“หือ?” โอวหยางจงเฉิงส่งเสียงฟึดฟัดออกมาทางจมูก สีหน้าของเขาดูเคร่งขรึมเล็กน้อย ไม่พอใจกับคำตอบของกู้หยุนหลานเป็นอย่างมาก “กู้หยุนหลาน คุณหมายถึงอะไร เป็นเพราะผมพูดไม่ชัดเจน หรือว่าคุณฟังไม่เข้าใจ?” โอวหยางจงเฉิงถามด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว “คุณกู้ ประธานโอวหยางของเราจองห้องไว้แล้ว วันนี้คุณไม่ต้องกลับแล้ว ดูแลรับใช้ประธานโอวหยาง อะไร ๆ จะได้ง่ายขึ้น อย่าว่าแต่ใบสั่งซื้อพวกนี้ของพวกคุณเลย ต่อไปมีประธานโอวหยางดูแล ผลการดำเนินงานของพวกคุณตระกูลกู้ ก็จะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวภายในระยะเวลาสองสามปีอย่างง่ายดาย” ประธานเฉียนพูดเสริม กู้หยุนหลานยิ้มอย่างหดหู่ และวางแก้วเหล้าในมือลงบนโต๊ะ นี่เป็นการแสดงจุดยืนของตนเอง กู้หยุนหลานไม่ตอบตกลงเงื่อนไขของโอวหยางจงเฉิง ไม่แม้แต่จะคิดเรื่องที่จะพักค้างคืนที่นี่ เมื่อเห็นกู้หยุนหลานวางแก้วเหล้าลง โอวหยางจงเฉิงก็หัวเราะอย่างไม่พอใจสองครั้ง และมองไปที่กู้เจี้ยนกั๋วกับคนอื่น ๆ กู้เจี้ยนกั๋วและคนอื่น ๆ รู้สึกเหมือนตกอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง หนาวเหน็บไปทั่วทั้งตัว พวกเขาอยากจะมัดกู้หยุนหลาน แล้วส่งขึ้นเตียงให้โอวหยางจงเฉิงเสียจริง ๆ “หยุนหลาน! ระวังท่าที
“ฮ่าฮ่าฮ่า” โอวหยางจงเฉิงระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างพอใจ “อยากไป? เธอคิดว่าจะไปได้ง่าย ๆ ขนาดนั้นเลยเหรอ? หน้าตาของโอวหยางจงเฉิงคนนี้ ใช่จะเหยียบย่ำกันได้ง่าย ๆ !” บอดี้การ์ดปิดประตูห้องวีไอพี กู้หยุนหลานหันกลับไปอย่างไม่มีทางเลือก กู้ชิงหลินกลับมามีสติ เดินไปด้านข้างของกู้หยุนหลานอย่างรวดเร็ว และผลักกู้หยุนหลานไปด้านหน้าของโอวหยางจงเฉิง “เธอ ยัยผู้หญิงไร้ค่า ประธานโอวหยางอุตส่าห์ไว้หน้าเธอแล้ว! เมื่อกี้เธอยังกล้าเชิดหน้าใส่ประธานโอวหยางอีก เธอคิดว่าเธอเป็นใคร รีบขอโทษประธานโอวหยางซะ!” กู้ชิงหลินพูดอย่างเกรี้ยวกราด กู้หยุนหลานนิ่งเงียบไป และรู้สึกสิ้นหวังกับสิ่งที่ทุกคนในตระกูลกู้ทำ ประธานหลินเปิดขวดเหล้าเหมาไถบนโต๊ะ และวางไว้ตรงหน้ากู้หยุนหลาน “คุณกู้ ใช้ไม้อ่อนไม่ชอบชอบให้ใช้ไม้แข็ง ถ้าอย่างนั้นก็ดื่มเหล้าเหมาไถขวดนี้เสียก่อน หลังดื่มเสร็จก็อยู่เป็นเพื่อนประธานโอวหยางแต่โดยดีเถอะ ถ้าทำให้ประธานโอวหยางพึงพอใจ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็เจรจาได้ง่ายขึ้นทั้งนั้น” กู้หยุนหลานมองเหล้าเหมาไถที่วางอยู่บนโต๊ะ ถ้าดื่มเข้าไปทั้งขวด ต้องหมดสติแน่นอน ต่อจากนั้นคงถูกโอวหยางจงหยามเกียรติเป
