พรึ่บ หวงจิ่งซานคุกเข่าลงบนพื้น แล้วก้มตัวลงเอามือยันกับพื้นเหมือนสัตว์สี่เท้า “หลี่..คุณหลี่ ผมผิดไปแล้ว ผมไม่ควรดูหมิ่นคุณ ไม่ควรดูถูกคุณ คุณเก่งที่สุด คุณเยี่ยมยอดมาก กู้หยุนหลานคู่ควรกับคุณมากกว่าผม ผมรู้ว่าตัวเองเทียบกับคุณไม่ได้ คุณปล่อยครอบครัวผมไปเถอะ ปล่อยพวกเราไปเถอะ” หวงติ้งฟารีบพูดตาม “คุณหลี่ เราสองพ่อลูกสำนึกผิดแล้ว คุณบอกมาเลยว่าจะให้พวกเราชดใช้ยังไง ให้พวกเราไปยืนเห่าเหมือนสุนัขที่ด้านนอกก็ได้ ขอแค่คุณให้โอกาสพวกเรา” พวกของฉินเยว่หันมองหน้ากัน เขารู้สึกว่าตนเองนั้นโชคดีมาก ที่ได้ทำงานกับเจ้านายที่เก่งกาจอย่างหลี่โม่ อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง เพียงแค่อานุภาพและผลลัพธ์ในการต่อสายโทรศัพท์เพียงสองครั้งของหลี่โม่ ก็ไม่ใช่เรื่องที่คนธรรมดาทั่วไปจะทำได้ อย่าว่าแต่คนทั่วไปเลย ถึงจะเป็นคนที่มีอำนาจในกรุงโซล ก็ยังไม่อาจทำได้สมบูรณ์แบบเช่นนี้ หัวหน้าซุนโค้งตัวลง แล้วยิ้มอย่างประจบสอพลอ “คุณหลี่จะจัดการยังไงครับ” “คุณกลับไปจัดการตามกฎระเบียบเถอะ คนที่ทำให้องค์กรต้องเสื่อมเสียเช่นนี้ คุณยังจะให้อภัยอยู่อีกหรือ” หลี่โม่ย้อนถาม “ไม่แน่นอนครับ ผมไม่มีทางให้อภัยอย่างเด็
เมื่อได้ยินเสียงของกู้หยุนหลาน หลี่โม่รีบส่งสายตาให้หานลี่เฉิงกับหัวหน้าซุนทันที หานลี่เฉิงกับหัวหน้าซุนเป็นคนมีไหวพริบ จึงเข้าใจทันทีว่าหลี่โม่ไม่อยากให้คนที่มารู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ทั้งสองหันไปพยักหน้าให้หลี่โม่เพื่อบ่งบอกว่าเข้าใจ “คุยเรื่อยเปื่อยกับเพื่อนที่เพิ่งรู้จักกันน่ะ คุณหานกับคุณซุนล้วนทำธุรกิจเกี่ยวกับอาหาร ผมขอคำแนะนำการทำธุรกิจด้านร้านอาหารจากพวกเขา” กู้หยุนหลานมองหานลี่เฉิงกับหัวหน้าซุน การแต่งกายของทั้งสองคนทำให้เธอรู้สึกสงสัย “ก่อนหน้านี้ผมเคยเป็นหัวหน้าพ่อครัวครับ ลูกศิษย์ที่ผมเคยสั่งสอน ตอนนี้ทำอาหารให้งานเลี้ยงระดับประเทศ หากนายเรียนรู้จากฉัน ต้องเป็นพ่อครัวที่ดีได้อย่างแน่นอน” หัวหน้าซุนยิ้มกว้างแล้วพูดออกมา หานลี่เฉิงทำท่าทางหั่นผักแล้วพูดว่า “กลับไปเริ่มฝึกการใช้มีดก่อน ทำตามที่เราบอกนาย ขอแค่นายฝึกฝนอย่างหนัก การเปิดร้านอาหารเองก็คงไม่มีปัญหา” เมื่อเห็นการแสดงอันยอดเยี่ยมของทั้งสอง หลี่โม่จึงยิ้มแล้วยืนขึ้น พร้อมกับพูดว่าว่า “ขอบคุณคำแนะนำของคุณทั้งสอง หากมีเวลาว่างพวกเราค่อยมาคุยกันอีกนะครับ” “ได้สิ พวกเราเองก็ควรต้องกลับแล้ว ไว้คุยกั
