ตอนนี้มีเพียงหลี่โม่เท่านั้น ที่ทำตัวเป็นคนขี้เกียจอยู่ที่บ้าน ส่วนกู้เจี้ยนหมินและกู้หยุนหลาน ไม่สามารถปล่อยให้ทั้งสองคนรู้เกี่ยวกับปัญหาการลงทุนได้ ตอนนี้จึงต้องโทรหาหลี่โม่ เพื่อรวบรวมจำนวนคนเอาไว้ก่อนหลังจากดุหลี่โม่ทางโทรศัพท์แล้ว หวังฟางก็สั่งให้หลี่โม่มาที่บริษัทลงทุน โดยห้ามบอกใครจางซุ่ยฮวาที่สวมชุดสีสันสดใสอยู่ข้าง ๆ เหลือบมองหวังฟาง และพูดอย่างดูถูกว่า “พี่หวัง คงไม่ใช่เรียกลูกเขยไร้ประโยชน์ของพี่มาหรอกใช่ไหม เรียกคนแบบนั้นมามันจะไปมีประโยชน์อะไร เวลาแบบนี้เราต้องการคนที่มีเส้นสาย”“ซุ่ยฮวาพูดถูก หวังฟาง เธอบอกตลอดไม่ใช่เหรอว่า ครอบครัวของเธอมีอิทธิพล นี่คือเวลาที่ต้องใช้อิทธิพลแล้ว ดูญาติและเพื่อนฝูงที่เรารวบรวมมาสิ พวกเขาอาจไม่มีอำนาจมากนัก แต่พวกเขายังสามารถให้ความช่วยเหลือเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้"“ทุกคนต้องร่วมมือกันในเรื่องนี้ เราไม่ควรซ่อนหรือปิดบังอะไร ฉันคิดว่านะ หวังฟาง เธอน่าจะรวบรวมคนจากตระกูลกู้ ไม่ใช่ใช้ลูกเขยที่ไร้ค่าของเธอมาหลอกพวกเรา”เพื่อนสาวของหวังฟางค่อนข้างไม่พอใจ ปกติพวกหล่อนได้แต่เห็นหวังฟางโอ้อวด แต่ตอนนี้เมื่อทุกคนทำงานหนัก หวังฟางทำได้แค่ติดต่อลูกเข
หลี่โม่เบะปาก แต่ก็ไม่ได้โต้แย้งอะไร คนพวกนี้กำลังเดือดดาลราวกับเต้นอยู่บนกองไฟ ใช้เหตุผลพูดคุยกับพวกเขาไปก็ไม่รู้เรื่อง เมื่อหันหลังกลับ หลี่โม่ก็มองดูป้ายของบริษัทการลงทุน แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความหาชูจงเทียน ให้ชูจงเทียนตรวจสอบเบื้องหลังของบริษัทการลงทุนนี้ คนที่ทำบริษัทการลงทุนอยู่ในตอนนี้ หลายคนเคยปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยสูงมาก่อน มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับพวกตำรวจ หลี่โม่คาดว่า บริษัทการลงทุนนี้ก็เช่นกัน ดังนั้นจึงหาชูจงเทียน เพราะเขาน่าจะสืบค้นข้อมูลมาได้ เรียกว่าหนีอย่างไรก็หนีไม่พ้น ขอเพียงค้นหาเบื้องหลังของอีกฝ่ายได้ ก็จะสามารถหาวิธีมาแก้ไขต้นตอของปัญหาได้แล้ว หลี่ชูเฟินเห็นหลี่โม่มองประตูใหญ่ของบริษัทการลงทุนแล้วเหม่อลอยไป ก็พูดอย่างดูถูกว่า “ดูลูกเขยโง่นี่สิ มาแล้วก็ยังไม่ช่วยคิดหาวิธีอีก มัวแต่ยืนดูประตูของบริษัทการลงทุนอยู่ได้ ดูแล้วจะมีดอกไม้งอกงามออกมา หรือจะมีเงินงอกเงยออกมาล่ะ” “หลี่โม่! มานี่ มาช่วยคิดวิธีแก้ปัญหา อย่ามัวยืนโง่อยู่ทั้งวันอย่างนั้น” หวังฟางพูดอย่างมีโทสะ ตอนนี้ลูกเขยของจางซุ่ยฮวา ฉวี่หมานก็รีบตามมา ตอนที่พบหลี่โม่ ฉวี่หมานก็รู้สึกเบิ