“หลี่โม่! แกมาที่นี่ได้ยังไง ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่คนต่ำต้อยอย่างแกจะมาได้!” กู้ซิ่งเหว่ยตะโกนโวยวายอย่างโมโห หลี่โม่เพิกเฉยเสียงโวยวายของกู้ซิ่งเหว่ยและเดินตรงไปที่ด้านข้างของกู้หยุนหลาน แล้วพูดด้วยเสียงเบา ๆ ว่า "ผมไม่ได้มาสายไปใช่ไหม?" กู้หยุนหลานตื่นเต้นมากจนพูดไม่ออก เธอทำได้เพียงส่ายหัวอย่างแรง และกอดหลี่โม่ไว้แน่นด้วยแขนของเธอ หลี่โม่ลูบหลังกู้หยุนหลานเบา ๆ และช่วยกู้หยุนหลานสงบสติอารมณ์ โอวหยางจงเฉิงตบโต๊ะอย่างโกรธเคือง "ไอ้สารเลวนี่มาที่นี่ได้ยังไง! คนตระกูลกู้ตั้งใจจะหาเรื่องใช่ไหม!” “ไม่ ไม่ใช่นะครับ ประธานโอวหยางโปรดอย่าโมโหไป เราไม่รู้เหมือนกันว่าคนไร้ค่านี้มาได้อย่างไร เราจะ… เราจะพาเขาออกไปเดี๋ยวนี้เลยครับ” กู้เจี้ยนกั๋วตอบกลับด้วยความหวาดกลัว เมื่อเห็นว่าทุกอย่างกำลังจะคลี่คลาย หลี่โม่ก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้ทุกคนต่างรับมือไม่ทัน โดยเฉพาะกู้เจี้ยนกั๋วและคนอื่น ๆ ต่างเกลียดชังหลี่โม่แทบตายแล้ว หลี่โม่เหล่มองโอวหยางจงเฉิง แล้วกระซิบพูดเบา ๆ กับกู้หยุนหลานว่า "ปล่อยมือของคุณก่อนแล้วคอยดูผมแก้แค้นให้คุณ แค่รออย่างเชื่อฟังนะครับ" "อืม" ในขณะนี้ หลี
โอวหยางจงเฉิงใช้มือทั้งสองไขว้หลังศีรษะแล้วคุกเข่าลงกับพื้น และในใจเต็มไปด้วยความเสียใจ เขาคาดเดาจุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมดได้ แต่คาดเดาถึงผลลัพธ์ของเรื่องไม่ได้ เมื่อได้เผชิญหน้ากับหมัดของหลี่โม่ในเวลานี้ ขาของโอวหยางจงเฉิงก็สั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ และมองหลี่โม่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอ้อนวอน “น้องชาย ฉันสำนึกผิดแล้ว ฉันรู้ตัวว่าฉันทำเกินไปหน่อย นายบอกตัวเลขมา ฉันจะชดเชยให้นายทั้งหมดดีไหม!” "แกคิดว่าเงินสามารถชดเชยได้งั้นเหรอ?" หลี่โม่ยิ้มเย็นชาแล้วโบกมือหมัด แล้วหมัดทั้งคู่ก็ชกลงราวกับห่าฝน ชกจนโอวหยางจงเฉิงคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวด ส่วนที่ชกต่อยทั้งหมดนั้น หลี่โม่ได้ตั้งใจคัดเลือกมาอย่างดี และเป็นส่วนที่จะทำให้เกิดความเจ็บปวดอย่างรุนแรงหลังจากถูกกระแทก ความเจ็บปวดรุนแรงทำให้โอวหยางจงเฉิงหมดสติไป แต่ในไม่ชั่วพริบตาโอวหยางจงเฉิงก็ถูกทำให้ฟื้นขึ้นด้วยความเจ็บปวดที่รุนแรงกว่าอีกครั้ง หลังจากหมดสติและฟื้นขึ้นหลายครั้ง โอวหยางจงเฉิงถูกชกต่อยจนทรุดตัวลง และล้มลงนอนบนพื้นราวกับโคลนสกปรก ส่วนรอยฟกช้ำบนใบหน้านั้นน่ากลัวยิ่งกว่าเดิม มองดูราวกับตุ๊กตาเศษผ้าขี้ริ้วเก่า ๆ กู้เ
