“เฮอะ เจ้าคนไร้ค่าหลี่ ไปเอาความกล้าแบบนี้มาจากไหนกัน คุยโวเสียยกใหญ่ ยังมีหน้ามาพูดว่าผู้จัดการฮั๋วจัดการไม่ได้นายค่อยจัดการ นี่มันเรื่องตลกระดับสากลของแท้เลยนะ” ฉวี่หมานออกมาตอบโต้หลี่โม่ นี่เป็นโอกาสที่ดีที่จะได้เลียแข้งเลียขาฮั๋วเจี้ยนเฟิง ขอเพียงฮั๋วเจี้ยนเฟิงมีความรู้สึกที่ดีต่อตน ต่อไปไม่แน่ว่าจะสามารถโยกย้ายไปอยู่บริษัทการลงทุนติ่งซินได้ หวังฟางคว้าเอาน้ำกับขนมที่อยู่ในมือของหลี่โม่มาอย่างรวดเร็ว และพูดด้วยความโมโหว่า “ไปนั่งอีกด้านนู่น ที่นี่แกไม่มีสิทธิ์จะพูดอะไรทั้งนั้น ถ้าหากแกยังจะพูดมั่วซั่วอีก ฉันจะตบแกให้ฟันร่วง!” ฮั๋วเจี้ยนเฟิงเหลือบตามองหลี่โม่ และแสร้งพูดออกมาอย่างใจกว้างว่า “คุณป้าครับ ให้เจ้าคนไร้ค่านี่อยู่เก็บขยะที่นี่เถอะครับ เก็บเปลือกเมล็ดแตงโม ถุงพลาสติกพวกนั้น พวกเราไม่ควรทำลายสิ่งแวดล้อมนะครับ” “เจี้ยนเฟิงพูดถูกอีกแล้ว แก เจ้าคนไร้ประโยชน์อยู่เก็บขยะซะ อีกเดี๋ยวก็อย่าไปรบกวนการสนทนาของเจี้ยนเฟิงกับคนของบริษัทการลงทุนล่ะ” “ถ้าหากเขาทำได้จริง สุนัขก็คงเลิกกินมูลตัวเองแล้ว” หลี่โม่พูดทิ้งท้ายไว้หนึ่งประโยค แล้วจึงหันหลังกลับแล้วเดินไปยืนอีกฝั่ง มอ
“เจ้าของบริษัทของเราเป็นเจ้าของแค่ในนาม เจ้าของกิจการที่อยู่เบื้องหลังคือหลูหมิงเชิง ถ้าหากผู้จัดการฮั๋วเอาเงินออกมาได้ นั่นก็ถือว่ามีความสามารถล้นฟ้าแล้ว ขอตัวก่อนครับ” ผู้อำนวยการพูดทิ้งท้ายไว้หนึ่งประโยค แล้วเดินจากไปทันที ไม่กล้าอยู่ต่ออีกแม้เพียงครู่เดียว ในใจของฮั๋วเจี้ยนเฟิงไม่อยากจะเชื่อเลยสักนิด เขาตกตะลึงอย่างสุดขีด “เจี้ยนเฟิง เกิดอะไรขึ้น? ทำไมผู้อำนวยการคนนั้นถึงเดินไปเสียแล้ว? เธอพูดกับเขารู้เรื่องหรือยัง ตกลงเงินของพวกเราเอากลับคืนมาได้ไหม?” หวังฟางตามมาถามด้วยความร้อนใจ พวกของจางซุ่ยฮวาเองก็มองฮั๋วเจี้ยนเฟิงด้วยความกระวนกระวายใจ ตอนนี้ความหวังทั้งหมดฝากไว้กับฮั๋วเจี้ยนเฟิงแล้ว ฮั๋วเจี้ยนเฟิงหัวเราะแหะ ๆ แล้วพูดอึกอักเล็กน้อยว่า“ผมให้เขากลับไปติดต่อแล้ว ยังต้องการเวลาสักพัก แต่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่เท่าไหร่” “อย่างนั้นเหรอ เจี้ยนเฟิงเก่งจริง ๆ ดูเหมือนครั้งนี้ป้าเลือกคนไม่ผิดจริง ๆ พวกเราทั้งหมดต้องพึ่งเจี้ยนเฟิงแล้ว” หวังฟางพูดด้วยรอยยิ้ม ฮั๋วเจี้ยนเฟิงเหม่อลอยเล็กน้อย นึกไปถึงพ่อของตนกับหลูหมิงเชิงซึ่งเคยคบค้าสมาคมกัน ถ้าเกิดให้พ่อของตนออกหน้าล่ะก็ หลูหมิงเชิงน่