รถโรลส์-รอยซ์เคลื่อนตัวเข้ามาจอด ประธานหลี่เดินเข้าไปเปิดประตูรถแล้วยิ้มอย่างประจบสอพลอ “ประธานโอวหยาง ลงจากรถระวังด้วยนะครับ” “ระวังอะไร ฉันไม่ใช่คนแก่อายุเจ็บแปดสิบปีสักหน่อย ประธานกู้ล่ะ? ไม่ใช่ว่ายังไม่มาหรอกนะ” ประธานโอวหยางลงจากรถพลางเอ่ยถาม แววตาของประธานหลี่เป็นประกาย สีหน้าของเขาดูไม่ชอบมาพากล “ประธานกู้มารอคุณตั้งนานแล้วครับ” ประธานโอวหยางลงจากรถ ชายอายุสี่สิบกว่าปีสวมใส่ชุดสูททำมือ เดินเข้าไปหากู้หยุนหลานด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ประธานกู้ ตั้งแต่จากกับคุณเมื่อครั้งก่อน ผมก็คิดถึงคุณมาก” ประธานโอวหยางยื่นมือขวาออกมา นาฬิกาแบรนด์ปาเต็ก ฟิลิปป์รุ่นลิมิเต็ดประดับอยู่บนข้อมือของเขา ส่องแสงแวววาวสะท้อนเข้าใส่ดวงตาของพวกประธานหลี่ทั้งสามคนจนตาพล่ามัว นั่นเป็นนาฬิกาที่มีมูลค่าสูงถึงสิบล้าน ผลิตออกมาแค่หนึ่งร้อยเรือนเท่านั้น เรียกได้ว่าเป็นนาฬิกาที่มีมูลค่าการลงทุนสูงที่สุด ถูกยกย่องให้เป็นราชาของนาฬิกา ปกติแล้วประธานโอวหยางจะไม่สวมนาฬิกาเรือนนี้ แต่ว่าเขาอยากแสดงความร่ำรวยของตัวเองให้กู้หยุนหลานเห็น จึงสวมนาฬิกาเรือนนี้มา แต่ทว่ากู้หยุนหลานกลับไม่ได้สังเกตเห
ที่นั่งของประธานโอวหยางและประธานจ้าวบังเอิญขวางทางกู้หยุนหลานพอดี ตราบใดที่ทั้งสองคนไม่ขยับ กู้หยุนหลานก็ไม่สามารถออกไปได้ เมื่อเห็นว่ากู้หยุนหลานไม่ให้ความร่วมมือ และกำลังจะเดินจากไป ประธานโอวหยางจึงตบโต๊ะด้วยความโกรธ “กู้หยุนหลาน! ผมอุตส่าห์ไว้หน้าคุณแล้วนะ ราคาที่ผมให้คุณก็ถือว่าไม่ต่ำแล้ว ไม่ว่าคุณจะตกลงหรือไม่ก็ตาม วันนี้ผมต้องนอนกับคุณให้ได้!” ประธานเฉียนยิ้มและพูดว่า “คุณกู้ คุณอย่าปฏิเสธเจตนาดีของประธานโอวหยางเลย ประธานโอวหยางเอาใจใส่คุณมาก สามีที่ไร้ประโยชน์ของคุณมีดีอะไร ถ้าคุณติดตามประธานโอวหยางอนาคตของคุณก็จะสบาย ต่อให้คุณอยากไปเที่ยวเล่นงานแฟชั่นวีคที่ต่างประเทศก็เป็นเรื่องง่ายเหมือนกับการพลิกฝ่ามือ” “คุณลองคิดดูสิว่าในอนาคต จะกินดื่มก็มีคนคอยรับใช้ อยากไปเที่ยวที่ไหนก็ได้ไป อาหารเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายก็ดีที่สุดในโลก นั่นคือชีวิตที่ผู้หญิงหลายคนใฝ่ฝัน แม้แต่ดาราก็ยังอยากใช้ชีวิตแบบนั้น” “และยังต้องเป็นดาราแถวหน้าถึงจะมีชีวิตแบบนั้นได้ ไม่นานมานี้มีดาราที่โด่งดังคนหนึ่ง ต้องร้องไห้ร้องขอให้ประธานโอวหยางเป็นพ่อบุญธรรม แต่ประธานโอวหยางคิดถึงแต่คุณตลอดเวลา ไม่ได้สนใจ
“บ้าเอ๊ย! ให้ฉันเตรียมโลงศพ กล้าหาญเสียจริง ๆ ! ฉันประธานโอวหยางไม่เคยกลัวใคร คนที่รอถูกฝังก็คือแก!” หลี่โม่ออกจากห้องวีไอพีโดยมีกู้หยุนหลานอยู่ในอ้อมแขน ไม่สนใจเสียงตะโกนของโอวหยางจงเฉิง ประธานเฉียนลุกขึ้นจากพื้นอย่างโอดโอย เสื้อผ้าแบรนด์ดังเปียกชุ่มไปด้วยคราบน้ำมัน “เจ้าหมอนี่แรงเยอะจริง ๆ หน้าของฉันซีกนี้เจ็บแทบทนไม่ไหว” โอวหยางจงเฉิงสีหน้าเคร่งขรึม และพูดอย่างเย็นชาว่า “ปิดประตู เจ้าคนไร้ค่านี่ต้องถูกจัดการแล้ว หน้าตาของโอวหยางจงเฉิง