ทุกคนต่างมองไปที่ฮั๋วเจี้ยนเฟิง คนที่ยืนอยู่ข้างฮั๋วเจี้ยนเฟิง ท่าทางจะเป็นคนที่น่าเกรงขามคนหนึ่ง ฮั๋วเจี้ยนเฟิงพาผู้อำนวยการบริษัทการลงทุนมา จากนั้นจึงยิ้มและพูดว่า “คุณจาง เห็นแก่หน้าผม ช่วยจัดการเรื่องเงินของคุณป้าสองสามท่านนี้หน่อย ส่วนคนอื่นผมไม่สนใจ คงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับคุณหรอกใช่ไหม?” “มันยากมากครับ ยากเหมือนคิดจะบินขึ้นบนฟ้า” จางฟานเชิดหน้า ใส่ฮั๋วเจี้ยนเฟิง ทำท่าทีเหมือนไม่ได้ให้ค่าในตัวของฮั๋วเจี้ยนเฟิงแม้แต่น้อย ฮั๋วเจี้ยนเฟิงถึงกับอึดอัด เดิมทีคิดว่าตนสามารถแก้ปัญหานี้ได้ แต่คาดไม่ถึงว่าจางฟานคนนี้ไม่มีทีท่าว่าจะไว้หน้ากันบ้าง ใบหน้าที่เฝ้าคอยอย่างมีความหวังของหวังฟางและคนอื่น ถึงกับนิ่งอึ้งไปทันที ทุกคนต่างใช้สายตาที่เคลือบแคลงใจมองไปที่ฮั๋วเจี้ยนเฟิง “คุณจาง คุณไม่ให้เกียรติกันบ้างเลย พ่อผมกับบอสหลูของพวกคุณก็มีสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน” ฮั๋วเจี้ยนเฟิงอ้างชื่อพ่อของเขาขึ้นมา เพื่อออกหน้าให้เขาเกรงใจบ้าง “พ่อของคุณกับบอสหลูรู้จักกันก็เป็นเรื่องของพ่อคุณ ถ้าคุณพูดแบบนี้ คุณก็ไปหาบอสหลูด้วยตัวเองเถอะ ถ้ามีคำสั่งจากบอสหลูเพียงคำเดียว เงินเหล่านั้นจะคืนไปในบัญชีของ
“ถุย! คนไร้ค่าอย่างแกอย่าเข้ามาแส่ อยู่เป็นดินเน่า ๆ อย่างนั้นดีแล้ว ไม่พูดก็ไม่มีใครหาว่าเป็นใบ้หรอกนะ ถ้าแกพูดอีกคำ จะตัดลิ้นแกทิ้งซะ!” หวังฟางพูดด้วยน้ำเสียงเดือดดาล เพิ่งทำให้บรรยากาศสงบลงได้ ก็ถูกเจ้าหลี่โม่ทำลายจนเกิดความเดือดดาลขึ้นมาอีก “นายมีความสามารถอย่างนั้นเหรอ? ถ้านายมีความสามารถก็เชิญบอสหลูมาให้ได้สิ! พูดพล่อย ๆ คนเดียวแบบนี้ไม่ได้เรื่อง” ฮั๋วเจี้ยนเฟิงตะโกนด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง“นายไม่น่าจะมีความสามารถเชิญมาได้ ฉันก็เลยเชิญไปแล้ว อีกเดี๋ยวบอสหลูก็มา” หลี่โม่พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “หึหึ ใครเชื่อนายก็บ้าแล้ว!” ฮั๋วเจี้ยนเฟิงหยิบมือถือขึ้นมาแล้วพูดว่า “พ่อผมเป็นประธานจินซิ่งกรุ๊ป แค่ให้พ่อผมเอ่ยปาก คนแซ่หลูนั่นต้องรีบมาอย่างแน่นอน” จางซุ่ยฮวาดึงตัวฉวี่หมานมาแล้วพูดว่า “ลูกเขย จินซิ่งกรุ๊ปนี้ชื่อเสียงเป็นยังไง?” “แน่นอนว่ายิ่งใหญ่มากครับ เป็นบริษัทหนึ่งในสิบอันดับแรกของเมืองฮั่นเรา ทำธุรกิจส่งออกเป็นหลัก ทำกำไรเป็นเงินดอลลาร์มากมาย! ไม่คาดคิดว่าตระกูลของคุณฮั๋วจะยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ช่างเป็นลูกหลานมังกรจริง ๆ ผมเองก็ปรารถนาที่จะเชื่อมสัมพันธ์ธุรกิจกับคุณฮั๋ว สัมผัสควา