ระหว่างฮั่วเจี้ยนเฟิงกับหลี่โม่ใครน่าเชื่อถือกว่ากัน? หวังฟางและคนอื่น ๆ อาศัยแค่สัญชาตญาณ ก็ตัดสินใจเลือกฮั่วเจี้ยนเฟิงโดยไม่ต้องคิด อย่างไรสถานะของฮั่วเจี้ยนเฟิงก็โดดเด่นกว่า ในสายตาหวังฟางและคนอื่น ๆ ฮั่วเจี้ยนเฟิงกระดิกนิ้วครั้งเดียว เรื่องทุกอย่างก็ง่ายดายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก มีหลี่โม่กี่หมื่นคนก็ไม่แน่ว่าจะทำได้ “เจี้ยนเฟิงอย่าเพิ่งโมโห ไปทะเลาะกับเจ้าคนไร้ค่าอย่างหลี่โม่ทำไม ยังไงป้าก็ต้องพึ่งพาเธอแล้ว” หวังฟางพูดด้วยน้ำเสียงเอาใจ ฮั่วเจี้ยนเฟิงจัดระเบียบเสื้อเล็กน้อย ชำเลืองมองหลี่โม่ด้วยสายตาดูหมิ่น ท่าทางเช่นนี้เหมือนจะพูดว่า เห็นหรือยัง แม่ยายของแกยังให้ความเคารพฉันขนาดนี้ แกยังไม่รีบมาคุกเข่าต่อหน้าฉันอีกหรือ “เจ้าโง่” หลี่โม่บ่นพึมพำคนเดียว แล้วเดินออกไป หลี่โม่ไม่คิดเสแสร้งต่อไป เห็นได้ชัดว่าฮั่วเจี้ยนเฟิงทำเรื่องนี้ไม่ได้ แทนที่จะนั่งดูเขาอวดเก่ง มิสู้สั่งสอนเขาสักครั้ง จึงรีบปลีกตัวจากหวังฟาง จากนั้นหลี่โม่จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วโทรไปหาชูจงเทียน ในตอนนั้นเอง เสียงโทรศัพท์จากชูจงเทียนก็ดังขึ้น ชูจงเทียนกำลังสนุกสนานในงานเลี้ยงรับรอง ขมวดคิ้วเล็กน้อ
จานอาหารแตกกระจาย ซอสเยิ้ม ๆ และเศษอาหารต่าง ๆ ค่อย ๆ ไหลลงจากหัวของหลูหมิงเชิง “โอ๊ย! เจ็บ!” หลูหมิงเชิงกัดฟันร้องเสียงอู้อี้ แต่ว่ายังคงนั่งนิ่งบนเก้าอี้ไม่กล้าขยับไปไหน นี้มันไม่ใช่ภาพหลอน ต้องเกิดเรื่องอะไรที่ตนไม่รู้แน่นอน หรือว่าจะเกี่ยวข้องกับลูกน้องของตนไปก่อเรื่องกับลูกพี่ใหญ่ที่ชูจงเทียนยำเกรงบางคนเข้า? “ท่านชู มีเรื่องอะไรพูดกันดี ๆ หากผมทำอะไรผิดผมก็ต้องยอมรับ แต่คุณช่วยอธิบายให้ผมเข้าใจก่อนเถอะ” หลูหมิงเชิงพูดด้วยท่าทางหดหู่ ชูจงเทียนมีสีหน้าเรียบเฉย มองดูหลูหมิงเชิงด้วยสายตาขึงขังราวกับเสือที่จะตะครุบเหยื่อ “ลูกน้องแกกล้ามาก เงินบำนาญของแม่ยายของนายน้อยยังกล้าฮุบไว้อีก แกคิดว่าแกเป็นแมวเก้าชีวิตหรือยังไง? แม้จะมีเก้าชีวิต หากทำผิดต่อนายน้อย ยังไงก็ต้องตายสถานเดียว!” “นาย… นายน้อย!” หลูหมิงเชิงตัวสั่นเทา เหงื่อไหลเปียกชุ่มไปทั้งตัว หัวใจเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ เขาแสดงอาการหวาดกลัวออกมาอย่างเห็นได้ชัด “ผม ผมไม่ได้ฮุบเงินบำนาญของแม่ยายนายน้อย… ไม่ใช่สิ หรือว่าแม่ยายของนายน้อยนำเงินไปฝากไว้กับบริษัทการลงทุนของผมอย่างนั้นเหรอ?” หลูหมิงเชิงพูดถึงตรงนี้ก็แทบจะ