ไม่ใช่สิ่งที่คนไร้ค่าอย่างมันจะมาเหยียบย่ำได้ง่าย ๆ ” คนระดับโอวหยางจงเฉิง สิ่งที่สนใจมากที่สุดก็คือหน้าตา วันนี้ทั้งหลี่โม่และกู้หยุนหลาน ต่างก็เหยียบย่ำหน้าตาของโอวหยางจงเฉิงไปเรียบร้อยแล้ว นี่คือสิ่งที่โอวหยางจงเฉิงไม่อาจทนได้ “ประธานโอวหยาง หรือจะเริ่มจัดการกับตระกูลกู้ก่อน ลงบัญชีดำตระกูลกู้เอาไว้ ต่อไปกู้หยุนหลานก็จะต้องอ้อนวอนคุณ ไม่แน่อาจจะทำให้เจ้าคนไร้ค่านั่นต้องรับใช้คุณก็ได้” “ใช่แล้ว สินค้าของตระกูลกู้นั้นมีคุณภาพ เราลงบัญชีดำตระกูลกู้ ทำให้พวกเขาต้องตายทั้งเป็น จากนั้นคุณก็ยื่นมือเข้ามาช่วยพวกเขาให้พ้นจากภัย ยังไงคนของตระกูล
กู้หยุนหลานนั่งหน้าบึ้งอยู่ในห้อง พลางคิดถึงเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดในห้องวีไอพี ปฏิเสธโอวหยางจงเฉิง กู้หยุนหลานไม่เสียใจ อย่างไรก็ตามเมื่อนึกถึงการตอบโต้ที่โอวหยางจงเฉิงอาจจะทำ กู้หยุนหลานก็รู้สึกกลัวเล็กน้อย บริษัทการแพทย์ของโอวหยางจงเฉิงมีอิทธิพลมาก หากต้องการจัดการตระกูลกู้จริง ๆ ตระกูลกู้อาจถูกทำลายจนหมดสิ้นได้ภายในไม่กี่นาที ยิ่งไม่ต้องพูดถึงประธานเฉียนและคนอื่น ๆ ต่างก็เป็นสุนัขรับใช้ของโอวหยางจงเฉิง พวกหัวงูพวกนี้ต่างคอยช่วยเหลือมังกรอย่างโอวหยางจงเฉิง นี่ก็เพียงพอที่จะบดขยี้ตระกูลกู้จนไม่เหลือซากได้แล้ว หลี่โม่เข้ามาในห้อง เดินไปด้านหลังกู้หยุนหลาน วางมือบนไหล่ของกู้หยุนหลานเบา ๆ และโอบกอดกู้หยุนหลานไว้ในอ้อมแขน ความรู้สึกของการมีที่พึ่งทำให้กู้หยุนหลานรู้สึกอบอุ่นใจอย่างมาก แต่ความอบอุ่นนี้กลับสลายไปอย่างรวดเร็วเพราะความโกรธที่ปะทุอยู่ในใจของเธอ “กังวลอะไร” หลี่โม่ถามเบา ๆ และยื่นนิ้วไปลูบคิ้วที่ขมวดอยู่ของกู้หยุนหลาน กู้หยุนหลานหลับตาและพูดเบา ๆ ว่า “แน่นอนว่ากังวลเรื่องธุรกิจ โอวหยางจงเฉิงมีอิทธิพลอย่างมากต่อวงการแพทย์และยาในเมือง เพียงแค่เขาเอ่ยปากออกมา ผลิตภ
กู้หยุนหลานใจเต้นแรง เดินไปยังที่นั่งของตัวเองและนั่งลง และหันมองทุกคนด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยคำถาม กู้ซิ่งเหว่ยแสยะยิ้ม และโยนเอกสารสองสามฉบับลงตรงหน้ากู้หยุนหลาน “เรื่องดีดีที่เธอทำทั้งนั้น! ตกลงแล้วเธอเจรจาธุรกิจเป็นไหม เจรจาไม่เป็นก็ควรบอกแต่แรก ดูผลลัพธ์จากการที่เธอไปมีเรื่องกับประธานโอวหยาง รายการที่ฉันเพิ่งเจรจาได้มาไม่ง่ายก็ต้องหลุดลอยไป ทั้งหมดถูกเพิกถอนสัญญาไปหมดแล้ว!” กู้ชิงหลินมองไปที่กู้หยุนหลานอย่างสาแก่ใจ ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกมีความสุขอยู่บนความทุกข์ของผู้อื่น “หยุนหลาน เธอบอกมาซิว่าทำไมเธอถึงคว้าโอกาสนี้ไว้ไม่ได้ ประธานโอวหยางเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการแพทย์และยาของมณฑลนี้ อยู่ดีดีทำไมเธอถึงไปมีเรื่องกับประธานโอวหยาง และพลอยทำให้ทุกคนต้องติดร่างแหไปด้วย เธอดูนี่สิ ลูกค้าเก่าของครอบครัวเราก็ถอนคำสั่งซื้อไปหมด” มีเอกสารอีกหลายฉบับถูกโยนลงบนโต๊ะอีกครั้ง กู้ชิงหลินมองกู้หยุนหลานที่กำลังเหม่อลอยด้วยสายตาเย้ยหยัน กู้เจี้ยนเจียงเบ้ปาก เคาะนิ้วลงบนโต๊ะ กระแอมสองครั้งและพูดว่า “ไม่ใช่แค่สัญญาเหล่านี้เท่านั้น เรื่องที่เรากำลังระดมทุนเพื่อขยายการผลิต ฉันและฝ่ายสินเชื่อได้เจร
“คิดหาวิธี? เธอจะคิดหาวิธีอะไรได้! ตอนนี้เวลาก็คือเงิน เวลาก็คือชีวิต! รอเธอคิดหาวิธีได้ เกรงว่าบริษัทของเราจะล้มละลายไปพันครั้งแล้วล่ะมั้ง!” กู้เจี้ยนกั๋วตบโต๊ะและตะโกน กู้หยุนหลานก้มหัวลง ในเวลานี้ไม่มีวิธีใดที่ดีเลย ไม่แน่ว่า… ไม่แน่ว่าล้มละลายไปแล้วพันครั้ง กู้หยุนหลานก็ยังคิดหาวิธีไม่ได้ นี่มันเป็นสถานการณ์ที่กดดันอย่างมาก ตระกูลกู้ถูกโอวหยางจงเฉิงเหยียบจนจมดิน ไม่มีแม้แต่แรงจะต้านทาน สิ่งที่ทำได้คือรอความตาย “ยังจะคิดหาวิธีอะไรได้อีก วิธีที่ดีที่สุดตอนนี้คือ ขอให้ประธานโอวหยางยกโทษให้ ปกติเธอดูเป็นคนฉลาดและมีความสามารถ แล้วทำไมตอนนี้ถึงสับสนได้ล่ะ ใครเป็นคนผูกคนนั้นก็ต้องเป็นคนแก้สิ” กู้ซิ่งเหว่ยพูดประชดประชันเล็กน้อย ตอนที่พูดว่า ‘มีความสามารถ’ เขาจงใจเน้นย้ำคำนั้น กู้เจี้ยนเจียงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หยุนหลาน เธอโทรหาประธานโอวหยาง สำนึกผิดและขอความเมตตาจากประธานโอวหยางซะ แล้วถามว่าเรื่องนี้จะพลิกสถานการณ์ได้ยังไงด้วย” “นี่…” กู้หยุนหลานลังเล หากโทรหาประธานโอวหยางควรพูดว่าอะไร หากประธานโอวหยางร้องขอสิ่งที่ไม่สมเหตุสมผลเหล่านั้น จะปฏิเสธอย่างไรดี? “เธอไม่กล้าโทร
คังหย่งอันกดหมายเลขของคังหย่งเฉียน แล้วพูดเสียงเข้ม "หย่งเฉียน ฉันได้ยินมาว่า แกกับเหวินซินมีปัญหากันเรื่องวิลล่าบนยอดเขาเหรอ?" “พี่ใหญ่ มีปัญหากันน่ะสิ ศิษย์พี่เกิ่งยังถูกทำร้ายจนเข่าหักแล้ว! ศิษย์พี่เกิ่งติดต่อกับอาจารย์โอวหยางไปแล้ว เรื่องนี้อภัยให้ไม่ได้แน่นอน!” คังหย่งเฉียนโกรธแค้นคังเหวินซิน ถ้าไม่ใช่เพราะคังเหวินซินพาหลี่โม่ไปที่นั่น เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น แต่ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว คังหย่งเฉียนเองก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ทำได้เพียงเอาความโมโหไปลงที่คังเหวินซินเท่านั้น “หย่งเฉียน ไม่ว่ายังไงก็ตาม แกต้องรับรองความปลอดภัยของเหวินซิน ฉันไม่สนว่า อาจารย์โอวหยางพวกเขาจะทำอะไรกับเพื่อนของเหวินซิน แต่พวกเขาจะทำร้ายเหวินซินไม่ได้เด็ดขาด!” “พี่ใหญ่ ฉันไม่กล้ารับประกันหรอก รับประกันได้แค่ลูกชายของพี่จะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงตายเท่านั้น ถ้าอาจารย์โอวหยางต้องการลงโทษลูกชายของพี่จริง ๆ ฉันจะไปขวางได้ยังไง ฉันขวางไม่ได้หรอก ไม่กล้าขวางด้วย!" คังหย่งอันขมวดคิ้วแน่น หากคังหย่งเฉียนอยู่ต่อหน้าคังหย่งอันในตอนนี้ คังหย่งอันจะต้องตบเขาให้ตายคามือแน่นอน “หย่งเฉียน! แกเป็นอาข
