ชูจงเทียนอึ้งไปครู่หนึ่ง แม้ว่าในใจเขาตอนนี้ไม่มีแม้แต่ความหวัง ต่อให้หลี่โม่หลี่สามารถมาช่วยตนได้ ไม่สิ! ตราบใดที่หลี่โม่ส่งคนมาช่วยตน ตนจะรอดได้อย่างแน่นอน !ไม่ว่าอย่างไร ชูจงเทียนก็ได้เชื่อมั่นในตัวหลี่โม่ และรู้ว่าหลี่โม่มีอำนาจสามารถทำได้ทุกอย่าง"ผมอยู่ ที่นี่ หมู่บ้านหวงหยัน พวกเรากำลังจะไปที่โกดังนอกหมู่บ้านหวงหยัน โกดังนั้นเป็นเซฟเฮาส์ที่ผมสร้างไว้ ตราบใดที่ผมหลบหนีเข้าไปได้ ผมเดาว่าพวกมันจะเปิดประตูไม่ได้ เป็นเวลาเจ็ดถึงแปดชั่วโมง""ดี คุณรีบหนีไปหลบที่นั่นก่อน ผมจะไปตอนนี้เลย"หลี่โม่พูดจบก็วางสาย กู้เจี้ยนกั๋วเฝ้ารอหลี่โม่ด้วยความโกรธ "แกจะไปทำอะไร?! ไม่ใช่จะไปสร้างหายนะอีกนะ! แกอยากจะเห็นตระกูลกู้ของพวกเราพินาศใช่ไหม?!""ผมจะไปจัดการเรื่องการระงับเงินกู้ของธนาคาร พวกคุณควรปฏิบัติต่อภรรยาของผมให้ดีกว่านี้"หลังจากเตือนกู้เจี้ยนกั๋วและคนอื่น ๆ หลี่โม่ก็ดึงกู้หยุนหลานออกมาข้างนอก "ผมจะออกไปทำธุระบางอย่าง คุณรอผมอยู่ที่บริษัทก่อนนะ ถ้าเกิดเรื่องอะไรคุณโทรหาผม""ได้ค่ะ คุณระวังตัวด้วยนะคะ" กู้หยุนหลานไม่ได้ถามว่าเรื่องอะไร แค่ส่งหลี่โม่ออกจากบริษัทไปตระกูลกู้ทั้งสามคน
ชายทั้งสี่คนกวัดแกว่งดาบและพุ่งเข้าหาหลี่โม่อย่างโหดเหี้ยมส่วนของมีดโบกสะบัดตามแรงลม และตกลงไปที่แขนและเอวของหลี่โม่ คนเหล่านี้มักต่อสู้กันเป็นประจำ และพวกเขารู้ว่าไม่ควรรีบเน้นไปยังจุดสำคัญ หากฆ่าใครสักคนจะเป็นปัญหาใหญ่โตหลี่โม่ยิ้มอย่างเย้ยหยัน ยื่นมือออกไปเหมือนสายฟ้า ใช้นิ้วสะบัดดาบทั้งสี่เล่มเบา ๆดิง ดิง ดิงหลังจากเสียงที่ดังต่อเนื่องกัน ใบมีดทั้งสี่เล่มก็หักเป็นสองท่อนชายฉกรรจ์ทั้งสี่คนที่ดุร้าย เมื่อมองไปที่เศษส่วนครึ่งของใบมีดที่เหลืออยู่ในมือของพวกเขา ทุกคนก็กลายเป็นหินในทันทีแม้ว่าดาบจะเบาและบาง แต่ก็ไม่หนาเท่ามีดพร้า แต่ก็ไม่สามารถหักได้ด้วยนิ้วทันใดนั้นภาพของปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ในนวนิยายจำนวนนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นในความคิดของชายฉกรรจ์ทั้งสี่คน ทั้งสี่คนมองหลี่โม่ด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป"แก แกเป็นคนประเภทไหน อย่าคิดว่าเรื่องแค่นี้จะทำให้พวกเรากลัวได้"หลี่โม่ส่ายหัวไปมา "ความอดทนของฉันมีขีดจำกัด ไปเรียกลูกพี่ของพวกแกมาคุยกับฉัน"ชายฉกรรจ์ทั้งสี่คนมองหน้ากัน แล้วรีบหันหลังวิ่งหนีไป พวกเขาไม่สามารถรวบรวมความกล้าที่จะต่อสู้กับหลี่โม่ได้เมื่อพบคนที่แข็งแกร่งทั