ฉวี่หมานด่าออกมาหนึ่งประโยค หลี่โม่ซึ่งกลืนเข้าไปในฝูงชน รู้สึกได้ถึงแรงสั่นของโทรศัพท์ เขาล้วงโทรศัพท์ออกมาอย่างรีบร้อน ก้มหน้ามองข้อความที่ชูจงเทียนตอบกลับมา ชูจงเทียนตอบกลับมาเร็วจริง ๆ เพราะว่าชูจงเทียนรู้จักเบื้องหลังของเจ้าของบริษัทการลงทุนแห่งนี้ “เจ้าของบริษัทการลงทุนแห่งนี้ชื่อว่าหลูหมิงเชิงครับ เมื่อก่อนเคยปล่อยเงินกู้นอกระบบ ดูเหมือนจะเคยได้ยินชื่อของคนคนนี้ เมื่อก่อนปล่อยเงินกู้อย่างโจ๋งครึ่ม พอใครไม่คืนเงินก็ใช้กำลังทวงหนี้ ตัดเอ็นแขนขาก็มีครับ” หลี่โม่พึมพำกับตัวองเบา ๆ เขาเองก็เคยได้ยินเรื่องของหลูหมิงเชิงกับหูมาบ้าง เจ้าหมอนี่ เมื่อก่อนสร้างตัวมาจากการปล่อยเงินกู้ สุดท้ายจับพลัดจับผลูมาเป็นเจ้าของบริษัทการเงินใต้ดิน ช่วงนี้เปิดบริษัทการลงทุนหลายบริษัท รวมรวบเงินทุนผิดกฎหมายจากพวกบริษัทเล็กๆ “ถ้าหากเป็นแบบนี้ คนธรรมดา ๆ คงจัดการมันไม่ได้แน่ หึหึ ดูซิว่าอีกสักพักพวกมันจะทำยังไง” หลี่โม่เองก็ไม่ได้ร้อนใจ เรื่องนี้ ขอเพียงหลี่โม่เอ่ยปาก ก็น่าจะมีคนพร้อมช่วยแก้ไขปัญหาอยู่ตลอดเวลา แต่ว่าแก้ไขรวดเร็วขนาดนั้นไม่เป็นผลดีกับหลี่โม่ ไม่สู้อยู่ดูละครสนุก ๆ รอดูพวกฉว
ฮั๋วเจี้ยนเฟิงรีบมาอย่างรวดเร็ว ครั้งก่อนเสียหน้าครั้งใหญ่ ฮั๋วเจี้ยนเฟิงยังคิดอยู่ว่าจะกู้หน้ากลับมาต่อหน้าหวังฟางได้อย่างไร สำหรับฮั๋วเจี้ยนเฟิงแล้ว ขอเพียงหวังฟางสนับสนุน โอกาสที่จะได้อุ้มสาวงามกลับบ้านนั้นก็มีมากขึ้น เมื่อเห็นว่าฮั๋วเจี้ยนเฟิงมา หวังฟางก็ยิ่งลำพองใจในทันที “นี่คือฮั๋วเจี้ยนเฟิง เป็นผู้จัดการใหญ่ของบริษัทการลงทุนติ่งซิน เจี้ยนเฟิง ส่วนนี้คือพี่สาวน้องสาวของน้า ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่โดนบริษัทการลงทุนแห่งนี้โกง เธอจะต้องช่วยพวกเราให้ได้นะ นั่นเป็นเงินที่พวกเราจะเก็บไว้ใช้ตอนเกษียณ” “อย่างนั้นหรือครับ ขอผมลองติดต่อเพื่อตรอจสอบข้อมูลของบริษัทนี้ดูสักครู่นะครับ” ฮั๋วเจี้ยนเฟิงไม่ได้เอ่ยปากรับรองในทันที แต่ต้องลองตรวจสอบดูก่อน ครั้งก่อนเสียหายไปไม่น้อย ทำให้ตอนนี้ ฮั๋วเจี้ยนเฟิงทำอะไรก็มักจะรอบคอบมากขึ้น “เอ๊ะ ซุ่ยฮวา ลูกเขยของเธอสืบข่าวมาแล้วไม่ใช่หรือ ให้เขาบอกกับเจี้ยนเฟิงสิ อย่าทำให้ต้องเสียเวลา” หวังฟางพูดพลางก็เหลือบตามองจางซุ่ยฮวา จางซุ่ยฮวารู้ดีว่าหวังฟางกำลังคุยโว แต่เพื่อเอาเงินกลับมา จางซุ่ยฮวาจึงตัดสินใจอดทนไว้ ดังนั้นจึงให้ความร่วมมือเรียกตัวฉวี
ฮั๋วเจี้ยนเฟิงทำเหมือนหลี่โม่เป็นพนักงานเล็ก ๆ ที่คอยทำหน้าที่รับใช้ หลังจากพูดจบ ยังเปิดกระเป๋าถือที่เผยธนบัตรสีแดงเป็นปึกหนา ออกมาให้เห็น จากนั้นจึงหยิบออกมาสองสามใบและโยนไปทางหลี่โม่ เหมือนกับโปรยเงินให้ขอทานอย่างไรอย่างนั้น “เรื่องแค่นี้ต้องรอจนถึงบ่าย โทรศัพท์กริ๊งเดียวก็เรียบร้อยแล้ว” หลี่โม่ก้มหน้าพูด ไม่มีใครเห็นสีหน้าของเขา “ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า” ฉวีหมานกุมท้องหัวเราะพรวดออก