ฮั๋วเจี้ยนเฟิงค่อย ๆ วางโทรศัพท์ลง หวังฟางกับพวกใช้สายตาที่ฝากความหวังไว้เต็มเปี่ยมมองไปที่ฮั๋วเจี้ยนเฟิง “เจี้ยนเฟิง เป็นยังไงบ้าง พ่อของเธอว่ายังไง?” หวังฟางถามด้วยความร้อนใจ “อ๋อ ๆ” จู่ ๆ ฮั๋วเจี้ยนเฟิงก็หันกลับมา ทำสีหน้าปกติและโกหกไปว่า “พ่อผมขอพูดคุยกับหลูหมิงเชิงก่อน ต้องใช้เวลา ให้รอฟังข่าว” “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้ว พ่อของเธอเป็นประธานจินซิ่งกรุ๊ป ใคร ๆ ก็ให้เกียรติเขา” หวังฟางพูดชมเชย ได้ยินคำพูดของฮั๋วเจี้ยนเฟิง ในใจของทุกคนเริ่มผ่อนคลาย รู้สึกว่าครั้งนี้คงทำสำเร็จได้จริง ๆ “คุณฮั๋วสุดยอดจริง ๆ เมื่อครู่เป็นความคิดเห็นของผู้หญิงอย่างพวกเรา คุณฮั๋วอย่าได้เก็บคำพูดเล็กน้อยของพวกเรามาใส่ใจเลยนะ” จางชุ่ยฮวารีบโค้งคำนับสำนึกผิด “ไม่เป็นไรครับ พวกคุณน้าเป็นกังวล ผมเข้าใจ ถ้าเปลี่ยนมาเป็นเงินผมเอง ผมก็ต้องกังวลแบบนี้” ฮั๋วเจี้ยนเฟิงแสร้งพูดออกมาอย่างคนใจกว้าง “คุณฮั๋วจิตใจเอื้ออารี คนเก่งสำคัญที่มีจิตใจเอื้อเฟื้อ ก็จะสามารถบริหารธุรกิจได้ดี มีเพียงเจ้าหลี่โม่คนไร้ค่าที่ใจคอคับแคบ” หลี่ชูเฟินจุดไฟสงครามขึ้นบนตัวหลี่โม่ “พวกคนไร้ค่ายังไงก็คือคนไร้ค่า
ภายในรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ เอส600 ใบหน้าหลูหมิงเชิงเต็มไปด้วยรอยยิ้มประจบประแจง “ท่านชู พวกเราลงจากรถกันเถอะครับ ยังต้องให้ท่านชูพาผมไปขอโทษนายน้อยด้วยตนเองอีก” “นายน้อยไม่อยากให้ใครรู้ฐานะเขา คุณเรียกเขาว่าคุณหลี่ก็พอแล้ว ผมไม่ลงไปดีกว่า คนมากไปก็มากความ คุณรู้อยู่แล้วว่าต้องทำอะไรต่อไปก็พอแล้ว ไปเถอะ” ครั้งนี้ชูจงเทียนไม่อยากที่จะออกหน้า ทางนั้นเป็นญาติพี่น้องของหลี่โม่ทั้งนั้น ถ้าหากนอบน้อมกับหลี่โม่มากเกินไป ก็จะทำให้คนอื่นจับพิรุธได้ ถ้าหากไม่สุภาพกับเขา ไม่แน่ว่าหลี่โม่อาจขุ่นเคือง ดังนั้นชูจงเทียนคิดไปคิดมา นั่งอยู่บนรถคงเป็นการดีกว่า เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง “ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวลงไปจัดการครู่หนึ่ง จากนั้นฝากท่านชูพูดชมเชยผมให้มาก ๆ นะครับ” ชูจงเทียนหลับตาพร้อมกับโบกมือให้ไปได้แล้ว หลูหมิงเชิงเปิดประตูลงจากรถ หลังลงจากรถ หลูหมิงเชิงเดินไปพลางมองดูหลี่โม่และคนกลุ่มนั้น วิเคราะห์ว่าคนไหนคือหลี่โม่กันแน่ มองดูหลี่โม่ครู่หนึ่ง หลูหมิงเชิงรีบมองไปทางอื่น หลี่โม่สวมใส่เสื้อผ้าธรรมดา ไม่เหมือนกับนายน้อยคนที่หลูหมิงเชิงจินตนาการไว้เลยสักนิด นายน้อยแดนมังกรมีสา
