เวลาสิบนาทีหมดลงแล้ว โอวหยางจงเฉิงกล่าวอย่างแค้นใจว่า "คนเบาปัญญาอย่างแกบอกว่าถึงเวลาแล้วด้วยตัวเอง แกจะทำให้พวกเราล้มละลายไม่ใช่เหรอ แกทำให้ฉันล้มละลายสิ ทำให้ฉันล้มละลายเลยสิวะ!" “ประธานโอวหยาง ทำไมต้องพูดคุยกับคนเบาปัญญาแบบนี้ เขาสามารถทำให้พวกเราล้มละลายได้อะไรกัน ถ้าเขามีความสามารถ คงเป็นได้แค่ราชาแมงดาเกาะผู้หญิงกินของตระกูลกู้เท่านั้น และเป็นเหมือนคนต่ำต้อยที่น่าอับอายไปวัน ๆ ทำเป็นเสแสร้งอยู่ต่อหน้าเรา บอกได้เลยว่าหาเรื่องโดนเฆี่ยนตี!" ประธานเฉียนด้านหนึ่งพูดด้านหนึ่งช่วยพยุงโอวหยางจงเฉิงขึ้นมา ตอนที่หลี่โม่บอกว่าถึงเวลาแล้ว ก็เอาเท้าออกจากหน้าโอวหยางจงเฉิง เพราะหลี่โม่ต้องดูท่าทางของโอวหยางจงเฉิง ดูท่าทางของเขาว่าจะเป็นอย่างไรเมื่อได้ยินข่าวการล้มละลายของตัวเอง ประธานหลินหยิบทิชชู่ขึ้นมาแล้วช่วยประธานโอวหยางเช็ดคราบเลือดบนใบหน้า และกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ประธานโอวหยางผมคิดว่าถึงเวลาที่เราจะเรียกคนมาแล้ว คืนนี้เรื่องนี้ต้องมีคำอธิบาย คืนนี้คนต่ำต้อยนี้อวดดีมากเกินไปแล้ว ต้องหักแขนขาทั้งสี่ของเขาถึงจะพอ!” “แขนขาทั้งสี่จะไปพอได้ไง อย่างน้อยสุดก็ต้องหักห้าสิ่ง ในอนาคตมัน
“ประธานหลินแย่แล้วครับ เมื่อครู่นี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาพร้อมกับหมายค้นและจดหมายประทับตรา เอกสารการจัดการและเอกสารทางการเงินทั้งหมดถูกนำไปด้วย ส่วนพื้นที่โรงงานก็ถูกยึดแล้ว ไม่สามารถทำการผลิตและดำเนินทางธุรกิจได้จนกว่าจะถูกปลดล็อก" "เป็นแบบนี้ไปได้ยังไง ทำไมกัน สาเหตุล่ะ! ทนายอย่างคุณนี่ทำงานยังไงกัน!" ประธานหลินกระโดดขึ้นราวกับถูกสายฟ้าฟาด เอกสารการจัดการและเอกสารทางการเงินถูกยึดไป ขอเพียงแค่หานักบัญชีผู้เชี่ยวชาญเพียงไม่กี่คน ก็สามารถค้นพบกลเม็ดต่าง ๆ ได้ในไม่กี่นาที และการปิดพื้นที่โรงงานยิ่งอันตรายถึงชีวิต นี่คือจังหวะที่จะจบสิ้นอย่างสมบูรณ์ “สาเหตุก็คือการเลี่ยงภาษีและการดำเนินการที่ผิดกฎหมาย พรุ่งนี้จะมีคนมาตรวจสอบอีกครั้ง ท่านประธานหลินมีทางออกก็รีบหาทางออกเถอะครับ ทางนี้ผมไม่มีแม้แต่ลู่ทางออกอะไรเลย” "ไร้ประโยชน์สิ้นดี!" ประธานหลินวางโทรศัพท์ด้วยความโกรธ และเอามือทั้งสองกุมหน้าไว้ “เหล่าหลิน ไม่ต้องกังวลไป ฉันมีคนรู้จักรับรองว่าสามารถปกปิดมันได้ พรุ่งนี้เช้าฉันจะช่วยติดต่อให้” โอวหยางจงเฉิงกล่าวราวกับเป็นคนใหญ่คนโต “ขอบคุณประธานโอวหยางครับ ช่างเป็นเรื่องตกทุ