ดวงตาของพี่หลงเปิดกว้างออก เขาเห็นว่าหลี่โม่ดูธรรมดา ดูไม่มีพลังในการต่อสู้เลย เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย"ไอ้อ่อน แกมาหาชูจงเทียนงั้นเหรอ? มาแค่คนเดียวไม่กลัวตายหรือไง?!" พี่หลงพูดอย่างเหยียดหยาม"ที่จะตายน่ะ คือพวกแก" หลี่โม่พูดอย่างเย็นชา“ผมไปเองพี่ ไอ้อ่อนนี้มันกล้ามาก กล้าพูดว่าจะให้เราตาย เราหลายสิบคนสามารถสับแกเป็นชิ้น ๆ แล้วโยนให้หมากินได้ด้วยซ้ำ”“ไม่รู้ว่าไอ้อ่อนนี่มันไปเอาความมั่นอกมั่นใจแบบนี้มาจากไหน คงจะไม่ใช่ว่ามันเป็นบ้าหรอกนะ หรืออาจจะป่วยทางจิต? ถ้าอย่างนั้นก็ไปโรงพยาบาลโรคจิตตรวจดูสมองก่อนไป๊""ไม่รู้ย่อมไม่ผิด ดูท่าทางน่าสมเพชจริง ๆ คงจะเป็นแค่ไอ้ขยะที่ไม่มีประโยชน์อะไร งั้นก็เพิ่มสีสันให้กับมันหน่อยก็พอ"ลูกน้องบางกลุ่มกำลังต่อว่าต่าง ๆ นานา ทุกคนถืออาวุธในมือ พวกเขาวางแผนที่จะโจมตีหากมีอะไรตุกติกพี่หลงเหล่ตาของเขาและถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ไอ้อ่อน ฉันจะให้โอกาสแกมีชีวิตรอด ตอนนี้แกติดต่อไอ้ชูจงเทียนซะ แล้วให้ไอ้ชูจงเทียนมันออกมา ไม่อย่างนั้นฉันจะอัดแกให้เละเป็นโจ๊กเลย""ใช่ พี่หลงฉลาดหลักแหลมมาก แค่จับไอ้อ่อนนี้ แล้วหลอกให้ไอ้ชูจงเทียนมันออ
พี่หลงรู้สึกหวาดกลัวอย่างแท้จริง ใครเห็นสถานการณ์ตรงหน้านี้ก็คงจะหวาดกลัวกันทั้งนั้น มือที่หวดโค้งเข้าใส่หลี่โม่อย่างไม่หยุดยั้งนั้น ถึงขนาดที่พี่หลงก็ยังลังเลว่าจะคุกเข่าไปเลยดีหรือไม่ ถึงอย่างไรเบื้องหน้าก็เป็นยอดฝีมือ ทั้งยังยอดฝีมือที่เก่งจนไม่มีใครเทียบได้อีก หากจะคุกเข่าให้ยอดฝีมือแบบนั้นก็ไม่ได้น่าอับอายเลย พี่หลงคิดหาข้ออ้างให้ตัวเองอยู่ในใจ เมื่อเห็นหลี่โม่เดินเข้ามาทีละก้าว เห็นใบหน้าสงบนิ่งไร้อารมณ์แม้แต่น้อย พี่หลงก็รู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมาในใจ ตึกตัก พี่หลงเข่าทั้งสองข้างอ่อนยวบลงไปทันที เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงโศกเศร้า “ไว้ชีวิตด้วยครับลูกพี่ ผมจะไสหัวไปให้พ้นเดี๋ยวนี้เลย ขอแค่ไว้ชีวิตผมด้วยเถอะนะครับ” “นายจะไม่จัดการลูกน้องของนายให้เรียบร้อยหน่อยเหรอ? แบบนั้นมันคงจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่นะ” หลี่โม่พูดติดตลก เมื่อเห็นสภาพอันน่าเวทนาของพวกลูกน้องแล้ว พี่หลงก็เริ่มรู้สึกอยากจะร้องไห้ เกรงว่าแต่ละคนคงต้องนอนโรงพยาบาลสักสองสามเดือน ซึ่งพี่หลงไม่ต้องการจะมีวันคืนแบบนั้นด้วย “พวกเขาล้วนต้องไปพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล ถึงยังไงก็ต้องมีคนดูแลพวกเขาอยู่แล้วไม่ใช่เหรอครับ ผมกำล
หลี่โม่ถามอย่างไม่ได้คิดอะไร ชูจงเทียนรีบพูดขึ้น “ท่านอาจารย์ฟาแห่งเมืองหลวง ชื่อว่าชูเจาฟา เดิมทีเขาทำด้านการขนส่ง แต่ต่อมากลายเป็นโจรปล้นรถจนร่ำรวย ตอนนี้เขาได้ยึดครองส่วนแบ่งของธุรกิจโลจิสติกส์ในเมืองเอาไว้พอสมควรครับ” “ดูเหมือนว่าจางจงหยางจะไปพึ่งพิงชูเจาฟาแล้ว เมื่อก่อนเจ้านั่นอยากจะเข้ามากรุงโซล แต่ถูกผมขัดขวางไว้ ไม่ยอมเปิดโอกาสให้เขามาตั้งหลายปี