คุณท่านกู้และคนอื่น ๆ ต่างมองหลี่โม่อย่างประหลาดใจ และหลังจากตกตะลึงครู่หนึ่ง ทุกคนก็หัวเราะขึ้นอย่างเยาะเย้ย “คนต่ำต้อยอย่างแกยังไม่ตื่นใช่ไหม ยังเดินละเมออยู่ในความฝัน จะจัดการประธานโอวหยางเอง แกมีความสามารถอะไรไปจัดการ เกรงว่าไม่ได้เห็นหน้าประธานโอวหยางด้วยซ้ำ!” กู้ซิ่งเหว่ยกล่าวอย่างรังเกียจ กู้ชิงหลินจ้องเขม็งที่หลี่โม่ และพูดอย่างเย็นชาว่า “แกคงไม่คิดที่จะไปทุบทำร้ายประธานโอวหยางจนพอใจหรอกใช่ไหม ช่างไร้เดียงสา ฉันแน่ใจว่า ครั้งหน้าแกคงยังเดินไม่ถึงข้างประธานโอวหยางก็ถูกทุบตีจนเหมือนกับก้อนอุจจาระสุนัขแล้วล่ะ" กู้เจี้ยนกั๋วครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วพูดว่า "นี่เป็นปัญหาของบ้านเจี้ยนหมินที่ก่อขึ้นมา บ้านเจี้ยนหมินต้องไปจัดการทั้งเรื่องความสัมพันธ์และเหตุผลเอง ถ้าพวกแกจัดการได้เรียบร้อยก็เป็นเรื่องดี แต่ถ้าหากจัดการไม่ได้ล่ะก็ หึ รอโดนเนรเทศออกจากตระกูลได้เลย!" คุณท่านกู้พยักหน้าเบา ๆ และเห็นด้วยกับคำพูดของกู้เจี้ยนกั๋ว “เจี้ยนกั๋วพูดถูก นี่คือปัญหาวุ่นวายที่พวกแกก่อขึ้น เจี้ยนหมินแกทั้งครอบครัวไปจัดการเถอะ หากจัดการไม่ได้ล่ะก็ พวกแกไม่ใช่คนของตระกูลกู้อีกต่อจากนี้ไป” “พ่อ! นี
หลี่โม่ส่งยิ้มเบา ๆ ให้กู้หยุนหลาน “รีบไสหัวออกไปเร็ว ๆ เข้าสิ แล้วปิดประตูซะ หยุดพูดไร้สาระกับหยุนหลานของฉันได้แล้ว อย่ามาทำเหมือนแกกำลังอยู่ในละครโรแมนติกบ้า ๆ ไปไกล ๆ ซะ ยิ่งไกลก็ยิ่งดี!!” หวังฟางตะโกนด่าผ่านหน้าต่างรถ หลี่โม่ปิดประตูรถ มองดูรถเคลื่อนตัวออกไป และรีบขับห่างจากตัวเองออกไปอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งไฟท้ายรถหายไป หลี่โม่ถึงจะละสายตา แล้วเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มืดมิด ค่ำคืนนั้นมืดมิดดั่งหมึก ดวงจันทร์และดวงดาวส่องแสงประกายอยู่บนท้องฟ้า ไม่ใช่ค่ำคืนแห่งการสังหารที่มีเดือนมืดลมแรง แต่เป็นเวลาที่ดีสำหรับสั่งสอนโอหยางจงเฉิง หลี่โม่หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วส่งข้อความสั้น ๆ ถึงชูจงเทียน โดยขอให้ ชูจงเทียนหาตำแหน่งของโอวหยางจงเฉิงและคนอื่น ๆ ในไม่ช้า ชูจงเทียนก็โทรมา "นายน้อย โอวหยางจงเฉิงพวกเขาอยู่ในห้องส่วนตัวหมายเลข 1 ของคลับหาวถิง พวกเขาสร้างปัญหาให้คุณหรือเปล่าครับ? ผมจะพาลูกน้องไปจัดการพวกเขาเดี๋ยวนี้" “ไม่จำเป็นต้องให้คุณช่วย ผมจะไปเจรจาบางอย่างกับพวกเขา” หลี่โม่ตอบกลับเบา ๆ "ครับ ผมเข้าใจแล้ว" หลี่โม่วางสายแล้วนั่งแท็กซี่ไปที่คลับหาวถิง