“ไอ้บัดซบเอ๊ย! ใครกล้ามาต่อกรกับฉันโอวหยางจื้อ มันผู้นั้นจะต้องตาย!” โอวหยางจื้อพึมพำอย่างด้วยความอาฆาตแค้น แล้วสั่งให้ลูกศิษย์ไปจองตั๋วเครื่องบิน ...... คังเหวินซินมาส่งหลี่โม่และคนอื่น ๆ ที่บ้าน หลังจากมองดูทั้งสามเดินเข้าไปข้างในแล้ว จึงสตาร์ทรถและขับออกไปอย่างช้า ๆ “อาเล็กถูกจัดการจนหมดท่าแล้ว ต้องบอกพ่อสักคำไหมนะ อาเล็กจะได้ไปตีไข่ใส่สีอีก” หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง คังเหวินซินก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดหมายเลขพ่อของเขาคังหย่งอัน “ฮัลโหล พ่อครับ ผมเพิ่งจะขายวิลล่าบนยอดเขาที่สวนหนานชุ่ยให้เพื่อผมไป ขายราคาต้นทุนน่ะครับ” คังหย่งอันขมวดคิ้ว "นั่นเป็นวิลล่าที่อาเล็กของแกจะเอาไม่ใช่เหรอ แกเอาไปให้เพื่อนได้ยังไง? ผู้จัดการฝ่ายขายว่ายังไงบ้าง?" คังเหวินซินอึ้งครู่หนึ่ง รู้สึกถึงความผิดปกติในคำพูดของคังหย่งอัน "พ่อ พ่อรู้ได้ยังไงว่าอาเล็กอยากได้วิลล่านั่น?” “อาเล็กของแกเคยบอกพ่อว่า วิลล่าหลังนั้นเป็นของขวัญที่เขาจะเก็บไว้ให้กับปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ในต่างประเทศโอวหยางจื้อ แกคงเคยได้ยินเกี่ยวกับโอวหยางจื้อมาบ้างใช่ไหม? เขาเคยรับหน้าที่เป็นผู้กำกับฉากแอ็คชั่นให้กับภาพย
ในแผนกดูแลพิเศษของโรงพยาบาล คังหย่งเฉียนและคนอื่น ๆ นั่งล้อมรอบเตียง มองดูพี่เกิ่งค่อย ๆ ฟื้นคืนสติ เข่าที่หักของพี่เกิ่งได้รับการผ่าตัดแล้ว แต่หลังการผ่าตัด พี่เกิ่งจะได้แต่นั่งอยู่บนรถเข็นเท่านั้น “ซี๊ด ขากับเข่าฉันเป็นยังไงบ้าง?” พี่เกิ่งถามอย่างร้อนใจ “ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวล ผ่าตัดเสร็จแล้ว เพียงแต่ระดับการรักษาของที่นี่ยังต่ำไปหน่อย หลังจากฟื้นตัวแล้วพี่ต้องนั่งรถเข็น” คังหย่งเฉียนพูดเสียงเบาหวิว “ไอ้บัดซบ! ฉันไม่อยากนั่งรถเข็น! ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้!” พี่เกิ่งคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว รู้สึกเลวร้ายไปทั้งร่างกาย ชีวิตบนรถเข็น ไม่ใช่ชีวิตที่พี่เกิ่งต้องการเลย ถ้าต้องนั่งรถเข็นแล้ว ต่อไปจะฝึกศิลปะการต่อสู้ หรือออกไปรังแกคนอื่นอย่างไร แล้วจะไปจีบสาว ๆ ได้อย่างไร! “ฉันจะย้ายโรงพยาบาล ฉันจะไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลที่ดีที่สุด!” “พี่เกิ่งอย่าเพิ่งตื่นตูม หมอบอกว่า รอพี่ฟื้นตัวดีแล้ว ก็สามารถทำการผ่าตัดครั้งที่สองในโรงพยาบาลที่ดีกว่านี้เพื่อเปลี่ยนข้อต่อเทียมได้” คังหย่งเฉียนปลอบใจพี่เกิ่งไปพลางก็ขยิบตาให้กับพวกพี่น้องคนอื่น ๆ ส่งสัญญาณให้พวกเขารีบมาช่วยกันโน้มน้าว ศิษย์พี่ห