ตอนนี้ถ้าหากเขากับจางจงหยางร่วมมือกันล่ะก็......” ชูจงเทียนรู้สึกกังวลเล็กน้อย เพียงแต่หากเผชิญหน้ากับจางจงหยาง ชูจงเทียนก็ยังมีความมั่นใจว่าจะชนะ แต่หากเพิ่มชูเจาฟาเข้าไปด้วย ในใจของชูจงเทียนก็ไม่มีความมั่นใจเอาเสียเลย “คุณสังเกตความเคลื่อนไหวของพวกเขาหน่อยนะ ถ้าหากกล้ามาหาเรื่องที่กรุงโซล ผมก็ไม่รังเกียจที่จะไปสั่งสอนบทเรียนให้พวกมันหรอก” หลี่โม่เอ่ยอย่างราบเรียบ ชูจงเทียนรู้สึกยินดีออกนอกหน้า การมีหลี่โม่อยู่นั้นก็เปรียบเหมือนมียันต์คุ้มภัย ไม่จำเป็นต้องรู้สึกกังวลให้มากเกินไปเลย “ท่านวางใจเถอะครับ ผมจะจับตาดูความเคลื่อนไหวของพวกเขา และจะรายงานให้ทราบทันทีเลยครับ” บอดี้การ์ดของชูจงเทียนโทรศัพท์เรียกรถมาแล้ว ไม่นานก็มีรถ
ตระกูลกู้ ควันบุหรี่ลอยโขมงอยู่ในห้องประชุม กู้เจี้ยนกั๋ว กู้เจี้ยนเจียง กู้ซิ่งเหว่ยสูบบุหรี่กันมวนแล้วมวนเล่า คนที่สามารถติดต่อได้ก็ติดต่อหมดแล้ว แต่ไม่มีใครที่สามารถช่วยตระกูลกู้ได้เลย เมฆแห่งวิกฤตกาลกำลังปกคลุมอยู่บนหัวของตระกูลกู้แล้ว ตระกูลกู้เปรียบเหมือนเรือลำเล็กซึ่งลอยอยู่ท่ามกลางคลื่นมรสุมที่สามารถคลิกคว่ำได้ทุกเมื่อ “ทางหยุนหลานบอกว่ายังไงบ้าง? ชิงหลินได้พูดอะไรออกมาบ้างไหม” กู้เจี้ยนกั๋วถามอย่างเคร่งขรึม ตอนนี้แม้แต่ตัวศัตรูก็ยังไม่รู้แน่ชัด ต่อให้กู้เจี้ยนกั๋วจะพยายามใช้เส้นสายสืบหาอย่างเต็มที่แล้ว แต่ก็สืบข่าวคราวอะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้อย เหมือนกับว่าทุกอย่างเป็นการจัดวางของโชคชะตา กำหนดให้ตระกูลกู้ล่มสลายลงในหายนะครั้งนี้ กู้เจี้ยนเจียงส่ายหน้า สูบบุหรี่ด้วยความกลัดกลุ้มอย่างสุดซึ้ง “ไม่มี หยุนหลานไม่ได้พูดอะไรเลย และไม่รู้ด้วยว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่” ห้องประชุมเข้าสู่ความเงียบสงัดอีกครั้ง ภายในใจของตระกูลกู้ได้ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอก รู้สึกว่าอาจถูกโชคชะตากลืนกินไปเมื่อไหร่ก็ได้ “ทุเรศจริง ๆ ไอ้เวรที่ไหนมันเล่นลูกไม้ลับหลังเรากันแน่!” กู้ซิ่งเหว่ยคำรามด้
“นี่มันสถานการณ์อะไรกัน? มีรถเข็นแค่คันเดียวยังพอเข้าใจได้ แต่นี่รถทุกคันต่างก็เอารถเข็นมาด้วยกันหมดมันหมายความว่ายังไง หรือว่าปีนี้จะฮิตนั่งรถเข็นกัน?” กู้ซิ่งเหว่ยถามอย่างสงสัย กู้เจี้ยนกั๋วเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เลิกพูดไร้สาระซะ แล้วก็อย่าพูดอะไรที่ทำให้คนอื่นไม่พอใจล่ะ คนพวกนี้จะต้องเป็นพวกข้ามแม่น้ำแดนมังกรแน่ ตระกูลของเราต้องผ่านด่านนี้ไปให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน” กู้ซิ่งเหว่ยปิดปากแน่น มองไปยังประตูหลังของรถเบนซ์ที่ถูกเปิดออก บอดี้การ์ดอุ้มเฝิงจื่อไฉมาวางลงบนรถเข็น ส่วนในรถเบนซ์คันด้านหลังนั้น