หวงจินซานรับโทรศัพท์และโทรหาหวงติ้งฟาพ่อของเขา“คุณพ่อ รีบมาที่ร้านอาหารถังซ่งด่วนเลยครับ เมื่อกี้ผมโดนคุณลุงหานตบไปสองครั้ง คุณพ่อต้องมาจัดการเรื่องนี้ให้ผม!”เมื่อหวงติ้งฟาได้ยินเสียงร้องของลูกชาย หัวใจของเขาก็เต้นแรงทันที และเขาพูดอย่างประหม่า "เดี๋ยวก่อน หานลี่เฉิงมันเป็นบ้าไปแล้วหรือไง ฉันจะไปคุยกับมัน!"หวงติ้งฟามีลูกเพียงคนเดียว เขามักจะคิดว่าลูกชายคือสมบัติของเขา เขาไม่แม้แต่จะกล้าตีลูกชายตัวเอง แล้วเขาจะทนให้คนอื่นมาทำอย่างนี้กับลูกชายของเขาได้อย่างไรหวงจินซานไม่กล้าบอกความจริง ดังนั้นเขาจึงพูดเพียงว่าเขาถูกทุบตี เขาไม่ได้บอกว่าทำไมเขาถึงถูกทุบตีหวงจินซานวางโทรศัพท์แล้วพูดด้วยใบหน้าบูดบึ้งว่า "พ่อของผมจะมาที่นี่ในไม่ช้า ลุงหานคิดให้ดี ๆ ว่าจะอธิบายเรื่องนี้กับพ่อของผมยังไง"หานลี่เฉิงยิ้มและนั่งลงข้างหลี่โม่ ถือกาน้ำชาและรินชาให้หลี่โม่หลังจากนั้นไม่นานหวงติงฟาก็วิ่งเข้าไปในร้านอาหาร หลังจากมองไปรอบ ๆ เขาก็รีบตรงไปที่ด้านข้างของหวงจินซาน"จิงซาน ทำไมหน้าแกถึงบวมขนาดนี้"“คุณพ่อ เป็นเพราะพวกมัน ลุงหานกับไอ้สารเลวนั่นร่วมมือกันทำให้ผมอับอาย!”หวงจินซานชี้ไปที่หานลี่เ
หานลี่เฉิงมองไปยังหวงติ้งฟาอย่างโกรธเกรี้ยว บรรยากาศเปลี่ยนเป็นสถานการณ์ตึงเครียดขึ้นมา “ฮ่าฮ่า ตอนที่แกตีลูกชายฉัน ก็เหมือนกับตบหน้าฉันหวงติ้งฟา ตอนนี้เป็นเวลาที่ฉันหวงติ้งฟาจะมาคิดบัญชีกับพวกแก! ไม่งั้นพวกแกก็คุกเข่าให้ลูกชายฉันตบหน้า พอลูกชายผมตบจนพอใจแล้ว ฉันก็จะยกโทษให้พวกแก” หวงติ้งฟาเอ่ย เขาไม่เห็นหานลี่เฉิงอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย หานลี่เฉิงโกรธจนแทบหายใจไม่ออก หวงจิงซานหัวเราะขึ้นมา และด่าทอหลี่โม่ “ไอ้ขยะ คงจะเห็นความสุดยอดของตระกูลฉันแล้วสินะ คิดว่านายดีเด่นอะไรจริง ๆ หรือไง พรุ่งนี้ที่นี่ก็ต้องปิดกิจการลง และต้องชดใช้เงินทุกวันแล้ว แกเตรียมตัวขาดทุนย่อยยับได้เลย ฮ่าฮ่าฮ่า” หลี่โม่ยิ้มพลางหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา แล้วโทรหาเฉียนฝู “มีกรรมการสมาคมจัดเลี้ยงคนหนึ่งกำลังเห่าอยู่ตรงหน้าฉัน” “นายน้อยโปรดรอสักครู่ ผมจะให้ประธานสมาคมจัดเลี้ยงไปจัดการเดี๋ยวนี้เลยครับ” “อืม” หลี่โม่เอ่ยคำพูดง่ายคำหนึ่งจบ ก็วางสายโทรศัพท์ในทันที หานลี่เฉิงมองไปยังหลี่โม่ด้วยสายตาเคารพเลื่อมใส คิดในใจว่าสมแล้วที่เป็นคนที่ทำให้ประธานซ่งหวาดหวั่นได้ แค่โทรศัพท์ก็ยังดูมีอำนาจขนาดนี้ แต่โท