พี่เกิ่งร้องโหยหวนออกมา รู้สึกว่าขาซ้ายพลิกกลับไปด้านหลัง พลันสูญเสียการทรงตัวและล้มหงายไปข้างหลังทันที พลั่ก พี่เกิ่งล้มหงายลงกับพื้น ปากก็ร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา คังหย่งเฉียนถูกกระตุ้นด้วยเสียงร้องของพี่เกิ่งจนตัวสั่นไปทั้งตัว เสียงวิ้ง ๆ ที่ดังอยู่ในหัวยิ่งชัดเจนขึ้นมาทันใด คังหย่งเฉียนกุมใบหน้าที่บวมแดงไปครึ่งหนึ่งมองไปทางศิษย์พี่เกิ่ง ดวงตาของคังหย่งเฉียนก็แทบจะหลุดออกจากเบ้า ศิษย์พี่เกิ่งที่คังหย่งเฉียนเคยคิดว่า แข็งแกร่งไร้เทียมทานนั้น ตอนนี้กำลังร้องคร่ำครวญราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังจะตาย เมื่อมองขาขวาของพี่เกิ่งหักงอในองศาที่ผิดธรรมชาติ คังหย่งเฉียนก็รู้สึกว่า เลือดทั่วร่างกายเย็นเฉียบขึ้นมา นี่เป็นเรื่องที่มนุษย์สามารถทำได้อย่างนั้นเหรอ? นี่เป็นผลลัพธ์ที่สามารถใช้กำปั้นทำได้เหรอ? นี่มันซูเปอร์ไซย่าในตำนานหรืออย่างไรกัน?! พวกศิษย์น้องของพี่เกิ่งหลายคนต่างหวาดกลัวกับความเผด็จการของหลี่โม่ ทั้งกลุ่มพลันหมดความโอหังไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาลากพี่เกิ่งขึ้นมาจากพื้นแล้ววิ่งตะบึงออกไปข้างนอกอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่คำพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในที่นี้คือศิษย์
คังเหวินซินรออยู่สามวินาที แต่ละวินาทีราวกับยาวนานเป็นปี รออยู่นานฝ่ามือของพี่เกิ่งก็ยังไม่ตบลงมาสักที คังเหวินซินจึงลืมตาขึ้น เมื่อเอียงหน้ามองเห็นฝ่ามือของพี่เกิ่งอยู่ห่างจากหน้าตนแค่เฉียดฉิว หัวใจของคังเหวินซินแทบจะกระโดดออกมาจากปาก หลังจากที่เห็นข้อมือของพี่เกิ่งถูกหลี่โม่คว้าไว้ คังเหวินซินถึงได้รู้สึกว่า หัวใจของตัวเองกลับเข้าที่ได้แล้ว คังเหวินซินที่สงบลงแล้ว รีบถอยไปหลบด้านหลังหลี่โม่ แล้วร้องตะโกนด้วยน้ำตาแห่งความซาบซึ้ง "อาจารย์!" “นายอย่าร้องไห้น่าสมเพชนักสิ มันทำฉันขายหน้านะ” หลี่โม่พูดด้วยรอยยิ้ม คังเหวินซินตะลีตะลานเช็ดเบ้าตา ไม่ยอมให้ตัวเองร้องไห้ออกมา พี่เกิ่งจ้องมองหลี่โม่อย่างโมโห แอบพยายามดึงข้อมือของตัวเองกลับมาอย่างลับ ๆ แต่ไม่ว่าพี่เกิ่งจะพยายามออกแรงแค่ไหน มือของหลี่โม่ก็ราวกับคีมปากเสือหนีบข้อมือของพี่เกิ่งเอาไว้แน่น จนข้อมือของพี่เกิ่งไม่มีทางสลัดหลุดได้เลย “ปล่อยมือฉัน!” พี่เกิ่งตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยว “แกบอกให้ปล่อยก็ต้องปล่อยเหรอ? แกน่าจะอธิบายเรื่องที่จะลงไม้ลงมือกับลูกศิษย์ฉันเมื่อกี้นี้มาสักหน่อยไหม?” หลี่โม่พูดอย่างเย็นชา คังเหวินซินส
