หลี่โม่ถามอย่างไม่ได้คิดอะไร ชูจงเทียนรีบพูดขึ้น “ท่านอาจารย์ฟาแห่งเมืองหลวง ชื่อว่าชูเจาฟา เดิมทีเขาทำด้านการขนส่ง แต่ต่อมากลายเป็นโจรปล้นรถจนร่ำรวย ตอนนี้เขาได้ยึดครองส่วนแบ่งของธุรกิจโลจิสติกส์ในเมืองเอาไว้พอสมควรครับ” “ดูเหมือนว่าจางจงหยางจะไปพึ่งพิงชูเจาฟาแล้ว เมื่อก่อนเจ้านั่นอยากจะเข้ามากรุงโซล แต่ถูกผมขัดขวางไว้ ไม่ยอมเปิดโอกาสให้เขามาตั้งหลายปี ตอนนี้ถ้าหากเขากับจางจงหยางร่วมมือกันล่ะก็......” ชูจงเทียนรู้สึกกังวลเล็กน้อย เพียงแต่หากเผชิญหน้ากับจางจงหยาง ชูจงเทียนก็ยังมีความมั่นใจว่าจะชนะ แต่หากเพิ่มชูเจาฟาเข้าไปด้วย ในใจของชูจงเทียนก็ไม่มีความมั่นใจเอาเสียเลย “คุณสังเกตความเคลื่อนไหวของพวกเขาหน่อยนะ ถ้าหากกล้ามาหาเรื่องที่กรุงโซล ผมก็ไม่รังเกียจที่จะไปสั่งสอนบทเรียนให้พวกมันหรอก” หลี่โม่เอ่ยอย่างราบเรียบ ชูจงเทียนรู้สึกยินดีออกนอกหน้า การมีหลี่โม่อยู่นั้นก็เปรียบเหมือนมียันต์คุ้มภัย ไม่จำเป็นต้องรู้สึกกังวลให้มากเกินไปเลย “ท่านวางใจเถอะครับ ผมจะจับตาดูความเคลื่อนไหวของพวกเขา และจะรายงานให้ทราบทันทีเลยครับ” บอดี้การ์ดของชูจงเทียนโทรศัพท์เรียกรถมาแล้ว ไม่นานก็มีรถ
ตระกูลกู้ ควันบุหรี่ลอยโขมงอยู่ในห้องประชุม กู้เจี้ยนกั๋ว กู้เจี้ยนเจียง กู้ซิ่งเหว่ยสูบบุหรี่กันมวนแล้วมวนเล่า คนที่สามารถติดต่อได้ก็ติดต่อหมดแล้ว แต่ไม่มีใครที่สามารถช่วยตระกูลกู้ได้เลย เมฆแห่งวิกฤตกาลกำลังปกคลุมอยู่บนหัวของตระกูลกู้แล้ว ตระกูลกู้เปรียบเหมือนเรือลำเล็กซึ่งลอยอยู่ท่ามกลางคลื่นมรสุมที่สามารถคลิกคว่ำได้ทุกเมื่อ “ทางหยุนหลานบอกว่ายังไงบ้าง? ชิงหลินได้พูดอะไรออกมาบ้างไหม” กู้เจี้ยนกั๋วถามอย่างเคร่งขรึม ตอนนี้แม้แต่ตัวศัตรูก็ยังไม่รู้แน่ชัด ต่อให้กู้เจี้ยนกั๋วจะพยายามใช้เส้นสายสืบหาอย่างเต็มที่แล้ว แต่ก็สืบข่าวคราวอะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้อย เหมือนกับว่าทุกอย่างเป็นการจัดวางของโชคชะตา กำหนดให้ตระกูลกู้ล่มสลายลงในหายนะครั้งนี้ กู้เจี้ยนเจียงส่ายหน้า สูบบุหรี่ด้วยความกลัดกลุ้มอย่างสุดซึ้ง “ไม่มี หยุนหลานไม่ได้พูดอะไรเลย และไม่รู้ด้วยว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่” ห้องประชุมเข้าสู่ความเงียบสงัดอีกครั้ง ภายในใจของตระกูลกู้ได้ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอก รู้สึกว่าอาจถูกโชคชะตากลืนกินไปเมื่อไหร่ก็ได้ “ทุเรศจริง ๆ ไอ้เวรที่ไหนมันเล่นลูกไม้ลับหลังเรากันแน่!” กู้ซิ่งเหว่ยคำรามด้