“ใครมันกล้าพูดแบบนี้กับฉัน!” ขณะที่หวงติ้งฟากำลังพูดพล่ามอยู่นั้น ก็ได้ยินใครคนหนึ่งพูดขึ้นมาทางด้านหลังว่าตนเองนั้นเก่งกาจมาจากไหน ยังไม่ทันได้หันไปมองเขาก็สบถออกมาเสียก่อนเมื่อหวงติ้งฟาหันหลังกลับเพื่อที่จะก่นด่าคนผู้นั้นให้หนำใจ หวงติ้งฟากลับชะงักและยืนนิ่งอยู่ที่เดิมผู้ชายดูมีฐานะและมีท่าทีที่น่าเกรงขามคนหนึ่ง มายืนอยู่ตรงหน้าหวงติ้งฟา แล้วจ้องเขม็งไปที่หวงติ้งฟาด้วยแววตาหงุดหงิด“แกแน่มาก ฉันเพิ่งเคยเห็นแกกล้าวางก้ามขนาดนี้เป็นครั้งแรก ใช้อำนาจบาตรใหญ่แบบนี้จนติดเป็นนิสัยแล้วใช่ไหม ลืมไปแล้วหรือว่าตัวเองเป็นใครและทำอาชีพอะไร? พวกเราต้องรับใช้ประชาชน! ไม่ใช่เอาแต่เที่ยวเล่นและวางอำนาจบาตรใหญ่ไปทั่ว!”เหงื่อชุ่มเต็มหน้าผากของหวงติ้งฟา เขากลัวจนต้องโค้งตัวอย่างนอบน้อมและยิ้มอย่างประจบสอพลอ “หัวหน้าซุนมาได้ยังไงครับ พวกเขาทำร้ายลูกชายของผม ผมโมโหมากจึงพูดอะไรโดยไม่ทันคิดครับ”เมื่อเห็นการมาถึงของหัวหน้าซุน หวงจิงซานก็รู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว แววตาที่มองหลี่โม่ก็ดูแปลกไปในทันทีหวงจิงซานคิดไม่ออกจริง ๆ ว่า แท้จริงแล้วหลี่โม่เป็นใครกันแน่?ใคร ๆ ก็พูดว่าเขาเป็นคนไร้ค่าที่เกาะผู
พรึ่บ หวงจิ่งซานคุกเข่าลงบนพื้น แล้วก้มตัวลงเอามือยันกับพื้นเหมือนสัตว์สี่เท้า “หลี่..คุณหลี่ ผมผิดไปแล้ว ผมไม่ควรดูหมิ่นคุณ ไม่ควรดูถูกคุณ คุณเก่งที่สุด คุณเยี่ยมยอดมาก กู้หยุนหลานคู่ควรกับคุณมากกว่าผม ผมรู้ว่าตัวเองเทียบกับคุณไม่ได้ คุณปล่อยครอบครัวผมไปเถอะ ปล่อยพวกเราไปเถอะ” หวงติ้งฟารีบพูดตาม “คุณหลี่ เราสองพ่อลูกสำนึกผิดแล้ว คุณบอกมาเลยว่าจะให้พวกเราชดใช้ยังไง ให้พวกเราไปยืนเห่าเหมือนสุนัขที่ด้านนอกก็ได้ ขอแค่คุณให้โอกาสพวกเรา” พวกของฉินเยว่หันมองหน้ากัน เขารู้สึกว่าตนเองนั้นโชคดีมาก ที่ได้ทำงานกับเจ้านายที่เก่งกาจอย่างหลี่โม่ อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง เพียงแค่อานุภาพและผลลัพธ์ในการต่อสายโทรศัพท์เพียงสองครั้งของหลี่โม่ ก็ไม่ใช่เรื่องที่คนธรรมดาทั่วไปจะทำได้ อย่าว่าแต่คนทั่วไปเลย ถึงจะเป็นคนที่มีอำนาจในกรุงโซล ก็ยังไม่อาจทำได้สมบูรณ์แบบเช่นนี้ หัวหน้าซุนโค้งตัวลง แล้วยิ้มอย่างประจบสอพลอ “คุณหลี่จะจัดการยังไงครับ” “คุณกลับไปจัดการตามกฎระเบียบเถอะ คนที่ทำให้องค์กรต้องเสื่อมเสียเช่นนี้ คุณยังจะให้อภัยอยู่อีกหรือ” หลี่โม่ย้อนถาม “ไม่แน่นอนครับ ผมไม่มีทางให้อภัยอย่างเด็