และใช้สายตามองดูหลี่โม่เหมือนกำลังมองคนโง่ “ฉันไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม คนไร้ค่าอย่างเธอปากเก่งดีนี่ หรือว่าตอนเช้าลืมแปรงฟันมา ตอนพูดถึงได้เหม็นหึ่งขนาดนี้ ยังจะกล้าพูดอีกว่า แค่โทรกริ๊งเดียวก็จัดการได้แล้ว เธอคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน?” พวกของจางซุ่ยฮวาหัวเราะขึ้นมา ทุกคนต่างรู้สึกว่าหลี่โม่พูดจาสามหาว ตอนนี้พอได้ยินคำพูดของหลี่โม่ ทุกคนก็ล้วนคิดว่าหลี่โม่นั้นคุยโวโอ้อวด “ดินไร้ประโยชน์ที่ไม่สามารถนำมาก่อกำแพงได้อย่างเธอ ตอนนี้ริอ่านเรียนรู้ที่จะคุยโวโอ้อวดแล้วเหรอ เธอคิดว่าตัวเองเป็นเง็กเซียนฮ่องเต้หรือยังไง ไสหัวไปนั่งตรงนู้นจะดีกว่า อย่ามาขวางหูขวางตาตรงนี้” “หากเทียบแกกับผู้จัดการฮั๋วแล้ว คนหนึ่งก็
“เฮอะ เจ้าคนไร้ค่าหลี่ ไปเอาความกล้าแบบนี้มาจากไหนกัน คุยโวเสียยกใหญ่ ยังมีหน้ามาพูดว่าผู้จัดการฮั๋วจัดการไม่ได้นายค่อยจัดการ นี่มันเรื่องตลกระดับสากลของแท้เลยนะ” ฉวี่หมานออกมาตอบโต้หลี่โม่ นี่เป็นโอกาสที่ดีที่จะได้เลียแข้งเลียขาฮั๋วเจี้ยนเฟิง ขอเพียงฮั๋วเจี้ยนเฟิงมีความรู้สึกที่ดีต่อตน ต่อไปไม่แน่ว่าจะสามารถโยกย้ายไปอยู่บริษัทการลงทุนติ่งซินได้ หวังฟางคว้าเอาน้ำกับขนมที่อยู่ในมือของหลี่โม่มาอย่างรวดเร็ว และพูดด้วยความโมโหว่า “ไปนั่งอีกด้านนู่น ที่นี่แกไม่มีสิทธิ์จะพูดอะไรทั้งนั้น ถ้าหากแกยังจะพูดมั่วซั่วอีก ฉันจะตบแกให้ฟันร่วง!” ฮั๋วเจี้ยนเฟิงเหลือบตามองหลี่โม่ และแสร้งพูดออกมาอย่างใจกว้างว่า “คุณป้าครับ ให้เจ้าคนไร้ค่านี่อยู่เก็บขยะที่นี่เถอะครับ เก็บเปลือกเมล็ดแตงโม ถุงพลาสติกพวกนั้น พวกเราไม่ควรทำลายสิ่งแวดล้อมนะครับ” “เจี้ยนเฟิงพูดถูกอีกแล้ว แก เจ้าคนไร้ประโยชน์อยู่เก็บขยะซะ อีกเดี๋ยวก็อย่าไปรบกวนการสนทนาของเจี้ยนเฟิงกับคนของบริษัทการลงทุนล่ะ” “ถ้าหากเขาทำได้จริง สุนัขก็คงเลิกกินมูลตัวเองแล้ว” หลี่โม่พูดทิ้งท้ายไว้หนึ่งประโยค แล้วจึงหันหลังกลับแล้วเดินไปยืนอีกฝั่ง มอ
“เจ้าของบริษัทของเราเป็นเจ้าของแค่ในนาม เจ้าของกิจการที่อยู่เบื้องหลังคือหลูหมิงเชิง ถ้าหากผู้จัดการฮั๋วเอาเงินออกมาได้ นั่นก็ถือว่ามีความสามารถล้นฟ้าแล้ว ขอตัวก่อนครับ” ผู้อำนวยการพูดทิ้งท้ายไว้หนึ่งประโยค แล้วเดินจากไปทันที ไม่กล้าอยู่ต่ออีกแม้เพียงครู่เดียว ในใจของฮั๋วเจี้ยนเฟิงไม่อยากจะเชื่อเลยสักนิด เขาตกตะลึงอย่างสุดขีด “เจี้ยนเฟิง เกิดอะไรขึ้น? ทำไมผู้อำนวยการคนนั้นถึงเดินไปเสียแล้ว? เธอพูดกับเขารู้เรื่องหรือยัง ตกลงเงินของพวกเราเอากลับคืนมาได้ไหม?” หวังฟางตามมาถามด้วยความร้อนใจ พวกของจางซุ่ยฮวาเองก็มองฮั๋วเจี้ยนเฟิงด้วยความกระวนกระวายใจ ตอนนี้ความหวังทั้งหมดฝากไว้กับฮั๋วเจี้ยนเฟิงแล้ว