จางซุ่ยฮวาไม่ลังเลที่จะแสดงความกระตือรือร้น ใช้คำพูดหวานหู ป้อยอฮั๋วเจี้ยนเฟิง ต่าง ๆนานา ราวกับว่าไม่สนใจเงินทองนั้นแล้ว “เมื่อครู่ป้าจิตใจคับแคบ ตอนนี้ดูไปแล้ว คุณฮั๋วสุดยอดจริง ๆ คุณฮั๋วต้องมีอนาคตที่สดใสแน่นอน ต้องเป็นตระกูลเศรษฐีอันดับต้น ๆ ในเมืองฮั่นของพวกเราแน่นอน” “คุณฮั๋วมีทั้งชื่อเสียงและความสามารถ อีกทั้งหล่อเหลาขนาดนี้ ไม่ทราบว่าแต่งงานหรือยัง ญาติของป้ามีสาวสวย ๆ หลายคน จะแนะนำให้คุณฮั๋วรู้จัก” หางคิ้วของหวังฟางกระตุกเล็กน้อย พวกเธอคิดจะแนะนำให้คุณฮั๋วอะไรกัน ถ้าไม่ใช่เจ้าหลี่โม่ไร้ประโยชน์เป็นตัวขัดขวาง ฮั๋วเจี้ยนเฟิงก็คงเป็นลูกเขยเธอไปนานแล้ว “พวกเธออย่าพูดอะไรให้มากความ เจี้ยนเฟิงไม่สนใจหญิงสาวที่เอาแต่แต่งเนื้อแต่งตัวไปวัน ๆ พวกนั้นหรอก” ตักเตือนเพื่อนสาวของเธอแล้ว หวังฟางชำเลืองมองหลี่โม่ ในใจคิดว่า อีกประเดี๋ยวค่อยจัดการเจ้าคนไร้ค่าคนนี้ ต้องฉวยโอกาสวันนี้ ไล่ตะเพิดเจ้าคนไร้ค่าคนนี้ไปให้พ้นจากครอบครัวของตนให้ได้! หลี่โม่ไม่เห็นสายตาที่หวังฟางจ้องมองมาที่ตน แต่มองหลูหมิงเชิงด้วยความรู้สึกหงุดหงิดในใจ ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หรือว่าชูจงเทียนทำเรื่อง
หวังฟางฟังอยู่ข้าง ๆ ดีใจยิ่งนัก ยกนิ้วโป้งชื่นชมฮั๋วเจี้ยนเฟิง จากนั้นมองไปที่หลี่โม่ พูดว่า “แกมันพวกคนไร้ค่า ดูคนอื่นเขาสิ หากไม่ใช่เขาที่ช่วยเหลือ แกสามารถคืนเงินนี้ให้ฉันได้ไหม? เมื่อกี้แกยังคุยโวอยู่เลย คิดดูดี ๆ ว่าควรจะขอโทษยังไงดี!” ถือโอกาสตีสุนัขตอนที่มันตกน้ำเป็นความคิดของหวังฟาง เป็นเวลาที่ควรเหยียบย่ำซ้ำเติมหลี่โม่ บางทีอาจกดดันให้หลี่โม่และกู้หยุนหลันหย่ากันได้ จางซุ่ยฮวามองหลี่โม่ด้วยสายตาเหยียดหยาม พูดเสริมขึ้นอีกว่า “เจ้านี่เหมือนสินค้าที่ต้องโยนทิ้ง เทียบกันได้ยังไง เธอมันไร้ประโยชน์ ยังด้อยกว่าคนอื่นอีกมากนัก ฉันคิดว่าพี่หวังต้องเปลี่ยนลูกเขยแล้วล่ะ เธอมันคนไร้ค่า อย่ายืนขวางหูขวางตาอยู่ตรงนี้ รีบ ๆ ออกไปให้พ้น ให้ทุกคนสบายใจขึ้น” หลี่โม่กุมหมัดไว้แน่น จากนั้นคลายมือลง ก้มศีรษะไม่พูดตอบสักคำ “โธ่ ดูสิ เจ้าคนไร้ค่าโมโหแล้ว นายมันขี้ขลาดไร้ความสามารถควรไปเป็นขอทานซะ หาภรรยาที่เป็นขอทานเหมือนกันสักคนถึงจะถูก เสนอหน้าอยู่ที่นี่รังแต่จะทำให้พวกเราขายหน้า อยากหาเรื่องกันหรือยังไง” ฉวีหมานพับแขนเสื้อขึ้นพลางพูดออกมา หลี่ชูเฟินเดินไปหาหลี่โม่ ถ่มน้ำลายใส่ที่เท้า