จางซุ่ยฮวาไม่ลังเลที่จะแสดงความกระตือรือร้น ใช้คำพูดหวานหู ป้อยอฮั๋วเจี้ยนเฟิง ต่าง ๆนานา ราวกับว่าไม่สนใจเงินทองนั้นแล้ว “เมื่อครู่ป้าจิตใจคับแคบ ตอนนี้ดูไปแล้ว คุณฮั๋วสุดยอดจริง ๆ คุณฮั๋วต้องมีอนาคตที่สดใสแน่นอน ต้องเป็นตระกูลเศรษฐีอันดับต้น ๆ ในเมืองฮั่นของพวกเราแน่นอน” “คุณฮั๋วมีทั้งชื่อเสียงและความสามารถ อีกทั้งหล่อเหลาขนาดนี้ ไม่ทราบว่าแต่งงานหรือยัง ญาติของป้ามีสาวสวย ๆ หลายคน จะแนะนำให้คุณฮั๋วรู้จัก” หางคิ้วของหวังฟางกระตุกเล็กน้อย พวกเธอคิดจะแนะนำให้คุณฮั๋วอะไรกัน ถ้าไม่ใช่เจ้าหลี่โม่ไร้ประโยชน์เป็นตัวขัดขวาง ฮั๋วเจี้ยนเฟิงก็คงเป็นลูกเขยเธอไปนานแล้ว “พวกเธออย่าพูดอะไรให้มากความ เจี้ยนเฟิงไม่สนใจหญิงสาวที่เอาแต่แต่งเนื้อแต่งตัวไปวัน ๆ พวกนั้นหรอก” ตักเตือนเพื่อนสาวของเธอแล้ว หวังฟางชำเลืองมองหลี่โม่ ในใจคิดว่า อีกประเดี๋ยวค่อยจัดการเจ้าคนไร้ค่าคนนี้ ต้องฉวยโอกาสวันนี้ ไล่ตะเพิดเจ้าคนไร้ค่าคนนี้ไปให้พ้นจากครอบครัวของตนให้ได้! หลี่โม่ไม่เห็นสายตาที่หวังฟางจ้องมองมาที่ตน แต่มองหลูหมิงเชิงด้วยความรู้สึกหงุดหงิดในใจ ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หรือว่าชูจงเทียนทำเรื่อง
หวังฟางฟังอยู่ข้าง ๆ ดีใจยิ่งนัก ยกนิ้วโป้งชื่นชมฮั๋วเจี้ยนเฟิง จากนั้นมองไปที่หลี่โม่ พูดว่า “แกมันพวกคนไร้ค่า ดูคนอื่นเขาสิ หากไม่ใช่เขาที่ช่วยเหลือ แกสามารถคืนเงินนี้ให้ฉันได้ไหม? เมื่อกี้แกยังคุยโวอยู่เลย คิดดูดี ๆ ว่าควรจะขอโทษยังไงดี!” ถือโอกาสตีสุนัขตอนที่มันตกน้ำเป็นความคิดของหวังฟาง เป็นเวลาที่ควรเหยียบย่ำซ้ำเติมหลี่โม่ บางทีอาจกดดันให้หลี่โม่และกู้หยุนหลันหย่ากันได้ จางซุ่ยฮวามองหลี่โม่ด้วยสายตาเหยียดหยาม พูดเสริมขึ้นอีกว่า “เจ้านี่เหมือนสินค้าที่ต้องโยนทิ้ง เทียบกันได้ยังไง เธอมันไร้ประโยชน์ ยังด้อยกว่าคนอื่นอีกมากนัก ฉันคิดว่าพี่หวังต้องเปลี่ยนลูกเขยแล้วล่ะ เธอมันคนไร้ค่า อย่ายืนขวางหูขวางตาอยู่ตรงนี้ รีบ ๆ ออกไปให้พ้น ให้ทุกคนสบายใจขึ้น” หลี่โม่กุมหมัดไว้แน่น จากนั้นคลายมือลง ก้มศีรษะไม่พูดตอบสักคำ “โธ่ ดูสิ เจ้าคนไร้ค่าโมโหแล้ว นายมันขี้ขลาดไร้ความสามารถควรไปเป็นขอทานซะ หาภรรยาที่เป็นขอทานเหมือนกันสักคนถึงจะถูก เสนอหน้าอยู่ที่นี่รังแต่จะทำให้พวกเราขายหน้า อยากหาเรื่องกันหรือยังไง” ฉวีหมานพับแขนเสื้อขึ้นพลางพูดออกมา หลี่ชูเฟินเดินไปหาหลี่โม่ ถ่มน้ำลายใส่ที่เท้า