ในใจโอวหยางจงเฉิงปรากฏความกลัวขึ้นบ้างแล้ว มองดูโทรศัพท์มือถือทองคำขาวที่หุ้มด้วยเพชรซึ่งกำลังส่งเสียงอย่างไพเราะ เขาต้องการทุบโทรศัพท์ให้แตกจริง ๆ ในขณะนี้ เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือกลายเป็นเสียงคำสาปในใจของโอวหยางจงเฉิงไปแล้ว และด้านหน้ามีคนทั้งสามคนถูกคำสาปนี้กลืนกินไปแล้ว รับสาย หรือว่าไม่รับดี? นี่คือปัญหาหนึ่ง “ประธานโอวหยาง คุณรับสายลองฟัง ๆ ดูเถอะครับ บางทีถ้ารู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก็จะสามารถสามารถจัดการกับมันได้” น้ำเสียงของประธานเฉียนกำลังสั่นเทา โอวหยางจงเฉิงเป็นความหวังสุดท้ายของทั้งสามคน หากว่าโอวหยางจงเฉิงเกิดปัญหาขึ้นด้วยล่ะก็ พวกเขาต่างก็จะล้มละลายไปด้วยกันจริง ๆ แล้ว หลังจากล้มละลายแล้ว ความมั่งคั่งทั้งหมดก็จะหายวับไปกับตา ชีวิตที่หรูหราทั้งหมดจะอยู่ไกลเกินเอื้อม ศัตรูทั้งหมดจะแสดงเขี้ยวออกมา นั่นเป็นชีวิตที่ไม่อาจคาดคิด โอวหยางจงเฉิงยื่นมือออกมาอย่างแข็งทื่อ นิ้วที่กางออกกำลังสั่นบนโทรศัพท์ เรียกได้ว่าไม่กล้าจับโทรศัพท์เลย เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์หยุดกะทันหัน และการแจ้งเตือนสายที่ไม่ได้รับก็เด้งขึ้นมาบนโทรศัพท์ โอวหยางจงเฉิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
แตกสลายแล้ว! วิญญาณของโอวหยางจงเฉิงแตกสลายไปแล้ว ทรุดตัวลงบนโซฟาอย่างอ่อนแรง แก้มขึ้นกระตุกอย่างแรง และใบหน้าก็เริ่มบิดเบี้ยว “ประ… ประธานโอวหยาง คุณไม่เป็นไรใช่ไหม?” ประธานเฉียนถามอย่างอ่อนแรง "เกิด… เรื่อง" โอวหยางจงเฉิงกล่าวอย่างอ่อนแรง และสายตามองไปยังหลี่โม่ที่อยู่ไม่ไกล นี่ก็คือคนที่ทำให้เขาทุกคนล้มละลาย และเป็นเรื่องที่ใครเป็นคนผูกกระดิ่ง ก็ต้องให้คนนั้นมาแก้ ถ้าไม่อยากจะล้มละลายและใช้ชีวิตที่หรูหราต่อไป ก็ทำได้เพียงขอร้องอ้อนวอนให้หลี่โม่อภัย! โอวหยางจงเฉิงมองชีวิตอย่างสิ้นหวัง ทันใดนั้นความหวังที่ริบหรี่ก็ปรากฏขึ้น และความหวังนั้นคือการให้อภัยจากหลี่โม่ ร่างกายเคลื่อนไหวอยู่บนโซฟา จากนั้นร่างกายของโอวหยางจงเฉิงก็อ่อนปวกเปียกราวกับเส้นบะหมี่ และเคลื่อนตัวจากโซฟาไปที่พื้นแล้วเข่าทั้งคู่ก็คุกเข่าลงบนพื้นโดยตรง เอวอวบอ้วนโค้งลงอย่างรวดเร็ว และโอวหยางจงเฉิงก็คุกเข่าโขกหัวคพนับกับพื้น จนเกิดเสียงตุ้บขึ้นมา ประธานเฉียนทั้งสามคนต่างสะดุ้งด้วยความตกใจกลัว และยังไม่รู้ว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น “ประธานโอวหยาง! คุณ ทำไมคุณถึง…” ประธานเฉียนกล่าวเช่นนั้น และทันใดนั้นเขาก
ฉันจะไปรู้ได้ยังไงว่าแกคิดจะทำอะไร โอวหยางจงเฉิงคิดในใจแต่ไม่กล้าแสดงออกมา ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ โอวหยางจงเฉิงคงจะถ่มน้ำลายใส่หน้าคนถามไปนานแล้ว แต่สถานการณ์ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ตอนนี้เขาเป็นเพียงแค่ลูกไก่ในกำมือของหลี่โม่ โอวหยางจงเฉิงจึงจำเป็นต้องเชื่อฟังทุกคำสั่งของเขา “ท่านหลี่เป็นผู้สูงส่ง พวกเราที่เป็นเพียงคนโง่เขลา