ก่อนหน้านี้หลูหมิงเชิงเคยทำข้อเสนอ 2 ครั้ง คนที่มีภูมิหลังที่แข็งแกร่งล้วนชำระเงินต้นและดอกเบี้ยทั้งหมดตามที่สัญญาที่ให้ไว้ ณ เวลาที่ระดมทุน คนที่ภูมิหลังมีฐานะแต่ไม่แข็งแกร่งพอ ชำระเพียงเงินต้นและดอกเบี้ยธนาคารหนึ่งปี ส่วนคนที่ภูมิหลังไม่มีฐานะอะไรเลยนั้นไม่ยินยอมที่จะชำระเงินสักบาท และไม่สนใจว่าพวกเขาจะสร้างปัญหาอย่างไร “การชำระเงินขึ้นอยู่กับจำนวนเงินต้นสามเท่า และที่เกินมานั้นถือว่าผมขออภัยทุกท่านด้วยครับ” พูดจบหลูหมิงเชิงก็ขยิบตาให้ฮั๋วเจี้ยนเฟิง เพื่อส่งสัญญาณว่า ฉันทำเรื่องนี้ได้ไม่เลว นายน้อยแดนมังกรคุณแค่ดูการแสดงของผมก็พอ! ฮั๋วเจี้ยนเฟิงนิ่งไปครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็ใจชื้นขึ้นมา คิดไม่ถึงว่าหลูหมิงเชิงไม่เพียงให้หน้าเขา แต่ยังให้เกียรติมากด้วย “ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณบอสหลูแล้ว รบกวนบอสหลูช่วยดำเนินเรื่องชำระบัญชีให้เร็วที่สุดด้วยครับ” ฮั๋วเจี้ยนเฟิงกังวลว่า หลูหมิงเชิงจะเปลี่ยนใจจึงเร่งขอให้หลูหมิงเชิงชำระเงินอย่างรวดเร็ว ขอเพียงแค่เงินได้เข้าบัญชีของพวกหวังฟางแล้ว ฮั๋วเจี้ยนเฟิงก็สามารถโจมตีหลี่โม่ได้! หวังฟางและคนอื่น ๆ ต่างรู้สึกปลื้มใจ คิดไม่ถึงว่าจะมีจุดเปลี
กริ๊ง กริ๊ง ทันใดนั้น โทรศัพท์มือถือในกระเป๋าของหลูหมิงเชิงก็ดังขึ้น เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วเหลือบมองที่หมายเลขผู้โทรหลูหมิงเชิงหันตัวเดินไปรับสายด้านข้างทันที “ท่านชู ท่านมีอะไรให้รับใช้ครับ” “แกโง่หรือเปล่า! ? ให้แกจัดการเรื่อง แกจัดการยังไง?” ชูจงเทียนตะโกนด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง ชูจงเทียนมองจากในรถเป็นเวลานานแล้ว เมื่อเห็นว่า หลูหมิงเชิงไม่ได้ดูแลหลี่โม่เลย นี่ทำให้ชูจงเทียนสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ ดังนั้นเขาจึงโทรหาหลูหมิงเชิง ในใจหลูหมิงเชิงรู้สึกขมขื่น ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าเขาได้ปล่อยไก่ตัวเบ้อเร่อ และคาดว่าฮั๋วเจี้ยนเฟิงก็คือฮั๋วเจี้ยนเฟิงจริง ๆ ไม่ใช่นายน้อยแดนมังกรอย่างที่เขาคิด “ผม… กำลังเจรจาเรื่องถอนเงินกับพวกเขาอยู่ครับ” “พูดไร้สาระ ให้แกให้หน้านายน้อย ไม่ใช่ให้หน้ากับใครที่ไหนไม่รู้ คนที่ยืนอยู่ด้านหลังซ้ายคือนายน้อย อย่าลืมเรียกว่าคุณชายหลี่ด้วย อย่าทำผิดพลาดอีก ให้โอกาสแกเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าหากว่ายังจัดการไม่ดีล่ะก็ รอความตายซะ!” ชูจงเทียนพูดอย่างโกรธจัด จากนั้นก็ตัดสายทิ้ง หลูหมิงเชิงเก็บโทรศัพท์และมองไปที่ฮั๋วเจี้ยนเฟิง สายตาของเขาเปลี่ย