ก่อนหน้านี้หลูหมิงเชิงเคยทำข้อเสนอ 2 ครั้ง คนที่มีภูมิหลังที่แข็งแกร่งล้วนชำระเงินต้นและดอกเบี้ยทั้งหมดตามที่สัญญาที่ให้ไว้ ณ เวลาที่ระดมทุน คนที่ภูมิหลังมีฐานะแต่ไม่แข็งแกร่งพอ ชำระเพียงเงินต้นและดอกเบี้ยธนาคารหนึ่งปี ส่วนคนที่ภูมิหลังไม่มีฐานะอะไรเลยนั้นไม่ยินยอมที่จะชำระเงินสักบาท และไม่สนใจว่าพวกเขาจะสร้างปัญหาอย่างไร “การชำระเงินขึ้นอยู่กับจำนวนเงินต้นสามเท่า และที่เกินมานั้นถือว่าผมขออภัยทุกท่านด้วยครับ” พูดจบหลูหมิงเชิงก็ขยิบตาให้ฮั๋วเจี้ยนเฟิง เพื่อส่งสัญญาณว่า ฉันทำเรื่องนี้ได้ไม่เลว นายน้อยแดนมังกรคุณแค่ดูการแสดงของผมก็พอ! ฮั๋วเจี้ยนเฟิงนิ่งไปครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็ใจชื้นขึ้นมา คิดไม่ถึงว่าหลูหมิงเชิงไม่เพียงให้หน้าเขา แต่ยังให้เกียรติมากด้วย “ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณบอสหลูแล้ว รบกวนบอสหลูช่วยดำเนินเรื่องชำระบัญชีให้เร็วที่สุดด้วยครับ” ฮั๋วเจี้ยนเฟิงกังวลว่า หลูหมิงเชิงจะเปลี่ยนใจจึงเร่งขอให้หลูหมิงเชิงชำระเงินอย่างรวดเร็ว ขอเพียงแค่เงินได้เข้าบัญชีของพวกหวังฟางแล้ว ฮั๋วเจี้ยนเฟิงก็สามารถโจมตีหลี่โม่ได้! หวังฟางและคนอื่น ๆ ต่างรู้สึกปลื้มใจ คิดไม่ถึงว่าจะมีจุดเปลี
กริ๊ง กริ๊ง ทันใดนั้น โทรศัพท์มือถือในกระเป๋าของหลูหมิงเชิงก็ดังขึ้น เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วเหลือบมองที่หมายเลขผู้โทรหลูหมิงเชิงหันตัวเดินไปรับสายด้านข้างทันที “ท่านชู ท่านมีอะไรให้รับใช้ครับ” “แกโง่หรือเปล่า! ? ให้แกจัดการเรื่อง แกจัดการยังไง?” ชูจงเทียนตะโกนด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง ชูจงเทียนมองจากในรถเป็นเวลานานแล้ว เมื่อเห็นว่า หลูหมิงเชิงไม่ได้ดูแลหลี่โม่เลย นี่ทำให้ชูจงเทียนสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ ดังนั้นเขาจึงโทรหาหลูหมิงเชิง ในใจหลูหมิงเชิงรู้สึกขมขื่น ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าเขาได้ปล่อยไก่ตัวเบ้อเร่อ และคาดว่าฮั๋วเจี้ยนเฟิงก็คือฮั๋วเจี้ยนเฟิงจริง ๆ ไม่ใช่นายน้อยแดนมังกรอย่างที่เขาคิด “ผม… กำลังเจรจาเรื่องถอนเงินกับพวกเขาอยู่ครับ” “พูดไร้สาระ ให้แกให้หน้านายน้อย ไม่ใช่ให้หน้ากับใครที่ไหนไม่รู้ คนที่ยืนอยู่ด้านหลังซ้ายคือนายน้อย อย่าลืมเรียกว่าคุณชายหลี่ด้วย อย่าทำผิดพลาดอีก ให้โอกาสแกเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าหากว่ายังจัดการไม่ดีล่ะก็ รอความตายซะ!” ชูจงเทียนพูดอย่างโกรธจัด จากนั้นก็ตัดสายทิ้ง หลูหมิงเชิงเก็บโทรศัพท์และมองไปที่ฮั๋วเจี้ยนเฟิง สายตาของเขาเปลี่ย