หลี่โม่โบกข้อมืออย่างช้า ๆ จากนั้นก็มีเสียงเพียะ ๆ ดังขึ้นติดต่อกัน กู้เจี้ยนกั๋วและคนอื่น ๆ ต่างถูกหลี่โม่ตบจนตะลึงมึนงงราวกับมีดวงดาวหมุนอยู่ในดวงตา คนไร้ประโยชน์ที่เมื่อก่อนถูกทุกคนดูถูก แต่ตอนนี้ถึงกับกล้าตบพวกเขา สิ่งนี้ทำให้กู้เจี้ยนกั๋วและคนอื่น ๆ โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ อย่างไรก็ตาม ไฟร้อนกลบไฟร้อน กู้เจี้ยนกั๋วและคนอื่น ๆ ต่างก็กุมหน้าและจ้องไปยังหลี่โม่ และไม่กล้าโต้เถียงกับหลี่โม่อีกต่อไป “หลี่โม่ มันจะมากเกินไปแล้ว แกชกต่อยฉันไม่ว่า แต่ลงมือกับพ่อและลุงทั้งสามคนของฉันช่างเป็นคนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง!” กู้ซิ่งเหว่ยต่อว่าพลางจ้องเขม็ง เพียะ! หลี่โม่ไม่พูดจา แต่กลับใช้มือหลังตบเข้าที่ปากใหญ่ของกู้ซิ่งเหว่ย “ให้ตายเถอะ! แกคิดว่าฉันโง่เหรอ! แกคิดว่าฉันไม่กล้าโต้กลับใช่ไหม!” กู้ซิ่งเหว่ยคำรามแล้วกำหมัดเดินพุ่งออกไป "ช่างรนหาที่ตาย" หลี่โม่มองดูกู้ซิ่งเหว่ยที่พู่งเข้ามาอย่างเยาะเย้ย ยกขาขึ้นแล้วเตะไปที่หน้าท้องของกู้ซิ่งเหว่ย ผลัวะ! กู้ซิ่งเหว่ยกระเด็นออกไป แล้วกระแทกเข้ากับกำแพงอย่างแรง กระแทกจนกำแพงสั่นไหวอยู่หลายครั้ง กู้เจี้ยนกั๋วและกู้เจี้ยนเจียงต่างมุมปากกระ
ที่บ้าน กู้หยุนหลานนั่งบนโซฟาและเช็ดน้ำตาไม่หยุด และเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด “ฉันจะไม่พูดถึงเรื่องที่ประธานโอวหยางข่มเหงแล้ว นั่นล้วนเป็นเรื่องของคนนอก แต่พฤติกรรมของอากับลุงทั้งสาม ฉันทนไม่ไหวจริง ๆ ค่ะ พวกเขาปฏิบัติกับฉันเหมือนอะไรบางอย่าง” สีหน้าของกู้เจี้ยนหมินและหวังฟางมืดมนลงอย่างมาก และความโกรธก็วาบขึ้นในดวงตาของพวกเขา เพียงแค่พ่อแม่ปกติทั้วไปได้ยินว่าลูกสาวของตัวเองเจอเรื่องแบบนี้ ก็จะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ “คราวนี้บ้านเจี้ยนกั๋วกับบ้านเจี้ยนเจียง ทำเกินไปแล้ว! ข่มเหงคนใกล้ชิดแล้วทำให้ศัตรูพอใจแบบนี้ได้ยังไง! นี่มันรังแกกันเกินไปแล้ว!”หวังฟางตบโต๊ะอย่างโกรธจัด “มันมากเกินไปหน่อย ต้องให้บ้านเจี้ยนกั๋วกับบ้านเจี้ยนเจียงขอโทษและยอมรับความผิดถึงจะได้ จะปล่อยเรื่องไปแบบนี้ไม่ได้” กู้เจี้ยนหมินได้ตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาก็จะตามกู้เจี้ยนกั๋วและกู้เจี้ยนเจียงชี้แจงเรื่องนี้ให้ละเอียด และต้องได้รับความยุติธรรม หลี่โม่ช่วยสงบอารมณ์ของกู้หยุนหลานและไม่พูดอะไรมาก เรื่องภายในของตระกูลกู้ ยังคงต้องให้กู้เจี้ยนหมินออกหน้ามารับผิดชอบ “เราไปหาบ้านเจี้ยนกั๋วกับบ้
คุณท่านกู้โกรธจนหอบหายใจใหญ่ นิ้วมือสั่น ๆ ชี้ไปที่กู้เจี้ยนหมินและตะโกนว่า "ดู ดูลูกสาวกับลูกเขยแกซิ ก่อเรื่องยุ่งอะไรกัน! โอวหยางจงเฉิงมีฐานะสถานะอะไร พวกแกยังจะกล้าล่วงเกิน!” “พ่อครับ ฟังผมอธิบายก่อน มันไม่ใช่อย่างที่พวกเขาพูด เป็นประธานโอวหยางที่ขอให้หยุนหลานหลับนอนด้วย ความขัดแย้งเกิดขึ้นเพราะหยุนหลานไม่เต็มใจ พวกเขาทั้งหมดต่างช่วยประธานโอหยางพูด และขอให้หยุนหลานไปหลับนอนด้วย!" กู้เจี้ยนหมินอธิบายอย่างรวดเร็ว เพียงแต่ในเวลานี้ กู้เจี้ยนหมินรู้สึกว่าคำอธิบายของตัวเองนั้นช่างเบาบางไร้น้ำหนัก “แกหยุดพูดพล่ามได้แล้ว ให้หยุนหลานหลับนอนด้วยอะไรกัน หยุนหลานเป็นถึงแม่คนแล้ว ประธานโอวหยางจะสนใจได้อย่างไร มีสาวสวยมากมายไล่ตามของประธานโอวหยาง ไหนจะพวกดาราและนางแบบดัง หยุนหลานของบ้านแกไม่เข้าตาเขาหรอก” กู้เจี้ยนกั๋วตะโกนว่าใส่ร้ายทันที คุณท่านกู้กระแอมเสียงอย่างเย็นชา และกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “แกฟังนะ เจี้ยนกั๋วพูดมีเหตุผล หยุนหลานเป็นแม่คนแล้วประธานโอวหยางจะเสนอร้องขอแบบนั้นได้อย่างไร ผู้ชายย่อมเข้าใจผู้ชายด้วยกันที่สุด ล้วนชอบสาว ๆ อายุน้อย” กู้เจี้ยนหมินยืนอยู่ที่นั่นอย่างว่างเป
คุณท่านกู้และคนอื่น ๆ ต่างมองหลี่โม่อย่างประหลาดใจ และหลังจากตกตะลึงครู่หนึ่ง ทุกคนก็หัวเราะขึ้นอย่างเยาะเย้ย “คนต่ำต้อยอย่างแกยังไม่ตื่นใช่ไหม ยังเดินละเมออยู่ในความฝัน จะจัดการประธานโอวหยางเอง แกมีความสามารถอะไรไปจัดการ เกรงว่าไม่ได้เห็นหน้าประธานโอวหยางด้วยซ้ำ!” กู้ซิ่งเหว่ยกล่าวอย่างรังเกียจ กู้ชิงหลินจ้องเขม็งที่หลี่โม่ และพูดอย่างเย็นชาว่า “แกคงไม่คิดที่จะไปทุบทำร้ายประธานโอวหยางจนพอใจหรอกใช่ไหม ช่างไร้เดียงสา ฉันแน่ใจว่า ครั้งหน้าแกคงยังเดินไม่ถึงข้างประธานโอวหยางก็ถูกทุบตีจนเหมือนกับก้อนอุจจาระสุนัขแล้วล่ะ" กู้เจี้ยนกั๋วครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วพูดว่า "นี่เป็นปัญหาของบ้านเจี้ยนหมินที่ก่อขึ้นมา บ้านเจี้ยนหมินต้องไปจัดการทั้งเรื่องความสัมพันธ์และเหตุผลเอง ถ้าพวกแกจัดการได้เรียบร้อยก็เป็นเรื่องดี แต่ถ้าหากจัดการไม่ได้ล่ะก็ หึ รอโดนเนรเทศออกจากตระกูลได้เลย!" คุณท่านกู้พยักหน้าเบา ๆ และเห็นด้วยกับคำพูดของกู้เจี้ยนกั๋ว “เจี้ยนกั๋วพูดถูก นี่คือปัญหาวุ่นวายที่พวกแกก่อขึ้น เจี้ยนหมินแกทั้งครอบครัวไปจัดการเถอะ หากจัดการไม่ได้ล่ะก็ พวกแกไม่ใช่คนของตระกูลกู้อีกต่อจากนี้ไป” “พ่อ! นี
คังหย่งอันกดหมายเลขของคังหย่งเฉียน แล้วพูดเสียงเข้ม "หย่งเฉียน ฉันได้ยินมาว่า แกกับเหวินซินมีปัญหากันเรื่องวิลล่าบนยอดเขาเหรอ?" “พี่ใหญ่ มีปัญหากันน่ะสิ ศิษย์พี่เกิ่งยังถูกทำร้ายจนเข่าหักแล้ว! ศิษย์พี่เกิ่งติดต่อกับอาจารย์โอวหยางไปแล้ว เรื่องนี้อภัยให้ไม่ได้แน่นอน!” คังหย่งเฉียนโกรธแค้นคังเหวินซิน ถ้าไม่ใช่เพราะคังเหวินซินพาหลี่โม่ไปที่นั่น เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น แต่ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว คังหย่งเฉียนเองก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ทำได้เพียงเอาความโมโหไปลงที่คังเหวินซินเท่านั้น “หย่งเฉียน ไม่ว่ายังไงก็ตาม แกต้องรับรองความปลอดภัยของเหวินซิน ฉันไม่สนว่า อาจารย์โอวหยางพวกเขาจะทำอะไรกับเพื่อนของเหวินซิน