“ฉันจะรอดูพวกแกไสหัวออกไป” หลี่โม่กล่าวเบา ๆ และกำปั้นทั้งคู่ก็ยื่นโบกออกมาแล้วกระแทกเข้าใบหน้าของบอดี้การ์ดทั้งสองคนที่หน้าประตู เมื่อบอดี้การ์ดทั้งสองตอบสนองต้องการหลีกเลี่ยง มันก็สายเกินไปแล้ว ทำไมเร็วขนาดนี้! บอดี้การ์ดทั้งสองคำรามในใจ กล้ามเนื้อทั้งร่างเบ่งออกมา และพวกเขาพร้อมที่จะต้านทานการตบตีจากหลี่โม่ เพียะ เพียะ! เสียงที่คมชัดดังขึ้นติดกันสองครั้ง พลังมหาศาลดุจมังกรถูกตบเข้าบนใบหน้าของบอดี้การ์ดทั้งสองคน แม้ว่าจะเตรียมตัวรับมือไว้แล้ว แม้ว่าจะฝึกร่างกายยกของหนักมาเป็นพันกิโล แต่บอดี้การ์ดทั้งสองก็ยังกระเด็นออกไปราวกับฟางในสายลมแรง บอดี้การ์ดที่ล้มกระแทกลงกับพื้นอย่างแรงนั้น ต่างอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่แล้ว และสมองก็เต็มไปด้วยความคิดที่ว่าทำไมคนผู้นี้มีพละกำลังมหาศาลเพียงนี้ ผ่าง! หลี่โม่เตะเปิดประตูห้องส่วนตัว และเดินเข้าไปในห้องส่วนตัวโดยเอามือไขว้ข้างหลัง เกิดความเงียบขึ้นอย่างกะทันหันในห้องส่วนตัว โอวหยางจงเฉิงมองไปยังหลี่โม่ที่เดินผ่านประตูเข้ามาและแทบจะมีไฟพ่นออกจากดวงตาของเขา “ให้ตายเถอะ! นี่คนจน ๆ อย่างแกถึงกับกล้ามาหาพวกเรา แกรนหาที่ตายใช่ไหม?” โอวห
บอดี้การ์ดที่อยู่ใกล้หลี่โม่มากที่สุดกดปุ่มของเครื่องช็อตไฟฟ้า และเครื่องช็อตไฟฟ้าก็ส่งเสียงอึกทึกขึ้นมา ซึ่งฟังดูน่ากลัวทีเดียว หลี่โม่มองดูเหล่าบอดี้การ์ดด้วยรอยยิ้มเย็นชาและชี้นิ้วใส่พวกเขาทีละคนด้วยความรังเกียจ เมื่อบอดี้การ์ดเห็นการยั่วยุของหลี่โม่ ต่างก็ถือเครื่องช็อตไฟฟ้าแล้วพุ่งเข้าหาหลี่โม่ โอวหยางจงเฉิงนั่งไขว่ขามองดู มือขวาโอบกอดสาวสวยที่อยู่ข้าง ๆ และพูดด้วยรอยยิ้มว่า "ดูลูกน้องของฉันสิว่าน่าประทับใจแค่ไหน" “ฉันคิดว่าท่านน่าประทับใจที่สุด และคิดว่าจะน่าประทับใจมากกว่านี้อีกตอนอยู่บนเตียง คืนนี้ให้ฉันอยู่เป็นเพื่อนท่านดีไหมคะ” “ฮ่าฮ่าฮ่า ได้ หลังจากจัดการคนไร้ประโยชน์นี้แล้ว ฉันจะพาเธอไปเล่นสนุกด้วย” โอหยางจงเฉิงตอบกลับอย่างตื่นเต้น และสายตาเหลือบมองการต่อสู้ที่อยู่ไม่ไกล หลี่โม่รู้โกรธจนหน้าซีดขาวราวกับหยก ภายใต้แสงประกายสีขาวราวกับหยก รัศมีการสังหารอันรุนแรงได้ระเบิดออก และกลุ่มบอดี้การ์ดที่เผชิญหน้ากับหลี่โม่ต่างใจเต้นรัวแรง ถูกข่มขู่ด้วยรัศมีฆ่าฟันอันท่วมท้นที่เล็ดลอดออกมาจากตัวเขา หัวหน้าบอดี้การ์ดไม่ใช่คนที่ไม่มีความรู้ เขาสัมผัสได้ถึงรัศมีอาฆาตที่ระเ
เมื่อเห็นแก้มของโอวหยางจงเฉิงถูกหลี่โม่เหยียบ แก้มของประธานเฉียนทั้งสามคนก็กระตุกอย่างแรง ไม่เคยมีใครกล้าดูหมิ่นไม่เคารพโอวหยางจงเฉิงมาก่อน ร่องรอยของเลือดหยดไหลออกมาจากใบหน้าของโอวหยางจงเฉิง นั่นคือผิวแก้มที่ถูกหลี่โม่บดขยี้ ประธานหลี่กลืนน้ำลายอย่างหนัก เพียงมองไปยังสภาพโอวหยางจงเฉิงก็รู้สึกเจ็บปวดที่ใบหน้า “คนไร้… หลี่โม่ มีเรื่องก็เจรจากันดี ๆ แกปล่อยประธานโอวหยางก่อน” ประธานหลี่กล่าวอย่างตื่นตระหนก “แกบอกว่าปล่อยก็ปล่อย? แกมีอิทธิพลมากนักเหรอ คำที่ฉันเคยพูด พวกแกลืมหมดแล้ว?” หลี่โม่ใช้เท้าบดขยี้แรงขึ้นกว่าเดิม “ตระกูลกู้เป็นสิ่งที่พวกแกยุ่งได้? คนสารเลวอย่างพวกแก ถ้ายังกล้ามีความคิดที่ไม่ควรมีต่อตระกูลกู้และกู้หยุนหลานอีกครั้งล่ะก็ ฉันจะทำให้พวกแกล้มละลายกันทั้งหมด! ทำให้พวกแกกลายเป็นคนไร้ค่ากันให้หมด!” ความอัปยศอดสูเกิดขึ้นในใจของโอวหยางจงเฉิง ถึงแม้ว่าเจ็บปวดที่ใบหน้ามาก และถึงแม้ว่ากำลังถูกหลี่โม่เหยียบหัว แต่ความหยิ่งในศักดิ์ศรีตนเองของโอวหยางจงเฉิงไม่อนุญาตให้เขายอม “พวกนายอย่าไปสนใจคนไร้ประโยชน์นี้เลย ก็แค่คนต่ำต้อยคนหนึ่งที่เกาะผู้หญิงกินในตระกูลกู้ ต่อสู้เก
“ท้าทายอะไรกัน แกคิดว่าแกเป็นใคร! ยังจะมาท้าทายขีดจำกัดอะไรอีก แกคิดว่าแกเป็นคนระดับสูงหรือไงกัน ฉันแค่ถ่มน้ำลายก็สามารถทำให้แกจมได้แล้ว!” โอหยางจงเฉิงตะโกนพูดอย่างฉุนเฉียว ประธานเฉียนชี้ไปที่หลี่โม่และตะโกนเสียงดังว่า "ถ้าแกมีความสามารถก็เอาออกมาใช้ซะ อย่ามาโวยวายแถวนี้ หนักกว่านี้พวกเราก็เคยเจอมาแล้ว อย่างที่พวกเราไม่เคยเห็นคือล้มละลาย ถ้าแกมีความสามารถจริงก็ทำให้เราล้มละลายสิ ฉันยังไม่เคยสัมผัสรสชาติของการล้มละลายมาก่อนเลย" “มันเป็นเรื่องตลกที่สามารถทำให้เราล้มละลายได้ คนต่ำต้อยที่เกาะผู้หญิงอย่างแก รู้ไหมว่าพวกเรามีทรัพย์สินเท่าไหร่ เงินที่พวกเรามีสามารถทำให้แกตะลึงจนตาค้างเลยล่ะ จะทำให้พวกเราล้มละลาย แกคงยังไม่ตื่นจากความฝันล่ะสิท่า!” ประธานหลินเงยหน้าขึ้นและเชิดจมูกเผชิญหน้ากับหลี่โม่ ประธานหลี่หยิบบุหรี่ขึ้นมาหนึ่งมวนแล้วพูดอย่างเหยียดหยามว่า “คนไร้ประโยชน์นี้ก็รู้จักแต่พูดจาไร้สาระ ในทั้งเมืองฮั่นนี้ใครจะกล้าทำให้เราล้มละลาย คนที่สามารถทำให้ฉันล้มละลายได้ คนที่มีความสามารถแบบนั้นคาดการณ์ว่าอาจจะยังเป็นก้อนเลือดอยู่ในท้องยังไม่ออกมา แกคิดว่าแกเป็นไซอิ๋วเหรอ!” เมื่อเผชิ
เวลาสิบนาทีหมดลงแล้ว โอวหยางจงเฉิงกล่าวอย่างแค้นใจว่า "คนเบาปัญญาอย่างแกบอกว่าถึงเวลาแล้วด้วยตัวเอง แกจะทำให้พวกเราล้มละลายไม่ใช่เหรอ แกทำให้ฉันล้มละลายสิ ทำให้ฉันล้มละลายเลยสิวะ!" “ประธานโอวหยาง ทำไมต้องพูดคุยกับคนเบาปัญญาแบบนี้ เขาสามารถทำให้พวกเราล้มละลายได้อะไรกัน ถ้าเขามีความสามารถ คงเป็นได้แค่ราชาแมงดาเกาะผู้หญิงกินของตระกูลกู้เท่านั้น และเป็นเหมือนคนต่ำต้อยที่น่าอับอายไปวัน ๆ ทำเป็นเสแสร้งอยู่ต่อหน้าเรา บอกได้เลยว่าหาเรื่องโดนเฆี่ยนตี!" ประธานเฉียนด้านหนึ่งพูดด้านหนึ่งช่วยพยุงโอวหยางจงเฉิงขึ้นมา ตอนที่หลี่โม่บอกว่าถึงเวลาแล้ว ก็เอาเท้าออกจากหน้าโอวหยางจงเฉิง เพราะหลี่โม่ต้องดูท่าทางของโอวหยางจงเฉิง ดูท่าทางของเขาว่าจะเป็นอย่างไรเมื่อได้ยินข่าวการล้มละลายของตัวเอง