ไม่มีทางคาดเดาความคิดของท่านได้หรอกครับ ท่านช่วยบอกพวกเราหน่อยเถอะครับ” ใบหน้าที่เปื้อนด้วยคราบเลือดของโอวหยางจงเฉิงแสดงรอยยิ้มที่แปลกประหลาดอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ออกมา “คนสติปัญญาระดับแก ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมเช่นนี้ แล้วยังมีชีวิตรอดถึงทุกวันนี้ได้ ถือว่าโชคดีจริง ๆ เลยนะ” หลี่โม่พูดประชดประชัน โอวหยางจงเฉิงยิ้มอย่างเขินอายและไม่รู้จะตอบอย่างไร ประธานเฉียนที่มีไหวพริบดี ก็พูดขึ้นเบา ๆ ว่า “ท่านหลี่จะสั่งสอนพวกเราใช่ไหมครับ? พวกเราเป็นพวกไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ท่านช่วยสั่งสอนพวกเราหน่อยนะครับ ต่อไปเราจะไม่กล้าทำอีกแล้วครับ” “เหอะ ๆ” หลี่โม่ยิ้มอย่างเย็นชาแล้วพูดด้วยสีหน้าเฉยเมย “สั่งสอนพวกแกอย่างนั้นหรือ? พวกแกคิดว่าตัวเองเป็นลูกหลานฉันหรือไง ฉ
“ถ้าอย่างนั้นก็ขึ้นอยู่กับการแสดงออกของพวกแก ถ้าแสดงออกมาไม่เป็นที่น่าพอใจของฉัน พวกแกก็เตรียมตัวเป็นคนพิการ นั่งขอทานที่ข้างถนนได้เลย” หลี่โม่พูดอย่างเย็นชา จากนั้นก็ลุกขึ้นและเดินออกจากห้องวีไอพีไป โอวหยางจงเฉิงมองหลี่โม่เดินจากไป จากนั้นพวกเขาทั้งหมดก็ค่อย ๆ ทรุดตัวลงบนพื้นทีละคน ๆ เหมือนลูกบอลที่ถูกปล่อยลมออกไป “ให้ตายเหอะ ผ่านพ้นไปได้สักที หลี่โม่คนนี้คือใครกันแน่ ทำไมถึงมีอำนาจขนาดนี้ ถ้าเป็นคนธรรมดาคงทำไม่ได้อย่างแน่นอน” โอวหยางจงเฉิงพูดด้วยความสงสัย “เขาต้องเป็นลูกของมหาเศรษฐีอย่างแน่นอน แต่ทำไมคนประเภทนี้ ยังต้องทนอยู่ที่บ้านตระกูลกู้ด้วย มิหนำซ้ำยังถูกคนตระกูลกู้คอยดูถูกเหยียดหยามแบบนี้ ด้วยความสามารถของเขาแล้ว...น่าจะทำให้คนตระกูลกู้เปลี่ยนทัศนคติได้ตั้งนานแล้ว” ประธานหลินกุมหน้าผากที่เปื้อนเลือดและพูดว่า “จะมัวพูดอะไรมากมาย รีบไปหาหมอกันเถอะ หน้าผากฉันแตกหมดแล้ว เรายังไม่ถือว่าสอบผ่านนะ ยังต้องเตรียมเรื่องการขอขมาในวันพรุ่งนี้อีก” “เรื่องขอขมาเป็นเรื่องใหญ่นะ เราต้องทำให้พวกเขาพอใจให้ได้ ไม่รู้ว่าท่านหลี่ตั้งมาตรฐานไว้ขนาดไหน เกรงว่าถ้าทำไม่ถูกใจ ก็คงต้องลำบากอี
เช้าวันรุ่งขึ้น กู้หยุนหลานที่นอนไม่หลับทั้งคืน ลุกจากเตียงด้วยสีหน้าซีดเซียว ในใจของเธอเต็มไปด้วยเรื่องของโอวหยางจงเฉิง กู้หยุนหลานจึงนั่งเหม่อลอยอยู่ข้างเตียงด้วยความไม่สบายใจ หลี่โม่เห็นกู้หยุนหลานนั่งอยู่ข้างเตียง เขาจึงยื่นมือออกไปกอดเธอจากด้านหลัง “คุณกังวลอยู่เหรอ?” หลี่โม่ถามเบา ๆ กู้หยุนหลานพยักหน้าแล้วเอียงศีรษะไปพิงบนไหล่ของหลี่โม่ที่อยู่ด้านหลัง “วันนี้คงผ่านไปยากแล้วล่ะ ต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่นอน” กู้หยุนหลานตอบอย่างเศร้าใจ สิ่งที่หลี่โม่พูดเมื่อคืน กู้หยุนหลานไม่ได้คิดจริงจังเลยแม้แต่น้อย