ระหว่างทางเมื่อสักครู่นี้ ฮั๋วเจี้ยนเฟิงส่งข้อความถึงผู้จัดการของจีวองชี่ หากเขาแค่ขยับปากและบอกว่าจีวองชี่ที่หลี่โม่ใส่อยู่เป็นของปลอม เขาจะตกรางวัลให้หนึ่งแสนบาทแค่ขยับปากก็ได้เงินหนึ่งแสนบาท สำหรับผู้จัดการร้านแล้ว มันเหมือนกับได้เงินจากฟ้าอย่างไรอย่างนั้น ดังนั้นจึงต้องทำเป็นธรรมดากู้หยุนหลานยืนขึ้น พร้อมกับมองหลี่โม่ด้วยท่าทางกังวล เธอต้องการออกไปกับหลี่โม่ตอนนี้แต่หลี่โม่ดันก้าวไปข้างหน้าแล้ว และรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา“หลี่โม่ ทำไมมาช้าจัง แกทำให้ทุกคนเสียเวลานะ รีบเอาเสื้อผ้าให้ผู้จัดการร้านดูสิ เพราะเจี้ยนเฟิงเลยนะ ผู้จัดการร้านจึงรอแกเนี่ย” หวังฟางดุหลี่โม่ด้วยใบหน้าที่หงุดหงิดสีหน้าของกู้เจี้ยนหมินดูไม่ค่อยสู้ดีนัก เขามองหลี่โม่ แล้วหันหน้าไปทางอื่น เขารู้สึกว่างานเลี้ยงวันเกิดของเขาถูกผู้ชายคนนี้ทำเสียเรื่อง และแสงดาวเด่นของเจ้าของวันเกิดก็หายไปอย่างสิ้นเชิงฮั๋วเจี้ยนเฟิงพาผู้จัดการร้านมาหาหลี่โม่ และขณะเดินมา ก็พูดว่า “นี่ครับ คนไร้ค่าที่ว่า พอดีเราเห็นเขาสวมชุดลิมิเต็ดของจีวองชี่น่ะ เราทุกคนก็เลยประหลาดใจและคิดว่าเขาใส่ของปลอมน่ะครับ”“แต่เขายืนยันว่า
นี่คือจีวองชี่ของแท้อย่างนั้นเหรอ?กู้ชิงหลินไม่เชื่อเด็ดขาดว่าผู้จัดการของจีวองชี่จะพูดประโยคนี้ออกมา สิ่งที่เขาพูดนั้นมีน้ำหนักว่าคำพูดของกู้ชิงหลินอย่างน้อยที่สุด ก็ในแง่ของความถูกต้องของเสื้อผ้าของจีวองชี่ คำพูดของทุกคนไม่มีใครเทียบได้อย่างแน่นอน“จริงเหรอครับ? เขาจะซื้อจีวองชี่ได้ยังไงกัน! ถ้าจริง ราคาเท่าไหร่กันล่ะเนี่ย!”ดวงตาของกู้ซิ่งเหว่ยลุกเป็นไฟทีเดียวเชียวหากดวงตาของเขาสามารถหายใจเป็นไฟได้จริง ๆ กู้ซิ่งเหว่ยคงจะใช้เปลวไฟจากดวงตาของเขา เผาเสื้อผ้าของหลี่โม่ให้เป็นเถ้าถ่านไปแล้ว ให้หลี่โม่รู้ว่าเขาเกลียดหลี่โม่มากแค่ไหน“เสื้อผ้าของแขก VIP ท่านนี้เป็นรุ่นล่าสุดของจีวองชี่ จำกัดชุดละ 100 ชุดทั่วโลก โดยในจำนวนนี้มีโควต้าเพียง 5 ชุดเท่านั้นในเขตนี้ ซึ่งชุดนี้ชุดเดียวมีราคาอยู่ที่ 9.99 ล้านบาท”กู้ซิ่งเหว่ยตกตะลึง ค่าเสื้อผ้าก็เกือบสิบล้าน เพียงพอที่จะซื้อรถหรูเลยทีเดียว!ทั้งกู้เจี้ยนหมินและหวังฟางมีสีหน้าแปลก ๆ คำถามมากมายเกิดขึ้นในใจของพวกเขาว่า หลี่โม่สามารถสวมใส่เสื้อผ้าราคาแพงขนาดนี้ได้อย่างไร?กู้เจี้ยนหมินและภรรยาของเขารู้ดีว่าหลี่โม่จนขนาดไหน!หากหลี่โม่มี