เมื่อได้ยินเสียงของกู้หยุนหลาน หลี่โม่รีบส่งสายตาให้หานลี่เฉิงกับหัวหน้าซุนทันที หานลี่เฉิงกับหัวหน้าซุนเป็นคนมีไหวพริบ จึงเข้าใจทันทีว่าหลี่โม่ไม่อยากให้คนที่มารู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ทั้งสองหันไปพยักหน้าให้หลี่โม่เพื่อบ่งบอกว่าเข้าใจ “คุยเรื่อยเปื่อยกับเพื่อนที่เพิ่งรู้จักกันน่ะ คุณหานกับคุณซุนล้วนทำธุรกิจเกี่ยวกับอาหาร ผมขอคำแนะนำการทำธุรกิจด้านร้านอาหารจากพวกเขา” กู้หยุนหลานมองหานลี่เฉิงกับหัวหน้าซุน การแต่งกายของทั้งสองคนทำให้เธอรู้สึกสงสัย “ก่อนหน้านี้ผมเคยเป็นหัวหน้าพ่อครัวครับ ลูกศิษย์ที่ผมเคยสั่งสอน ตอนนี้ทำอาหารให้งานเลี้ยงระดับประเทศ หากนายเรียนรู้จากฉัน ต้องเป็นพ่อครัวที่ดีได้อย่างแน่นอน” หัวหน้าซุนยิ้มกว้างแล้วพูดออกมา หานลี่เฉิงทำท่าทางหั่นผักแล้วพูดว่า “กลับไปเริ่มฝึกการใช้มีดก่อน ทำตามที่เราบอกนาย ขอแค่นายฝึกฝนอย่างหนัก การเปิดร้านอาหารเองก็คงไม่มีปัญหา” เมื่อเห็นการแสดงอันยอดเยี่ยมของทั้งสอง หลี่โม่จึงยิ้มแล้วยืนขึ้น พร้อมกับพูดว่าว่า “ขอบคุณคำแนะนำของคุณทั้งสอง หากมีเวลาว่างพวกเราค่อยมาคุยกันอีกนะครับ” “ได้สิ พวกเราเองก็ควรต้องกลับแล้ว ไว้คุยกั
รถโรลส์-รอยซ์เคลื่อนตัวเข้ามาจอด ประธานหลี่เดินเข้าไปเปิดประตูรถแล้วยิ้มอย่างประจบสอพลอ “ประธานโอวหยาง ลงจากรถระวังด้วยนะครับ” “ระวังอะไร ฉันไม่ใช่คนแก่อายุเจ็บแปดสิบปีสักหน่อย ประธานกู้ล่ะ? ไม่ใช่ว่ายังไม่มาหรอกนะ” ประธานโอวหยางลงจากรถพลางเอ่ยถาม แววตาของประธานหลี่เป็นประกาย สีหน้าของเขาดูไม่ชอบมาพากล “ประธานกู้มารอคุณตั้งนานแล้วครับ” ประธานโอวหยางลงจากรถ ชายอายุสี่สิบกว่าปีสวมใส่ชุดสูททำมือ เดินเข้าไปหากู้หยุนหลานด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ประธานกู้ ตั้งแต่จากกับคุณเมื่อครั้งก่อน ผมก็คิดถึงคุณมาก” ประธานโอวหยางยื่นมือขวาออกมา นาฬิกาแบรนด์ปาเต็ก ฟิลิปป์รุ่นลิมิเต็ดประดับอยู่บนข้อมือของเขา ส่องแสงแวววาวสะท้อนเข้าใส่ดวงตาของพวกประธานหลี่ทั้งสามคนจนตาพล่ามัว นั่นเป็นนาฬิกาที่มีมูลค่าสูงถึงสิบล้าน ผลิตออกมาแค่หนึ่งร้อยเรือนเท่านั้น เรียกได้ว่าเป็นนาฬิกาที่มีมูลค่าการลงทุนสูงที่สุด ถูกยกย่องให้เป็นราชาของนาฬิกา ปกติแล้วประธานโอวหยางจะไม่สวมนาฬิกาเรือนนี้ แต่ว่าเขาอยากแสดงความร่ำรวยของตัวเองให้กู้หยุนหลานเห็น จึงสวมนาฬิกาเรือนนี้มา แต่ทว่ากู้หยุนหลานกลับไม่ได้สังเกตเห
