๆ หลี่โม่ก็ดึงกู้หยุนหลานออกมาข้างนอก "ผมจะออกไปทำธุระบางอย่าง คุณรอผมอยู่ที่บริษัทก่อนนะ ถ้าเกิดเรื่องอะไรคุณโทรหาผม""ได้ค่ะ คุณระวังตัวด้วยนะคะ" กู้หยุนหลานไม่ได้ถามว่าเรื่องอะไร แค่ส่งหลี่โม่ออกจากบริษัทไปตระกูลกู้ทั้งสามคน
ชายทั้งสี่คนกวัดแกว่งดาบและพุ่งเข้าหาหลี่โม่อย่างโหดเหี้ยมส่วนของมีดโบกสะบัดตามแรงลม และตกลงไปที่แขนและเอวของหลี่โม่ คนเหล่านี้มักต่อสู้กันเป็นประจำ และพวกเขารู้ว่าไม่ควรรีบเน้นไปยังจุดสำคัญ หากฆ่าใครสักคนจะเป็นปัญหาใหญ่โตหลี่โม่ยิ้มอย่างเย้ยหยัน ยื่นมือออกไปเหมือนสายฟ้า ใช้นิ้วสะบัดดาบทั้งสี่เล่มเบา ๆดิง ดิง ดิงหลังจากเสียงที่ดังต่อเนื่องกัน ใบมีดทั้งสี่เล่มก็หักเป็นสองท่อนชายฉกรรจ์ทั้งสี่คนที่ดุร้าย เมื่อมองไปที่เศษส่วนครึ่งของใบมีดที่เหลืออยู่ในมือของพวกเขา ทุกคนก็กลายเป็นหินในทันทีแม้ว่าดาบจะเบาและบาง แต่ก็ไม่หนาเท่ามีดพร้า แต่ก็ไม่สามารถหักได้ด้วยนิ้วทันใดนั้นภาพของปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ในนวนิยายจำนวนนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นในความคิดของชายฉกรรจ์ทั้งสี่คน ทั้งสี่คนมองหลี่โม่ด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป"แก แกเป็นคนประเภทไหน อย่าคิดว่าเรื่องแค่นี้จะทำให้พวกเรากลัวได้"หลี่โม่ส่ายหัวไปมา "ความอดทนของฉันมีขีดจำกัด ไปเรียกลูกพี่ของพวกแกมาคุยกับฉัน"ชายฉกรรจ์ทั้งสี่คนมองหน้ากัน แล้วรีบหันหลังวิ่งหนีไป พวกเขาไม่สามารถรวบรวมความกล้าที่จะต่อสู้กับหลี่โม่ได้เมื่อพบคนที่แข็งแกร่งทั
ดวงตาของพี่หลงเปิดกว้างออก เขาเห็นว่าหลี่โม่ดูธรรมดา ดูไม่มีพลังในการต่อสู้เลย เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย"ไอ้อ่อน แกมาหาชูจงเทียนงั้นเหรอ? มาแค่คนเดียวไม่กลัวตายหรือไง?!" พี่หลงพูดอย่างเหยียดหยาม"ที่จะตายน่ะ คือพวกแก" หลี่โม่พูดอย่างเย็นชา“ผมไปเองพี่ ไอ้อ่อนนี้มันกล้ามาก กล้าพูดว่าจะให้เราตาย เราหลายสิบคนสามารถสับแกเป็นชิ้น ๆ แล้วโยนให้หมากินได้ด้วยซ้ำ”“ไม่รู้ว่าไอ้อ่อนนี่มันไปเอาความมั่นอกมั่นใจแบบนี้มาจากไหน คงจะไม่ใช่ว่ามันเป็นบ้าหรอกนะ หรืออาจจะป่วยทางจิต? ถ้าอย่างนั้นก็ไปโรงพยาบาลโรคจิตตรวจดูสมองก่อนไป๊""ไม่รู้ย่อมไม่ผิด ดูท่าทางน่าสมเพชจริง ๆ คงจะเป็นแค่ไอ้ขยะที่ไม่มีประโยชน์อะไร งั้นก็เพิ่มสีสันให้กับมันหน่อยก็พอ"ลูกน้องบางกลุ่มกำลังต่อว่าต่าง ๆ นานา ทุกคนถืออาวุธในมือ พวกเขาวางแผนที่จะโจมตีหากมีอะไรตุกติกพี่หลงเหล่ตาของเขาและถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ไอ้อ่อน ฉันจะให้โอกาสแกมีชีวิตรอด ตอนนี้แกติดต่อไอ้ชูจงเทียนซะ แล้วให้ไอ้ชูจงเทียนมันออกมา ไม่อย่างนั้นฉันจะอัดแกให้เละเป็นโจ๊กเลย""ใช่ พี่หลงฉลาดหลักแหลมมาก แค่จับไอ้อ่อนนี้ แล้วหลอกให้ไอ้ชูจงเทียนมันออ