กู้ซิ่งเหว่ยมองหลี่โม่ด้วยความอิจฉาและไม่พอใจ เขามองดูพนักงานทั้งสามคน ช่างสวยจริง ๆ แต่น่าเสียดายที่พวกหล่อนดันยกย่องคนไร้ประโยชน์อย่างหลี่โม่!ฮั๋วเจี้ยนเฟิงตกตะลึงงัน อยากจะคว้าผู้จัดการร้านมาคุยเพื่อขอคำอธิบาย แต่มีหลายอย่างที่ไม่สามารถพูดคุยอย่างเปิดเผยได้ในขณะนี้“คุณลูกค้าต้องการชมอะไรเป็นพิเศษไหมคะ? ดิฉันสามารถพาไปดูและให้บริการลองชุดเป็นส่วนตัวได้ค่ะ”เสี่ยวปิงพูดเบา ๆ ครึ่งหนึ่งของร่างกายของเธอติดอยู่กับแขนของหลี่โม่แล้วส่วนเสี่ยวยวี่และเสี่ยวเหมยก็ได้ล้อมรอบ ๆ เขาแล้วเช่นกัน พวกหล่อนล้อมรอบทั้งสามด้าน เพื่อให้หลี่โม่สามารถเพลิดเพลินไปพร้อมกับความอบอุ่นหลี่โม่ผลักทั้งสามออกไปเบา ๆ แล้วพูดอย่างเย็นชา “ผมยังไม่ต้องการครับ”“นายจนขนาดนี้ จะใส่อะไรอีกล่ะ ฉันไม่คิดว่านายไม่ต้องการมันหรอก แต่นายไม่สามารถจ่ายได้ต่างหากล่ะ จนก็อยู่ส่วนจนเถอะ ผู้จัดการร้านคะ คุณควรเข้ามาดูใกล้ ๆ ให้ดี ๆ สิคะ อย่าให้ผิดพลาด” กู้ชิงหลินกล่าวอย่างไม่พอใจหลี่โม่เดินไปข้าง ๆ กู้หยุนหลานและพูดเบา ๆ “รู้ผลแล้ว เรากลับบ้านกันเถอะ”สำหรับข้อตกลงกับหวังฟาง หลี่โม่ไม่ได้เอ่ยถึงสักคำ หากพูดไปตอนนี้ ก
เมื่อกลับถึงบ้าน หวังฟางนั่งลงบนโซฟา แล้วจ้องมองหลี่โม่“หลี่โม่ เกิดอะไรขึ้นกับเสื้อผ้าของแก เสื้อผ้าราคาเกือบสิบล้านตัวนั้น คนไร้ประโยชน์อย่างแกไปหามาใส่ได้ยังไง?!”ทั้งกู้เจี้ยนหมินและกู้หยุนหลาน ต่างมองหลี่โม่ด้วยความสงสัย นี่เป็นปริศนาคาใจใจของทุกคนหลี่โม่พูดอย่างใจเย็น “มีคนให้มาน่ะครับ”“มีคนให้มางั้นเหรอ? แกยังกล้าใช้สมองอันน้อยนิดของแกแต่งเรื่องไร้สาระขึ้นมาอีก! ใครจะให้เสื้อผ้าราคาแพงขนาดนี้กับแก!”หวังฟางรู้สึกเหมือนโดนดูถูกสติปัญญา จึงตะโกนใส่หลี่โม่อย่างโกรธเคืองเมื่อมองดูท่าทางของหวังฟางแล้ว กู้เจี้ยนหมินรู้สึกกังวลเล็กน้อยว่า ความดันโลหิตของภรรยาของเขาจะพุ่งสูงขึ้น จนอาจทำให้หัวใจวายและเส้นเลือดในสมองแตก และปัญหาอาจร้ายแรงขึ้น ดังนั้นเขาจึงปลอบโยนภรรยาเขาทันทีขณะที่เขาปลอบได้ไม่นาน กู้เจี้ยนหมินก็พูดว่า “หลี่โม่ ถ้าแกอธิบายอย่างสมเหตุสมผลไม่ได้ อย่าโกรธฉันเลยนะ ที่จำเป็นต้องให้แกออกจากบ้านน่ะ”“คุณพ่อ...”กู้หยุนหลานต้องการที่จะช่วยพูด แต่ก่อนที่เธอจะพูดต่อ กู้เจี้ยนหมินก็มองเธอตาเขม็ง“ไม่ต้องพูดแล้วล่ะ ให้เจ้านี่พูดคนเดียวพอ พ่ออยากจะดูว่าเขาจะแต่งเรื่องอะ