ขณะที่หลี่โม่โทรศัพท์หาชูจงเทียน ฉวี่หมานแอบฟังอยู่บริเวณนั้น ได้ยินหลี่โม่โทรหาคนอื่นเพื่อต้องการเงิน ก็หัวเราะขึ้นดังลั่น หลี่โม่เก็บโทรศัพท์ หันหลังไปชำเลืองมองฉวี่หมาน ยิ้มด้วยสีหน้าเรียบเฉย และไม่มีท่าทีสนใจเขาเลยแม้แต่น้อย หลี่โม่ไม่สนใจที่จะพูดกับฉวี่หมานแม้แต่คำเดียว ดั่งคำที่ว่าแมลงฤดูร้อนไหนเลยจะเคยเห็นน้ำค้างแข็ง ฉวี่หมานเห็นท่าทางหลี่โม่เช่นนี้ รู้สึกได้ถึงการเหยียดหยามอย่างสุดจะทน จึงบันดาลโทสะขึ้นทันที “ไอ้กระจอก เลิกเสแสร้งเถอะ โทรเรียกให้ใครมาจัดการเอาเงินคืนหรือไง นายรู้จักใครอีกล่ะ คนที่นายรู้จักก็คงกระจอกเหมือนกับนายนั่นแหละ คิดจะเทียบชั้นกับคุณฮั๋ว ฉันว่านายดูท่าจะบ้าไปแล้วแน่ ๆ” ฉวี่หมานสบถด้วยความโมโห “เหอะ ๆ” หลี่โม่ส่งเสียง “เหอะ” ใส่ฉวี่หมานเท่านั้น ฉวี่หมานชี้หน้าหลี่โม่ แล้วรีบเดินตามหวังฟางกับพวกไป “ป้าหวัง ลูกเขยกระจอกของป้ากำลังตามหาคนมาช่วย เจ้าคนไร้ค่านั่นรู้จักใครด้วยเหรอครับ คุยโทรศัพท์ด้วยท่าทางขึงขังเชียว ทำเหมือนกับโทรคุยกับท่านประธานใหญ่” ฉวี่หมานพูดใส่ไฟ คิดไปว่าจะช่วยเติมไฟโทสะให้คุณป้า เพื่อที่จะทำให้หลี่โม่ได้รับความอัปยศ
ทุกคนต่างมองไปที่ฮั๋วเจี้ยนเฟิง คนที่ยืนอยู่ข้างฮั๋วเจี้ยนเฟิง ท่าทางจะเป็นคนที่น่าเกรงขามคนหนึ่ง ฮั๋วเจี้ยนเฟิงพาผู้อำนวยการบริษัทการลงทุนมา จากนั้นจึงยิ้มและพูดว่า “คุณจาง เห็นแก่หน้าผม ช่วยจัดการเรื่องเงินของคุณป้าสองสามท่านนี้หน่อย ส่วนคนอื่นผมไม่สนใจ คงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับคุณหรอกใช่ไหม?” “มันยากมากครับ ยากเหมือนคิดจะบินขึ้นบนฟ้า” จางฟานเชิดหน้า ใส่ฮั๋วเจี้ยนเฟิง ทำท่าทีเหมือนไม่ได้ให้ค่าในตัวของฮั๋วเจี้ยนเฟิงแม้แต่น้อย ฮั๋วเจี้ยนเฟิงถึงกับอึดอัด เดิมทีคิดว่าตนสามารถแก้ปัญหานี้ได้ แต่คาดไม่ถึงว่าจางฟานคนนี้ไม่มีทีท่าว่าจะไว้หน้ากันบ้าง ใบหน้าที่เฝ้าคอยอย่างมีความหวังของหวังฟางและคนอื่น ถึงกับนิ่งอึ้งไปทันที ทุกคนต่างใช้สายตาที่เคลือบแคลงใจมองไปที่ฮั๋วเจี้ยนเฟิง “คุณจาง คุณไม่ให้เกียรติกันบ้างเลย พ่อผมกับบอสหลูของพวกคุณก็มีสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน” ฮั๋วเจี้ยนเฟิงอ้างชื่อพ่อของเขาขึ้นมา เพื่อออกหน้าให้เขาเกรงใจบ้าง “พ่อของคุณกับบอสหลูรู้จักกันก็เป็นเรื่องของพ่อคุณ ถ้าคุณพูดแบบนี้ คุณก็ไปหาบอสหลูด้วยตัวเองเถอะ ถ้ามีคำสั่งจากบอสหลูเพียงคำเดียว เงินเหล่านั้นจะคืนไปในบัญชีของ