ฮั๋วเจี้ยนเฟิงหัวเราะแหะ ๆ แล้วพูดอึกอักเล็กน้อยว่า“ผมให้เขากลับไปติดต่อแล้ว ยังต้องการเวลาสักพัก แต่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่เท่าไหร่” “อย่างนั้นเหรอ เจี้ยนเฟิงเก่งจริง ๆ ดูเหมือนครั้งนี้ป้าเลือกคนไม่ผิดจริง ๆ พวกเราทั้งหมดต้องพึ่งเจี้ยนเฟิงแล้ว” หวังฟางพูดด้วยรอยยิ้ม ฮั๋วเจี้ยนเฟิงเหม่อลอยเล็กน้อย นึกไปถึงพ่อของตนกับหลูหมิงเชิงซึ่งเคยคบค้าสมาคมกัน ถ้าเกิดให้พ่อของตนออกหน้าล่ะก็ หลูหมิงเชิงน่
ระหว่างฮั่วเจี้ยนเฟิงกับหลี่โม่ใครน่าเชื่อถือกว่ากัน? หวังฟางและคนอื่น ๆ อาศัยแค่สัญชาตญาณ ก็ตัดสินใจเลือกฮั่วเจี้ยนเฟิงโดยไม่ต้องคิด อย่างไรสถานะของฮั่วเจี้ยนเฟิงก็โดดเด่นกว่า ในสายตาหวังฟางและคนอื่น ๆ ฮั่วเจี้ยนเฟิงกระดิกนิ้วครั้งเดียว เรื่องทุกอย่างก็ง่ายดายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก มีหลี่โม่กี่หมื่นคนก็ไม่แน่ว่าจะทำได้ “เจี้ยนเฟิงอย่าเพิ่งโมโห ไปทะเลาะกับเจ้าคนไร้ค่าอย่างหลี่โม่ทำไม ยังไงป้าก็ต้องพึ่งพาเธอแล้ว” หวังฟางพูดด้วยน้ำเสียงเอาใจ ฮั่วเจี้ยนเฟิงจัดระเบียบเสื้อเล็กน้อย ชำเลืองมองหลี่โม่ด้วยสายตาดูหมิ่น ท่าทางเช่นนี้เหมือนจะพูดว่า เห็นหรือยัง แม่ยายของแกยังให้ความเคารพฉันขนาดนี้ แกยังไม่รีบมาคุกเข่าต่อหน้าฉันอีกหรือ “เจ้าโง่” หลี่โม่บ่นพึมพำคนเดียว แล้วเดินออกไป หลี่โม่ไม่คิดเสแสร้งต่อไป เห็นได้ชัดว่าฮั่วเจี้ยนเฟิงทำเรื่องนี้ไม่ได้ แทนที่จะนั่งดูเขาอวดเก่ง มิสู้สั่งสอนเขาสักครั้ง จึงรีบปลีกตัวจากหวังฟาง จากนั้นหลี่โม่จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วโทรไปหาชูจงเทียน ในตอนนั้นเอง เสียงโทรศัพท์จากชูจงเทียนก็ดังขึ้น ชูจงเทียนกำลังสนุกสนานในงานเลี้ยงรับรอง ขมวดคิ้วเล็กน้อ
คังหย่งอันกดหมายเลขของคังหย่งเฉียน แล้วพูดเสียงเข้ม "หย่งเฉียน ฉันได้ยินมาว่า แกกับเหวินซินมีปัญหากันเรื่องวิลล่าบนยอดเขาเหรอ?" “พี่ใหญ่ มีปัญหากันน่ะสิ ศิษย์พี่เกิ่งยังถูกทำร้ายจนเข่าหักแล้ว! ศิษย์พี่เกิ่งติดต่อกับอาจารย์โอวหยางไปแล้ว เรื่องนี้อภัยให้ไม่ได้แน่นอน!” คังหย่งเฉียนโกรธแค้นคังเหวินซิน ถ้าไม่ใช่เพราะคังเหวินซินพาหลี่โม่ไปที่นั่น เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น แต่ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว คังหย่งเฉียนเองก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ทำได้เพียงเอาความโมโหไปลงที่คังเหวินซินเท่านั้น “หย่งเฉียน ไม่ว่ายังไงก็ตาม แกต้องรับรองความปลอดภัยของเหวินซิน ฉันไม่สนว่า อาจารย์โอวหยางพวกเขาจะทำอะไรกับเพื่อนของเหวินซิน แต่พวกเขาจะทำร้ายเหวินซินไม่ได้เด็ดขาด!” “พี่ใหญ่ ฉันไม่กล้ารับประกันหรอก รับประกันได้แค่ลูกชายของพี่จะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงตายเท่านั้น ถ้าอาจารย์โอวหยางต้องการลงโทษลูกชายของพี่จริง ๆ ฉันจะไปขวางได้ยังไง ฉันขวางไม่ได้หรอก ไม่กล้าขวางด้วย!" คังหย่งอันขมวดคิ้วแน่น หากคังหย่งเฉียนอยู่ต่อหน้าคังหย่งอันในตอนนี้ คังหย่งอันจะต้องตบเขาให้ตายคามือแน่นอน “หย่งเฉียน! แกเป็นอาข
“ไอ้บัดซบเอ๊ย! ใครกล้ามาต่อกรกับฉันโอวหยางจื้อ มันผู้นั้นจะต้องตาย!” โอวหยางจื้อพึมพำอย่างด้วยความอาฆาตแค้น แล้วสั่งให้ลูกศิษย์ไปจองตั๋วเครื่องบิน ...... คังเหวินซินมาส่งหลี่โม่และคนอื่น ๆ ที่บ้าน หลังจากมองดูทั้งสามเดินเข้าไปข้างในแล้ว จึงสตาร์ทรถและขับออกไปอย่างช้า ๆ “อาเล็กถูกจัดการจนหมดท่าแล้ว ต้องบอกพ่อสักคำไหมนะ อาเล็กจะได้ไปตีไข่ใส่สีอีก” หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง คังเหวินซินก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดหมายเลขพ่อของเขาคังหย่งอัน “ฮัลโหล พ่อครับ ผมเพิ่งจะขายวิลล่าบนยอดเขาที่สวนหนานชุ่ยให้เพื่อผมไป ขายราคาต้นทุนน่ะครับ” คังหย่งอันขมวดคิ้ว "นั่นเป็นวิลล่าที่อาเล็กของแกจะเอาไม่ใช่เหรอ แกเอาไปให้เพื่อนได้ยังไง? ผู้จัดการฝ่ายขายว่ายังไงบ้าง?" คังเหวินซินอึ้งครู่หนึ่ง รู้สึกถึงความผิดปกติในคำพูดของคังหย่งอัน "พ่อ พ่อรู้ได้ยังไงว่าอาเล็กอยากได้วิลล่านั่น?” “อาเล็กของแกเคยบอกพ่อว่า วิลล่าหลังนั้นเป็นของขวัญที่เขาจะเก็บไว้ให้กับปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ในต่างประเทศโอวหยางจื้อ แกคงเคยได้ยินเกี่ยวกับโอวหยางจื้อมาบ้างใช่ไหม? เขาเคยรับหน้าที่เป็นผู้กำกับฉากแอ็คชั่นให้กับภาพย
ในแผนกดูแลพิเศษของโรงพยาบาล คังหย่งเฉียนและคนอื่น ๆ นั่งล้อมรอบเตียง มองดูพี่เกิ่งค่อย ๆ ฟื้นคืนสติ เข่าที่หักของพี่เกิ่งได้รับการผ่าตัดแล้ว แต่หลังการผ่าตัด พี่เกิ่งจะได้แต่นั่งอยู่บนรถเข็นเท่านั้น “ซี๊ด ขากับเข่าฉันเป็นยังไงบ้าง?” พี่เกิ่งถามอย่างร้อนใจ “ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวล ผ่าตัดเสร็จแล้ว เพียงแต่ระดับการรักษาของที่นี่ยังต่ำไปหน่อย หลังจากฟื้นตัวแล้วพี่ต้องนั่งรถเข็น” คังหย่งเฉียนพูดเสียงเบาหวิว “ไอ้บัดซบ! ฉันไม่อยากนั่งรถเข็น! ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้!” พี่เกิ่งคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว รู้สึกเลวร้ายไปทั้งร่างกาย ชีวิตบนรถเข็น ไม่ใช่ชีวิตที่พี่เกิ่งต้องการเลย ถ้าต้องนั่งรถเข็นแล้ว ต่อไปจะฝึกศิลปะการต่อสู้ หรือออกไปรังแกคนอื่นอย่างไร แล้วจะไปจีบสาว ๆ ได้อย่างไร! “ฉันจะย้ายโรงพยาบาล ฉันจะไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลที่ดีที่สุด!” “พี่เกิ่งอย่าเพิ่งตื่นตูม หมอบอกว่า รอพี่ฟื้นตัวดีแล้ว ก็สามารถทำการผ่าตัดครั้งที่สองในโรงพยาบาลที่ดีกว่านี้เพื่อเปลี่ยนข้อต่อเทียมได้” คังหย่งเฉียนปลอบใจพี่เกิ่งไปพลางก็ขยิบตาให้กับพวกพี่น้องคนอื่น ๆ ส่งสัญญาณให้พวกเขารีบมาช่วยกันโน้มน้าว ศิษย์พี่ห
