ดวงตาของพี่หลงเปิดกว้างออก เขาเห็นว่าหลี่โม่ดูธรรมดา ดูไม่มีพลังในการต่อสู้เลย เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย"ไอ้อ่อน แกมาหาชูจงเทียนงั้นเหรอ? มาแค่คนเดียวไม่กลัวตายหรือไง?!" พี่หลงพูดอย่างเหยียดหยาม"ที่จะตายน่ะ คือพวกแก" หลี่โม่พูดอย่างเย็นชา“ผมไปเองพี่ ไอ้อ่อนนี้มันกล้ามาก กล้าพูดว่าจะให้เราตาย เราหลายสิบคนสามารถสับแกเป็นชิ้น ๆ แล้วโยนให้หมากินได้ด้วยซ้ำ”“ไม่รู้ว่าไอ้อ่อนนี่มันไปเอาความมั่นอกมั่นใจแบบนี้มาจากไหน คงจะไม่ใช่ว่ามันเป็นบ้าหรอกนะ หรืออาจจะป่วยทางจิต? ถ้าอย่างนั้นก็ไปโรงพยาบาลโรคจิตตรวจดูสมองก่อนไป๊""ไม่รู้ย่อมไม่ผิด ดูท่าทางน่าสมเพชจริง ๆ คงจะเป็นแค่ไอ้ขยะที่ไม่มีประโยชน์อะไร งั้นก็เพิ่มสีสันให้กับมันหน่อยก็พอ"ลูกน้องบางกลุ่มกำลังต่อว่าต่าง ๆ นานา ทุกคนถืออาวุธในมือ พวกเขาวางแผนที่จะโจมตีหากมีอะไรตุกติกพี่หลงเหล่ตาของเขาและถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ไอ้อ่อน ฉันจะให้โอกาสแกมีชีวิตรอด ตอนนี้แกติดต่อไอ้ชูจงเทียนซะ แล้วให้ไอ้ชูจงเทียนมันออกมา ไม่อย่างนั้นฉันจะอัดแกให้เละเป็นโจ๊กเลย""ใช่ พี่หลงฉลาดหลักแหลมมาก แค่จับไอ้อ่อนนี้ แล้วหลอกให้ไอ้ชูจงเทียนมันออ
พี่หลงรู้สึกหวาดกลัวอย่างแท้จริง ใครเห็นสถานการณ์ตรงหน้านี้ก็คงจะหวาดกลัวกันทั้งนั้น มือที่หวดโค้งเข้าใส่หลี่โม่อย่างไม่หยุดยั้งนั้น ถึงขนาดที่พี่หลงก็ยังลังเลว่าจะคุกเข่าไปเลยดีหรือไม่ ถึงอย่างไรเบื้องหน้าก็เป็นยอดฝีมือ ทั้งยังยอดฝีมือที่เก่งจนไม่มีใครเทียบได้อีก หากจะคุกเข่าให้ยอดฝีมือแบบนั้นก็ไม่ได้น่าอับอายเลย พี่หลงคิดหาข้ออ้างให้ตัวเองอยู่ในใจ เมื่อเห็นหลี่โม่เดินเข้ามาทีละก้าว เห็นใบหน้าสงบนิ่งไร้อารมณ์แม้แต่น้อย พี่หลงก็รู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมาในใจ ตึกตัก พี่หลงเข่าทั้งสองข้างอ่อนยวบลงไปทันที เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงโศกเศร้า “ไว้ชีวิตด้วยครับลูกพี่ ผมจะไสหัวไปให้พ้นเดี๋ยวนี้เลย ขอแค่ไว้ชีวิตผมด้วยเถอะนะครับ” “นายจะไม่จัดการลูกน้องของนายให้เรียบร้อยหน่อยเหรอ? แบบนั้นมันคงจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่นะ” หลี่โม่พูดติดตลก เมื่อเห็นสภาพอันน่าเวทนาของพวกลูกน้องแล้ว พี่หลงก็เริ่มรู้สึกอยากจะร้องไห้ เกรงว่าแต่ละคนคงต้องนอนโรงพยาบาลสักสองสามเดือน ซึ่งพี่หลงไม่ต้องการจะมีวันคืนแบบนั้นด้วย “พวกเขาล้วนต้องไปพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล ถึงยังไงก็ต้องมีคนดูแลพวกเขาอยู่แล้วไม่ใช่เหรอครับ ผมกำล