“นี่มันสถานการณ์อะไรกัน? มีรถเข็นแค่คันเดียวยังพอเข้าใจได้ แต่นี่รถทุกคันต่างก็เอารถเข็นมาด้วยกันหมดมันหมายความว่ายังไง หรือว่าปีนี้จะฮิตนั่งรถเข็นกัน?” กู้ซิ่งเหว่ยถามอย่างสงสัย กู้เจี้ยนกั๋วเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เลิกพูดไร้สาระซะ แล้วก็อย่าพูดอะไรที่ทำให้คนอื่นไม่พอใจล่ะ คนพวกนี้จะต้องเป็นพวกข้ามแม่น้ำแดนมังกรแน่ ตระกูลของเราต้องผ่านด่านนี้ไปให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน” กู้ซิ่งเหว่ยปิดปากแน่น มองไปยังประตูหลังของรถเบนซ์ที่ถูกเปิดออก บอดี้การ์ดอุ้มเฝิงจื่อไฉมาวางลงบนรถเข็น ส่วนในรถเบนซ์คันด้านหลังนั้น พวกเหอลี่ฉวินและคนอื่น ๆ เองก็ถูกอุ้มออกมาตามลำดับ การกุมชะตากรรมของตระกูลกู้ในครั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนจากตระกูลอยู่เบื้องหลังอย่างเต็มที่ เหอลี่ฉวินและลูกเศรษฐีพวกนี้ ต่อให้นั่งอยู่บนรถเข็นก็ยังเชิดหน้าชูตาสูงส่ง แสดงรัศมีแห่งความทะนงองอาจออกมา พวกบอดี้การ์ดเข็นรถเข็นของเฝิงจื่อไฉและคนอื่น ๆ เดินไปหาพวกกู้เจี้ยนกั๋วอย่างเป็นระเบียบ แก้มของกู้เจี้ยนกั๋วกระตุกอย่างแรงสองสามครั้ง เขาฝืนอดกลั้นความอยากหัวเราะลั่นเอาไว้ ในใจคิดว่า ห้ามหัวเราะเด็ดขาด คนพวกนี้คือคนที่สามารถดับชี
กู้ซิ่งเหว่ยและกู้ชิงหลินควบคุมตัวกู้หยุนหลานเดินไปที่ห้องประชุมเหมือนกับคุมตัวนักโทษอย่างไรอย่างนั้น กู้เจี้ยนกั๋วและกู้เจี้ยนเจียงต่างก็ยืนอยู่ข้างพวกเฝิงจื่อไฉด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ยังไม่ทราบชื่ออันยิ่งใหญ่ของพวกคุณเลย อีกเดี๋ยวกู้หยุนหลานกับไอ้สารเลวหลี่โมนั่นกลับมา ผมจะสั่งสอนพวกเขาอย่างหนักแน่นอนครับ” เฝิงจื่อไฉเบะปาก “ฟังให้ดีล่ะ ฉันคือเฝิงจื่อไฉแห่งจินไห่ จางจงหยางลูกพี่ใหญ่แห่งจินไห่เป็นเหมือนพี่ชายของฉัน ส่วนพวกเขาเหล่านี้ล้วนเป็นเหล่าทายาทของเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ในเมืองจินไห่ ไอ้เวรหลี่โม่นั่นทำให้พวกเราคุกเข่าให้มัน แถมยังให้พวกเราแทงตัวเองสามมีดหกรูอีก เดี๋ยวมันจะต้องได้เห็นดีกัน!” กู้เจี้ยนกั๋วและกู้เจี้ยนเจียงสับสนไปครู่หนึ่ง ก่อนนึกอยากจะฆ่าหลี่โม่ให้ตายเสียตรงนั้นเลย นี่มันไปก่อเรื่องวุ่นวายใหญ่โตขนาดไหนกัน! ล่วงเกินลูกพี่ใหญ่แห่งจินไห่กับเหล่าทายาทอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมด ก็เท่ากับไปหาเรื่องท้องฟ้าครึ่งหนึ่งของจินไห่แล้ว! มิน่าคนอื่นเขาถึงได้มีอำนาจมากขนาดถึงขั้นทำให้ธนาคารระงับการปล่อยสินเชื่อ ความสัมพันธ์ระหว่างธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธนาคารคงจะดีมาก และก
เสียงวางสายดังออกมาจากในโทรศัพท์ กู้ชิงหลินโยนโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ “จิ๊ ๆ สามีขยะของเธอดูเหมือนกำลังจะหนีไปแล้วนะ คุณชายทั้งหลาย พวกคุณพาตัวกู้หยุนหลานไปเล่นสนุกกันตามใจชอบได้เลย และขอให้พวกคุณโปรดเมตตาละเว้นปล่อยตระกูลเราไปด้วยเถอะค่ะ” “ใช่แล้ว ชิงหลินพูดถูกต้อง” กู้เจี้ยนเจียงมองไปทางเฝิงจื่อไฉอย่างสอพลอ “พวกคุณพาหยุนหลานกลับไป อยากจะแก้แค้นยังไงก็ได้ทั้งนั้น หล่อนไม่มีความสัมพันธ์อะไรกับตระกูลกู้ของเรา พวกคุณจะปฏิบัติกับตระกูลกู้เราแบบนี้ไม่ได้นะครับ” ในดวงตาของกู้หยุนหลานเอ่อไปด้วยน้ำตา เธอขบริมฝีปากล่างแน่น ในใจเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและหวาดกลัว ต้องถูกพาไปจริง ๆ อย่างนั้นเหรอ? หากถูกคนพวกนี้พาตัวไป น่ากลัวว่าชีวิตในวันข้างหน้าของเธอคงจะมืดมิดไร้ความหวังแล้วล่ะ ครั้งนี้หลี่โม่จะสามารถช่วยตนได้หรือเปล่า? หรือว่า มันคง อาจจะ...... เฝิงจื่อไฉหัวเราะเสียงเย็นเล็กน้อย “คิดอะไรอยู่ล่ะ คนน่ะ ฉันต้องเอาอยู่แล้ว แต่บัญชีของสามมีดหกรูนี้ก็ยังต้องชำระ” “เงินทุนหมุนเวียนของพวกแกตระกูลกู้ขาดไปแล้ว ทรัพย์สินส่วนใหญ่ก็กำลังจะถูกประมูลขายทอดตลาดไปหมด ถึงตอนนั้นพวกแกไม่เพียงไม่มีเงินเ
เมื่อเห็นหลี่โม่กลับมาแล้ว กู้ซิ่งเหว่ยเป็นคนแรกที่กระโดดออกมา และตะโกนลั่นให้หลี่โม่คุกเข่าลง เฝิงจื่อไฉมองไปยังหลี่โม่ด้วยรอยยิ้มเยือก รอชมการแสดงของตระกูลกู้ ดูว่าคนตระกูลกู้จะกดหลี่โม่ให้คุกเข่าลงต่อหน้าตนอย่างไร จะถ่มเสมหะข้นเหนียวใส่หน้าของหลี่โม่ที่คุกเข่าขอความเมตตากับพื้นก่อน หรือจะถีบหน้าเจ้าหลี่โม่สักทีเป็นการระบายโทสะก่อนดี? ภายในใจของเฝิงจื่อไฉเริ่มคิดเพ้อฝันขึ้นมา กู้เจี้ยนกั๋ว กู้เจี้ยนเจียง และกู้ชิงหลินต่างก็มุ่งเป้าโจมตีไปที่หลี่โม่ เอาความอัปยศอดสูที่ได้รับเมื่อครู่มาแก้แค้นลงที่ตัวหลี่โม่เป็นเท่าทวี “ไอ้สารเลว ไอ้ลูกหมาในที่สุดก็กลับมาได้เสียทีนะ แกรู้ไหมว่าแกก่อเรื่องไว้ใหญ่โตแค่ไหน! คนของจินไห่ถูกแกยั่วโมโหกันหมด ทำไมความกล้าบ้า ๆ ของแกถึงได้มากมายนัก!” “ยังจะยืนบื้ออะไรอยู่อีก รีบคุกเข่ารับผิดให้คุณเฝิงซะสิ ถ้าคุณเฝิงไม่ยกโทษให้แก แกก็คุกเข่าไปทั้งชาตินั่นแหละ!” “คุกเข่าไปตลอดชีวิตมันคงดีไปสำหรับไอ้สารเลวนี่ น่าจะหักขาสองข้างของมันซะ ให้มันรู้จักความร้ายกาจซะบ้าง ดูซิว่าต่อไปมันจะยังกล้าออกไปก่อเรื่องอีกไหม!” พวกของกู้เจี้ยนกั๋วพ่นน้ำลายใส่หลี่โม่