แต่ไอ้ขยะหลี่โม่กลับเอาไปใช้กับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ !“แต่จะว่าไป การได้รับความกรุณาจากประธานหวงเป็นเรื่องวิเศษสุด ๆ ไปเลย! แต่เจ้านี่กลับเอาไปใช้ในทางไร้สาระ เอาไปใช้กับห้องส่วนตัว! คนไร้ค่าก็ไร้ค่าอยู่วันยังค่ำ! ถ้าประธานหวงมาช่วยเราในเรื่องธุรกิจ วันข้างหน้าเราคงจะเป็น...”คิ้วของหวังฟางขมวดเป็นเลขแปด เธอตัวสั่นด้วยความโกรธ“หยุนหลาน แกเห็นไหมว่า หลี่โม่มันไร้ประโยชน์ขนาดไหน! นั่นความกรุณาจากประธานหวงเลยนะ แต่เขากลับไม่ได้บอกอะไรกับครอบครัวเลยนะ แถมเอาไปใช้กับอะไรก็ไม่รู้!"กู้หยุนหลานถอนหายใจด้วยเสียงแผ่วเบา เธอบ่นหลี่โม่อยู่ในใจด้วยความหงุดหงิด ความกรุณาที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้สูญเปล่าไปแล้ว หากหลี่โม่ใช้ความกรุณานั้นให้ฉลาดกว่านี้ เขาก็จะไม่ต้องทนกับความคับข้องใจเช่นนี้อีกในอนาคตน่าเสียดายที่หลี่โม่สูญเสียความกรุณานั้นไปแล้ว และคงไม่มีทางที่จะกู้คืนกลับมาได้“แต่นั่นก็เป็นความกรุณาที่หลี่โม่ได้รับด้วยตัวเขาเอง เขาต้องการจะใช้มัยังไงก็เป็นทางเลือกของเขา บางทีอาจเป็นเพราะเขาถูกครอบครัวกดขี่ข่มเหงมานาน เลยทำแบบนั้น เพื่ออยากได้หน้าบ้าง” กู้หยุนหลานกล่าวหวังฟางเงียบไปครู่หนึ่ง แต่เ
คำพูดของกู้เจี้ยนหมินที่เตือนหวังฟางว่า เงินที่วางไว้ในบริษัทการลงทุนกำลังจะหมดอายุจริง ๆ เมื่อเป็นบริษัทด้านการลงทุนที่ได้ให้คำมั่นว่า จะมีอัตราดอกเบี้ยสูงและรายได้ของเงินฝากต่อปีมากกว่า 30%!หลังจากฟังสัญญาของบริษัทลงทุน หวังฟางก็ตาลุกวาว เธอไม่เพียงแต่นำเงินส่วนใหญ่ในครอบครัวไปใช้เท่านั้น แต่ยังจำนองบ้านและนำเงินทั้งหมดไปไว้ในวงเงินกู้ด้วยตามแผนเดิมของหวังฟาง เธอต้องฝากเงินของครอบครัวทั้งหมดเป็นเวลาหนึ่งปี และซื้อบ้านอีกหลังก็เพียงพอแล้ว เมื่อราคาบ้านสูงขึ้นในอนาคต เธอจะได้กำไรจำนวนมาก“ฉันจะไปตรวจดูพรุ่งนี้ ครอบครัวของเรากำลังจะทำเงินได้มากมาย ถ้าลูกเขยไร้ค่านั่นฉลาดกว่าฉันสักครึ่งหนึ่งคงจะดีนะ”หวังฟางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิ่มเอมใจ เธอเริ่มจินตนาการถึงการรับเงินจากการลงทุนและการซื้อบ้านในอสังหาริมทรัพย์ใจกลางเมืองแล้ว......ในเช้าตรู่ของวันต่อมา หวังฟางแต่งตัวอย่างประณีต และติดต่อเพื่อนสาวสองสามคนที่ลงทุนด้วยกัน จากนั้นก็รีบไปที่บริษัทการลงทุนหลังจากมาถึงอาคารบริษัทการลงทุนแล้ว หวังฟางและเพื่อนสาวของเธอก็งงเล็กน้อย เมื่อเห็นผู้สูงอายุจำนวนมากรวมตัวกันอยู่ที่นั่น“นี่มันอะ