หลี่โม่ถามอย่างไม่ได้คิดอะไร ชูจงเทียนรีบพูดขึ้น “ท่านอาจารย์ฟาแห่งเมืองหลวง ชื่อว่าชูเจาฟา เดิมทีเขาทำด้านการขนส่ง แต่ต่อมากลายเป็นโจรปล้นรถจนร่ำรวย ตอนนี้เขาได้ยึดครองส่วนแบ่งของธุรกิจโลจิสติกส์ในเมืองเอาไว้พอสมควรครับ” “ดูเหมือนว่าจางจงหยางจะไปพึ่งพิงชูเจาฟาแล้ว เมื่อก่อนเจ้านั่นอยากจะเข้ามากรุงโซล แต่ถูกผมขัดขวางไว้ ไม่ยอมเปิดโอกาสให้เขามาตั้งหลายปี ตอนนี้ถ้าหากเขากับจางจงหยางร่วมมือกันล่ะก็......” ชูจงเทียนรู้สึกกังวลเล็กน้อย เพียงแต่หากเผชิญหน้ากับจางจงหยาง ชูจงเทียนก็ยังมีความมั่นใจว่าจะชนะ แต่หากเพิ่มชูเจาฟาเข้าไปด้วย ในใจของชูจงเทียนก็ไม่มีความมั่นใจเอาเสียเลย “คุณสังเกตความเคลื่อนไหวของพวกเขาหน่อยนะ ถ้าหากกล้ามาหาเรื่องที่กรุงโซล ผมก็ไม่รังเกียจที่จะไปสั่งสอนบทเรียนให้พวกมันหรอก” หลี่โม่เอ่ยอย่างราบเรียบ ชูจงเทียนรู้สึกยินดีออกนอกหน้า การมีหลี่โม่อยู่นั้นก็เปรียบเหมือนมียันต์คุ้มภัย ไม่จำเป็นต้องรู้สึกกังวลให้มากเกินไปเลย “ท่านวางใจเถอะครับ ผมจะจับตาดูความเคลื่อนไหวของพวกเขา และจะรายงานให้ทราบทันทีเลยครับ” บอดี้การ์ดของชูจงเทียนโทรศัพท์เรียกรถมาแล้ว ไม่นานก็มีรถ
ตระกูลกู้ ควันบุหรี่ลอยโขมงอยู่ในห้องประชุม กู้เจี้ยนกั๋ว กู้เจี้ยนเจียง กู้ซิ่งเหว่ยสูบบุหรี่กันมวนแล้วมวนเล่า คนที่สามารถติดต่อได้ก็ติดต่อหมดแล้ว แต่ไม่มีใครที่สามารถช่วยตระกูลกู้ได้เลย เมฆแห่งวิกฤตกาลกำลังปกคลุมอยู่บนหัวของตระกูลกู้แล้ว ตระกูลกู้เปรียบเหมือนเรือลำเล็กซึ่งลอยอยู่ท่ามกลางคลื่นมรสุมที่สามารถคลิกคว่ำได้ทุกเมื่อ “ทางหยุนหลานบอกว่ายังไงบ้าง? ชิงหลินได้พูดอะไรออกมาบ้างไหม” กู้เจี้ยนกั๋วถามอย่างเคร่งขรึม ตอนนี้แม้แต่ตัวศัตรูก็ยังไม่รู้แน่ชัด ต่อให้กู้เจี้ยนกั๋วจะพยายามใช้เส้นสายสืบหาอย่างเต็มที่แล้ว แต่ก็สืบข่าวคราวอะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้อย เหมือนกับว่าทุกอย่างเป็นการจัดวางของโชคชะตา กำหนดให้ตระกูลกู้ล่มสลายลงในหายนะครั้งนี้ กู้เจี้ยนเจียงส่ายหน้า สูบบุหรี่ด้วยความกลัดกลุ้มอย่างสุดซึ้ง “ไม่มี หยุนหลานไม่ได้พูดอะไรเลย และไม่รู้ด้วยว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่” ห้องประชุมเข้าสู่ความเงียบสงัดอีกครั้ง ภายในใจของตระกูลกู้ได้ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอก รู้สึกว่าอาจถูกโชคชะตากลืนกินไปเมื่อไหร่ก็ได้ “ทุเรศจริง ๆ ไอ้เวรที่ไหนมันเล่นลูกไม้ลับหลังเรากันแน่!” กู้ซิ่งเหว่ยคำรามด้