พี่เกิ่งร้องโหยหวนออกมา รู้สึกว่าขาซ้ายพลิกกลับไปด้านหลัง พลันสูญเสียการทรงตัวและล้มหงายไปข้างหลังทันที พลั่ก พี่เกิ่งล้มหงายลงกับพื้น ปากก็ร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา คังหย่งเฉียนถูกกระตุ้นด้วยเสียงร้องของพี่เกิ่งจนตัวสั่นไปทั้งตัว เสียงวิ้ง ๆ ที่ดังอยู่ในหัวยิ่งชัดเจนขึ้นมาทันใด คังหย่งเฉียนกุมใบหน้าที่บวมแดงไปครึ่งหนึ่งมองไปทางศิษย์พี่เกิ่ง ดวงตาของคังหย่งเฉียนก็แทบจะหลุดออกจากเบ้า ศิษย์พี่เกิ่งที่คังหย่งเฉียนเคยคิดว่า แข็งแกร่งไร้เทียมทานนั้น ตอนนี้กำลังร้องคร่ำครวญราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังจะตาย เมื่อมองขาขวาของพี่เกิ่งหักงอในองศาที่ผิดธรรมชาติ คังหย่งเฉียนก็รู้สึกว่า เลือดทั่วร่างกายเย็นเฉียบขึ้นมา นี่เป็นเรื่องที่มนุษย์สามารถทำได้อย่างนั้นเหรอ? นี่เป็นผลลัพธ์ที่สามารถใช้กำปั้นทำได้เหรอ? นี่มันซูเปอร์ไซย่าในตำนานหรืออย่างไรกัน?! พวกศิษย์น้องของพี่เกิ่งหลายคนต่างหวาดกลัวกับความเผด็จการของหลี่โม่ ทั้งกลุ่มพลันหมดความโอหังไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาลากพี่เกิ่งขึ้นมาจากพื้นแล้ววิ่งตะบึงออกไปข้างนอกอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่คำพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในที่นี้คือศิษย์
คังเหวินซินรออยู่สามวินาที แต่ละวินาทีราวกับยาวนานเป็นปี รออยู่นานฝ่ามือของพี่เกิ่งก็ยังไม่ตบลงมาสักที คังเหวินซินจึงลืมตาขึ้น เมื่อเอียงหน้ามองเห็นฝ่ามือของพี่เกิ่งอยู่ห่างจากหน้าตนแค่เฉียดฉิว หัวใจของคังเหวินซินแทบจะกระโดดออกมาจากปาก หลังจากที่เห็นข้อมือของพี่เกิ่งถูกหลี่โม่คว้าไว้ คังเหวินซินถึงได้รู้สึกว่า หัวใจของตัวเองกลับเข้าที่ได้แล้ว คังเหวินซินที่สงบลงแล้ว รีบถอยไปหลบด้านหลังหลี่โม่ แล้วร้องตะโกนด้วยน้ำตาแห่งความซาบซึ้ง "อาจารย์!" “นายอย่าร้องไห้น่าสมเพชนักสิ มันทำฉันขายหน้านะ” หลี่โม่พูดด้วยรอยยิ้ม คังเหวินซินตะลีตะลานเช็ดเบ้าตา ไม่ยอมให้ตัวเองร้องไห้ออกมา พี่เกิ่งจ้องมองหลี่โม่อย่างโมโห แอบพยายามดึงข้อมือของตัวเองกลับมาอย่างลับ ๆ แต่ไม่ว่าพี่เกิ่งจะพยายามออกแรงแค่ไหน มือของหลี่โม่ก็ราวกับคีมปากเสือหนีบข้อมือของพี่เกิ่งเอาไว้แน่น จนข้อมือของพี่เกิ่งไม่มีทางสลัดหลุดได้เลย “ปล่อยมือฉัน!” พี่เกิ่งตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยว “แกบอกให้ปล่อยก็ต้องปล่อยเหรอ? แกน่าจะอธิบายเรื่องที่จะลงไม้ลงมือกับลูกศิษย์ฉันเมื่อกี้นี้มาสักหน่อยไหม?” หลี่โม่พูดอย่างเย็นชา คังเหวินซินส
