จานอาหารแตกกระจาย ซอสเยิ้ม ๆ และเศษอาหารต่าง ๆ ค่อย ๆ ไหลลงจากหัวของหลูหมิงเชิง “โอ๊ย! เจ็บ!” หลูหมิงเชิงกัดฟันร้องเสียงอู้อี้ แต่ว่ายังคงนั่งนิ่งบนเก้าอี้ไม่กล้าขยับไปไหน นี้มันไม่ใช่ภาพหลอน ต้องเกิดเรื่องอะไรที่ตนไม่รู้แน่นอน หรือว่าจะเกี่ยวข้องกับลูกน้องของตนไปก่อเรื่องกับลูกพี่ใหญ่ที่ชูจงเทียนยำเกรงบางคนเข้า? “ท่านชู มีเรื่องอะไรพูดกันดี ๆ หากผมทำอะไรผิดผมก็ต้องยอมรับ แต่คุณช่วยอธิบายให้ผมเข้าใจก่อนเถอะ” หลูหมิงเชิงพูดด้วยท่าทางหดหู่ ชูจงเทียนมีสีหน้าเรียบเฉย มองดูหลูหมิงเชิงด้วยสายตาขึงขังราวกับเสือที่จะตะครุบเหยื่อ “ลูกน้องแกกล้ามาก เงินบำนาญของแม่ยายของนายน้อยยังกล้าฮุบไว้อีก แกคิดว่าแกเป็นแมวเก้าชีวิตหรือยังไง? แม้จะมีเก้าชีวิต หากทำผิดต่อนายน้อย ยังไงก็ต้องตายสถานเดียว!” “นาย… นายน้อย!” หลูหมิงเชิงตัวสั่นเทา เหงื่อไหลเปียกชุ่มไปทั้งตัว หัวใจเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ เขาแสดงอาการหวาดกลัวออกมาอย่างเห็นได้ชัด “ผม ผมไม่ได้ฮุบเงินบำนาญของแม่ยายนายน้อย… ไม่ใช่สิ หรือว่าแม่ยายของนายน้อยนำเงินไปฝากไว้กับบริษัทการลงทุนของผมอย่างนั้นเหรอ?” หลูหมิงเชิงพูดถึงตรงนี้ก็แทบจะ
ขณะที่หลี่โม่โทรศัพท์หาชูจงเทียน ฉวี่หมานแอบฟังอยู่บริเวณนั้น ได้ยินหลี่โม่โทรหาคนอื่นเพื่อต้องการเงิน ก็หัวเราะขึ้นดังลั่น หลี่โม่เก็บโทรศัพท์ หันหลังไปชำเลืองมองฉวี่หมาน ยิ้มด้วยสีหน้าเรียบเฉย และไม่มีท่าทีสนใจเขาเลยแม้แต่น้อย หลี่โม่ไม่สนใจที่จะพูดกับฉวี่หมานแม้แต่คำเดียว ดั่งคำที่ว่าแมลงฤดูร้อนไหนเลยจะเคยเห็นน้ำค้างแข็ง ฉวี่หมานเห็นท่าทางหลี่โม่เช่นนี้ รู้สึกได้ถึงการเหยียดหยามอย่างสุดจะทน จึงบันดาลโทสะขึ้นทันที “ไอ้กระจอก เลิกเสแสร้งเถอะ โทรเรียกให้ใครมาจัดการเอาเงินคืนหรือไง นายรู้จักใครอีกล่ะ คนที่นายรู้จักก็คงกระจอกเหมือนกับนายนั่นแหละ คิดจะเทียบชั้นกับคุณฮั๋ว ฉันว่านายดูท่าจะบ้าไปแล้วแน่ ๆ” ฉวี่หมานสบถด้วยความโมโห “เหอะ ๆ” หลี่โม่ส่งเสียง “เหอะ” ใส่ฉวี่หมานเท่านั้น ฉวี่หมานชี้หน้าหลี่โม่ แล้วรีบเดินตามหวังฟางกับพวกไป “ป้าหวัง ลูกเขยกระจอกของป้ากำลังตามหาคนมาช่วย เจ้าคนไร้ค่านั่นรู้จักใครด้วยเหรอครับ คุยโทรศัพท์ด้วยท่าทางขึงขังเชียว ทำเหมือนกับโทรคุยกับท่านประธานใหญ่” ฉวี่หมานพูดใส่ไฟ คิดไปว่าจะช่วยเติมไฟโทสะให้คุณป้า เพื่อที่จะทำให้หลี่โม่ได้รับความอัปยศ