ประธานหลินหยิบทิชชู่ขึ้นมาแล้วช่วยประธานโอวหยางเช็ดคราบเลือดบนใบหน้า และกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ประธานโอวหยางผมคิดว่าถึงเวลาที่เราจะเรียกคนมาแล้ว คืนนี้เรื่องนี้ต้องมีคำอธิบาย คืนนี้คนต่ำต้อยนี้อวดดีมากเกินไปแล้ว ต้องหักแขนขาทั้งสี่ของเขาถึงจะพอ!” “แขนขาทั้งสี่จะไปพอได้ไง อย่างน้อยสุดก็ต้องหักห้าสิ่ง ในอนาคตมัน
“ประธานหลินแย่แล้วครับ เมื่อครู่นี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาพร้อมกับหมายค้นและจดหมายประทับตรา เอกสารการจัดการและเอกสารทางการเงินทั้งหมดถูกนำไปด้วย ส่วนพื้นที่โรงงานก็ถูกยึดแล้ว ไม่สามารถทำการผลิตและดำเนินทางธุรกิจได้จนกว่าจะถูกปลดล็อก" "เป็นแบบนี้ไปได้ยังไง ทำไมกัน สาเหตุล่ะ! ทนายอย่างคุณนี่ทำงานยังไงกัน!" ประธานหลินกระโดดขึ้นราวกับถูกสายฟ้าฟาด เอกสารการจัดการและเอกสารทางการเงินถูกยึดไป ขอเพียงแค่หานักบัญชีผู้เชี่ยวชาญเพียงไม่กี่คน ก็สามารถค้นพบกลเม็ดต่าง ๆ ได้ในไม่กี่นาที และการปิดพื้นที่โรงงานยิ่งอันตรายถึงชีวิต นี่คือจังหวะที่จะจบสิ้นอย่างสมบูรณ์ “สาเหตุก็คือการเลี่ยงภาษีและการดำเนินการที่ผิดกฎหมาย พรุ่งนี้จะมีคนมาตรวจสอบอีกครั้ง ท่านประธานหลินมีทางออกก็รีบหาทางออกเถอะครับ ทางนี้ผมไม่มีแม้แต่ลู่ทางออกอะไรเลย” "ไร้ประโยชน์สิ้นดี!" ประธานหลินวางโทรศัพท์ด้วยความโกรธ และเอามือทั้งสองกุมหน้าไว้ “เหล่าหลิน ไม่ต้องกังวลไป ฉันมีคนรู้จักรับรองว่าสามารถปกปิดมันได้ พรุ่งนี้เช้าฉันจะช่วยติดต่อให้” โอวหยางจงเฉิงกล่าวราวกับเป็นคนใหญ่คนโต “ขอบคุณประธานโอวหยางครับ ช่างเป็นเรื่องตกทุ
คังหย่งอันกดหมายเลขของคังหย่งเฉียน แล้วพูดเสียงเข้ม "หย่งเฉียน ฉันได้ยินมาว่า แกกับเหวินซินมีปัญหากันเรื่องวิลล่าบนยอดเขาเหรอ?" “พี่ใหญ่ มีปัญหากันน่ะสิ ศิษย์พี่เกิ่งยังถูกทำร้ายจนเข่าหักแล้ว! ศิษย์พี่เกิ่งติดต่อกับอาจารย์โอวหยางไปแล้ว เรื่องนี้อภัยให้ไม่ได้แน่นอน!” คังหย่งเฉียนโกรธแค้นคังเหวินซิน ถ้าไม่ใช่เพราะคังเหวินซินพาหลี่โม่ไปที่นั่น เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น แต่ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว คังหย่งเฉียนเองก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ทำได้เพียงเอาความโมโหไปลงที่คังเหวินซินเท่านั้น “หย่งเฉียน ไม่ว่ายังไงก็ตาม แกต้องรับรองความปลอดภัยของเหวินซิน ฉันไม่สนว่า อาจารย์โอวหยางพวกเขาจะทำอะไรกับเพื่อนของเหวินซิน แต่พวกเขาจะทำร้ายเหวินซินไม่ได้เด็ดขาด!” “พี่ใหญ่ ฉันไม่กล้ารับประกันหรอก รับประกันได้แค่ลูกชายของพี่จะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงตายเท่านั้น ถ้าอาจารย์โอวหยางต้องการลงโทษลูกชายของพี่จริง ๆ ฉันจะไปขวางได้ยังไง ฉันขวางไม่ได้หรอก ไม่กล้าขวางด้วย!" คังหย่งอันขมวดคิ้วแน่น หากคังหย่งเฉียนอยู่ต่อหน้าคังหย่งอันในตอนนี้ คังหย่งอันจะต้องตบเขาให้ตายคามือแน่นอน “หย่งเฉียน! แกเป็นอาข