กู้หยุนหลานมองไปยังหลี่โม่อย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นหลี่โม่ขยิบตาให้ เธอจึงไม่พูดอะไรและเก็บความสงสัยไว้ในใจ ผู้จัดการหวังโบกมือให้พนักงานขายสาว พนักงานสาวที่ถือสัญญาอยู่แล้วเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ผู้จัดการหวัง นี่เป็นสัญญาของวิลล่ายอดเขาค่ะ แต่ราคานี้มัน…” สีหน้าของพนักงานสาวดูบูดเบี้ยวเล็กน้อย ถ้าขายวิลล่านี้ออกไปในราคาต้นทุน เธอคงไม่ได้รับค่าคอมมิชชั่นเลยสักแดง! ที่ผ่านมาเศรษฐีในเมืองฮั่นจำนวนมากต่างก็ถูกใจวิลล่าแห่งนี้ แต่เพราะมีการปิดกั้นการซื้อขาย เลยไม่ได้ขายอย่างเป็นทางการ เดิมทีพวกพนักงานสาวนั้นเตรียมพร้อมที่จะทำกำไรมหาศาลด้วยการขายวิลล่าหลังนี้หลังจากที่เปิดการขายแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ความฝันของพวกเธอกำลังจะมลายหายไปซะแล้ว “พวกเธอมีสิทธิ์พูดงั้นเหรอ? นี่คือการตัดสินใจของคุณชายใหญ่!” ผู้จัดการหวังตำหนิพนักงานขายสาว พนักงานสาวหดคอและปิดปากเงียบไม่กล้าพูดอีก ผู้จัดการหวังเปิดสัญญาตรวจดู หลังจากยืนยันความถูกต้องแล้ว เขาก็ถือสัญญาเดินไปหาหลี่โม่ “อ่านสัญญาดูก่อนนะครับ หากไม่มีปัญหาอะไร เราจะไปเซ็นสัญญาที่สำนักงานของผมกัน ผมไม่สามารถนำตราประทับอะไรพวกนั้นพกติดต
“คุณชาย อย่ามาขู่ผมเลยครับ ผมไม่กลัวหรอกนะ สิ่งที่ผมพูดไปเมื่อครู่ล้วนมีเหตุมีผล หากไม่เชื่อก็ถามซินแสที่มาดูฮวงจุ้ยให้ได้เลยครับ คำพูดพวกนี้เขาเป็นคนพูดเองกับปากทั้งนั้น” ผู้จัดการหวังแข็งขืน ไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย หลี่โม่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม "เหวินซิน อย่าหุนหันพลันแล่น ผู้จัดการหวังพูดถูกแล้ว คนที่โชคชะตาบารมีไม่ถึง ไม่มีทางข่มพลังฮวงจุ้ยอันยอดเยี่ยมได้แน่นอน” คังเหวินซินพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม "อาจารย์พูดถูกแล้วครับ แต่ด้วยบารมีของอาจารย์ จะต้องสามารถข่มมันได้อย่างแน่นอน พวกเรามาดูกันดีกว่า ที่นี่ล้วนได้รับการตกแต่งอย่างดี คุณหิ้วกระเป๋าเข้ามาอยู่ได้เลย เหลือแค่ดูว่าวิลล่าหลังนี้ถูกใจคุณหรือเปล่าก็พอครับ” เมื่อเห็นคังเหวินซินพยายามเอาอกเอาใจหลี่โม่ ผู้จัดการหวังก็เกิดความสงสัยเล็กน้อย หรือว่าตนจะมองผิดไป? ผู้ชายที่สวมเสื้อผ้าแผงลอยทั้งตัวคนนี้ เป็นคุณชายเศรษฐีที่มาลองสัมผัสประสบการณ์ชีวิตงั้นเหรอ? ไม่อย่างนั้นทำไมคุณชายของตนถึงได้ไปประจบเอาใจเขาขนาดนี้กัน? “คุณชาย ท่านนี้คืออาจารย์ของคุณเหรอครับ?” ผู้จัดการหวังถามอย่างสงสัย “นี่คืออาจารย์ของฉันหลี่โม่ นายสุภาพกับอาจารย์ของฉัน