ที่นั่งของประธานโอวหยางและประธานจ้าวบังเอิญขวางทางกู้หยุนหลานพอดี ตราบใดที่ทั้งสองคนไม่ขยับ กู้หยุนหลานก็ไม่สามารถออกไปได้ เมื่อเห็นว่ากู้หยุนหลานไม่ให้ความร่วมมือ และกำลังจะเดินจากไป ประธานโอวหยางจึงตบโต๊ะด้วยความโกรธ “กู้หยุนหลาน! ผมอุตส่าห์ไว้หน้าคุณแล้วนะ ราคาที่ผมให้คุณก็ถือว่าไม่ต่ำแล้ว ไม่ว่าคุณจะตกลงหรือไม่ก็ตาม วันนี้ผมต้องนอนกับคุณให้ได้!” ประธานเฉียนยิ้มและพูดว่า “คุณกู้ คุณอย่าปฏิเสธเจตนาดีของประธานโอวหยางเลย ประธานโอวหยางเอาใจใส่คุณมาก สามีที่ไร้ประโยชน์ของคุณมีดีอะไร ถ้าคุณติดตามประธานโอวหยางอนาคตของคุณก็จะสบาย ต่อให้คุณอยากไปเที่ยวเล่นงานแฟชั่นวีคที่ต่างประเทศก็เป็นเรื่องง่ายเหมือนกับการพลิกฝ่ามือ” “คุณลองคิดดูสิว่าในอนาคต จะกินดื่มก็มีคนคอยรับใช้ อยากไปเที่ยวที่ไหนก็ได้ไป อาหารเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายก็ดีที่สุดในโลก นั่นคือชีวิตที่ผู้หญิงหลายคนใฝ่ฝัน แม้แต่ดาราก็ยังอยากใช้ชีวิตแบบนั้น” “และยังต้องเป็นดาราแถวหน้าถึงจะมีชีวิตแบบนั้นได้ ไม่นานมานี้มีดาราที่โด่งดังคนหนึ่ง ต้องร้องไห้ร้องขอให้ประธานโอวหยางเป็นพ่อบุญธรรม แต่ประธานโอวหยางคิดถึงแต่คุณตลอดเวลา ไม่ได้สนใจ
“บ้าเอ๊ย! ให้ฉันเตรียมโลงศพ กล้าหาญเสียจริง ๆ ! ฉันประธานโอวหยางไม่เคยกลัวใคร คนที่รอถูกฝังก็คือแก!” หลี่โม่ออกจากห้องวีไอพีโดยมีกู้หยุนหลานอยู่ในอ้อมแขน ไม่สนใจเสียงตะโกนของโอวหยางจงเฉิง ประธานเฉียนลุกขึ้นจากพื้นอย่างโอดโอย เสื้อผ้าแบรนด์ดังเปียกชุ่มไปด้วยคราบน้ำมัน “เจ้าหมอนี่แรงเยอะจริง ๆ หน้าของฉันซีกนี้เจ็บแทบทนไม่ไหว” โอวหยางจงเฉิงสีหน้าเคร่งขรึม และพูดอย่างเย็นชาว่า “ปิดประตู เจ้าคนไร้ค่านี่ต้องถูกจัดการแล้ว หน้าตาของโอวหยางจงเฉิง ไม่ใช่สิ่งที่คนไร้ค่าอย่างมันจะมาเหยียบย่ำได้ง่าย ๆ ” คนระดับโอวหยางจงเฉิง สิ่งที่สนใจมากที่สุดก็คือหน้าตา วันนี้ทั้งหลี่โม่และกู้หยุนหลาน ต่างก็เหยียบย่ำหน้าตาของโอวหยางจงเฉิงไปเรียบร้อยแล้ว นี่คือสิ่งที่โอวหยางจงเฉิงไม่อาจทนได้ “ประธานโอวหยาง หรือจะเริ่มจัดการกับตระกูลกู้ก่อน ลงบัญชีดำตระกูลกู้เอาไว้ ต่อไปกู้หยุนหลานก็จะต้องอ้อนวอนคุณ ไม่แน่อาจจะทำให้เจ้าคนไร้ค่านั่นต้องรับใช้คุณก็ได้” “ใช่แล้ว สินค้าของตระกูลกู้นั้นมีคุณภาพ เราลงบัญชีดำตระกูลกู้ ทำให้พวกเขาต้องตายทั้งเป็น จากนั้นคุณก็ยื่นมือเข้ามาช่วยพวกเขาให้พ้นจากภัย ยังไงคนของตระกูล