ยิ่งกว่านั้น เมื่อเห็นฮั๋วเจี้ยนเฟิงและหลูหมิงเชิงทะเลาะกัน ตอนนี้ต้องใช้เรื่องที่หลูหมิงเชิงตบคน ถึงจะเป็นข้ออ้างที่จะบังคับให้เขาคืนเงินได้ หลังจากที่หวังฟางตะโกนด่าจบก็ส่งสายตาให้จางซุ่ยฮวาและคนอื่น ๆ ว่าจางซุ่ยฮวาและคนอื่น ๆ ทั้งหมดต่างลงเรือลำเดียวกัน ถ้าอยากได้เงินก็ต้องแบกรับศักดิ์ศรีและความอัปยศด้วยกัน! จางซุ่ยฮวาและคนอื่น ๆ ต่างเข้าใจในทันทีและรีบพุ่งเข้าไปดึงจางฟานออก แล้วดึงฮั๋วเจี้ยนเฟิงปกป้องไว้ข้างหลัง หลังจากนั้นหวังฟางก็ริเริ่มพากลุ่มเพื่อนพ้องพุ่งเข้าไปด่าหลูหมิงเชิง “คนสารเลว กล้ามาตบคนอื่น แกจะฮุบเงินของเราไว้ถึงเมื่อไหร่กัน นั่นมันเงินบำนาญของเรานะ!” “แกนี่มันคนเย่อหยิ่งจองหอง ผู้จัดการฮั๋วแค่ช่วยเราเอาเงินคืน แกถึงกับต้องตบเขา แกเห็นเราเป็นธาตุอากาศเหรอ” “เพื่อนพ้องมาร่วมมือกัน ฉีกปากของผู้ชายคนนี้ซะ เรื่องนี้ปล่อยไปแบบนี้ไม่ได้ แค้นใหม่แค้นเก่ามานับรวมกัน!” หวังฟา พร้อมกับกลุ่มเพื่อนสาวเริ่มเคลื่อนไหว นิวของพวกเขาโค้งงอเป็นกรงเล็บ แล้วข่วนร่างกายและใบหน้าของหลูหมิงเชิงอย่างดุเดือด ทันใดนั้นหลูหมิงเชิงก็โกรธมากขึ้น จ้องไปที่หวังฟางซึ่งเป็นผู้นำกลุ่ม
ในใจของหลูหมิงเชิงเกิดช่องโหว่ขนาดใหญ่ รู้สึกว่าขวัญวิญญาณทั้งสามและเจ็ดหายไปครึ่งหนึ่งทันที และมองไปยังหวังฟางที่แก้มบวมแดงขึ้นมาอย่างหัวเสีย จะอธิบายเรื่องนี้กับใครดี ตัวเองถึงกับตบตีแม่ยายของนายน้อยแดนมังกร จะชดใช้ได้อย่างไร? แทงสามทีหกรู หรือหักขาตัวเองทิ้งทั้งหมดดี? หยาดเหงื่อเม็ดใหญ่ไหลออกมาจากหน้าผากของหลูหมิงเชิง “เสี่ยวหลูมีตาหามีแววไม่ มองแม่ยายของคุณชายหลี่ไม่ออก นี่เป็นเพราะตาของผมบอดแล้ว ผมจะตบตัวเองเพื่อเป็นการขอโทษ ถ้าคุณแม่ยายไม่บอกให้หยุด เสี่ยวหลูก็จะไม่หยุดตบตัวเองอย่างแน่นอน” หลังจากที่หลูหมิงเชิงพูดกับหวังฟางจบ ก็ไม่รอให้หวังฟางตอบสนอง เขาก็ยกมือขึ้นตบหน้าตัวเองซ้ายขวาอย่างบ้าคลั่ง เพียะ เพียะ เพียะ! แค่ฟังเสียงตบก็รู้เลยว่าหลูหมิงเชิงไม่ได้ออมแรง นั่นคือเขาตบหน้าตัวเองจริง ๆ ฮั๋วเจี้ยนเฟิงลูบแก้มที่บวมขึ้นของเขาโดยไม่ตั้งใจ และดวงตาลอยจ้องไปยังหลี่โม่ไม่หยุด คิดยังก็คิดไม่ออกว่าหลี่โม่คนไร้ค่านั้นมีอำนาจขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่! เมื่อครู่นี้หลูหมิงเชิงเย่อหยิ่งมาก แต่ตอนนี้เขากลัวจนขึ้นสมอง ฉากนี้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วจนทุกคนไม่ทันตั้งตัว ทั้งสมอ
จางซุ่ยฮวาพูดตามเจตนาของเธอ ในอดีตมองหลี่โม่ว่าเป็นคนไร้ประโยชน์ แม้ว่าตอนนี้หลี่โม่จะเป็นที่สนใจ แต่ในใจของจางซุ่ยฮวา และมุมมองของคนอื่น ๆ ที่มองหลี่โม่ก็ไม่สามารถย้อนกลับได้ชั่วขณะหนึ่ง เป็นเพราะหลี่โม่ช่วยให้ได้เงินคืน หนำซ้ำยังได้เงินคืนมาหลายเท่าตัว ดังนั้นจางซุ่ยฮวาถึงได้กล่าวชมเชยอย่างฝืดแห้ง ท่าทางของฉวี่หมานอย่างกับถ่ายไม่ออก และมองไปยังหลี่โม่ด้วยสีหน้ายู่ยี่ “คนไร้ประ... นั่นนายทำได้ยังไง? ทำไมบอสหลูถึงกลัวนายขนาดนี้” ฮั๋วเจี้ยนเฟิงเสียภาพลักษณ์ไปแล้ว และไม่กล้าแม้แต่มองไปที่หลี่โม่ แต่กลับหลบอยู่ข้างหลังของพวกน้า ๆ แล้วรอฟังคำตอบของหลี่โม่อย่างตั้งใจ ต้องรู้ให้ได้ว่าทำไมหลี่โม่ถึงเก่งกาจขนาดนี้ เมื่อหวังฟางมองดูท่าทีของทุกคนที่ต่างขอบคุณหลี่โม่ ในใจก็ยิ่งรู้สึกอึดอัด หากฮั๋วเจี้ยนเฟิงจัดการเรื่องนี้สำเร็จ ในใจหวังฟางก็จะยอมปล่อยวางหายโกรธ แต่เป็นเพราะหลี่โม่เป็นคนจัดการเรียบร้อย นั่นยิ่งทำให้หวังฟางรู้สึกราวกับว่า เธอได้กินอึเข้าไป แค่คิดก็รู้สึกขยะแขยง ถ้าหากว่าสิ่งที่หลูหมิงเชิงคืนนั้นไม่ใช่เงิน แต่เป็นสิ่งของอย่างอื่นล่ะก็ หวังฟางจะปฏิเสธและจากไปทันที เธอ
ฉวี่หมานตกตะลึงแล้วมองหลี่โม่อย่างไม่เต็มใจ เขาไม่ได้อยากขอโทษหลี่โม่เลย “แม่ครับ คนไร้ประโยชน์นี่มีดีอะไรให้ต้องขอโทษ ทำไมผมต้องขอโทษเขาด้วย” “แกจะทำให้แม่โมโหตายใช่ไหม นั่นมันเงินหลายสิบล้านเลยนะ ได้เงินหลายสิบล้านมาฟรี ๆ เลยนะ! ขอแค่เงินนั้นเข้าบัญชีแล้ว แม่จะเปลี่ยนรถบีเอ็มดับเบิลยูให้แก แกรีบทำเหมือนบอสหลูตบหน้าตัวเองสองครั้งเร็วเข้า” จางซุ่ยฮวาจับฉวี่หมานและพูดเสียงเบา ๆ เงินหลายล้านก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้คนธรรมดาจำนวนมากละทิ้งศักดิ์ศรี และตลอดชีวิตของบางคนอาจไม่สามารถหาเงินได้มากขนาดนี้ ฉวี่หมานลังเลและสับสนว่าระหว่างศักดิ์ศรีกับรถบีเอ็มดับเบิลยู และในที่สุดในใจฉวี่หมานก็ยอมแพ้ให้รถบีเอ็มดับเบิลยู เรื่องเสียศักดิ์ศรีต่อหน้าหลี่โม่นั้นก็มีแค่พวกน้า ๆ ที่รู้ แต่หลังจากที่ได้รถบีเอ็มดับเบิลยูแล้ว ก็สามารถไปอวดต่อหน้าเพื่อนร่วมงานได้ และศักดิ์ศรีที่เสียไปในวันนี้ ยังสามารถคืนกลับมาเป็นสองเท่าในภายหลัง! ฉวี่หมานกัดฟันอย่างแน่นแล้วเดินไปหาหลี่โม่และพูดว่า “เมื่อกี้นี้ฉันพูดผิดไป ยกโทษให้ฉันด้วย ฉันจะชดใช้ด้วยการตบหน้าตัวเอง” เพียะ เพียะ เสียงตบหน้าดังขึ้นอย่างชัดเจ
คังหย่งอันกดหมายเลขของคังหย่งเฉียน แล้วพูดเสียงเข้ม "หย่งเฉียน ฉันได้ยินมาว่า แกกับเหวินซินมีปัญหากันเรื่องวิลล่าบนยอดเขาเหรอ?" “พี่ใหญ่ มีปัญหากันน่ะสิ ศิษย์พี่เกิ่งยังถูกทำร้ายจนเข่าหักแล้ว! ศิษย์พี่เกิ่งติดต่อกับอาจารย์โอวหยางไปแล้ว เรื่องนี้อภัยให้ไม่ได้แน่นอน!” คังหย่งเฉียนโกรธแค้นคังเหวินซิน ถ้าไม่ใช่เพราะคังเหวินซินพาหลี่โม่ไปที่นั่น เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น แต่ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว คังหย่งเฉียนเองก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ทำได้เพียงเอาความโมโหไปลงที่คังเหวินซินเท่านั้น “หย่งเฉียน ไม่ว่ายังไงก็ตาม แกต้องรับรองความปลอดภัยของเหวินซิน ฉันไม่สนว่า อาจารย์โอวหยางพวกเขาจะทำอะไรกับเพื่อนของเหวินซิน แต่พวกเขาจะทำร้ายเหวินซินไม่ได้เด็ดขาด!” “พี่ใหญ่ ฉันไม่กล้ารับประกันหรอก รับประกันได้แค่ลูกชายของพี่จะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงตายเท่านั้น ถ้าอาจารย์โอวหยางต้องการลงโทษลูกชายของพี่จริง ๆ ฉันจะไปขวางได้ยังไง ฉันขวางไม่ได้หรอก ไม่กล้าขวางด้วย!" คังหย่งอันขมวดคิ้วแน่น หากคังหย่งเฉียนอยู่ต่อหน้าคังหย่งอันในตอนนี้ คังหย่งอันจะต้องตบเขาให้ตายคามือแน่นอน “หย่งเฉียน! แกเป็นอาข