กู้หยุนหลานมองไปยังหลี่โม่อย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นหลี่โม่ขยิบตาให้ เธอจึงไม่พูดอะไรและเก็บความสงสัยไว้ในใจ ผู้จัดการหวังโบกมือให้พนักงานขายสาว พนักงานสาวที่ถือสัญญาอยู่แล้วเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ผู้จัดการหวัง นี่เป็นสัญญาของวิลล่ายอดเขาค่ะ แต่ราคานี้มัน…” สีหน้าของพนักงานสาวดูบูดเบี้ยวเล็กน้อย ถ้าขายวิลล่านี้ออกไปในราคาต้นทุน เธอคงไม่ได้รับค่าคอมมิชชั่นเลยสักแดง! ที่ผ่านมาเศรษฐีในเมืองฮั่นจำนวนมากต่างก็ถูกใจวิลล่าแห่งนี้ แต่เพราะมีการปิดกั้นการซื้อขาย เลยไม่ได้ขายอย่างเป็นทางการ เดิมทีพวกพนักงานสาวนั้นเตรียมพร้อมที่จะทำกำไรมหาศาลด้วยการขายวิลล่าหลังนี้หลังจากที่เปิดการขายแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ความฝันของพวกเธอกำลังจะมลายหายไปซะแล้ว “พวกเธอมีสิทธิ์พูดงั้นเหรอ? นี่คือการตัดสินใจของคุณชายใหญ่!” ผู้จัดการหวังตำหนิพนักงานขายสาว พนักงานสาวหดคอและปิดปากเงียบไม่กล้าพูดอีก ผู้จัดการหวังเปิดสัญญาตรวจดู หลังจากยืนยันความถูกต้องแล้ว เขาก็ถือสัญญาเดินไปหาหลี่โม่ “อ่านสัญญาดูก่อนนะครับ หากไม่มีปัญหาอะไร เราจะไปเซ็นสัญญาที่สำนักงานของผมกัน ผมไม่สามารถนำตราประทับอะไรพวกนั้นพกติดต
“คุณชาย อย่ามาขู่ผมเลยครับ ผมไม่กลัวหรอกนะ สิ่งที่ผมพูดไปเมื่อครู่ล้วนมีเหตุมีผล หากไม่เชื่อก็ถามซินแสที่มาดูฮวงจุ้ยให้ได้เลยครับ คำพูดพวกนี้เขาเป็นคนพูดเองกับปากทั้งนั้น” ผู้จัดการหวังแข็งขืน ไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย หลี่โม่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม "เหวินซิน อย่าหุนหันพลันแล่น ผู้จัดการหวังพูดถูกแล้ว คนที่โชคชะตาบารมีไม่ถึง ไม่มีทางข่มพลังฮวงจุ้ยอันยอดเยี่ยมได้แน่นอน” คังเหวินซินพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม "อาจารย์พูดถูกแล้วครับ แต่ด้วยบารมีของอาจารย์ จะต้องสามารถข่มมันได้อย่างแน่นอน พวกเรามาดูกันดีกว่า ที่นี่ล้วนได้รับการตกแต่งอย่างดี คุณหิ้วกระเป๋าเข้ามาอยู่ได้เลย เหลือแค่ดูว่าวิลล่าหลังนี้ถูกใจคุณหรือเปล่าก็พอครับ” เมื่อเห็นคังเหวินซินพยายามเอาอกเอาใจหลี่โม่ ผู้จัดการหวังก็เกิดความสงสัยเล็กน้อย หรือว่าตนจะมองผิดไป? ผู้ชายที่สวมเสื้อผ้าแผงลอยทั้งตัวคนนี้ เป็นคุณชายเศรษฐีที่มาลองสัมผัสประสบการณ์ชีวิตงั้นเหรอ? ไม่อย่างนั้นทำไมคุณชายของตนถึงได้ไปประจบเอาใจเขาขนาดนี้กัน? “คุณชาย ท่านนี้คืออาจารย์ของคุณเหรอครับ?” ผู้จัดการหวังถามอย่างสงสัย “นี่คืออาจารย์ของฉันหลี่โม่ นายสุภาพกับอาจารย์ของฉัน
