หลี่โม่เบะปาก แต่ก็ไม่ได้โต้แย้งอะไร คนพวกนี้กำลังเดือดดาลราวกับเต้นอยู่บนกองไฟ ใช้เหตุผลพูดคุยกับพวกเขาไปก็ไม่รู้เรื่อง เมื่อหันหลังกลับ หลี่โม่ก็มองดูป้ายของบริษัทการลงทุน แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความหาชูจงเทียน ให้ชูจงเทียนตรวจสอบเบื้องหลังของบริษัทการลงทุนนี้ คนที่ทำบริษัทการลงทุนอยู่ในตอนนี้ หลายคนเคยปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยสูงมาก่อน มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับพวกตำรวจ หลี่โม่คาดว่า บริษัทการลงทุนนี้ก็เช่นกัน ดังนั้นจึงหาชูจงเทียน เพราะเขาน่าจะสืบค้นข้อมูลมาได้ เรียกว่าหนีอย่างไรก็หนีไม่พ้น ขอเพียงค้นหาเบื้องหลังของอีกฝ่ายได้ ก็จะสามารถหาวิธีมาแก้ไขต้นตอของปัญหาได้แล้ว หลี่ชูเฟินเห็นหลี่โม่มองประตูใหญ่ของบริษัทการลงทุนแล้วเหม่อลอยไป ก็พูดอย่างดูถูกว่า “ดูลูกเขยโง่นี่สิ มาแล้วก็ยังไม่ช่วยคิดหาวิธีอีก มัวแต่ยืนดูประตูของบริษัทการลงทุนอยู่ได้ ดูแล้วจะมีดอกไม้งอกงามออกมา หรือจะมีเงินงอกเงยออกมาล่ะ” “หลี่โม่! มานี่ มาช่วยคิดวิธีแก้ปัญหา อย่ามัวยืนโง่อยู่ทั้งวันอย่างนั้น” หวังฟางพูดอย่างมีโทสะ ตอนนี้ลูกเขยของจางซุ่ยฮวา ฉวี่หมานก็รีบตามมา ตอนที่พบหลี่โม่ ฉวี่หมานก็รู้สึกเบิ
ฉวี่หมานด่าออกมาหนึ่งประโยค หลี่โม่ซึ่งกลืนเข้าไปในฝูงชน รู้สึกได้ถึงแรงสั่นของโทรศัพท์ เขาล้วงโทรศัพท์ออกมาอย่างรีบร้อน ก้มหน้ามองข้อความที่ชูจงเทียนตอบกลับมา ชูจงเทียนตอบกลับมาเร็วจริง ๆ เพราะว่าชูจงเทียนรู้จักเบื้องหลังของเจ้าของบริษัทการลงทุนแห่งนี้ “เจ้าของบริษัทการลงทุนแห่งนี้ชื่อว่าหลูหมิงเชิงครับ เมื่อก่อนเคยปล่อยเงินกู้นอกระบบ ดูเหมือนจะเคยได้ยินชื่อของคนคนนี้ เมื่อก่อนปล่อยเงินกู้อย่างโจ๋งครึ่ม พอใครไม่คืนเงินก็ใช้กำลังทวงหนี้ ตัดเอ็นแขนขาก็มีครับ” หลี่โม่พึมพำกับตัวองเบา ๆ เขาเองก็เคยได้ยินเรื่องของหลูหมิงเชิงกับหูมาบ้าง เจ้าหมอนี่ เมื่อก่อนสร้างตัวมาจากการปล่อยเงินกู้ สุดท้ายจับพลัดจับผลูมาเป็นเจ้าของบริษัทการเงินใต้ดิน ช่วงนี้เปิดบริษัทการลงทุนหลายบริษัท รวมรวบเงินทุนผิดกฎหมายจากพวกบริษัทเล็กๆ “ถ้าหากเป็นแบบนี้ คนธรรมดา ๆ คงจัดการมันไม่ได้แน่ หึหึ ดูซิว่าอีกสักพักพวกมันจะทำยังไง” หลี่โม่เองก็ไม่ได้ร้อนใจ เรื่องนี้ ขอเพียงหลี่โม่เอ่ยปาก ก็น่าจะมีคนพร้อมช่วยแก้ไขปัญหาอยู่ตลอดเวลา แต่ว่าแก้ไขรวดเร็วขนาดนั้นไม่เป็นผลดีกับหลี่โม่ ไม่สู้อยู่ดูละครสนุก ๆ รอดูพวกฉว