ทุกคนต่างมองไปที่ฮั๋วเจี้ยนเฟิง คนที่ยืนอยู่ข้างฮั๋วเจี้ยนเฟิง ท่าทางจะเป็นคนที่น่าเกรงขามคนหนึ่ง ฮั๋วเจี้ยนเฟิงพาผู้อำนวยการบริษัทการลงทุนมา จากนั้นจึงยิ้มและพูดว่า “คุณจาง เห็นแก่หน้าผม ช่วยจัดการเรื่องเงินของคุณป้าสองสามท่านนี้หน่อย ส่วนคนอื่นผมไม่สนใจ คงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับคุณหรอกใช่ไหม?” “มันยากมากครับ ยากเหมือนคิดจะบินขึ้นบนฟ้า” จางฟานเชิดหน้า ใส่ฮั๋วเจี้ยนเฟิง ทำท่าทีเหมือนไม่ได้ให้ค่าในตัวของฮั๋วเจี้ยนเฟิงแม้แต่น้อย ฮั๋วเจี้ยนเฟิงถึงกับอึดอัด เดิมทีคิดว่าตนสามารถแก้ปัญหานี้ได้ แต่คาดไม่ถึงว่าจางฟานคนนี้ไม่มีทีท่าว่าจะไว้หน้ากันบ้าง ใบหน้าที่เฝ้าคอยอย่างมีความหวังของหวังฟางและคนอื่น ถึงกับนิ่งอึ้งไปทันที ทุกคนต่างใช้สายตาที่เคลือบแคลงใจมองไปที่ฮั๋วเจี้ยนเฟิง “คุณจาง คุณไม่ให้เกียรติกันบ้างเลย พ่อผมกับบอสหลูของพวกคุณก็มีสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน” ฮั๋วเจี้ยนเฟิงอ้างชื่อพ่อของเขาขึ้นมา เพื่อออกหน้าให้เขาเกรงใจบ้าง “พ่อของคุณกับบอสหลูรู้จักกันก็เป็นเรื่องของพ่อคุณ ถ้าคุณพูดแบบนี้ คุณก็ไปหาบอสหลูด้วยตัวเองเถอะ ถ้ามีคำสั่งจากบอสหลูเพียงคำเดียว เงินเหล่านั้นจะคืนไปในบัญชีของ
“ถุย! คนไร้ค่าอย่างแกอย่าเข้ามาแส่ อยู่เป็นดินเน่า ๆ อย่างนั้นดีแล้ว ไม่พูดก็ไม่มีใครหาว่าเป็นใบ้หรอกนะ ถ้าแกพูดอีกคำ จะตัดลิ้นแกทิ้งซะ!” หวังฟางพูดด้วยน้ำเสียงเดือดดาล เพิ่งทำให้บรรยากาศสงบลงได้ ก็ถูกเจ้าหลี่โม่ทำลายจนเกิดความเดือดดาลขึ้นมาอีก “นายมีความสามารถอย่างนั้นเหรอ? ถ้านายมีความสามารถก็เชิญบอสหลูมาให้ได้สิ! พูดพล่อย ๆ คนเดียวแบบนี้ไม่ได้เรื่อง” ฮั๋วเจี้ยนเฟิงตะโกนด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง“นายไม่น่าจะมีความสามารถเชิญมาได้ ฉันก็เลยเชิญไปแล้ว อีกเดี๋ยวบอสหลูก็มา” หลี่โม่พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “หึหึ ใครเชื่อนายก็บ้าแล้ว!” ฮั๋วเจี้ยนเฟิงหยิบมือถือขึ้นมาแล้วพูดว่า “พ่อผมเป็นประธานจินซิ่งกรุ๊ป แค่ให้พ่อผมเอ่ยปาก คนแซ่หลูนั่นต้องรีบมาอย่างแน่นอน” จางซุ่ยฮวาดึงตัวฉวี่หมานมาแล้วพูดว่า “ลูกเขย จินซิ่งกรุ๊ปนี้ชื่อเสียงเป็นยังไง?” “แน่นอนว่ายิ่งใหญ่มากครับ เป็นบริษัทหนึ่งในสิบอันดับแรกของเมืองฮั่นเรา ทำธุรกิจส่งออกเป็นหลัก ทำกำไรเป็นเงินดอลลาร์มากมาย! ไม่คาดคิดว่าตระกูลของคุณฮั๋วจะยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ช่างเป็นลูกหลานมังกรจริง ๆ ผมเองก็ปรารถนาที่จะเชื่อมสัมพันธ์ธุรกิจกับคุณฮั๋ว สัมผัสควา