“ไอ้สารเลวคนไหนไม่ดูตาม้าตาเรือ กล้ามาแย่งวิลล่าของอาจารย์ พวกแกยังมัวแต่กินอะไรกันอีก ไปดูด้วยกัน จัดการไอ้พวกสารเลวนั่นซะ” “ศิษย์พี่เกิ่งพูดถูก พวกเราทุกคนต้องไปดูด้วยกัน บ้านของอาจารย์ต้องดีที่สุดเท่านั้น จะผิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว” ศิษย์พี่เกิ่งและคนอื่น ๆ พากันลุกขึ้นทีละคน เมื่อเห็นเช่นนี้คังหย่งเฉียนก็เรียกให้พนักงานคิดเงินทันที แล้วจึงพาพวกของศิษย์พี่เกิ่งมุ่งตรงไปยังสวนหนานชุ่ย ... รถเมอร์เซเดสเบนซ์ขับเข้าไปในสวนหนานชุ่ย และขับตรงไปตามทางขึ้นยอดเขา ใกล้กับยอดเขาของเขาหนานชุ่ยนั้นมีที่ราบอยู่บริเวณหนึ่ง ที่ราบนี้ถูกนำมาใช้สร้างวิลล่า พร้อมทั้งปลูกต้นไม้พืชพรรณเขียวชอุ่มรอบ ๆ วิลล่าอีกด้วย ด้านหน้าวิลล่ายังมีลำธารที่ไหลมาจากยอดเขา ทำให้ฮวงจุ้ยของวิลล่านี้ยอดเยี่ยมมากไร้ที่ติ หน้าน้ำหลังเขา ตำแหน่งปากมังกรจัดวางฮวงจุ้ยอย่างดี ทำให้วิลล่าบนยอดเขาหลังนี้เลิศล้ำไม่มีใครเทียม รถเมอร์เซเดสเบนซ์จอดสนิทหน้าประตูวิลล่ายอดเขา ผู้จัดการหวังและพนักงานขายสาวสองคนยืนรอที่ประตูวิลล่าอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นรถเบนซ์จอดนิ่ง ผู้จัดการหวังก็รีบวิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปช่วยเปิดประตูรถ
ผู้จัดการหวังหยิบบุหรี่ออกมาคาบที่มุมปาก เตรียมจะสูบบุหรี่เพื่อสงบสติอารมณ์ คำขอของคังเหวินซินทำให้ผู้จัดการหวังตั้งตัวไม่ติด การจะดูบ้านมันไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าอีกฝ่ายถูกใจขึ้นมาจริง ๆ จะทำอย่างไรล่ะ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องราคาต้นทุนหรือเปล่า ถ้าคังหย่งเฉียนเข้ามาครอบครองวิลล่าหลังนี้ เขาก็คงไม่ได้เงินเลยสักแดงเดียว พอนึกถึงคังหย่งเฉียนขึ้นมาผู้จัดการหวังรู้สึกปวดจี๊ด ๆ ขึ้นมา เจ้านั่นเป็นปีศาจเจ้าสำราญแห่งตระกูลคัง วัน ๆ เอาแต่เกียจคร้าน กินดื่มเที่ยวเล่น ยิ่งกว่านั้นยังคบค้ากับพวกอันธพาล ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสตระกูลคังก็ยังถูกคังหย่งเฉียนยั่วโมโหจนเส้นเลือดในสมองตีบ แทบทุกคนในตระกูลคังล้วนทำเป็นไม่สนใจคังหย่งเฉียน ตราบใดที่คังหย่งเฉียนไม่ได้ก่อปัญหา ก็ไม่มีใครสนใจว่า คังหย่งเฉียนจะทำอะไร ถ้าหากยกวิลล่าให้เพื่อนของคังเหวินซินจริง ๆ คังหย่งเฉียนคงจะพาคนมาสับเขาเป็นชิ้น ๆ ถึงที่แน่ หลังจากสูบบุหรี่หมดมวน ผู้จัดการหวังก็ขยี้ก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ รู้สึกว่ายังไงก็ควรแจ้งให้คังหย่งเฉียนรู้สักหน่อย ส่วนคังหย่งเฉียนจะต่อสู้กับคังเหวินซินอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องระหว่างพวกเขา