แต่พวกเขาจะทำร้ายเหวินซินไม่ได้เด็ดขาด!” “พี่ใหญ่ ฉันไม่กล้ารับประกันหรอก รับประกันได้แค่ลูกชายของพี่จะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงตายเท่านั้น ถ้าอาจารย์โอวหยางต้องการลงโทษลูกชายของพี่จริง ๆ ฉันจะไปขวางได้ยังไง ฉันขวางไม่ได้หรอก ไม่กล้าขวางด้วย!" คังหย่งอันขมวดคิ้วแน่น หากคังหย่งเฉียนอยู่ต่อหน้าคังหย่งอันในตอนนี้ คังหย่งอันจะต้องตบเขาให้ตายคามือแน่นอน “หย่งเฉียน! แกเป็นอาข
“ไอ้บัดซบเอ๊ย! ใครกล้ามาต่อกรกับฉันโอวหยางจื้อ มันผู้นั้นจะต้องตาย!” โอวหยางจื้อพึมพำอย่างด้วยความอาฆาตแค้น แล้วสั่งให้ลูกศิษย์ไปจองตั๋วเครื่องบิน ...... คังเหวินซินมาส่งหลี่โม่และคนอื่น ๆ ที่บ้าน หลังจากมองดูทั้งสามเดินเข้าไปข้างในแล้ว จึงสตาร์ทรถและขับออกไปอย่างช้า ๆ “อาเล็กถูกจัดการจนหมดท่าแล้ว ต้องบอกพ่อสักคำไหมนะ อาเล็กจะได้ไปตีไข่ใส่สีอีก” หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง คังเหวินซินก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดหมายเลขพ่อของเขาคังหย่งอัน “ฮัลโหล พ่อครับ ผมเพิ่งจะขายวิลล่าบนยอดเขาที่สวนหนานชุ่ยให้เพื่อผมไป ขายราคาต้นทุนน่ะครับ” คังหย่งอันขมวดคิ้ว "นั่นเป็นวิลล่าที่อาเล็กของแกจะเอาไม่ใช่เหรอ แกเอาไปให้เพื่อนได้ยังไง? ผู้จัดการฝ่ายขายว่ายังไงบ้าง?" คังเหวินซินอึ้งครู่หนึ่ง รู้สึกถึงความผิดปกติในคำพูดของคังหย่งอัน "พ่อ พ่อรู้ได้ยังไงว่าอาเล็กอยากได้วิลล่านั่น?” “อาเล็กของแกเคยบอกพ่อว่า วิลล่าหลังนั้นเป็นของขวัญที่เขาจะเก็บไว้ให้กับปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ในต่างประเทศโอวหยางจื้อ แกคงเคยได้ยินเกี่ยวกับโอวหยางจื้อมาบ้างใช่ไหม? เขาเคยรับหน้าที่เป็นผู้กำกับฉากแอ็คชั่นให้กับภาพย
ในแผนกดูแลพิเศษของโรงพยาบาล คังหย่งเฉียนและคนอื่น ๆ นั่งล้อมรอบเตียง มองดูพี่เกิ่งค่อย ๆ ฟื้นคืนสติ เข่าที่หักของพี่เกิ่งได้รับการผ่าตัดแล้ว แต่หลังการผ่าตัด พี่เกิ่งจะได้แต่นั่งอยู่บนรถเข็นเท่านั้น “ซี๊ด ขากับเข่าฉันเป็นยังไงบ้าง?” พี่เกิ่งถามอย่างร้อนใจ “ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวล ผ่าตัดเสร็จแล้ว เพียงแต่ระดับการรักษาของที่นี่ยังต่ำไปหน่อย หลังจากฟื้นตัวแล้วพี่ต้องนั่งรถเข็น” คังหย่งเฉียนพูดเสียงเบาหวิว “ไอ้บัดซบ! ฉันไม่อยากนั่งรถเข็น! ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้!” พี่เกิ่งคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว รู้สึกเลวร้ายไปทั้งร่างกาย ชีวิตบนรถเข็น ไม่ใช่ชีวิตที่พี่เกิ่งต้องการเลย ถ้าต้องนั่งรถเข็นแล้ว ต่อไปจะฝึกศิลปะการต่อสู้ หรือออกไปรังแกคนอื่นอย่างไร แล้วจะไปจีบสาว ๆ ได้อย่างไร! “ฉันจะย้ายโรงพยาบาล ฉันจะไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลที่ดีที่สุด!” “พี่เกิ่งอย่าเพิ่งตื่นตูม หมอบอกว่า รอพี่ฟื้นตัวดีแล้ว ก็สามารถทำการผ่าตัดครั้งที่สองในโรงพยาบาลที่ดีกว่านี้เพื่อเปลี่ยนข้อต่อเทียมได้” คังหย่งเฉียนปลอบใจพี่เกิ่งไปพลางก็ขยิบตาให้กับพวกพี่น้องคนอื่น ๆ ส่งสัญญาณให้พวกเขารีบมาช่วยกันโน้มน้าว ศิษย์พี่ห