ฮั๋วเจี้ยนเฟิงรีบมาอย่างรวดเร็ว ครั้งก่อนเสียหน้าครั้งใหญ่ ฮั๋วเจี้ยนเฟิงยังคิดอยู่ว่าจะกู้หน้ากลับมาต่อหน้าหวังฟางได้อย่างไร สำหรับฮั๋วเจี้ยนเฟิงแล้ว ขอเพียงหวังฟางสนับสนุน โอกาสที่จะได้อุ้มสาวงามกลับบ้านนั้นก็มีมากขึ้น เมื่อเห็นว่าฮั๋วเจี้ยนเฟิงมา หวังฟางก็ยิ่งลำพองใจในทันที “นี่คือฮั๋วเจี้ยนเฟิง เป็นผู้จัดการใหญ่ของบริษัทการลงทุนติ่งซิน เจี้ยนเฟิง ส่วนนี้คือพี่สาวน้องสาวของน้า ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่โดนบริษัทการลงทุนแห่งนี้โกง เธอจะต้องช่วยพวกเราให้ได้นะ นั่นเป็นเงินที่พวกเราจะเก็บไว้ใช้ตอนเกษียณ” “อย่างนั้นหรือครับ ขอผมลองติดต่อเพื่อตรอจสอบข้อมูลของบริษัทนี้ดูสักครู่นะครับ” ฮั๋วเจี้ยนเฟิงไม่ได้เอ่ยปากรับรองในทันที แต่ต้องลองตรวจสอบดูก่อน ครั้งก่อนเสียหายไปไม่น้อย ทำให้ตอนนี้ ฮั๋วเจี้ยนเฟิงทำอะไรก็มักจะรอบคอบมากขึ้น “เอ๊ะ ซุ่ยฮวา ลูกเขยของเธอสืบข่าวมาแล้วไม่ใช่หรือ ให้เขาบอกกับเจี้ยนเฟิงสิ อย่าทำให้ต้องเสียเวลา” หวังฟางพูดพลางก็เหลือบตามองจางซุ่ยฮวา จางซุ่ยฮวารู้ดีว่าหวังฟางกำลังคุยโว แต่เพื่อเอาเงินกลับมา จางซุ่ยฮวาจึงตัดสินใจอดทนไว้ ดังนั้นจึงให้ความร่วมมือเรียกตัวฉวี
ฮั๋วเจี้ยนเฟิงทำเหมือนหลี่โม่เป็นพนักงานเล็ก ๆ ที่คอยทำหน้าที่รับใช้ หลังจากพูดจบ ยังเปิดกระเป๋าถือที่เผยธนบัตรสีแดงเป็นปึกหนา ออกมาให้เห็น จากนั้นจึงหยิบออกมาสองสามใบและโยนไปทางหลี่โม่ เหมือนกับโปรยเงินให้ขอทานอย่างไรอย่างนั้น “เรื่องแค่นี้ต้องรอจนถึงบ่าย โทรศัพท์กริ๊งเดียวก็เรียบร้อยแล้ว” หลี่โม่ก้มหน้าพูด ไม่มีใครเห็นสีหน้าของเขา “ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า” ฉวีหมานกุมท้องหัวเราะพรวดออก และใช้สายตามองดูหลี่โม่เหมือนกำลังมองคนโง่ “ฉันไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม คนไร้ค่าอย่างเธอปากเก่งดีนี่ หรือว่าตอนเช้าลืมแปรงฟันมา ตอนพูดถึงได้เหม็นหึ่งขนาดนี้ ยังจะกล้าพูดอีกว่า แค่โทรกริ๊งเดียวก็จัดการได้แล้ว เธอคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน?” พวกของจางซุ่ยฮวาหัวเราะขึ้นมา ทุกคนต่างรู้สึกว่าหลี่โม่พูดจาสามหาว ตอนนี้พอได้ยินคำพูดของหลี่โม่ ทุกคนก็ล้วนคิดว่าหลี่โม่นั้นคุยโวโอ้อวด “ดินไร้ประโยชน์ที่ไม่สามารถนำมาก่อกำแพงได้อย่างเธอ ตอนนี้ริอ่านเรียนรู้ที่จะคุยโวโอ้อวดแล้วเหรอ เธอคิดว่าตัวเองเป็นเง็กเซียนฮ่องเต้หรือยังไง ไสหัวไปนั่งตรงนู้นจะดีกว่า อย่ามาขวางหูขวางตาตรงนี้” “หากเทียบแกกับผู้จัดการฮั๋วแล้ว คนหนึ่งก็