“ไอ้บัดซบเอ๊ย! ใครกล้ามาต่อกรกับฉันโอวหยางจื้อ มันผู้นั้นจะต้องตาย!” โอวหยางจื้อพึมพำอย่างด้วยความอาฆาตแค้น แล้วสั่งให้ลูกศิษย์ไปจองตั๋วเครื่องบิน ...... คังเหวินซินมาส่งหลี่โม่และคนอื่น ๆ ที่บ้าน หลังจากมองดูทั้งสามเดินเข้าไปข้างในแล้ว จึงสตาร์ทรถและขับออกไปอย่างช้า ๆ “อาเล็กถูกจัดการจนหมดท่าแล้ว ต้องบอกพ่อสักคำไหมนะ อาเล็กจะได้ไปตีไข่ใส่สีอีก” หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง คังเหวินซินก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดหมายเลขพ่อของเขาคังหย่งอัน “ฮัลโหล พ่อครับ ผมเพิ่งจะขายวิลล่าบนยอดเขาที่สวนหนานชุ่ยให้เพื่อผมไป ขายราคาต้นทุนน่ะครับ” คังหย่งอันขมวดคิ้ว "นั่นเป็นวิลล่าที่อาเล็กของแกจะเอาไม่ใช่เหรอ แกเอาไปให้เพื่อนได้ยังไง? ผู้จัดการฝ่ายขายว่ายังไงบ้าง?" คังเหวินซินอึ้งครู่หนึ่ง รู้สึกถึงความผิดปกติในคำพูดของคังหย่งอัน "พ่อ พ่อรู้ได้ยังไงว่าอาเล็กอยากได้วิลล่านั่น?” “อาเล็กของแกเคยบอกพ่อว่า วิลล่าหลังนั้นเป็นของขวัญที่เขาจะเก็บไว้ให้กับปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ในต่างประเทศโอวหยางจื้อ แกคงเคยได้ยินเกี่ยวกับโอวหยางจื้อมาบ้างใช่ไหม? เขาเคยรับหน้าที่เป็นผู้กำกับฉากแอ็คชั่นให้กับภาพย
ในแผนกดูแลพิเศษของโรงพยาบาล คังหย่งเฉียนและคนอื่น ๆ นั่งล้อมรอบเตียง มองดูพี่เกิ่งค่อย ๆ ฟื้นคืนสติ เข่าที่หักของพี่เกิ่งได้รับการผ่าตัดแล้ว แต่หลังการผ่าตัด พี่เกิ่งจะได้แต่นั่งอยู่บนรถเข็นเท่านั้น “ซี๊ด ขากับเข่าฉันเป็นยังไงบ้าง?” พี่เกิ่งถามอย่างร้อนใจ “ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวล ผ่าตัดเสร็จแล้ว เพียงแต่ระดับการรักษาของที่นี่ยังต่ำไปหน่อย หลังจากฟื้นตัวแล้วพี่ต้องนั่งรถเข็น” คังหย่งเฉียนพูดเสียงเบาหวิว “ไอ้บัดซบ! ฉันไม่อยากนั่งรถเข็น! ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้!” พี่เกิ่งคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว รู้สึกเลวร้ายไปทั้งร่างกาย ชีวิตบนรถเข็น ไม่ใช่ชีวิตที่พี่เกิ่งต้องการเลย ถ้าต้องนั่งรถเข็นแล้ว ต่อไปจะฝึกศิลปะการต่อสู้ หรือออกไปรังแกคนอื่นอย่างไร แล้วจะไปจีบสาว ๆ ได้อย่างไร! “ฉันจะย้ายโรงพยาบาล ฉันจะไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลที่ดีที่สุด!” “พี่เกิ่งอย่าเพิ่งตื่นตูม หมอบอกว่า รอพี่ฟื้นตัวดีแล้ว ก็สามารถทำการผ่าตัดครั้งที่สองในโรงพยาบาลที่ดีกว่านี้เพื่อเปลี่ยนข้อต่อเทียมได้” คังหย่งเฉียนปลอบใจพี่เกิ่งไปพลางก็ขยิบตาให้กับพวกพี่น้องคนอื่น ๆ ส่งสัญญาณให้พวกเขารีบมาช่วยกันโน้มน้าว ศิษย์พี่ห