“ไอ้บัดซบเอ๊ย! ใครกล้ามาต่อกรกับฉันโอวหยางจื้อ มันผู้นั้นจะต้องตาย!” โอวหยางจื้อพึมพำอย่างด้วยความอาฆาตแค้น แล้วสั่งให้ลูกศิษย์ไปจองตั๋วเครื่องบิน ...... คังเหวินซินมาส่งหลี่โม่และคนอื่น ๆ ที่บ้าน หลังจากมองดูทั้งสามเดินเข้าไปข้างในแล้ว จึงสตาร์ทรถและขับออกไปอย่างช้า ๆ “อาเล็กถูกจัดการจนหมดท่าแล้ว ต้องบอกพ่อสักคำไหมนะ อาเล็กจะได้ไปตีไข่ใส่สีอีก” หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง คังเหวินซินก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดหมายเลขพ่อของเขาคังหย่งอัน “ฮัลโหล พ่อครับ ผมเพิ่งจะขายวิลล่าบนยอดเขาที่สวนหนานชุ่ยให้เพื่อผมไป ขายราคาต้นทุนน่ะครับ” คังหย่งอันขมวดคิ้ว "นั่นเป็นวิลล่าที่อาเล็กของแกจะเอาไม่ใช่เหรอ แกเอาไปให้เพื่อนได้ยังไง? ผู้จัดการฝ่ายขายว่ายังไงบ้าง?" คังเหวินซินอึ้งครู่หนึ่ง รู้สึกถึงความผิดปกติในคำพูดของคังหย่งอัน "พ่อ พ่อรู้ได้ยังไงว่าอาเล็กอยากได้วิลล่านั่น?” “อาเล็กของแกเคยบอกพ่อว่า วิลล่าหลังนั้นเป็นของขวัญที่เขาจะเก็บไว้ให้กับปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ในต่างประเทศโอวหยางจื้อ แกคงเคยได้ยินเกี่ยวกับโอวหยางจื้อมาบ้างใช่ไหม? เขาเคยรับหน้าที่เป็นผู้กำกับฉากแอ็คชั่นให้กับภาพย
ในแผนกดูแลพิเศษของโรงพยาบาล คังหย่งเฉียนและคนอื่น ๆ นั่งล้อมรอบเตียง มองดูพี่เกิ่งค่อย ๆ ฟื้นคืนสติ เข่าที่หักของพี่เกิ่งได้รับการผ่าตัดแล้ว แต่หลังการผ่าตัด พี่เกิ่งจะได้แต่นั่งอยู่บนรถเข็นเท่านั้น “ซี๊ด ขากับเข่าฉันเป็นยังไงบ้าง?” พี่เกิ่งถามอย่างร้อนใจ “ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวล ผ่าตัดเสร็จแล้ว เพียงแต่ระดับการรักษาของที่นี่ยังต่ำไปหน่อย หลังจากฟื้นตัวแล้วพี่ต้องนั่งรถเข็น” คังหย่งเฉียนพูดเสียงเบาหวิว “ไอ้บัดซบ! ฉันไม่อยากนั่งรถเข็น! ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้!” พี่เกิ่งคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว รู้สึกเลวร้ายไปทั้งร่างกาย ชีวิตบนรถเข็น ไม่ใช่ชีวิตที่พี่เกิ่งต้องการเลย ถ้าต้องนั่งรถเข็นแล้ว ต่อไปจะฝึกศิลปะการต่อสู้ หรือออกไปรังแกคนอื่นอย่างไร แล้วจะไปจีบสาว ๆ ได้อย่างไร! “ฉันจะย้ายโรงพยาบาล ฉันจะไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลที่ดีที่สุด!” “พี่เกิ่งอย่าเพิ่งตื่นตูม หมอบอกว่า รอพี่ฟื้นตัวดีแล้ว ก็สามารถทำการผ่าตัดครั้งที่สองในโรงพยาบาลที่ดีกว่านี้เพื่อเปลี่ยนข้อต่อเทียมได้” คังหย่งเฉียนปลอบใจพี่เกิ่งไปพลางก็ขยิบตาให้กับพวกพี่น้องคนอื่น ๆ ส่งสัญญาณให้พวกเขารีบมาช่วยกันโน้มน้าว ศิษย์พี่ห