เธอไม่คิดว่าหลี่โม่จะจัดการกับคนอย่างโอวหยางจงเฉิงได้แน่นอน อย่าว่าแต่หลี่โม่เลย แม้แต่คนในเมืองฮั่นก็มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถต่อกรกับโอวหยางจงเฉิงได้ ดังนั้นครั้งนี้กิจการของตระกูลกู้คงต้องเจอกับวิกฤตครั้งใหญ่แน่นอน “อย่ากังวลไปเลยนะ ผมคอยช่วยคุณอยู่” หลี่โม่พูดเบา ๆ กู้หยุนหลานส่ายหัว แล้วขัดขืนเล็กน้อย จากนั้นจึงผละตัวออกจากอ้อมกอดของหลี่โม่ “ฉันจะเตรียมตัวไปบริษัทก่อนนะ วันนี้ต้องประชุมหารือเรื่องแผนประชาสัมพันธ์เร่งด่วนที่บริษัท” “คุณไปอาบน้ำก่อนสิ ผมจะไปเตรี
กู้ซิ่งเหว่ยหัวเราะอย่างเย็นชาแล้วหันมาพูดกับกู้หยุนหลานด้วยความดูถูก “ถึงขั้นนี้แล้ว เธอยังแกล้งทำตัวน่าสงสารอีก จะรอให้ธุรกิจครอบครัวล้มละลายก่อน เธอถึงจะสำนึกใช่ไหม ทั้งหมดนี่ก็เพราะเธอกับสามีไร้ประโยชน์ของเธอนั่นแหละ ถ้ามันไม่มีปัญญาแก้ปัญหาได้เธอก็ต้องออกมาแก้ปัญหาเอง” “ฉันจะพยายามหาทางเอง แต่ไม่ใช่ด้วยวิธีที่พวกคุณพูด” กู้หยุนหลานพูดด้วยสีหน้าขมขื่น รสชาติที่คุ้นเคยและวิธีการข่มเหงที่คุ้นเคยค่อย ๆ ปรากฏขึ้นในความรู้สึกของกู้หยุนหลาน “บ้าเอ๊ย! นี่เธอไม่รู้เรื่องอะไรเลยใช่ไหม ไฟลนก้นขนาดนี้แล้ว ดีไม่ดีพรุ่งนี้พวกเราทุกคนก็ต้องตกงานกันแล้ว เธอยังจะแสร้งทำตัวเป็นแม่พระอีกหรือ! เธอคิดว่าเธอเป็นพระแม่มารีย์หรือยังไง แม้แต่พระแม่มารีย์เองก็เคยมีความสัมพันธ์กับช่างไม้มาก่อน!” “เธอเองก็ไม่ได้นอนกับผู้ชายเป็นครั้งแรกนี่ หรือว่าเธอไม่ชอบประธานโอวหยางจริง ๆ? ถึงแม้ประธานโอวหยางจะอายุมากไปสักหน่อย แต่เธอก็คิดเสียว่าเป็นความรักแบบพ่อลูกก็ได้นี่ เรียกประธานโอวหยางว่าป๋าสิ ถ้าเขาชอบ เธอก็จะพลอยได้ผลประโยชน์ด้วย” ดูเหมือนกู้ชิงหลินจะแนะนำประสบการณ์ของเธอเองให้กับกู้หยุนหลาน กู้ซิ่งเ
คังหย่งอันกดหมายเลขของคังหย่งเฉียน แล้วพูดเสียงเข้ม "หย่งเฉียน ฉันได้ยินมาว่า แกกับเหวินซินมีปัญหากันเรื่องวิลล่าบนยอดเขาเหรอ?" “พี่ใหญ่ มีปัญหากันน่ะสิ ศิษย์พี่เกิ่งยังถูกทำร้ายจนเข่าหักแล้ว! ศิษย์พี่เกิ่งติดต่อกับอาจารย์โอวหยางไปแล้ว เรื่องนี้อภัยให้ไม่ได้แน่นอน!” คังหย่งเฉียนโกรธแค้นคังเหวินซิน ถ้าไม่ใช่เพราะคังเหวินซินพาหลี่โม่ไปที่นั่น เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น แต่ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว คังหย่งเฉียนเองก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ทำได้เพียงเอาความโมโหไปลงที่คังเหวินซินเท่านั้น “หย่งเฉียน ไม่ว่ายังไงก็ตาม แกต้องรับรองความปลอดภัยของเหวินซิน ฉันไม่สนว่า อาจารย์โอวหยางพวกเขาจะทำอะไรกับเพื่อนของเหวินซิน แต่พวกเขาจะทำร้ายเหวินซินไม่ได้เด็ดขาด!” “พี่ใหญ่ ฉันไม่กล้ารับประกันหรอก รับประกันได้แค่ลูกชายของพี่จะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงตายเท่านั้น ถ้าอาจารย์โอวหยางต้องการลงโทษลูกชายของพี่จริง ๆ ฉันจะไปขวางได้ยังไง ฉันขวางไม่ได้หรอก ไม่กล้าขวางด้วย!" คังหย่งอันขมวดคิ้วแน่น หากคังหย่งเฉียนอยู่ต่อหน้าคังหย่งอันในตอนนี้ คังหย่งอันจะต้องตบเขาให้ตายคามือแน่นอน “หย่งเฉียน! แกเป็นอาข
“ไอ้บัดซบเอ๊ย! ใครกล้ามาต่อกรกับฉันโอวหยางจื้อ มันผู้นั้นจะต้องตาย!” โอวหยางจื้อพึมพำอย่างด้วยความอาฆาตแค้น แล้วสั่งให้ลูกศิษย์ไปจองตั๋วเครื่องบิน ...... คังเหวินซินมาส่งหลี่โม่และคนอื่น ๆ ที่บ้าน หลังจากมองดูทั้งสามเดินเข้าไปข้างในแล้ว จึงสตาร์ทรถและขับออกไปอย่างช้า ๆ “อาเล็กถูกจัดการจนหมดท่าแล้ว ต้องบอกพ่อสักคำไหมนะ อาเล็กจะได้ไปตีไข่ใส่สีอีก” หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง คังเหวินซินก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดหมายเลขพ่อของเขาคังหย่งอัน “ฮัลโหล พ่อครับ ผมเพิ่งจะขายวิลล่าบนยอดเขาที่สวนหนานชุ่ยให้เพื่อผมไป ขายราคาต้นทุนน่ะครับ” คังหย่งอันขมวดคิ้ว "นั่นเป็นวิลล่าที่อาเล็กของแกจะเอาไม่ใช่เหรอ แกเอาไปให้เพื่อนได้ยังไง? ผู้จัดการฝ่ายขายว่ายังไงบ้าง?" คังเหวินซินอึ้งครู่หนึ่ง รู้สึกถึงความผิดปกติในคำพูดของคังหย่งอัน "พ่อ พ่อรู้ได้ยังไงว่าอาเล็กอยากได้วิลล่านั่น?” “อาเล็กของแกเคยบอกพ่อว่า วิลล่าหลังนั้นเป็นของขวัญที่เขาจะเก็บไว้ให้กับปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ในต่างประเทศโอวหยางจื้อ แกคงเคยได้ยินเกี่ยวกับโอวหยางจื้อมาบ้างใช่ไหม? เขาเคยรับหน้าที่เป็นผู้กำกับฉากแอ็คชั่นให้กับภาพย
ในแผนกดูแลพิเศษของโรงพยาบาล คังหย่งเฉียนและคนอื่น ๆ นั่งล้อมรอบเตียง มองดูพี่เกิ่งค่อย ๆ ฟื้นคืนสติ เข่าที่หักของพี่เกิ่งได้รับการผ่าตัดแล้ว แต่หลังการผ่าตัด พี่เกิ่งจะได้แต่นั่งอยู่บนรถเข็นเท่านั้น “ซี๊ด ขากับเข่าฉันเป็นยังไงบ้าง?” พี่เกิ่งถามอย่างร้อนใจ “ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวล ผ่าตัดเสร็จแล้ว เพียงแต่ระดับการรักษาของที่นี่ยังต่ำไปหน่อย หลังจากฟื้นตัวแล้วพี่ต้องนั่งรถเข็น” คังหย่งเฉียนพูดเสียงเบาหวิว “ไอ้บัดซบ! ฉันไม่อยากนั่งรถเข็น! ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้!” พี่เกิ่งคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว รู้สึกเลวร้ายไปทั้งร่างกาย ชีวิตบนรถเข็น ไม่ใช่ชีวิตที่พี่เกิ่งต้องการเลย ถ้าต้องนั่งรถเข็นแล้ว ต่อไปจะฝึกศิลปะการต่อสู้ หรือออกไปรังแกคนอื่นอย่างไร แล้วจะไปจีบสาว ๆ ได้อย่างไร! “ฉันจะย้ายโรงพยาบาล ฉันจะไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลที่ดีที่สุด!” “พี่เกิ่งอย่าเพิ่งตื่นตูม หมอบอกว่า รอพี่ฟื้นตัวดีแล้ว ก็สามารถทำการผ่าตัดครั้งที่สองในโรงพยาบาลที่ดีกว่านี้เพื่อเปลี่ยนข้อต่อเทียมได้” คังหย่งเฉียนปลอบใจพี่เกิ่งไปพลางก็ขยิบตาให้กับพวกพี่น้องคนอื่น ๆ ส่งสัญญาณให้พวกเขารีบมาช่วยกันโน้มน้าว ศิษย์พี่ห