พี่เกิ่งร้องโหยหวนออกมา รู้สึกว่าขาซ้ายพลิกกลับไปด้านหลัง พลันสูญเสียการทรงตัวและล้มหงายไปข้างหลังทันที พลั่ก พี่เกิ่งล้มหงายลงกับพื้น ปากก็ร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา คังหย่งเฉียนถูกกระตุ้นด้วยเสียงร้องของพี่เกิ่งจนตัวสั่นไปทั้งตัว เสียงวิ้ง ๆ ที่ดังอยู่ในหัวยิ่งชัดเจนขึ้นมาทันใด คังหย่งเฉียนกุมใบหน้าที่บวมแดงไปครึ่งหนึ่งมองไปทางศิษย์พี่เกิ่ง ดวงตาของคังหย่งเฉียนก็แทบจะหลุดออกจากเบ้า ศิษย์พี่เกิ่งที่คังหย่งเฉียนเคยคิดว่า แข็งแกร่งไร้เทียมทานนั้น ตอนนี้กำลังร้องคร่ำครวญราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังจะตาย เมื่อมองขาขวาของพี่เกิ่งหักงอในองศาที่ผิดธรรมชาติ คังหย่งเฉียนก็รู้สึกว่า เลือดทั่วร่างกายเย็นเฉียบขึ้นมา นี่เป็นเรื่องที่มนุษย์สามารถทำได้อย่างนั้นเหรอ? นี่เป็นผลลัพธ์ที่สามารถใช้กำปั้นทำได้เหรอ? นี่มันซูเปอร์ไซย่าในตำนานหรืออย่างไรกัน?! พวกศิษย์น้องของพี่เกิ่งหลายคนต่างหวาดกลัวกับความเผด็จการของหลี่โม่ ทั้งกลุ่มพลันหมดความโอหังไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาลากพี่เกิ่งขึ้นมาจากพื้นแล้ววิ่งตะบึงออกไปข้างนอกอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่คำพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในที่นี้คือศิษย์
คังเหวินซินรออยู่สามวินาที แต่ละวินาทีราวกับยาวนานเป็นปี รออยู่นานฝ่ามือของพี่เกิ่งก็ยังไม่ตบลงมาสักที คังเหวินซินจึงลืมตาขึ้น เมื่อเอียงหน้ามองเห็นฝ่ามือของพี่เกิ่งอยู่ห่างจากหน้าตนแค่เฉียดฉิว หัวใจของคังเหวินซินแทบจะกระโดดออกมาจากปาก หลังจากที่เห็นข้อมือของพี่เกิ่งถูกหลี่โม่คว้าไว้ คังเหวินซินถึงได้รู้สึกว่า หัวใจของตัวเองกลับเข้าที่ได้แล้ว คังเหวินซินที่สงบลงแล้ว รีบถอยไปหลบด้านหลังหลี่โม่ แล้วร้องตะโกนด้วยน้ำตาแห่งความซาบซึ้ง "อาจารย์!" “นายอย่าร้องไห้น่าสมเพชนักสิ มันทำฉันขายหน้านะ” หลี่โม่พูดด้วยรอยยิ้ม คังเหวินซินตะลีตะลานเช็ดเบ้าตา ไม่ยอมให้ตัวเองร้องไห้ออกมา พี่เกิ่งจ้องมองหลี่โม่อย่างโมโห แอบพยายามดึงข้อมือของตัวเองกลับมาอย่างลับ ๆ แต่ไม่ว่าพี่เกิ่งจะพยายามออกแรงแค่ไหน มือของหลี่โม่ก็ราวกับคีมปากเสือหนีบข้อมือของพี่เกิ่งเอาไว้แน่น จนข้อมือของพี่เกิ่งไม่มีทางสลัดหลุดได้เลย “ปล่อยมือฉัน!” พี่เกิ่งตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยว “แกบอกให้ปล่อยก็ต้องปล่อยเหรอ? แกน่าจะอธิบายเรื่องที่จะลงไม้ลงมือกับลูกศิษย์ฉันเมื่อกี้นี้มาสักหน่อยไหม?” หลี่โม่พูดอย่างเย็นชา คังเหวินซินส