พี่เกิ่งร้องโหยหวนออกมา รู้สึกว่าขาซ้ายพลิกกลับไปด้านหลัง พลันสูญเสียการทรงตัวและล้มหงายไปข้างหลังทันที พลั่ก พี่เกิ่งล้มหงายลงกับพื้น ปากก็ร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา คังหย่งเฉียนถูกกระตุ้นด้วยเสียงร้องของพี่เกิ่งจนตัวสั่นไปทั้งตัว เสียงวิ้ง ๆ ที่ดังอยู่ในหัวยิ่งชัดเจนขึ้นมาทันใด คังหย่งเฉียนกุมใบหน้าที่บวมแดงไปครึ่งหนึ่งมองไปทางศิษย์พี่เกิ่ง ดวงตาของคังหย่งเฉียนก็แทบจะหลุดออกจากเบ้า ศิษย์พี่เกิ่งที่คังหย่งเฉียนเคยคิดว่า แข็งแกร่งไร้เทียมทานนั้น ตอนนี้กำลังร้องคร่ำครวญราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังจะตาย เมื่อมองขาขวาของพี่เกิ่งหักงอในองศาที่ผิดธรรมชาติ คังหย่งเฉียนก็รู้สึกว่า เลือดทั่วร่างกายเย็นเฉียบขึ้นมา นี่เป็นเรื่องที่มนุษย์สามารถทำได้อย่างนั้นเหรอ? นี่เป็นผลลัพธ์ที่สามารถใช้กำปั้นทำได้เหรอ? นี่มันซูเปอร์ไซย่าในตำนานหรืออย่างไรกัน?! พวกศิษย์น้องของพี่เกิ่งหลายคนต่างหวาดกลัวกับความเผด็จการของหลี่โม่ ทั้งกลุ่มพลันหมดความโอหังไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาลากพี่เกิ่งขึ้นมาจากพื้นแล้ววิ่งตะบึงออกไปข้างนอกอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่คำพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในที่นี้คือศิษย์
คังเหวินซินรออยู่สามวินาที แต่ละวินาทีราวกับยาวนานเป็นปี รออยู่นานฝ่ามือของพี่เกิ่งก็ยังไม่ตบลงมาสักที คังเหวินซินจึงลืมตาขึ้น เมื่อเอียงหน้ามองเห็นฝ่ามือของพี่เกิ่งอยู่ห่างจากหน้าตนแค่เฉียดฉิว หัวใจของคังเหวินซินแทบจะกระโดดออกมาจากปาก หลังจากที่เห็นข้อมือของพี่เกิ่งถูกหลี่โม่คว้าไว้ คังเหวินซินถึงได้รู้สึกว่า หัวใจของตัวเองกลับเข้าที่ได้แล้ว คังเหวินซินที่สงบลงแล้ว รีบถอยไปหลบด้านหลังหลี่โม่ แล้วร้องตะโกนด้วยน้ำตาแห่งความซาบซึ้ง "อาจารย์!" “นายอย่าร้องไห้น่าสมเพชนักสิ มันทำฉันขายหน้านะ” หลี่โม่พูดด้วยรอยยิ้ม คังเหวินซินตะลีตะลานเช็ดเบ้าตา ไม่ยอมให้ตัวเองร้องไห้ออกมา พี่เกิ่งจ้องมองหลี่โม่อย่างโมโห แอบพยายามดึงข้อมือของตัวเองกลับมาอย่างลับ ๆ แต่ไม่ว่าพี่เกิ่งจะพยายามออกแรงแค่ไหน มือของหลี่โม่ก็ราวกับคีมปากเสือหนีบข้อมือของพี่เกิ่งเอาไว้แน่น จนข้อมือของพี่เกิ่งไม่มีทางสลัดหลุดได้เลย “ปล่อยมือฉัน!” พี่เกิ่งตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยว “แกบอกให้ปล่อยก็ต้องปล่อยเหรอ? แกน่าจะอธิบายเรื่องที่จะลงไม้ลงมือกับลูกศิษย์ฉันเมื่อกี้นี้มาสักหน่อยไหม?” หลี่โม่พูดอย่างเย็นชา คังเหวินซินส