พี่เกิ่งร้องโหยหวนออกมา รู้สึกว่าขาซ้ายพลิกกลับไปด้านหลัง พลันสูญเสียการทรงตัวและล้มหงายไปข้างหลังทันที พลั่ก พี่เกิ่งล้มหงายลงกับพื้น ปากก็ร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา คังหย่งเฉียนถูกกระตุ้นด้วยเสียงร้องของพี่เกิ่งจนตัวสั่นไปทั้งตัว เสียงวิ้ง ๆ ที่ดังอยู่ในหัวยิ่งชัดเจนขึ้นมาทันใด คังหย่งเฉียนกุมใบหน้าที่บวมแดงไปครึ่งหนึ่งมองไปทางศิษย์พี่เกิ่ง ดวงตาของคังหย่งเฉียนก็แทบจะหลุดออกจากเบ้า ศิษย์พี่เกิ่งที่คังหย่งเฉียนเคยคิดว่า แข็งแกร่งไร้เทียมทานนั้น ตอนนี้กำลังร้องคร่ำครวญราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังจะตาย เมื่อมองขาขวาของพี่เกิ่งหักงอในองศาที่ผิดธรรมชาติ คังหย่งเฉียนก็รู้สึกว่า เลือดทั่วร่างกายเย็นเฉียบขึ้นมา นี่เป็นเรื่องที่มนุษย์สามารถทำได้อย่างนั้นเหรอ? นี่เป็นผลลัพธ์ที่สามารถใช้กำปั้นทำได้เหรอ? นี่มันซูเปอร์ไซย่าในตำนานหรืออย่างไรกัน?! พวกศิษย์น้องของพี่เกิ่งหลายคนต่างหวาดกลัวกับความเผด็จการของหลี่โม่ ทั้งกลุ่มพลันหมดความโอหังไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาลากพี่เกิ่งขึ้นมาจากพื้นแล้ววิ่งตะบึงออกไปข้างนอกอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่คำพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในที่นี้คือศิษย์
คังเหวินซินรออยู่สามวินาที แต่ละวินาทีราวกับยาวนานเป็นปี รออยู่นานฝ่ามือของพี่เกิ่งก็ยังไม่ตบลงมาสักที คังเหวินซินจึงลืมตาขึ้น เมื่อเอียงหน้ามองเห็นฝ่ามือของพี่เกิ่งอยู่ห่างจากหน้าตนแค่เฉียดฉิว หัวใจของคังเหวินซินแทบจะกระโดดออกมาจากปาก หลังจากที่เห็นข้อมือของพี่เกิ่งถูกหลี่โม่คว้าไว้ คังเหวินซินถึงได้รู้สึกว่า หัวใจของตัวเองกลับเข้าที่ได้แล้ว คังเหวินซินที่สงบลงแล้ว รีบถอยไปหลบด้านหลังหลี่โม่ แล้วร้องตะโกนด้วยน้ำตาแห่งความซาบซึ้ง "อาจารย์!" “นายอย่าร้องไห้น่าสมเพชนักสิ มันทำฉันขายหน้านะ” หลี่โม่พูดด้วยรอยยิ้ม คังเหวินซินตะลีตะลานเช็ดเบ้าตา ไม่ยอมให้ตัวเองร้องไห้ออกมา พี่เกิ่งจ้องมองหลี่โม่อย่างโมโห แอบพยายามดึงข้อมือของตัวเองกลับมาอย่างลับ ๆ แต่ไม่ว่าพี่เกิ่งจะพยายามออกแรงแค่ไหน มือของหลี่โม่ก็ราวกับคีมปากเสือหนีบข้อมือของพี่เกิ่งเอาไว้แน่น จนข้อมือของพี่เกิ่งไม่มีทางสลัดหลุดได้เลย “ปล่อยมือฉัน!” พี่เกิ่งตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยว “แกบอกให้ปล่อยก็ต้องปล่อยเหรอ? แกน่าจะอธิบายเรื่องที่จะลงไม้ลงมือกับลูกศิษย์ฉันเมื่อกี้นี้มาสักหน่อยไหม?” หลี่โม่พูดอย่างเย็นชา คังเหวินซินส