พี่เกิ่งร้องโหยหวนออกมา รู้สึกว่าขาซ้ายพลิกกลับไปด้านหลัง พลันสูญเสียการทรงตัวและล้มหงายไปข้างหลังทันที พลั่ก พี่เกิ่งล้มหงายลงกับพื้น ปากก็ร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา คังหย่งเฉียนถูกกระตุ้นด้วยเสียงร้องของพี่เกิ่งจนตัวสั่นไปทั้งตัว เสียงวิ้ง ๆ ที่ดังอยู่ในหัวยิ่งชัดเจนขึ้นมาทันใด คังหย่งเฉียนกุมใบหน้าที่บวมแดงไปครึ่งหนึ่งมองไปทางศิษย์พี่เกิ่ง ดวงตาของคังหย่งเฉียนก็แทบจะหลุดออกจากเบ้า ศิษย์พี่เกิ่งที่คังหย่งเฉียนเคยคิดว่า แข็งแกร่งไร้เทียมทานนั้น ตอนนี้กำลังร้องคร่ำครวญราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังจะตาย เมื่อมองขาขวาของพี่เกิ่งหักงอในองศาที่ผิดธรรมชาติ คังหย่งเฉียนก็รู้สึกว่า เลือดทั่วร่างกายเย็นเฉียบขึ้นมา นี่เป็นเรื่องที่มนุษย์สามารถทำได้อย่างนั้นเหรอ? นี่เป็นผลลัพธ์ที่สามารถใช้กำปั้นทำได้เหรอ? นี่มันซูเปอร์ไซย่าในตำนานหรืออย่างไรกัน?! พวกศิษย์น้องของพี่เกิ่งหลายคนต่างหวาดกลัวกับความเผด็จการของหลี่โม่ ทั้งกลุ่มพลันหมดความโอหังไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาลากพี่เกิ่งขึ้นมาจากพื้นแล้ววิ่งตะบึงออกไปข้างนอกอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่คำพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในที่นี้คือศิษย์
คังเหวินซินรออยู่สามวินาที แต่ละวินาทีราวกับยาวนานเป็นปี รออยู่นานฝ่ามือของพี่เกิ่งก็ยังไม่ตบลงมาสักที คังเหวินซินจึงลืมตาขึ้น เมื่อเอียงหน้ามองเห็นฝ่ามือของพี่เกิ่งอยู่ห่างจากหน้าตนแค่เฉียดฉิว หัวใจของคังเหวินซินแทบจะกระโดดออกมาจากปาก หลังจากที่เห็นข้อมือของพี่เกิ่งถูกหลี่โม่คว้าไว้ คังเหวินซินถึงได้รู้สึกว่า หัวใจของตัวเองกลับเข้าที่ได้แล้ว คังเหวินซินที่สงบลงแล้ว รีบถอยไปหลบด้านหลังหลี่โม่ แล้วร้องตะโกนด้วยน้ำตาแห่งความซาบซึ้ง "อาจารย์!" “นายอย่าร้องไห้น่าสมเพชนักสิ มันทำฉันขายหน้านะ” หลี่โม่พูดด้วยรอยยิ้ม คังเหวินซินตะลีตะลานเช็ดเบ้าตา ไม่ยอมให้ตัวเองร้องไห้ออกมา พี่เกิ่งจ้องมองหลี่โม่อย่างโมโห แอบพยายามดึงข้อมือของตัวเองกลับมาอย่างลับ ๆ แต่ไม่ว่าพี่เกิ่งจะพยายามออกแรงแค่ไหน มือของหลี่โม่ก็ราวกับคีมปากเสือหนีบข้อมือของพี่เกิ่งเอาไว้แน่น จนข้อมือของพี่เกิ่งไม่มีทางสลัดหลุดได้เลย “ปล่อยมือฉัน!” พี่เกิ่งตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยว “แกบอกให้ปล่อยก็ต้องปล่อยเหรอ? แกน่าจะอธิบายเรื่องที่จะลงไม้ลงมือกับลูกศิษย์ฉันเมื่อกี้นี้มาสักหน่อยไหม?” หลี่โม่พูดอย่างเย็นชา คังเหวินซินส