กู้หยุนหลานมองไปยังหลี่โม่อย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นหลี่โม่ขยิบตาให้ เธอจึงไม่พูดอะไรและเก็บความสงสัยไว้ในใจ ผู้จัดการหวังโบกมือให้พนักงานขายสาว พนักงานสาวที่ถือสัญญาอยู่แล้วเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ผู้จัดการหวัง นี่เป็นสัญญาของวิลล่ายอดเขาค่ะ แต่ราคานี้มัน…” สีหน้าของพนักงานสาวดูบูดเบี้ยวเล็กน้อย ถ้าขายวิลล่านี้ออกไปในราคาต้นทุน เธอคงไม่ได้รับค่าคอมมิชชั่นเลยสักแดง! ที่ผ่านมาเศรษฐีในเมืองฮั่นจำนวนมากต่างก็ถูกใจวิลล่าแห่งนี้ แต่เพราะมีการปิดกั้นการซื้อขาย เลยไม่ได้ขายอย่างเป็นทางการ เดิมทีพวกพนักงานสาวนั้นเตรียมพร้อมที่จะทำกำไรมหาศาลด้วยการขายวิลล่าหลังนี้หลังจากที่เปิดการขายแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ความฝันของพวกเธอกำลังจะมลายหายไปซะแล้ว “พวกเธอมีสิทธิ์พูดงั้นเหรอ? นี่คือการตัดสินใจของคุณชายใหญ่!” ผู้จัดการหวังตำหนิพนักงานขายสาว พนักงานสาวหดคอและปิดปากเงียบไม่กล้าพูดอีก ผู้จัดการหวังเปิดสัญญาตรวจดู หลังจากยืนยันความถูกต้องแล้ว เขาก็ถือสัญญาเดินไปหาหลี่โม่ “อ่านสัญญาดูก่อนนะครับ หากไม่มีปัญหาอะไร เราจะไปเซ็นสัญญาที่สำนักงานของผมกัน ผมไม่สามารถนำตราประทับอะไรพวกนั้นพกติดต
“คุณชาย อย่ามาขู่ผมเลยครับ ผมไม่กลัวหรอกนะ สิ่งที่ผมพูดไปเมื่อครู่ล้วนมีเหตุมีผล หากไม่เชื่อก็ถามซินแสที่มาดูฮวงจุ้ยให้ได้เลยครับ คำพูดพวกนี้เขาเป็นคนพูดเองกับปากทั้งนั้น” ผู้จัดการหวังแข็งขืน ไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย หลี่โม่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม "เหวินซิน อย่าหุนหันพลันแล่น ผู้จัดการหวังพูดถูกแล้ว คนที่โชคชะตาบารมีไม่ถึง ไม่มีทางข่มพลังฮวงจุ้ยอันยอดเยี่ยมได้แน่นอน” คังเหวินซินพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม "อาจารย์พูดถูกแล้วครับ แต่ด้วยบารมีของอาจารย์ จะต้องสามารถข่มมันได้อย่างแน่นอน พวกเรามาดูกันดีกว่า ที่นี่ล้วนได้รับการตกแต่งอย่างดี คุณหิ้วกระเป๋าเข้ามาอยู่ได้เลย เหลือแค่ดูว่าวิลล่าหลังนี้ถูกใจคุณหรือเปล่าก็พอครับ” เมื่อเห็นคังเหวินซินพยายามเอาอกเอาใจหลี่โม่ ผู้จัดการหวังก็เกิดความสงสัยเล็กน้อย หรือว่าตนจะมองผิดไป? ผู้ชายที่สวมเสื้อผ้าแผงลอยทั้งตัวคนนี้ เป็นคุณชายเศรษฐีที่มาลองสัมผัสประสบการณ์ชีวิตงั้นเหรอ? ไม่อย่างนั้นทำไมคุณชายของตนถึงได้ไปประจบเอาใจเขาขนาดนี้กัน? “คุณชาย ท่านนี้คืออาจารย์ของคุณเหรอครับ?” ผู้จัดการหวังถามอย่างสงสัย “นี่คืออาจารย์ของฉันหลี่โม่ นายสุภาพกับอาจารย์ของฉัน