กู้หยุนหลานมองไปยังหลี่โม่อย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นหลี่โม่ขยิบตาให้ เธอจึงไม่พูดอะไรและเก็บความสงสัยไว้ในใจ ผู้จัดการหวังโบกมือให้พนักงานขายสาว พนักงานสาวที่ถือสัญญาอยู่แล้วเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ผู้จัดการหวัง นี่เป็นสัญญาของวิลล่ายอดเขาค่ะ แต่ราคานี้มัน…” สีหน้าของพนักงานสาวดูบูดเบี้ยวเล็กน้อย ถ้าขายวิลล่านี้ออกไปในราคาต้นทุน เธอคงไม่ได้รับค่าคอมมิชชั่นเลยสักแดง! ที่ผ่านมาเศรษฐีในเมืองฮั่นจำนวนมากต่างก็ถูกใจวิลล่าแห่งนี้ แต่เพราะมีการปิดกั้นการซื้อขาย เลยไม่ได้ขายอย่างเป็นทางการ เดิมทีพวกพนักงานสาวนั้นเตรียมพร้อมที่จะทำกำไรมหาศาลด้วยการขายวิลล่าหลังนี้หลังจากที่เปิดการขายแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ความฝันของพวกเธอกำลังจะมลายหายไปซะแล้ว “พวกเธอมีสิทธิ์พูดงั้นเหรอ? นี่คือการตัดสินใจของคุณชายใหญ่!” ผู้จัดการหวังตำหนิพนักงานขายสาว พนักงานสาวหดคอและปิดปากเงียบไม่กล้าพูดอีก ผู้จัดการหวังเปิดสัญญาตรวจดู หลังจากยืนยันความถูกต้องแล้ว เขาก็ถือสัญญาเดินไปหาหลี่โม่ “อ่านสัญญาดูก่อนนะครับ หากไม่มีปัญหาอะไร เราจะไปเซ็นสัญญาที่สำนักงานของผมกัน ผมไม่สามารถนำตราประทับอะไรพวกนั้นพกติดต
“คุณชาย อย่ามาขู่ผมเลยครับ ผมไม่กลัวหรอกนะ สิ่งที่ผมพูดไปเมื่อครู่ล้วนมีเหตุมีผล หากไม่เชื่อก็ถามซินแสที่มาดูฮวงจุ้ยให้ได้เลยครับ คำพูดพวกนี้เขาเป็นคนพูดเองกับปากทั้งนั้น” ผู้จัดการหวังแข็งขืน ไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย หลี่โม่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม "เหวินซิน อย่าหุนหันพลันแล่น ผู้จัดการหวังพูดถูกแล้ว คนที่โชคชะตาบารมีไม่ถึง ไม่มีทางข่มพลังฮวงจุ้ยอันยอดเยี่ยมได้แน่นอน” คังเหวินซินพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม "อาจารย์พูดถูกแล้วครับ แต่ด้วยบารมีของอาจารย์ จะต้องสามารถข่มมันได้อย่างแน่นอน พวกเรามาดูกันดีกว่า ที่นี่ล้วนได้รับการตกแต่งอย่างดี คุณหิ้วกระเป๋าเข้ามาอยู่ได้เลย เหลือแค่ดูว่าวิลล่าหลังนี้ถูกใจคุณหรือเปล่าก็พอครับ” เมื่อเห็นคังเหวินซินพยายามเอาอกเอาใจหลี่โม่ ผู้จัดการหวังก็เกิดความสงสัยเล็กน้อย หรือว่าตนจะมองผิดไป? ผู้ชายที่สวมเสื้อผ้าแผงลอยทั้งตัวคนนี้ เป็นคุณชายเศรษฐีที่มาลองสัมผัสประสบการณ์ชีวิตงั้นเหรอ? ไม่อย่างนั้นทำไมคุณชายของตนถึงได้ไปประจบเอาใจเขาขนาดนี้กัน? “คุณชาย ท่านนี้คืออาจารย์ของคุณเหรอครับ?” ผู้จัดการหวังถามอย่างสงสัย “นี่คืออาจารย์ของฉันหลี่โม่ นายสุภาพกับอาจารย์ของฉัน