กู้หยุนหลานมองไปยังหลี่โม่อย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นหลี่โม่ขยิบตาให้ เธอจึงไม่พูดอะไรและเก็บความสงสัยไว้ในใจ ผู้จัดการหวังโบกมือให้พนักงานขายสาว พนักงานสาวที่ถือสัญญาอยู่แล้วเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ผู้จัดการหวัง นี่เป็นสัญญาของวิลล่ายอดเขาค่ะ แต่ราคานี้มัน…” สีหน้าของพนักงานสาวดูบูดเบี้ยวเล็กน้อย ถ้าขายวิลล่านี้ออกไปในราคาต้นทุน เธอคงไม่ได้รับค่าคอมมิชชั่นเลยสักแดง! ที่ผ่านมาเศรษฐีในเมืองฮั่นจำนวนมากต่างก็ถูกใจวิลล่าแห่งนี้ แต่เพราะมีการปิดกั้นการซื้อขาย เลยไม่ได้ขายอย่างเป็นทางการ เดิมทีพวกพนักงานสาวนั้นเตรียมพร้อมที่จะทำกำไรมหาศาลด้วยการขายวิลล่าหลังนี้หลังจากที่เปิดการขายแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ความฝันของพวกเธอกำลังจะมลายหายไปซะแล้ว “พวกเธอมีสิทธิ์พูดงั้นเหรอ? นี่คือการตัดสินใจของคุณชายใหญ่!” ผู้จัดการหวังตำหนิพนักงานขายสาว พนักงานสาวหดคอและปิดปากเงียบไม่กล้าพูดอีก ผู้จัดการหวังเปิดสัญญาตรวจดู หลังจากยืนยันความถูกต้องแล้ว เขาก็ถือสัญญาเดินไปหาหลี่โม่ “อ่านสัญญาดูก่อนนะครับ หากไม่มีปัญหาอะไร เราจะไปเซ็นสัญญาที่สำนักงานของผมกัน ผมไม่สามารถนำตราประทับอะไรพวกนั้นพกติดต
“คุณชาย อย่ามาขู่ผมเลยครับ ผมไม่กลัวหรอกนะ สิ่งที่ผมพูดไปเมื่อครู่ล้วนมีเหตุมีผล หากไม่เชื่อก็ถามซินแสที่มาดูฮวงจุ้ยให้ได้เลยครับ คำพูดพวกนี้เขาเป็นคนพูดเองกับปากทั้งนั้น” ผู้จัดการหวังแข็งขืน ไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย หลี่โม่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม "เหวินซิน อย่าหุนหันพลันแล่น ผู้จัดการหวังพูดถูกแล้ว คนที่โชคชะตาบารมีไม่ถึง ไม่มีทางข่มพลังฮวงจุ้ยอันยอดเยี่ยมได้แน่นอน” คังเหวินซินพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม "อาจารย์พูดถูกแล้วครับ แต่ด้วยบารมีของอาจารย์ จะต้องสามารถข่มมันได้อย่างแน่นอน พวกเรามาดูกันดีกว่า ที่นี่ล้วนได้รับการตกแต่งอย่างดี คุณหิ้วกระเป๋าเข้ามาอยู่ได้เลย เหลือแค่ดูว่าวิลล่าหลังนี้ถูกใจคุณหรือเปล่าก็พอครับ” เมื่อเห็นคังเหวินซินพยายามเอาอกเอาใจหลี่โม่ ผู้จัดการหวังก็เกิดความสงสัยเล็กน้อย หรือว่าตนจะมองผิดไป? ผู้ชายที่สวมเสื้อผ้าแผงลอยทั้งตัวคนนี้ เป็นคุณชายเศรษฐีที่มาลองสัมผัสประสบการณ์ชีวิตงั้นเหรอ? ไม่อย่างนั้นทำไมคุณชายของตนถึงได้ไปประจบเอาใจเขาขนาดนี้กัน? “คุณชาย ท่านนี้คืออาจารย์ของคุณเหรอครับ?” ผู้จัดการหวังถามอย่างสงสัย “นี่คืออาจารย์ของฉันหลี่โม่ นายสุภาพกับอาจารย์ของฉัน