พวกเหอลี่ฉวินและคนอื่น ๆ เองก็ถูกอุ้มออกมาตามลำดับ การกุมชะตากรรมของตระกูลกู้ในครั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนจากตระกูลอยู่เบื้องหลังอย่างเต็มที่ เหอลี่ฉวินและลูกเศรษฐีพวกนี้ ต่อให้นั่งอยู่บนรถเข็นก็ยังเชิดหน้าชูตาสูงส่ง แสดงรัศมีแห่งความทะนงองอาจออกมา พวกบอดี้การ์ดเข็นรถเข็นของเฝิงจื่อไฉและคนอื่น ๆ เดินไปหาพวกกู้เจี้ยนกั๋วอย่างเป็นระเบียบ แก้มของกู้เจี้ยนกั๋วกระตุกอย่างแรงสองสามครั้ง เขาฝืนอดกลั้นความอยากหัวเราะลั่นเอาไว้ ในใจคิดว่า ห้ามหัวเราะเด็ดขาด คนพวกนี้คือคนที่สามารถดับชี
กู้ซิ่งเหว่ยและกู้ชิงหลินควบคุมตัวกู้หยุนหลานเดินไปที่ห้องประชุมเหมือนกับคุมตัวนักโทษอย่างไรอย่างนั้น กู้เจี้ยนกั๋วและกู้เจี้ยนเจียงต่างก็ยืนอยู่ข้างพวกเฝิงจื่อไฉด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ยังไม่ทราบชื่ออันยิ่งใหญ่ของพวกคุณเลย อีกเดี๋ยวกู้หยุนหลานกับไอ้สารเลวหลี่โมนั่นกลับมา ผมจะสั่งสอนพวกเขาอย่างหนักแน่นอนครับ” เฝิงจื่อไฉเบะปาก “ฟังให้ดีล่ะ ฉันคือเฝิงจื่อไฉแห่งจินไห่ จางจงหยางลูกพี่ใหญ่แห่งจินไห่เป็นเหมือนพี่ชายของฉัน ส่วนพวกเขาเหล่านี้ล้วนเป็นเหล่าทายาทของเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ในเมืองจินไห่ ไอ้เวรหลี่โม่นั่นทำให้พวกเราคุกเข่าให้มัน แถมยังให้พวกเราแทงตัวเองสามมีดหกรูอีก เดี๋ยวมันจะต้องได้เห็นดีกัน!” กู้เจี้ยนกั๋วและกู้เจี้ยนเจียงสับสนไปครู่หนึ่ง ก่อนนึกอยากจะฆ่าหลี่โม่ให้ตายเสียตรงนั้นเลย นี่มันไปก่อเรื่องวุ่นวายใหญ่โตขนาดไหนกัน! ล่วงเกินลูกพี่ใหญ่แห่งจินไห่กับเหล่าทายาทอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมด ก็เท่ากับไปหาเรื่องท้องฟ้าครึ่งหนึ่งของจินไห่แล้ว! มิน่าคนอื่นเขาถึงได้มีอำนาจมากขนาดถึงขั้นทำให้ธนาคารระงับการปล่อยสินเชื่อ ความสัมพันธ์ระหว่างธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธนาคารคงจะดีมาก และก
คังหย่งอันกดหมายเลขของคังหย่งเฉียน แล้วพูดเสียงเข้ม "หย่งเฉียน ฉันได้ยินมาว่า แกกับเหวินซินมีปัญหากันเรื่องวิลล่าบนยอดเขาเหรอ?" “พี่ใหญ่ มีปัญหากันน่ะสิ ศิษย์พี่เกิ่งยังถูกทำร้ายจนเข่าหักแล้ว! ศิษย์พี่เกิ่งติดต่อกับอาจารย์โอวหยางไปแล้ว เรื่องนี้อภัยให้ไม่ได้แน่นอน!” คังหย่งเฉียนโกรธแค้นคังเหวินซิน ถ้าไม่ใช่เพราะคังเหวินซินพาหลี่โม่ไปที่นั่น เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น แต่ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว คังหย่งเฉียนเองก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ทำได้เพียงเอาความโมโหไปลงที่คังเหวินซินเท่านั้น “หย่งเฉียน ไม่ว่ายังไงก็ตาม แกต้องรับรองความปลอดภัยของเหวินซิน ฉันไม่สนว่า