“ไอ้สารเลวคนไหนไม่ดูตาม้าตาเรือ กล้ามาแย่งวิลล่าของอาจารย์ พวกแกยังมัวแต่กินอะไรกันอีก ไปดูด้วยกัน จัดการไอ้พวกสารเลวนั่นซะ” “ศิษย์พี่เกิ่งพูดถูก พวกเราทุกคนต้องไปดูด้วยกัน บ้านของอาจารย์ต้องดีที่สุดเท่านั้น จะผิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว” ศิษย์พี่เกิ่งและคนอื่น ๆ พากันลุกขึ้นทีละคน เมื่อเห็นเช่นนี้คังหย่งเฉียนก็เรียกให้พนักงานคิดเงินทันที แล้วจึงพาพวกของศิษย์พี่เกิ่งมุ่งตรงไปยังสวนหนานชุ่ย ... รถเมอร์เซเดสเบนซ์ขับเข้าไปในสวนหนานชุ่ย และขับตรงไปตามทางขึ้นยอดเขา ใกล้กับยอดเขาของเขาหนานชุ่ยนั้นมีที่ราบอยู่บริเวณหนึ่ง ที่ราบนี้ถูกนำมาใช้สร้างวิลล่า พร้อมทั้งปลูกต้นไม้พืชพรรณเขียวชอุ่มรอบ ๆ วิลล่าอีกด้วย ด้านหน้าวิลล่ายังมีลำธารที่ไหลมาจากยอดเขา ทำให้ฮวงจุ้ยของวิลล่านี้ยอดเยี่ยมมากไร้ที่ติ หน้าน้ำหลังเขา ตำแหน่งปากมังกรจัดวางฮวงจุ้ยอย่างดี ทำให้วิลล่าบนยอดเขาหลังนี้เลิศล้ำไม่มีใครเทียม รถเมอร์เซเดสเบนซ์จอดสนิทหน้าประตูวิลล่ายอดเขา ผู้จัดการหวังและพนักงานขายสาวสองคนยืนรอที่ประตูวิลล่าอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นรถเบนซ์จอดนิ่ง ผู้จัดการหวังก็รีบวิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปช่วยเปิดประตูรถ
ผู้จัดการหวังหยิบบุหรี่ออกมาคาบที่มุมปาก เตรียมจะสูบบุหรี่เพื่อสงบสติอารมณ์ คำขอของคังเหวินซินทำให้ผู้จัดการหวังตั้งตัวไม่ติด การจะดูบ้านมันไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าอีกฝ่ายถูกใจขึ้นมาจริง ๆ จะทำอย่างไรล่ะ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องราคาต้นทุนหรือเปล่า ถ้าคังหย่งเฉียนเข้ามาครอบครองวิลล่าหลังนี้ เขาก็คงไม่ได้เงินเลยสักแดงเดียว พอนึกถึงคังหย่งเฉียนขึ้นมาผู้จัดการหวังรู้สึกปวดจี๊ด ๆ ขึ้นมา เจ้านั่นเป็นปีศาจเจ้าสำราญแห่งตระกูลคัง วัน ๆ เอาแต่เกียจคร้าน กินดื่มเที่ยวเล่น ยิ่งกว่านั้นยังคบค้ากับพวกอันธพาล ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสตระกูลคังก็ยังถูกคังหย่งเฉียนยั่วโมโหจนเส้นเลือดในสมองตีบ แทบทุกคนในตระกูลคังล้วนทำเป็นไม่สนใจคังหย่งเฉียน ตราบใดที่คังหย่งเฉียนไม่ได้ก่อปัญหา ก็ไม่มีใครสนใจว่า คังหย่งเฉียนจะทำอะไร ถ้าหากยกวิลล่าให้เพื่อนของคังเหวินซินจริง ๆ คังหย่งเฉียนคงจะพาคนมาสับเขาเป็นชิ้น ๆ ถึงที่แน่ หลังจากสูบบุหรี่หมดมวน ผู้จัดการหวังก็ขยี้ก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ รู้สึกว่ายังไงก็ควรแจ้งให้คังหย่งเฉียนรู้สักหน่อย ส่วนคังหย่งเฉียนจะต่อสู้กับคังเหวินซินอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องระหว่างพวกเขา