“ไอ้สารเลวคนไหนไม่ดูตาม้าตาเรือ กล้ามาแย่งวิลล่าของอาจารย์ พวกแกยังมัวแต่กินอะไรกันอีก ไปดูด้วยกัน จัดการไอ้พวกสารเลวนั่นซะ” “ศิษย์พี่เกิ่งพูดถูก พวกเราทุกคนต้องไปดูด้วยกัน บ้านของอาจารย์ต้องดีที่สุดเท่านั้น จะผิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว” ศิษย์พี่เกิ่งและคนอื่น ๆ พากันลุกขึ้นทีละคน เมื่อเห็นเช่นนี้คังหย่งเฉียนก็เรียกให้พนักงานคิดเงินทันที แล้วจึงพาพวกของศิษย์พี่เกิ่งมุ่งตรงไปยังสวนหนานชุ่ย ... รถเมอร์เซเดสเบนซ์ขับเข้าไปในสวนหนานชุ่ย และขับตรงไปตามทางขึ้นยอดเขา ใกล้กับยอดเขาของเขาหนานชุ่ยนั้นมีที่ราบอยู่บริเวณหนึ่ง ที่ราบนี้ถูกนำมาใช้สร้างวิลล่า พร้อมทั้งปลูกต้นไม้พืชพรรณเขียวชอุ่มรอบ ๆ วิลล่าอีกด้วย ด้านหน้าวิลล่ายังมีลำธารที่ไหลมาจากยอดเขา ทำให้ฮวงจุ้ยของวิลล่านี้ยอดเยี่ยมมากไร้ที่ติ หน้าน้ำหลังเขา ตำแหน่งปากมังกรจัดวางฮวงจุ้ยอย่างดี ทำให้วิลล่าบนยอดเขาหลังนี้เลิศล้ำไม่มีใครเทียม รถเมอร์เซเดสเบนซ์จอดสนิทหน้าประตูวิลล่ายอดเขา ผู้จัดการหวังและพนักงานขายสาวสองคนยืนรอที่ประตูวิลล่าอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นรถเบนซ์จอดนิ่ง ผู้จัดการหวังก็รีบวิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปช่วยเปิดประตูรถ
ผู้จัดการหวังหยิบบุหรี่ออกมาคาบที่มุมปาก เตรียมจะสูบบุหรี่เพื่อสงบสติอารมณ์ คำขอของคังเหวินซินทำให้ผู้จัดการหวังตั้งตัวไม่ติด การจะดูบ้านมันไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าอีกฝ่ายถูกใจขึ้นมาจริง ๆ จะทำอย่างไรล่ะ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องราคาต้นทุนหรือเปล่า ถ้าคังหย่งเฉียนเข้ามาครอบครองวิลล่าหลังนี้ เขาก็คงไม่ได้เงินเลยสักแดงเดียว พอนึกถึงคังหย่งเฉียนขึ้นมาผู้จัดการหวังรู้สึกปวดจี๊ด ๆ ขึ้นมา เจ้านั่นเป็นปีศาจเจ้าสำราญแห่งตระกูลคัง วัน ๆ เอาแต่เกียจคร้าน กินดื่มเที่ยวเล่น ยิ่งกว่านั้นยังคบค้ากับพวกอันธพาล ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสตระกูลคังก็ยังถูกคังหย่งเฉียนยั่วโมโหจนเส้นเลือดในสมองตีบ แทบทุกคนในตระกูลคังล้วนทำเป็นไม่สนใจคังหย่งเฉียน ตราบใดที่คังหย่งเฉียนไม่ได้ก่อปัญหา ก็ไม่มีใครสนใจว่า คังหย่งเฉียนจะทำอะไร ถ้าหากยกวิลล่าให้เพื่อนของคังเหวินซินจริง ๆ คังหย่งเฉียนคงจะพาคนมาสับเขาเป็นชิ้น ๆ ถึงที่แน่ หลังจากสูบบุหรี่หมดมวน ผู้จัดการหวังก็ขยี้ก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ รู้สึกว่ายังไงก็ควรแจ้งให้คังหย่งเฉียนรู้สักหน่อย ส่วนคังหย่งเฉียนจะต่อสู้กับคังเหวินซินอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องระหว่างพวกเขา