อาจารย์โอวหยางพวกเขาจะทำอะไรกับเพื่อนของเหวินซิน แต่พวกเขาจะทำร้ายเหวินซินไม่ได้เด็ดขาด!” “พี่ใหญ่ ฉันไม่กล้ารับประกันหรอก รับประกันได้แค่ลูกชายของพี่จะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงตายเท่านั้น ถ้าอาจารย์โอวหยางต้องการลงโทษลูกชายของพี่จริง ๆ ฉันจะไปขวางได้ยังไง ฉันขวางไม่ได้หรอก ไม่กล้าขวางด้วย!" คังหย่งอันขมวดคิ้วแน่น หากคังหย่งเฉียนอยู่ต่อหน้าคังหย่งอันในตอนนี้ คังหย่งอันจะต้องตบเขาให้ตายคามือแน่นอน “หย่งเฉียน! แกเป็นอาข
“ไอ้บัดซบเอ๊ย! ใครกล้ามาต่อกรกับฉันโอวหยางจื้อ มันผู้นั้นจะต้องตาย!” โอวหยางจื้อพึมพำอย่างด้วยความอาฆาตแค้น แล้วสั่งให้ลูกศิษย์ไปจองตั๋วเครื่องบิน ...... คังเหวินซินมาส่งหลี่โม่และคนอื่น ๆ ที่บ้าน หลังจากมองดูทั้งสามเดินเข้าไปข้างในแล้ว จึงสตาร์ทรถและขับออกไปอย่างช้า ๆ “อาเล็กถูกจัดการจนหมดท่าแล้ว ต้องบอกพ่อสักคำไหมนะ อาเล็กจะได้ไปตีไข่ใส่สีอีก” หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง คังเหวินซินก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดหมายเลขพ่อของเขาคังหย่งอัน “ฮัลโหล พ่อครับ ผมเพิ่งจะขายวิลล่าบนยอดเขาที่สวนหนานชุ่ยให้เพื่อผมไป ขายราคาต้นทุนน่ะครับ” คังหย่งอันขมวดคิ้ว "นั่นเป็นวิลล่าที่อาเล็กของแกจะเอาไม่ใช่เหรอ แกเอาไปให้เพื่อนได้ยังไง? ผู้จัดการฝ่ายขายว่ายังไงบ้าง?" คังเหวินซินอึ้งครู่หนึ่ง รู้สึกถึงความผิดปกติในคำพูดของคังหย่งอัน "พ่อ พ่อรู้ได้ยังไงว่าอาเล็กอยากได้วิลล่านั่น?” “อาเล็กของแกเคยบอกพ่อว่า วิลล่าหลังนั้นเป็นของขวัญที่เขาจะเก็บไว้ให้กับปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ในต่างประเทศโอวหยางจื้อ แกคงเคยได้ยินเกี่ยวกับโอวหยางจื้อมาบ้างใช่ไหม? เขาเคยรับหน้าที่เป็นผู้กำกับฉากแอ็คชั่นให้กับภาพย
ในแผนกดูแลพิเศษของโรงพยาบาล คังหย่งเฉียนและคนอื่น ๆ นั่งล้อมรอบเตียง มองดูพี่เกิ่งค่อย ๆ ฟื้นคืนสติ เข่าที่หักของพี่เกิ่งได้รับการผ่าตัดแล้ว แต่หลังการผ่าตัด พี่เกิ่งจะได้แต่นั่งอยู่บนรถเข็นเท่านั้น “ซี๊ด ขากับเข่าฉันเป็นยังไงบ้าง?” พี่เกิ่งถามอย่างร้อนใจ “ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวล ผ่าตัดเสร็จแล้ว เพียงแต่ระดับการรักษาของที่นี่ยังต่ำไปหน่อย หลังจากฟื้นตัวแล้วพี่ต้องนั่งรถเข็น” คังหย่งเฉียนพูดเสียงเบาหวิว “ไอ้บัดซบ! ฉันไม่อยากนั่งรถเข็น! ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้!” พี่เกิ่งคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว รู้สึกเลวร้ายไปทั้งร่างกาย ชีวิตบนรถเข็น ไม่ใช่ชีวิตที่พี่เกิ่งต้องการเลย ถ้าต้องนั่งรถเข็นแล้ว ต่อไปจะฝึกศิลปะการต่อสู้ หรือออกไปรังแกคนอื่นอย่างไร แล้วจะไปจีบสาว ๆ ได้อย่างไร! “ฉันจะย้ายโรงพยาบาล ฉันจะไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลที่ดีที่สุด!” “พี่เกิ่งอย่าเพิ่งตื่นตูม หมอบอกว่า รอพี่ฟื้นตัวดีแล้ว ก็สามารถทำการผ่าตัดครั้งที่สองในโรงพยาบาลที่ดีกว่านี้เพื่อเปลี่ยนข้อต่อเทียมได้” คังหย่งเฉียนปลอบใจพี่เกิ่งไปพลางก็ขยิบตาให้กับพวกพี่น้องคนอื่น ๆ ส่งสัญญาณให้พวกเขารีบมาช่วยกันโน้มน้าว ศิษย์พี่ห