“นี่มันสถานการณ์อะไรกัน? มีรถเข็นแค่คันเดียวยังพอเข้าใจได้ แต่นี่รถทุกคันต่างก็เอารถเข็นมาด้วยกันหมดมันหมายความว่ายังไง หรือว่าปีนี้จะฮิตนั่งรถเข็นกัน?” กู้ซิ่งเหว่ยถามอย่างสงสัย กู้เจี้ยนกั๋วเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เลิกพูดไร้สาระซะ แล้วก็อย่าพูดอะไรที่ทำให้คนอื่นไม่พอใจล่ะ คนพวกนี้จะต้องเป็นพวกข้ามแม่น้ำแดนมังกรแน่ ตระกูลของเราต้องผ่านด่านนี้ไปให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน” กู้ซิ่งเหว่ยปิดปากแน่น มองไปยังประตูหลังของรถเบนซ์ที่ถูกเปิดออก บอดี้การ์ดอุ้มเฝิงจื่อไฉมาวางลงบนรถเข็น ส่วนในรถเบนซ์คันด้านหลังนั้น พวกเหอลี่ฉวินและคนอื่น ๆ เองก็ถูกอุ้มออกมาตามลำดับ การกุมชะตากรรมของตระกูลกู้ในครั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนจากตระกูลอยู่เบื้องหลังอย่างเต็มที่ เหอลี่ฉวินและลูกเศรษฐีพวกนี้ ต่อให้นั่งอยู่บนรถเข็นก็ยังเชิดหน้าชูตาสูงส่ง แสดงรัศมีแห่งความทะนงองอาจออกมา พวกบอดี้การ์ดเข็นรถเข็นของเฝิงจื่อไฉและคนอื่น ๆ เดินไปหาพวกกู้เจี้ยนกั๋วอย่างเป็นระเบียบ แก้มของกู้เจี้ยนกั๋วกระตุกอย่างแรงสองสามครั้ง เขาฝืนอดกลั้นความอยากหัวเราะลั่นเอาไว้ ในใจคิดว่า ห้ามหัวเราะเด็ดขาด คนพวกนี้คือคนที่สามารถดับชี
กู้ซิ่งเหว่ยและกู้ชิงหลินควบคุมตัวกู้หยุนหลานเดินไปที่ห้องประชุมเหมือนกับคุมตัวนักโทษอย่างไรอย่างนั้น กู้เจี้ยนกั๋วและกู้เจี้ยนเจียงต่างก็ยืนอยู่ข้างพวกเฝิงจื่อไฉด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ยังไม่ทราบชื่ออันยิ่งใหญ่ของพวกคุณเลย อีกเดี๋ยวกู้หยุนหลานกับไอ้สารเลวหลี่โมนั่นกลับมา ผมจะสั่งสอนพวกเขาอย่างหนักแน่นอนครับ” เฝิงจื่อไฉเบะปาก “ฟังให้ดีล่ะ ฉันคือเฝิงจื่อไฉแห่งจินไห่ จางจงหยางลูกพี่ใหญ่แห่งจินไห่เป็นเหมือนพี่ชายของฉัน ส่วนพวกเขาเหล่านี้ล้วนเป็นเหล่าทายาทของเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ในเมืองจินไห่ ไอ้เวรหลี่โม่นั่นทำให้พวกเราคุกเข่าให้มัน แถมยังให้พวกเราแทงตัวเองสามมีดหกรูอีก เดี๋ยวมันจะต้องได้เห็นดีกัน!” กู้เจี้ยนกั๋วและกู้เจี้ยนเจียงสับสนไปครู่หนึ่ง ก่อนนึกอยากจะฆ่าหลี่โม่ให้ตายเสียตรงนั้นเลย นี่มันไปก่อเรื่องวุ่นวายใหญ่โตขนาดไหนกัน! ล่วงเกินลูกพี่ใหญ่แห่งจินไห่กับเหล่าทายาทอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมด ก็เท่ากับไปหาเรื่องท้องฟ้าครึ่งหนึ่งของจินไห่แล้ว! มิน่าคนอื่นเขาถึงได้มีอำนาจมากขนาดถึงขั้นทำให้ธนาคารระงับการปล่อยสินเชื่อ ความสัมพันธ์ระหว่างธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธนาคารคงจะดีมาก และก
เสียงวางสายดังออกมาจากในโทรศัพท์ กู้ชิงหลินโยนโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ “จิ๊ ๆ สามีขยะของเธอดูเหมือนกำลังจะหนีไปแล้วนะ คุณชายทั้งหลาย พวกคุณพาตัวกู้หยุนหลานไปเล่นสนุกกันตามใจชอบได้เลย และขอให้พวกคุณโปรดเมตตาละเว้นปล่อยตระกูลเราไปด้วยเถอะค่ะ” “ใช่แล้ว ชิงหลินพูดถูกต้อง” กู้เจี้ยนเจียงมองไปทางเฝิงจื่อไฉอย่างสอพลอ “พวกคุณพาหยุนหลานกลับไป อยากจะแก้แค้นยังไงก็ได้ทั้งนั้น หล่อนไม่มีความสัมพันธ์อะไรกับตระกูลกู้ของเรา พวกคุณจะปฏิบัติกับตระกูลกู้เราแบบนี้ไม่ได้นะครับ” ในดวงตาของกู้หยุนหลานเอ่อไปด้วยน้ำตา เธอขบริมฝีปากล่างแน่น ในใจเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและหวาดกลัว ต้องถูกพาไปจริง ๆ อย่างนั้นเหรอ? หากถูกคนพวกนี้พาตัวไป น่ากลัวว่าชีวิตในวันข้างหน้าของเธอคงจะมืดมิดไร้ความหวังแล้วล่ะ ครั้งนี้หลี่โม่จะสามารถช่วยตนได้หรือเปล่า? หรือว่า มันคง อาจจะ...... เฝิงจื่อไฉหัวเราะเสียงเย็นเล็กน้อย “คิดอะไรอยู่ล่ะ คนน่ะ ฉันต้องเอาอยู่แล้ว แต่บัญชีของสามมีดหกรูนี้ก็ยังต้องชำระ” “เงินทุนหมุนเวียนของพวกแกตระกูลกู้ขาดไปแล้ว ทรัพย์สินส่วนใหญ่ก็กำลังจะถูกประมูลขายทอดตลาดไปหมด ถึงตอนนั้นพวกแกไม่เพียงไม่มีเงินเ
เมื่อเห็นหลี่โม่กลับมาแล้ว กู้ซิ่งเหว่ยเป็นคนแรกที่กระโดดออกมา และตะโกนลั่นให้หลี่โม่คุกเข่าลง เฝิงจื่อไฉมองไปยังหลี่โม่ด้วยรอยยิ้มเยือก รอชมการแสดงของตระกูลกู้ ดูว่าคนตระกูลกู้จะกดหลี่โม่ให้คุกเข่าลงต่อหน้าตนอย่างไร จะถ่มเสมหะข้นเหนียวใส่หน้าของหลี่โม่ที่คุกเข่าขอความเมตตากับพื้นก่อน หรือจะถีบหน้าเจ้าหลี่โม่สักทีเป็นการระบายโทสะก่อนดี? ภายในใจของเฝิงจื่อไฉเริ่มคิดเพ้อฝันขึ้นมา กู้เจี้ยนกั๋ว กู้เจี้ยนเจียง และกู้ชิงหลินต่างก็มุ่งเป้าโจมตีไปที่หลี่โม่ เอาความอัปยศอดสูที่ได้รับเมื่อครู่มาแก้แค้นลงที่ตัวหลี่โม่เป็นเท่าทวี “ไอ้สารเลว ไอ้ลูกหมาในที่สุดก็กลับมาได้เสียทีนะ แกรู้ไหมว่าแกก่อเรื่องไว้ใหญ่โตแค่ไหน! คนของจินไห่ถูกแกยั่วโมโหกันหมด ทำไมความกล้าบ้า ๆ ของแกถึงได้มากมายนัก!” “ยังจะยืนบื้ออะไรอยู่อีก รีบคุกเข่ารับผิดให้คุณเฝิงซะสิ ถ้าคุณเฝิงไม่ยกโทษให้แก แกก็คุกเข่าไปทั้งชาตินั่นแหละ!” “คุกเข่าไปตลอดชีวิตมันคงดีไปสำหรับไอ้สารเลวนี่ น่าจะหักขาสองข้างของมันซะ ให้มันรู้จักความร้ายกาจซะบ้าง ดูซิว่าต่อไปมันจะยังกล้าออกไปก่อเรื่องอีกไหม!” พวกของกู้เจี้ยนกั๋วพ่นน้ำลายใส่หลี่โม่