กู้หยุนหลานมองไปยังหลี่โม่อย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นหลี่โม่ขยิบตาให้ เธอจึงไม่พูดอะไรและเก็บความสงสัยไว้ในใจ ผู้จัดการหวังโบกมือให้พนักงานขายสาว พนักงานสาวที่ถือสัญญาอยู่แล้วเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ผู้จัดการหวัง นี่เป็นสัญญาของวิลล่ายอดเขาค่ะ แต่ราคานี้มัน…” สีหน้าของพนักงานสาวดูบูดเบี้ยวเล็กน้อย ถ้าขายวิลล่านี้ออกไปในราคาต้นทุน เธอคงไม่ได้รับค่าคอมมิชชั่นเลยสักแดง! ที่ผ่านมาเศรษฐีในเมืองฮั่นจำนวนมากต่างก็ถูกใจวิลล่าแห่งนี้ แต่เพราะมีการปิดกั้นการซื้อขาย เลยไม่ได้ขายอย่างเป็นทางการ เดิมทีพวกพนักงานสาวนั้นเตรียมพร้อมที่จะทำกำไรมหาศาลด้วยการขายวิลล่าหลังนี้หลังจากที่เปิดการขายแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ความฝันของพวกเธอกำลังจะมลายหายไปซะแล้ว “พวกเธอมีสิทธิ์พูดงั้นเหรอ? นี่คือการตัดสินใจของคุณชายใหญ่!” ผู้จัดการหวังตำหนิพนักงานขายสาว พนักงานสาวหดคอและปิดปากเงียบไม่กล้าพูดอีก ผู้จัดการหวังเปิดสัญญาตรวจดู หลังจากยืนยันความถูกต้องแล้ว เขาก็ถือสัญญาเดินไปหาหลี่โม่ “อ่านสัญญาดูก่อนนะครับ หากไม่มีปัญหาอะไร เราจะไปเซ็นสัญญาที่สำนักงานของผมกัน ผมไม่สามารถนำตราประทับอะไรพวกนั้นพกติดต
“คุณชาย อย่ามาขู่ผมเลยครับ ผมไม่กลัวหรอกนะ สิ่งที่ผมพูดไปเมื่อครู่ล้วนมีเหตุมีผล หากไม่เชื่อก็ถามซินแสที่มาดูฮวงจุ้ยให้ได้เลยครับ คำพูดพวกนี้เขาเป็นคนพูดเองกับปากทั้งนั้น” ผู้จัดการหวังแข็งขืน ไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย หลี่โม่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม "เหวินซิน อย่าหุนหันพลันแล่น ผู้จัดการหวังพูดถูกแล้ว คนที่โชคชะตาบารมีไม่ถึง ไม่มีทางข่มพลังฮวงจุ้ยอันยอดเยี่ยมได้แน่นอน” คังเหวินซินพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม "อาจารย์พูดถูกแล้วครับ แต่ด้วยบารมีของอาจารย์ จะต้องสามารถข่มมันได้อย่างแน่นอน พวกเรามาดูกันดีกว่า ที่นี่ล้วนได้รับการตกแต่งอย่างดี คุณหิ้วกระเป๋าเข้ามาอยู่ได้เลย เหลือแค่ดูว่าวิลล่าหลังนี้ถูกใจคุณหรือเปล่าก็พอครับ” เมื่อเห็นคังเหวินซินพยายามเอาอกเอาใจหลี่โม่ ผู้จัดการหวังก็เกิดความสงสัยเล็กน้อย หรือว่าตนจะมองผิดไป? ผู้ชายที่สวมเสื้อผ้าแผงลอยทั้งตัวคนนี้ เป็นคุณชายเศรษฐีที่มาลองสัมผัสประสบการณ์ชีวิตงั้นเหรอ? ไม่อย่างนั้นทำไมคุณชายของตนถึงได้ไปประจบเอาใจเขาขนาดนี้กัน? “คุณชาย ท่านนี้คืออาจารย์ของคุณเหรอครับ?” ผู้จัดการหวังถามอย่างสงสัย “นี่คืออาจารย์ของฉันหลี่โม่ นายสุภาพกับอาจารย์ของฉัน