พี่เกิ่งร้องโหยหวนออกมา รู้สึกว่าขาซ้ายพลิกกลับไปด้านหลัง พลันสูญเสียการทรงตัวและล้มหงายไปข้างหลังทันที พลั่ก พี่เกิ่งล้มหงายลงกับพื้น ปากก็ร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา คังหย่งเฉียนถูกกระตุ้นด้วยเสียงร้องของพี่เกิ่งจนตัวสั่นไปทั้งตัว เสียงวิ้ง ๆ ที่ดังอยู่ในหัวยิ่งชัดเจนขึ้นมาทันใด คังหย่งเฉียนกุมใบหน้าที่บวมแดงไปครึ่งหนึ่งมองไปทางศิษย์พี่เกิ่ง ดวงตาของคังหย่งเฉียนก็แทบจะหลุดออกจากเบ้า ศิษย์พี่เกิ่งที่คังหย่งเฉียนเคยคิดว่า แข็งแกร่งไร้เทียมทานนั้น ตอนนี้กำลังร้องคร่ำครวญราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังจะตาย เมื่อมองขาขวาของพี่เกิ่งหักงอในองศาที่ผิดธรรมชาติ คังหย่งเฉียนก็รู้สึกว่า เลือดทั่วร่างกายเย็นเฉียบขึ้นมา นี่เป็นเรื่องที่มนุษย์สามารถทำได้อย่างนั้นเหรอ? นี่เป็นผลลัพธ์ที่สามารถใช้กำปั้นทำได้เหรอ? นี่มันซูเปอร์ไซย่าในตำนานหรืออย่างไรกัน?! พวกศิษย์น้องของพี่เกิ่งหลายคนต่างหวาดกลัวกับความเผด็จการของหลี่โม่ ทั้งกลุ่มพลันหมดความโอหังไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาลากพี่เกิ่งขึ้นมาจากพื้นแล้ววิ่งตะบึงออกไปข้างนอกอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่คำพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในที่นี้คือศิษย์
คังเหวินซินรออยู่สามวินาที แต่ละวินาทีราวกับยาวนานเป็นปี รออยู่นานฝ่ามือของพี่เกิ่งก็ยังไม่ตบลงมาสักที คังเหวินซินจึงลืมตาขึ้น เมื่อเอียงหน้ามองเห็นฝ่ามือของพี่เกิ่งอยู่ห่างจากหน้าตนแค่เฉียดฉิว หัวใจของคังเหวินซินแทบจะกระโดดออกมาจากปาก หลังจากที่เห็นข้อมือของพี่เกิ่งถูกหลี่โม่คว้าไว้ คังเหวินซินถึงได้รู้สึกว่า หัวใจของตัวเองกลับเข้าที่ได้แล้ว คังเหวินซินที่สงบลงแล้ว รีบถอยไปหลบด้านหลังหลี่โม่ แล้วร้องตะโกนด้วยน้ำตาแห่งความซาบซึ้ง "อาจารย์!" “นายอย่าร้องไห้น่าสมเพชนักสิ มันทำฉันขายหน้านะ” หลี่โม่พูดด้วยรอยยิ้ม คังเหวินซินตะลีตะลานเช็ดเบ้าตา ไม่ยอมให้ตัวเองร้องไห้ออกมา พี่เกิ่งจ้องมองหลี่โม่อย่างโมโห แอบพยายามดึงข้อมือของตัวเองกลับมาอย่างลับ ๆ แต่ไม่ว่าพี่เกิ่งจะพยายามออกแรงแค่ไหน มือของหลี่โม่ก็ราวกับคีมปากเสือหนีบข้อมือของพี่เกิ่งเอาไว้แน่น จนข้อมือของพี่เกิ่งไม่มีทางสลัดหลุดได้เลย “ปล่อยมือฉัน!” พี่เกิ่งตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยว “แกบอกให้ปล่อยก็ต้องปล่อยเหรอ? แกน่าจะอธิบายเรื่องที่จะลงไม้ลงมือกับลูกศิษย์ฉันเมื่อกี้นี้มาสักหน่อยไหม?” หลี่โม่พูดอย่างเย็นชา คังเหวินซินส