พี่หลงรู้สึกหวาดกลัวอย่างแท้จริง ใครเห็นสถานการณ์ตรงหน้านี้ก็คงจะหวาดกลัวกันทั้งนั้น มือที่หวดโค้งเข้าใส่หลี่โม่อย่างไม่หยุดยั้งนั้น ถึงขนาดที่พี่หลงก็ยังลังเลว่าจะคุกเข่าไปเลยดีหรือไม่ ถึงอย่างไรเบื้องหน้าก็เป็นยอดฝีมือ ทั้งยังยอดฝีมือที่เก่งจนไม่มีใครเทียบได้อีก หากจะคุกเข่าให้ยอดฝีมือแบบนั้นก็ไม่ได้น่าอับอายเลย พี่หลงคิดหาข้ออ้างให้ตัวเองอยู่ในใจ เมื่อเห็นหลี่โม่เดินเข้ามาทีละก้าว เห็นใบหน้าสงบนิ่งไร้อารมณ์แม้แต่น้อย พี่หลงก็รู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมาในใจ ตึกตัก พี่หลงเข่าทั้งสองข้างอ่อนยวบลงไปทันที เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงโศกเศร้า “ไว้ชีวิตด้วยครับลูกพี่ ผมจะไสหัวไปให้พ้นเดี๋ยวนี้เลย ขอแค่ไว้ชีวิตผมด้วยเถอะนะครับ” “นายจะไม่จัดการลูกน้องของนายให้เรียบร้อยหน่อยเหรอ? แบบนั้นมันคงจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่นะ” หลี่โม่พูดติดตลก เมื่อเห็นสภาพอันน่าเวทนาของพวกลูกน้องแล้ว พี่หลงก็เริ่มรู้สึกอยากจะร้องไห้ เกรงว่าแต่ละคนคงต้องนอนโรงพยาบาลสักสองสามเดือน ซึ่งพี่หลงไม่ต้องการจะมีวันคืนแบบนั้นด้วย “พวกเขาล้วนต้องไปพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล ถึงยังไงก็ต้องมีคนดูแลพวกเขาอยู่แล้วไม่ใช่เหรอครับ ผมกำล
หลี่โม่ถามอย่างไม่ได้คิดอะไร ชูจงเทียนรีบพูดขึ้น “ท่านอาจารย์ฟาแห่งเมืองหลวง ชื่อว่าชูเจาฟา เดิมทีเขาทำด้านการขนส่ง แต่ต่อมากลายเป็นโจรปล้นรถจนร่ำรวย ตอนนี้เขาได้ยึดครองส่วนแบ่งของธุรกิจโลจิสติกส์ในเมืองเอาไว้พอสมควรครับ” “ดูเหมือนว่าจางจงหยางจะไปพึ่งพิงชูเจาฟาแล้ว เมื่อก่อนเจ้านั่นอยากจะเข้ามากรุงโซล แต่ถูกผมขัดขวางไว้ ไม่ยอมเปิดโอกาสให้เขามาตั้งหลายปี ตอนนี้ถ้าหากเขากับจางจงหยางร่วมมือกันล่ะก็......” ชูจงเทียนรู้สึกกังวลเล็กน้อย เพียงแต่หากเผชิญหน้ากับจางจงหยาง ชูจงเทียนก็ยังมีความมั่นใจว่าจะชนะ แต่หากเพิ่มชูเจาฟาเข้าไปด้วย ในใจของชูจงเทียนก็ไม่มีความมั่นใจเอาเสียเลย “คุณสังเกตความเคลื่อนไหวของพวกเขาหน่อยนะ ถ้าหากกล้ามาหาเรื่องที่กรุงโซล ผมก็ไม่รังเกียจที่จะไปสั่งสอนบทเรียนให้พวกมันหรอก” หลี่โม่เอ่ยอย่างราบเรียบ ชูจงเทียนรู้สึกยินดีออกนอกหน้า การมีหลี่โม่อยู่นั้นก็เปรียบเหมือนมียันต์คุ้มภัย ไม่จำเป็นต้องรู้สึกกังวลให้มากเกินไปเลย “ท่านวางใจเถอะครับ ผมจะจับตาดูความเคลื่อนไหวของพวกเขา และจะรายงานให้ทราบทันทีเลยครับ” บอดี้การ์ดของชูจงเทียนโทรศัพท์เรียกรถมาแล้ว ไม่นานก็มีรถ