กู้หยุนหลานดึงมือหลี่โม่เอาไว้ แล้วบีบฝ่ามือของเขาเบา ๆ “คุณลุงคะ ต่อให้พวกคุณจะให้ฉันกับหลี่โม่ขอโทษพวกเขา พวกเขาก็ไม่มีทางยอมปล่อยตระกูลกู้ไปหรอก ทำไมพวกคุณถึงมองไม่เข้าใจกัน” “เหลวไหล!” กู้เจี้ยนกั๋วตบโต๊ะด้วยความโกรธเกรี้ยว ชี้ไปยังหลี่โม่และกู้หยุนหลานพร้อมตวาด “ถ้าไม่ใช่เพราะพวกแกสองตัว ภายในตระกูลก็ไม่มีทางเกิดเรื่องพวกนี้ขึ้นได้หรอก แล้วตอนนี้แกพูดแบบนี้เพราะคิดจะเลี่ยงความผิดงั้นเหรอ? ขอบอกเลยว่า ไม่มีทางซะหรอก!” “พวกแกสองคนอย่ามาเสแสร้งอยู่ที่นี่หน่อยเลย รีบขอโทษคุณเฝิงซะ พวกแกจะพูดอะไรอีกมันก็ไร้ประโยชน์ ทำให้พวกคุณเฝิงได้รับบาดเจ็บสาหัส พวกแกก็ควรจะขอโทษขอขมาต่อคุณเฝิงซะ!” “กู้หยุนหลาน เธอก็ใช่ว่าจะไม่เคยหลับนอนกับใครมาก่อน หลี่โม่ก็ใช่ว่าจะไม่ได้ถูกสวมเขา พวกเธอสองคนยังจะมาแสร้งแสดงละครอะไรอีก หยุนหลานรีบไปปรนนิบัติคุณเฝิงให้ดี ๆ ส่วนหลี่โม่ขยะอย่างแกก็สวมเขาไว้ให้ดี ๆ แล้วกัน!” กู้หยุนหลานจ้องเขม็งไปยังกู้ชิงหลิน เธอโกรธจนร่างสั่นสะท้าน “พูดเหลวไหล! ฉันเปล่านะ!” “เปล่าอะไรของเธอ ทุกคนเขารู้เรื่องกันหมดแล้ว ว่าเมื่อก่อนเธอเซ็นสัญญาได้ยังไง ใคร ๆ เขาก็รู้อยู
“แกต่างหากที่หาที่ตาย คุณเฝิงเขายกคนมาถึงที่แล้ว แกยังไม่รู้จักความเป็นความตายอีก!” กู้ซิ่งเหว่ยจับข้อมือของหลี่โม่เอาไว้ มือทั้งสองข้างออกแรงบิดข้อมือของหลี่โม่ แต่ในฉับพลันที่ออกแรงนั้น ข้อมือของหลี่โม่กลับไม่ได้ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย ทันใดนั้นกู้ซิ่งเหว่ยก็เลือดเย็นเฉียบไปทั่วร่าง เมื่อนั้นจึงนึกถึงเรื่องที่หลี่โม่สู้กับพวกโจรเรียกค่าไถ่ด้วยตัวคนเดียวก่อนหน้านี้ขึ้นมา กู้ซิ่งเหว่ยเข้าใจดีว่าด้วยรูปร่างผอมบางเช่นนี้ของตน ต่อให้มีอีกสักสิบคนก็ไม่ใช่คู่มือของหลี่โม่ เมื่อมองไปยังกู้เจี้ยนเจียงส่งสายตาให้ตนอีกครั้ง เลือดที่เย็นเฉียบของกู้ซิ่งเหว่ยก็กลายเป็นเกล็ดน้ำแข็งทันที แม่งเอ๊ยติดกับแล้ว นึกไม่ถึงเลยว่ากู้เจี้ยนเจียงจะไม่ได้ลงมือ! “หลี่โม่ นี่ก็เพื่อคนในตระกูล ดังนั้นนายคุกเข่าลงเถอะ อย่าทำให้ทุกคนลำบากใจเลย” หลี่โม่หัวเราะเย็นชา เขาสะบัดข้อมือ สลัดมือของกู้ซิ่งเหว่ยออก ก่อนจะตบหน้ากู้ซิ่งเหว่ยไปหนึ่งฉาด กู้ซิ่งเหว่ยถูกหลี่โม่หวดใส่จนลอยกระเด็นออกไปราวกับเศษกระดาษ ทั้งร่างกระแทกเข้ากับกำแพง ก่อนจะค่อย ๆ ไถลร่วงลงมา ความเจ็บปวดอันรุนแรงนั้น ทำให้กู้ซิ่งเหว่ยสลบไปทันที