“เฮอะ เจ้าคนไร้ค่าหลี่ ไปเอาความกล้าแบบนี้มาจากไหนกัน คุยโวเสียยกใหญ่ ยังมีหน้ามาพูดว่าผู้จัดการฮั๋วจัดการไม่ได้นายค่อยจัดการ นี่มันเรื่องตลกระดับสากลของแท้เลยนะ” ฉวี่หมานออกมาตอบโต้หลี่โม่ นี่เป็นโอกาสที่ดีที่จะได้เลียแข้งเลียขาฮั๋วเจี้ยนเฟิง ขอเพียงฮั๋วเจี้ยนเฟิงมีความรู้สึกที่ดีต่อตน ต่อไปไม่แน่ว่าจะสามารถโยกย้ายไปอยู่บริษัทการลงทุนติ่งซินได้ หวังฟางคว้าเอาน้ำกับขนมที่อยู่ในมือของหลี่โม่มาอย่างรวดเร็ว และพูดด้วยความโมโหว่า “ไปนั่งอีกด้านนู่น ที่นี่แกไม่มีสิทธิ์จะพูดอะไรทั้งนั้น ถ้าหากแกยังจะพูดมั่วซั่วอีก ฉันจะตบแกให้ฟันร่วง!” ฮั๋วเจี้ยนเฟิงเหลือบตามองหลี่โม่ และแสร้งพูดออกมาอย่างใจกว้างว่า “คุณป้าครับ ให้เจ้าคนไร้ค่านี่อยู่เก็บขยะที่นี่เถอะครับ เก็บเปลือกเมล็ดแตงโม ถุงพลาสติกพวกนั้น พวกเราไม่ควรทำลายสิ่งแวดล้อมนะครับ” “เจี้ยนเฟิงพูดถูกอีกแล้ว แก เจ้าคนไร้ประโยชน์อยู่เก็บขยะซะ อีกเดี๋ยวก็อย่าไปรบกวนการสนทนาของเจี้ยนเฟิงกับคนของบริษัทการลงทุนล่ะ” “ถ้าหากเขาทำได้จริง สุนัขก็คงเลิกกินมูลตัวเองแล้ว” หลี่โม่พูดทิ้งท้ายไว้หนึ่งประโยค แล้วจึงหันหลังกลับแล้วเดินไปยืนอีกฝั่ง มอ
“เจ้าของบริษัทของเราเป็นเจ้าของแค่ในนาม เจ้าของกิจการที่อยู่เบื้องหลังคือหลูหมิงเชิง ถ้าหากผู้จัดการฮั๋วเอาเงินออกมาได้ นั่นก็ถือว่ามีความสามารถล้นฟ้าแล้ว ขอตัวก่อนครับ” ผู้อำนวยการพูดทิ้งท้ายไว้หนึ่งประโยค แล้วเดินจากไปทันที ไม่กล้าอยู่ต่ออีกแม้เพียงครู่เดียว ในใจของฮั๋วเจี้ยนเฟิงไม่อยากจะเชื่อเลยสักนิด เขาตกตะลึงอย่างสุดขีด “เจี้ยนเฟิง เกิดอะไรขึ้น? ทำไมผู้อำนวยการคนนั้นถึงเดินไปเสียแล้ว? เธอพูดกับเขารู้เรื่องหรือยัง ตกลงเงินของพวกเราเอากลับคืนมาได้ไหม?” หวังฟางตามมาถามด้วยความร้อนใจ พวกของจางซุ่ยฮวาเองก็มองฮั๋วเจี้ยนเฟิงด้วยความกระวนกระวายใจ ตอนนี้ความหวังทั้งหมดฝากไว้กับฮั๋วเจี้ยนเฟิงแล้ว ฮั๋วเจี้ยนเฟิงหัวเราะแหะ ๆ แล้วพูดอึกอักเล็กน้อยว่า“ผมให้เขากลับไปติดต่อแล้ว ยังต้องการเวลาสักพัก แต่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่เท่าไหร่” “อย่างนั้นเหรอ เจี้ยนเฟิงเก่งจริง ๆ ดูเหมือนครั้งนี้ป้าเลือกคนไม่ผิดจริง ๆ พวกเราทั้งหมดต้องพึ่งเจี้ยนเฟิงแล้ว” หวังฟางพูดด้วยรอยยิ้ม ฮั๋วเจี้ยนเฟิงเหม่อลอยเล็กน้อย นึกไปถึงพ่อของตนกับหลูหมิงเชิงซึ่งเคยคบค้าสมาคมกัน ถ้าเกิดให้พ่อของตนออกหน้าล่ะก็ หลูหมิงเชิงน่