“ไอ้สารเลวคนไหนไม่ดูตาม้าตาเรือ กล้ามาแย่งวิลล่าของอาจารย์ พวกแกยังมัวแต่กินอะไรกันอีก ไปดูด้วยกัน จัดการไอ้พวกสารเลวนั่นซะ” “ศิษย์พี่เกิ่งพูดถูก พวกเราทุกคนต้องไปดูด้วยกัน บ้านของอาจารย์ต้องดีที่สุดเท่านั้น จะผิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว” ศิษย์พี่เกิ่งและคนอื่น ๆ พากันลุกขึ้นทีละคน เมื่อเห็นเช่นนี้คังหย่งเฉียนก็เรียกให้พนักงานคิดเงินทันที แล้วจึงพาพวกของศิษย์พี่เกิ่งมุ่งตรงไปยังสวนหนานชุ่ย ... รถเมอร์เซเดสเบนซ์ขับเข้าไปในสวนหนานชุ่ย และขับตรงไปตามทางขึ้นยอดเขา ใกล้กับยอดเขาของเขาหนานชุ่ยนั้นมีที่ราบอยู่บริเวณหนึ่ง ที่ราบนี้ถูกนำมาใช้สร้างวิลล่า พร้อมทั้งปลูกต้นไม้พืชพรรณเขียวชอุ่มรอบ ๆ วิลล่าอีกด้วย ด้านหน้าวิลล่ายังมีลำธารที่ไหลมาจากยอดเขา ทำให้ฮวงจุ้ยของวิลล่านี้ยอดเยี่ยมมากไร้ที่ติ หน้าน้ำหลังเขา ตำแหน่งปากมังกรจัดวางฮวงจุ้ยอย่างดี ทำให้วิลล่าบนยอดเขาหลังนี้เลิศล้ำไม่มีใครเทียม รถเมอร์เซเดสเบนซ์จอดสนิทหน้าประตูวิลล่ายอดเขา ผู้จัดการหวังและพนักงานขายสาวสองคนยืนรอที่ประตูวิลล่าอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นรถเบนซ์จอดนิ่ง ผู้จัดการหวังก็รีบวิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปช่วยเปิดประตูรถ
ผู้จัดการหวังหยิบบุหรี่ออกมาคาบที่มุมปาก เตรียมจะสูบบุหรี่เพื่อสงบสติอารมณ์ คำขอของคังเหวินซินทำให้ผู้จัดการหวังตั้งตัวไม่ติด การจะดูบ้านมันไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าอีกฝ่ายถูกใจขึ้นมาจริง ๆ จะทำอย่างไรล่ะ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องราคาต้นทุนหรือเปล่า ถ้าคังหย่งเฉียนเข้ามาครอบครองวิลล่าหลังนี้ เขาก็คงไม่ได้เงินเลยสักแดงเดียว พอนึกถึงคังหย่งเฉียนขึ้นมาผู้จัดการหวังรู้สึกปวดจี๊ด ๆ ขึ้นมา เจ้านั่นเป็นปีศาจเจ้าสำราญแห่งตระกูลคัง วัน ๆ เอาแต่เกียจคร้าน กินดื่มเที่ยวเล่น ยิ่งกว่านั้นยังคบค้ากับพวกอันธพาล ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสตระกูลคังก็ยังถูกคังหย่งเฉียนยั่วโมโหจนเส้นเลือดในสมองตีบ แทบทุกคนในตระกูลคังล้วนทำเป็นไม่สนใจคังหย่งเฉียน ตราบใดที่คังหย่งเฉียนไม่ได้ก่อปัญหา ก็ไม่มีใครสนใจว่า คังหย่งเฉียนจะทำอะไร ถ้าหากยกวิลล่าให้เพื่อนของคังเหวินซินจริง ๆ คังหย่งเฉียนคงจะพาคนมาสับเขาเป็นชิ้น ๆ ถึงที่แน่ หลังจากสูบบุหรี่หมดมวน ผู้จัดการหวังก็ขยี้ก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ รู้สึกว่ายังไงก็ควรแจ้งให้คังหย่งเฉียนรู้สักหน่อย ส่วนคังหย่งเฉียนจะต่อสู้กับคังเหวินซินอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องระหว่างพวกเขา