“ไอ้สารเลวคนไหนไม่ดูตาม้าตาเรือ กล้ามาแย่งวิลล่าของอาจารย์ พวกแกยังมัวแต่กินอะไรกันอีก ไปดูด้วยกัน จัดการไอ้พวกสารเลวนั่นซะ” “ศิษย์พี่เกิ่งพูดถูก พวกเราทุกคนต้องไปดูด้วยกัน บ้านของอาจารย์ต้องดีที่สุดเท่านั้น จะผิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว” ศิษย์พี่เกิ่งและคนอื่น ๆ พากันลุกขึ้นทีละคน เมื่อเห็นเช่นนี้คังหย่งเฉียนก็เรียกให้พนักงานคิดเงินทันที แล้วจึงพาพวกของศิษย์พี่เกิ่งมุ่งตรงไปยังสวนหนานชุ่ย ... รถเมอร์เซเดสเบนซ์ขับเข้าไปในสวนหนานชุ่ย และขับตรงไปตามทางขึ้นยอดเขา ใกล้กับยอดเขาของเขาหนานชุ่ยนั้นมีที่ราบอยู่บริเวณหนึ่ง ที่ราบนี้ถูกนำมาใช้สร้างวิลล่า พร้อมทั้งปลูกต้นไม้พืชพรรณเขียวชอุ่มรอบ ๆ วิลล่าอีกด้วย ด้านหน้าวิลล่ายังมีลำธารที่ไหลมาจากยอดเขา ทำให้ฮวงจุ้ยของวิลล่านี้ยอดเยี่ยมมากไร้ที่ติ หน้าน้ำหลังเขา ตำแหน่งปากมังกรจัดวางฮวงจุ้ยอย่างดี ทำให้วิลล่าบนยอดเขาหลังนี้เลิศล้ำไม่มีใครเทียม รถเมอร์เซเดสเบนซ์จอดสนิทหน้าประตูวิลล่ายอดเขา ผู้จัดการหวังและพนักงานขายสาวสองคนยืนรอที่ประตูวิลล่าอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นรถเบนซ์จอดนิ่ง ผู้จัดการหวังก็รีบวิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปช่วยเปิดประตูรถ
ผู้จัดการหวังหยิบบุหรี่ออกมาคาบที่มุมปาก เตรียมจะสูบบุหรี่เพื่อสงบสติอารมณ์ คำขอของคังเหวินซินทำให้ผู้จัดการหวังตั้งตัวไม่ติด การจะดูบ้านมันไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าอีกฝ่ายถูกใจขึ้นมาจริง ๆ จะทำอย่างไรล่ะ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องราคาต้นทุนหรือเปล่า ถ้าคังหย่งเฉียนเข้ามาครอบครองวิลล่าหลังนี้ เขาก็คงไม่ได้เงินเลยสักแดงเดียว พอนึกถึงคังหย่งเฉียนขึ้นมาผู้จัดการหวังรู้สึกปวดจี๊ด ๆ ขึ้นมา เจ้านั่นเป็นปีศาจเจ้าสำราญแห่งตระกูลคัง วัน ๆ เอาแต่เกียจคร้าน กินดื่มเที่ยวเล่น ยิ่งกว่านั้นยังคบค้ากับพวกอันธพาล ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสตระกูลคังก็ยังถูกคังหย่งเฉียนยั่วโมโหจนเส้นเลือดในสมองตีบ แทบทุกคนในตระกูลคังล้วนทำเป็นไม่สนใจคังหย่งเฉียน ตราบใดที่คังหย่งเฉียนไม่ได้ก่อปัญหา ก็ไม่มีใครสนใจว่า คังหย่งเฉียนจะทำอะไร ถ้าหากยกวิลล่าให้เพื่อนของคังเหวินซินจริง ๆ คังหย่งเฉียนคงจะพาคนมาสับเขาเป็นชิ้น ๆ ถึงที่แน่ หลังจากสูบบุหรี่หมดมวน ผู้จัดการหวังก็ขยี้ก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ รู้สึกว่ายังไงก็ควรแจ้งให้คังหย่งเฉียนรู้สักหน่อย ส่วนคังหย่งเฉียนจะต่อสู้กับคังเหวินซินอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องระหว่างพวกเขา