“ไอ้สารเลวคนไหนไม่ดูตาม้าตาเรือ กล้ามาแย่งวิลล่าของอาจารย์ พวกแกยังมัวแต่กินอะไรกันอีก ไปดูด้วยกัน จัดการไอ้พวกสารเลวนั่นซะ” “ศิษย์พี่เกิ่งพูดถูก พวกเราทุกคนต้องไปดูด้วยกัน บ้านของอาจารย์ต้องดีที่สุดเท่านั้น จะผิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว” ศิษย์พี่เกิ่งและคนอื่น ๆ พากันลุกขึ้นทีละคน เมื่อเห็นเช่นนี้คังหย่งเฉียนก็เรียกให้พนักงานคิดเงินทันที แล้วจึงพาพวกของศิษย์พี่เกิ่งมุ่งตรงไปยังสวนหนานชุ่ย ... รถเมอร์เซเดสเบนซ์ขับเข้าไปในสวนหนานชุ่ย และขับตรงไปตามทางขึ้นยอดเขา ใกล้กับยอดเขาของเขาหนานชุ่ยนั้นมีที่ราบอยู่บริเวณหนึ่ง ที่ราบนี้ถูกนำมาใช้สร้างวิลล่า พร้อมทั้งปลูกต้นไม้พืชพรรณเขียวชอุ่มรอบ ๆ วิลล่าอีกด้วย ด้านหน้าวิลล่ายังมีลำธารที่ไหลมาจากยอดเขา ทำให้ฮวงจุ้ยของวิลล่านี้ยอดเยี่ยมมากไร้ที่ติ หน้าน้ำหลังเขา ตำแหน่งปากมังกรจัดวางฮวงจุ้ยอย่างดี ทำให้วิลล่าบนยอดเขาหลังนี้เลิศล้ำไม่มีใครเทียม รถเมอร์เซเดสเบนซ์จอดสนิทหน้าประตูวิลล่ายอดเขา ผู้จัดการหวังและพนักงานขายสาวสองคนยืนรอที่ประตูวิลล่าอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นรถเบนซ์จอดนิ่ง ผู้จัดการหวังก็รีบวิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปช่วยเปิดประตูรถ
ผู้จัดการหวังหยิบบุหรี่ออกมาคาบที่มุมปาก เตรียมจะสูบบุหรี่เพื่อสงบสติอารมณ์ คำขอของคังเหวินซินทำให้ผู้จัดการหวังตั้งตัวไม่ติด การจะดูบ้านมันไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าอีกฝ่ายถูกใจขึ้นมาจริง ๆ จะทำอย่างไรล่ะ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องราคาต้นทุนหรือเปล่า ถ้าคังหย่งเฉียนเข้ามาครอบครองวิลล่าหลังนี้ เขาก็คงไม่ได้เงินเลยสักแดงเดียว พอนึกถึงคังหย่งเฉียนขึ้นมาผู้จัดการหวังรู้สึกปวดจี๊ด ๆ ขึ้นมา เจ้านั่นเป็นปีศาจเจ้าสำราญแห่งตระกูลคัง วัน ๆ เอาแต่เกียจคร้าน กินดื่มเที่ยวเล่น ยิ่งกว่านั้นยังคบค้ากับพวกอันธพาล ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสตระกูลคังก็ยังถูกคังหย่งเฉียนยั่วโมโหจนเส้นเลือดในสมองตีบ แทบทุกคนในตระกูลคังล้วนทำเป็นไม่สนใจคังหย่งเฉียน ตราบใดที่คังหย่งเฉียนไม่ได้ก่อปัญหา ก็ไม่มีใครสนใจว่า คังหย่งเฉียนจะทำอะไร ถ้าหากยกวิลล่าให้เพื่อนของคังเหวินซินจริง ๆ คังหย่งเฉียนคงจะพาคนมาสับเขาเป็นชิ้น ๆ ถึงที่แน่ หลังจากสูบบุหรี่หมดมวน ผู้จัดการหวังก็ขยี้ก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ รู้สึกว่ายังไงก็ควรแจ้งให้คังหย่งเฉียนรู้สักหน่อย ส่วนคังหย่งเฉียนจะต่อสู้กับคังเหวินซินอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องระหว่างพวกเขา