ฮั๋วเจี้ยนเฟิงค่อย ๆ วางโทรศัพท์ลง หวังฟางกับพวกใช้สายตาที่ฝากความหวังไว้เต็มเปี่ยมมองไปที่ฮั๋วเจี้ยนเฟิง “เจี้ยนเฟิง เป็นยังไงบ้าง พ่อของเธอว่ายังไง?” หวังฟางถามด้วยความร้อนใจ “อ๋อ ๆ” จู่ ๆ ฮั๋วเจี้ยนเฟิงก็หันกลับมา ทำสีหน้าปกติและโกหกไปว่า “พ่อผมขอพูดคุยกับหลูหมิงเชิงก่อน ต้องใช้เวลา ให้รอฟังข่าว” “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้ว พ่อของเธอเป็นประธานจินซิ่งกรุ๊ป ใคร ๆ ก็ให้เกียรติเขา” หวังฟางพูดชมเชย ได้ยินคำพูดของฮั๋วเจี้ยนเฟิง ในใจของทุกคนเริ่มผ่อนคลาย รู้สึกว่าครั้งนี้คงทำสำเร็จได้จริง ๆ “คุณฮั๋วสุดยอดจริง ๆ เมื่อครู่เป็นความคิดเห็นของผู้หญิงอย่างพวกเรา คุณฮั๋วอย่าได้เก็บคำพูดเล็กน้อยของพวกเรามาใส่ใจเลยนะ” จางชุ่ยฮวารีบโค้งคำนับสำนึกผิด “ไม่เป็นไรครับ พวกคุณน้าเป็นกังวล ผมเข้าใจ ถ้าเปลี่ยนมาเป็นเงินผมเอง ผมก็ต้องกังวลแบบนี้” ฮั๋วเจี้ยนเฟิงแสร้งพูดออกมาอย่างคนใจกว้าง “คุณฮั๋วจิตใจเอื้ออารี คนเก่งสำคัญที่มีจิตใจเอื้อเฟื้อ ก็จะสามารถบริหารธุรกิจได้ดี มีเพียงเจ้าหลี่โม่คนไร้ค่าที่ใจคอคับแคบ” หลี่ชูเฟินจุดไฟสงครามขึ้นบนตัวหลี่โม่ “พวกคนไร้ค่ายังไงก็คือคนไร้ค่า
ภายในรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ เอส600 ใบหน้าหลูหมิงเชิงเต็มไปด้วยรอยยิ้มประจบประแจง “ท่านชู พวกเราลงจากรถกันเถอะครับ ยังต้องให้ท่านชูพาผมไปขอโทษนายน้อยด้วยตนเองอีก” “นายน้อยไม่อยากให้ใครรู้ฐานะเขา คุณเรียกเขาว่าคุณหลี่ก็พอแล้ว ผมไม่ลงไปดีกว่า คนมากไปก็มากความ คุณรู้อยู่แล้วว่าต้องทำอะไรต่อไปก็พอแล้ว ไปเถอะ” ครั้งนี้ชูจงเทียนไม่อยากที่จะออกหน้า ทางนั้นเป็นญาติพี่น้องของหลี่โม่ทั้งนั้น ถ้าหากนอบน้อมกับหลี่โม่มากเกินไป ก็จะทำให้คนอื่นจับพิรุธได้ ถ้าหากไม่สุภาพกับเขา ไม่แน่ว่าหลี่โม่อาจขุ่นเคือง ดังนั้นชูจงเทียนคิดไปคิดมา นั่งอยู่บนรถคงเป็นการดีกว่า เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง “ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวลงไปจัดการครู่หนึ่ง จากนั้นฝากท่านชูพูดชมเชยผมให้มาก ๆ นะครับ” ชูจงเทียนหลับตาพร้อมกับโบกมือให้ไปได้แล้ว หลูหมิงเชิงเปิดประตูลงจากรถ หลังลงจากรถ หลูหมิงเชิงเดินไปพลางมองดูหลี่โม่และคนกลุ่มนั้น วิเคราะห์ว่าคนไหนคือหลี่โม่กันแน่ มองดูหลี่โม่ครู่หนึ่ง หลูหมิงเชิงรีบมองไปทางอื่น หลี่โม่สวมใส่เสื้อผ้าธรรมดา ไม่เหมือนกับนายน้อยคนที่หลูหมิงเชิงจินตนาการไว้เลยสักนิด นายน้อยแดนมังกรมีสา