กู้หยุนหลานมองไปยังหลี่โม่อย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นหลี่โม่ขยิบตาให้ เธอจึงไม่พูดอะไรและเก็บความสงสัยไว้ในใจ ผู้จัดการหวังโบกมือให้พนักงานขายสาว พนักงานสาวที่ถือสัญญาอยู่แล้วเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ผู้จัดการหวัง นี่เป็นสัญญาของวิลล่ายอดเขาค่ะ แต่ราคานี้มัน…” สีหน้าของพนักงานสาวดูบูดเบี้ยวเล็กน้อย ถ้าขายวิลล่านี้ออกไปในราคาต้นทุน เธอคงไม่ได้รับค่าคอมมิชชั่นเลยสักแดง! ที่ผ่านมาเศรษฐีในเมืองฮั่นจำนวนมากต่างก็ถูกใจวิลล่าแห่งนี้ แต่เพราะมีการปิดกั้นการซื้อขาย เลยไม่ได้ขายอย่างเป็นทางการ เดิมทีพวกพนักงานสาวนั้นเตรียมพร้อมที่จะทำกำไรมหาศาลด้วยการขายวิลล่าหลังนี้หลังจากที่เปิดการขายแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ความฝันของพวกเธอกำลังจะมลายหายไปซะแล้ว “พวกเธอมีสิทธิ์พูดงั้นเหรอ? นี่คือการตัดสินใจของคุณชายใหญ่!” ผู้จัดการหวังตำหนิพนักงานขายสาว พนักงานสาวหดคอและปิดปากเงียบไม่กล้าพูดอีก ผู้จัดการหวังเปิดสัญญาตรวจดู หลังจากยืนยันความถูกต้องแล้ว เขาก็ถือสัญญาเดินไปหาหลี่โม่ “อ่านสัญญาดูก่อนนะครับ หากไม่มีปัญหาอะไร เราจะไปเซ็นสัญญาที่สำนักงานของผมกัน ผมไม่สามารถนำตราประทับอะไรพวกนั้นพกติดต
“คุณชาย อย่ามาขู่ผมเลยครับ ผมไม่กลัวหรอกนะ สิ่งที่ผมพูดไปเมื่อครู่ล้วนมีเหตุมีผล หากไม่เชื่อก็ถามซินแสที่มาดูฮวงจุ้ยให้ได้เลยครับ คำพูดพวกนี้เขาเป็นคนพูดเองกับปากทั้งนั้น” ผู้จัดการหวังแข็งขืน ไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย หลี่โม่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม "เหวินซิน อย่าหุนหันพลันแล่น ผู้จัดการหวังพูดถูกแล้ว คนที่โชคชะตาบารมีไม่ถึง ไม่มีทางข่มพลังฮวงจุ้ยอันยอดเยี่ยมได้แน่นอน” คังเหวินซินพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม "อาจารย์พูดถูกแล้วครับ แต่ด้วยบารมีของอาจารย์ จะต้องสามารถข่มมันได้อย่างแน่นอน พวกเรามาดูกันดีกว่า ที่นี่ล้วนได้รับการตกแต่งอย่างดี คุณหิ้วกระเป๋าเข้ามาอยู่ได้เลย เหลือแค่ดูว่าวิลล่าหลังนี้ถูกใจคุณหรือเปล่าก็พอครับ” เมื่อเห็นคังเหวินซินพยายามเอาอกเอาใจหลี่โม่ ผู้จัดการหวังก็เกิดความสงสัยเล็กน้อย หรือว่าตนจะมองผิดไป? ผู้ชายที่สวมเสื้อผ้าแผงลอยทั้งตัวคนนี้ เป็นคุณชายเศรษฐีที่มาลองสัมผัสประสบการณ์ชีวิตงั้นเหรอ? ไม่อย่างนั้นทำไมคุณชายของตนถึงได้ไปประจบเอาใจเขาขนาดนี้กัน? “คุณชาย ท่านนี้คืออาจารย์ของคุณเหรอครับ?” ผู้จัดการหวังถามอย่างสงสัย “นี่คืออาจารย์ของฉันหลี่โม่ นายสุภาพกับอาจารย์ของฉัน