ระหว่างฮั่วเจี้ยนเฟิงกับหลี่โม่ใครน่าเชื่อถือกว่ากัน? หวังฟางและคนอื่น ๆ อาศัยแค่สัญชาตญาณ ก็ตัดสินใจเลือกฮั่วเจี้ยนเฟิงโดยไม่ต้องคิด อย่างไรสถานะของฮั่วเจี้ยนเฟิงก็โดดเด่นกว่า ในสายตาหวังฟางและคนอื่น ๆ ฮั่วเจี้ยนเฟิงกระดิกนิ้วครั้งเดียว เรื่องทุกอย่างก็ง่ายดายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก มีหลี่โม่กี่หมื่นคนก็ไม่แน่ว่าจะทำได้ “เจี้ยนเฟิงอย่าเพิ่งโมโห ไปทะเลาะกับเจ้าคนไร้ค่าอย่างหลี่โม่ทำไม ยังไงป้าก็ต้องพึ่งพาเธอแล้ว” หวังฟางพูดด้วยน้ำเสียงเอาใจ ฮั่วเจี้ยนเฟิงจัดระเบียบเสื้อเล็กน้อย ชำเลืองมองหลี่โม่ด้วยสายตาดูหมิ่น ท่าทางเช่นนี้เหมือนจะพูดว่า เห็นหรือยัง แม่ยายของแกยังให้ความเคารพฉันขนาดนี้ แกยังไม่รีบมาคุกเข่าต่อหน้าฉันอีกหรือ “เจ้าโง่” หลี่โม่บ่นพึมพำคนเดียว แล้วเดินออกไป หลี่โม่ไม่คิดเสแสร้งต่อไป เห็นได้ชัดว่าฮั่วเจี้ยนเฟิงทำเรื่องนี้ไม่ได้ แทนที่จะนั่งดูเขาอวดเก่ง มิสู้สั่งสอนเขาสักครั้ง จึงรีบปลีกตัวจากหวังฟาง จากนั้นหลี่โม่จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วโทรไปหาชูจงเทียน ในตอนนั้นเอง เสียงโทรศัพท์จากชูจงเทียนก็ดังขึ้น ชูจงเทียนกำลังสนุกสนานในงานเลี้ยงรับรอง ขมวดคิ้วเล็กน้อ
จานอาหารแตกกระจาย ซอสเยิ้ม ๆ และเศษอาหารต่าง ๆ ค่อย ๆ ไหลลงจากหัวของหลูหมิงเชิง “โอ๊ย! เจ็บ!” หลูหมิงเชิงกัดฟันร้องเสียงอู้อี้ แต่ว่ายังคงนั่งนิ่งบนเก้าอี้ไม่กล้าขยับไปไหน นี้มันไม่ใช่ภาพหลอน ต้องเกิดเรื่องอะไรที่ตนไม่รู้แน่นอน หรือว่าจะเกี่ยวข้องกับลูกน้องของตนไปก่อเรื่องกับลูกพี่ใหญ่ที่ชูจงเทียนยำเกรงบางคนเข้า? “ท่านชู มีเรื่องอะไรพูดกันดี ๆ หากผมทำอะไรผิดผมก็ต้องยอมรับ แต่คุณช่วยอธิบายให้ผมเข้าใจก่อนเถอะ” หลูหมิงเชิงพูดด้วยท่าทางหดหู่ ชูจงเทียนมีสีหน้าเรียบเฉย มองดูหลูหมิงเชิงด้วยสายตาขึงขังราวกับเสือที่จะตะครุบเหยื่อ “ลูกน้องแกกล้ามาก เงินบำนาญของแม่ยายของนายน้อยยังกล้าฮุบไว้อีก แกคิดว่าแกเป็นแมวเก้าชีวิตหรือยังไง? แม้จะมีเก้าชีวิต หากทำผิดต่อนายน้อย ยังไงก็ต้องตายสถานเดียว!” “นาย… นายน้อย!” หลูหมิงเชิงตัวสั่นเทา เหงื่อไหลเปียกชุ่มไปทั้งตัว หัวใจเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ เขาแสดงอาการหวาดกลัวออกมาอย่างเห็นได้ชัด “ผม ผมไม่ได้ฮุบเงินบำนาญของแม่ยายนายน้อย… ไม่ใช่สิ หรือว่าแม่ยายของนายน้อยนำเงินไปฝากไว้กับบริษัทการลงทุนของผมอย่างนั้นเหรอ?” หลูหมิงเชิงพูดถึงตรงนี้ก็แทบจะ