จางซุ่ยฮวาไม่ลังเลที่จะแสดงความกระตือรือร้น ใช้คำพูดหวานหู ป้อยอฮั๋วเจี้ยนเฟิง ต่าง ๆนานา ราวกับว่าไม่สนใจเงินทองนั้นแล้ว “เมื่อครู่ป้าจิตใจคับแคบ ตอนนี้ดูไปแล้ว คุณฮั๋วสุดยอดจริง ๆ คุณฮั๋วต้องมีอนาคตที่สดใสแน่นอน ต้องเป็นตระกูลเศรษฐีอันดับต้น ๆ ในเมืองฮั่นของพวกเราแน่นอน” “คุณฮั๋วมีทั้งชื่อเสียงและความสามารถ อีกทั้งหล่อเหลาขนาดนี้ ไม่ทราบว่าแต่งงานหรือยัง ญาติของป้ามีสาวสวย ๆ หลายคน จะแนะนำให้คุณฮั๋วรู้จัก” หางคิ้วของหวังฟางกระตุกเล็กน้อย พวกเธอคิดจะแนะนำให้คุณฮั๋วอะไรกัน ถ้าไม่ใช่เจ้าหลี่โม่ไร้ประโยชน์เป็นตัวขัดขวาง ฮั๋วเจี้ยนเฟิงก็คงเป็นลูกเขยเธอไปนานแล้ว “พวกเธออย่าพูดอะไรให้มากความ เจี้ยนเฟิงไม่สนใจหญิงสาวที่เอาแต่แต่งเนื้อแต่งตัวไปวัน ๆ พวกนั้นหรอก” ตักเตือนเพื่อนสาวของเธอแล้ว หวังฟางชำเลืองมองหลี่โม่ ในใจคิดว่า อีกประเดี๋ยวค่อยจัดการเจ้าคนไร้ค่าคนนี้ ต้องฉวยโอกาสวันนี้ ไล่ตะเพิดเจ้าคนไร้ค่าคนนี้ไปให้พ้นจากครอบครัวของตนให้ได้! หลี่โม่ไม่เห็นสายตาที่หวังฟางจ้องมองมาที่ตน แต่มองหลูหมิงเชิงด้วยความรู้สึกหงุดหงิดในใจ ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หรือว่าชูจงเทียนทำเรื่อง
หวังฟางฟังอยู่ข้าง ๆ ดีใจยิ่งนัก ยกนิ้วโป้งชื่นชมฮั๋วเจี้ยนเฟิง จากนั้นมองไปที่หลี่โม่ พูดว่า “แกมันพวกคนไร้ค่า ดูคนอื่นเขาสิ หากไม่ใช่เขาที่ช่วยเหลือ แกสามารถคืนเงินนี้ให้ฉันได้ไหม? เมื่อกี้แกยังคุยโวอยู่เลย คิดดูดี ๆ ว่าควรจะขอโทษยังไงดี!” ถือโอกาสตีสุนัขตอนที่มันตกน้ำเป็นความคิดของหวังฟาง เป็นเวลาที่ควรเหยียบย่ำซ้ำเติมหลี่โม่ บางทีอาจกดดันให้หลี่โม่และกู้หยุนหลันหย่ากันได้ จางซุ่ยฮวามองหลี่โม่ด้วยสายตาเหยียดหยาม พูดเสริมขึ้นอีกว่า “เจ้านี่เหมือนสินค้าที่ต้องโยนทิ้ง เทียบกันได้ยังไง เธอมันไร้ประโยชน์ ยังด้อยกว่าคนอื่นอีกมากนัก ฉันคิดว่าพี่หวังต้องเปลี่ยนลูกเขยแล้วล่ะ เธอมันคนไร้ค่า อย่ายืนขวางหูขวางตาอยู่ตรงนี้ รีบ ๆ ออกไปให้พ้น ให้ทุกคนสบายใจขึ้น” หลี่โม่กุมหมัดไว้แน่น จากนั้นคลายมือลง ก้มศีรษะไม่พูดตอบสักคำ “โธ่ ดูสิ เจ้าคนไร้ค่าโมโหแล้ว นายมันขี้ขลาดไร้ความสามารถควรไปเป็นขอทานซะ หาภรรยาที่เป็นขอทานเหมือนกันสักคนถึงจะถูก เสนอหน้าอยู่ที่นี่รังแต่จะทำให้พวกเราขายหน้า อยากหาเรื่องกันหรือยังไง” ฉวีหมานพับแขนเสื้อขึ้นพลางพูดออกมา หลี่ชูเฟินเดินไปหาหลี่โม่ ถ่มน้ำลายใส่ที่เท้า