“ไอ้สารเลวคนไหนไม่ดูตาม้าตาเรือ กล้ามาแย่งวิลล่าของอาจารย์ พวกแกยังมัวแต่กินอะไรกันอีก ไปดูด้วยกัน จัดการไอ้พวกสารเลวนั่นซะ” “ศิษย์พี่เกิ่งพูดถูก พวกเราทุกคนต้องไปดูด้วยกัน บ้านของอาจารย์ต้องดีที่สุดเท่านั้น จะผิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว” ศิษย์พี่เกิ่งและคนอื่น ๆ พากันลุกขึ้นทีละคน เมื่อเห็นเช่นนี้คังหย่งเฉียนก็เรียกให้พนักงานคิดเงินทันที แล้วจึงพาพวกของศิษย์พี่เกิ่งมุ่งตรงไปยังสวนหนานชุ่ย ... รถเมอร์เซเดสเบนซ์ขับเข้าไปในสวนหนานชุ่ย และขับตรงไปตามทางขึ้นยอดเขา ใกล้กับยอดเขาของเขาหนานชุ่ยนั้นมีที่ราบอยู่บริเวณหนึ่ง ที่ราบนี้ถูกนำมาใช้สร้างวิลล่า พร้อมทั้งปลูกต้นไม้พืชพรรณเขียวชอุ่มรอบ ๆ วิลล่าอีกด้วย ด้านหน้าวิลล่ายังมีลำธารที่ไหลมาจากยอดเขา ทำให้ฮวงจุ้ยของวิลล่านี้ยอดเยี่ยมมากไร้ที่ติ หน้าน้ำหลังเขา ตำแหน่งปากมังกรจัดวางฮวงจุ้ยอย่างดี ทำให้วิลล่าบนยอดเขาหลังนี้เลิศล้ำไม่มีใครเทียม รถเมอร์เซเดสเบนซ์จอดสนิทหน้าประตูวิลล่ายอดเขา ผู้จัดการหวังและพนักงานขายสาวสองคนยืนรอที่ประตูวิลล่าอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นรถเบนซ์จอดนิ่ง ผู้จัดการหวังก็รีบวิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปช่วยเปิดประตูรถ
ผู้จัดการหวังหยิบบุหรี่ออกมาคาบที่มุมปาก เตรียมจะสูบบุหรี่เพื่อสงบสติอารมณ์ คำขอของคังเหวินซินทำให้ผู้จัดการหวังตั้งตัวไม่ติด การจะดูบ้านมันไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าอีกฝ่ายถูกใจขึ้นมาจริง ๆ จะทำอย่างไรล่ะ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องราคาต้นทุนหรือเปล่า ถ้าคังหย่งเฉียนเข้ามาครอบครองวิลล่าหลังนี้ เขาก็คงไม่ได้เงินเลยสักแดงเดียว พอนึกถึงคังหย่งเฉียนขึ้นมาผู้จัดการหวังรู้สึกปวดจี๊ด ๆ ขึ้นมา เจ้านั่นเป็นปีศาจเจ้าสำราญแห่งตระกูลคัง วัน ๆ เอาแต่เกียจคร้าน กินดื่มเที่ยวเล่น ยิ่งกว่านั้นยังคบค้ากับพวกอันธพาล ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสตระกูลคังก็ยังถูกคังหย่งเฉียนยั่วโมโหจนเส้นเลือดในสมองตีบ แทบทุกคนในตระกูลคังล้วนทำเป็นไม่สนใจคังหย่งเฉียน ตราบใดที่คังหย่งเฉียนไม่ได้ก่อปัญหา ก็ไม่มีใครสนใจว่า คังหย่งเฉียนจะทำอะไร ถ้าหากยกวิลล่าให้เพื่อนของคังเหวินซินจริง ๆ คังหย่งเฉียนคงจะพาคนมาสับเขาเป็นชิ้น ๆ ถึงที่แน่ หลังจากสูบบุหรี่หมดมวน ผู้จัดการหวังก็ขยี้ก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ รู้สึกว่ายังไงก็ควรแจ้งให้คังหย่งเฉียนรู้สักหน่อย ส่วนคังหย่งเฉียนจะต่อสู้กับคังเหวินซินอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องระหว่างพวกเขา