“ถุย! คนไร้ค่าอย่างแกอย่าเข้ามาแส่ อยู่เป็นดินเน่า ๆ อย่างนั้นดีแล้ว ไม่พูดก็ไม่มีใครหาว่าเป็นใบ้หรอกนะ ถ้าแกพูดอีกคำ จะตัดลิ้นแกทิ้งซะ!” หวังฟางพูดด้วยน้ำเสียงเดือดดาล เพิ่งทำให้บรรยากาศสงบลงได้ ก็ถูกเจ้าหลี่โม่ทำลายจนเกิดความเดือดดาลขึ้นมาอีก “นายมีความสามารถอย่างนั้นเหรอ? ถ้านายมีความสามารถก็เชิญบอสหลูมาให้ได้สิ! พูดพล่อย ๆ คนเดียวแบบนี้ไม่ได้เรื่อง” ฮั๋วเจี้ยนเฟิงตะโกนด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง“นายไม่น่าจะมีความสามารถเชิญมาได้ ฉันก็เลยเชิญไปแล้ว อีกเดี๋ยวบอสหลูก็มา” หลี่โม่พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “หึหึ ใครเชื่อนายก็บ้าแล้ว!” ฮั๋วเจี้ยนเฟิงหยิบมือถือขึ้นมาแล้วพูดว่า “พ่อผมเป็นประธานจินซิ่งกรุ๊ป แค่ให้พ่อผมเอ่ยปาก คนแซ่หลูนั่นต้องรีบมาอย่างแน่นอน” จางซุ่ยฮวาดึงตัวฉวี่หมานมาแล้วพูดว่า “ลูกเขย จินซิ่งกรุ๊ปนี้ชื่อเสียงเป็นยังไง?” “แน่นอนว่ายิ่งใหญ่มากครับ เป็นบริษัทหนึ่งในสิบอันดับแรกของเมืองฮั่นเรา ทำธุรกิจส่งออกเป็นหลัก ทำกำไรเป็นเงินดอลลาร์มากมาย! ไม่คาดคิดว่าตระกูลของคุณฮั๋วจะยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ช่างเป็นลูกหลานมังกรจริง ๆ ผมเองก็ปรารถนาที่จะเชื่อมสัมพันธ์ธุรกิจกับคุณฮั๋ว สัมผัสควา
ฮั๋วเจี้ยนเฟิงค่อย ๆ วางโทรศัพท์ลง หวังฟางกับพวกใช้สายตาที่ฝากความหวังไว้เต็มเปี่ยมมองไปที่ฮั๋วเจี้ยนเฟิง “เจี้ยนเฟิง เป็นยังไงบ้าง พ่อของเธอว่ายังไง?” หวังฟางถามด้วยความร้อนใจ “อ๋อ ๆ” จู่ ๆ ฮั๋วเจี้ยนเฟิงก็หันกลับมา ทำสีหน้าปกติและโกหกไปว่า “พ่อผมขอพูดคุยกับหลูหมิงเชิงก่อน ต้องใช้เวลา ให้รอฟังข่าว” “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้ว พ่อของเธอเป็นประธานจินซิ่งกรุ๊ป ใคร ๆ ก็ให้เกียรติเขา” หวังฟางพูดชมเชย ได้ยินคำพูดของฮั๋วเจี้ยนเฟิง ในใจของทุกคนเริ่มผ่อนคลาย รู้สึกว่าครั้งนี้คงทำสำเร็จได้จริง ๆ “คุณฮั๋วสุดยอดจริง ๆ เมื่อครู่เป็นความคิดเห็นของผู้หญิงอย่างพวกเรา คุณฮั๋วอย่าได้เก็บคำพูดเล็กน้อยของพวกเรามาใส่ใจเลยนะ” จางชุ่ยฮวารีบโค้งคำนับสำนึกผิด “ไม่เป็นไรครับ พวกคุณน้าเป็นกังวล ผมเข้าใจ ถ้าเปลี่ยนมาเป็นเงินผมเอง ผมก็ต้องกังวลแบบนี้” ฮั๋วเจี้ยนเฟิงแสร้งพูดออกมาอย่างคนใจกว้าง “คุณฮั๋วจิตใจเอื้ออารี คนเก่งสำคัญที่มีจิตใจเอื้อเฟื้อ ก็จะสามารถบริหารธุรกิจได้ดี มีเพียงเจ้าหลี่โม่คนไร้ค่าที่ใจคอคับแคบ” หลี่ชูเฟินจุดไฟสงครามขึ้นบนตัวหลี่โม่ “พวกคนไร้ค่ายังไงก็คือคนไร้ค่า