ตอนนี้มีเพียงหลี่โม่เท่านั้น ที่ทำตัวเป็นคนขี้เกียจอยู่ที่บ้าน ส่วนกู้เจี้ยนหมินและกู้หยุนหลาน ไม่สามารถปล่อยให้ทั้งสองคนรู้เกี่ยวกับปัญหาการลงทุนได้ ตอนนี้จึงต้องโทรหาหลี่โม่ เพื่อรวบรวมจำนวนคนเอาไว้ก่อนหลังจากดุหลี่โม่ทางโทรศัพท์แล้ว หวังฟางก็สั่งให้หลี่โม่มาที่บริษัทลงทุน โดยห้ามบอกใครจางซุ่ยฮวาที่สวมชุดสีสันสดใสอยู่ข้าง ๆ เหลือบมองหวังฟาง และพูดอย่างดูถูกว่า “พี่หวัง คงไม่ใช่เรียกลูกเขยไร้ประโยชน์ของพี่มาหรอกใช่ไหม เรียกคนแบบนั้นมามันจะไปมีประโยชน์อะไร เวลาแบบนี้เราต้องการคนที่มีเส้นสาย”“ซุ่ยฮวาพูดถูก หวังฟาง เธอบอกตลอดไม่ใช่เหรอว่า ครอบครัวของเธอมีอิทธิพล นี่คือเวลาที่ต้องใช้อิทธิพลแล้ว ดูญาติและเพื่อนฝูงที่เรารวบรวมมาสิ พวกเขาอาจไม่มีอำนาจมากนัก แต่พวกเขายังสามารถให้ความช่วยเหลือเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้"“ทุกคนต้องร่วมมือกันในเรื่องนี้ เราไม่ควรซ่อนหรือปิดบังอะไร ฉันคิดว่านะ หวังฟาง เธอน่าจะรวบรวมคนจากตระกูลกู้ ไม่ใช่ใช้ลูกเขยที่ไร้ค่าของเธอมาหลอกพวกเรา”เพื่อนสาวของหวังฟางค่อนข้างไม่พอใจ ปกติพวกหล่อนได้แต่เห็นหวังฟางโอ้อวด แต่ตอนนี้เมื่อทุกคนทำงานหนัก หวังฟางทำได้แค่ติดต่อลูกเข
หลี่โม่เบะปาก แต่ก็ไม่ได้โต้แย้งอะไร คนพวกนี้กำลังเดือดดาลราวกับเต้นอยู่บนกองไฟ ใช้เหตุผลพูดคุยกับพวกเขาไปก็ไม่รู้เรื่อง เมื่อหันหลังกลับ หลี่โม่ก็มองดูป้ายของบริษัทการลงทุน แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความหาชูจงเทียน ให้ชูจงเทียนตรวจสอบเบื้องหลังของบริษัทการลงทุนนี้ คนที่ทำบริษัทการลงทุนอยู่ในตอนนี้ หลายคนเคยปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยสูงมาก่อน มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับพวกตำรวจ หลี่โม่คาดว่า บริษัทการลงทุนนี้ก็เช่นกัน ดังนั้นจึงหาชูจงเทียน เพราะเขาน่าจะสืบค้นข้อมูลมาได้ เรียกว่าหนีอย่างไรก็หนีไม่พ้น ขอเพียงค้นหาเบื้องหลังของอีกฝ่ายได้ ก็จะสามารถหาวิธีมาแก้ไขต้นตอของปัญหาได้แล้ว หลี่ชูเฟินเห็นหลี่โม่มองประตูใหญ่ของบริษัทการลงทุนแล้วเหม่อลอยไป ก็พูดอย่างดูถูกว่า “ดูลูกเขยโง่นี่สิ มาแล้วก็ยังไม่ช่วยคิดหาวิธีอีก มัวแต่ยืนดูประตูของบริษัทการลงทุนอยู่ได้ ดูแล้วจะมีดอกไม้งอกงามออกมา หรือจะมีเงินงอกเงยออกมาล่ะ” “หลี่โม่! มานี่ มาช่วยคิดวิธีแก้ปัญหา อย่ามัวยืนโง่อยู่ทั้งวันอย่างนั้น” หวังฟางพูดอย่างมีโทสะ ตอนนี้ลูกเขยของจางซุ่ยฮวา ฉวี่หมานก็รีบตามมา ตอนที่พบหลี่โม่ ฉวี่หมานก็รู้สึกเบิ
คังหย่งอันกดหมายเลขของคังหย่งเฉียน แล้วพูดเสียงเข้ม "หย่งเฉียน ฉันได้ยินมาว่า แกกับเหวินซินมีปัญหากันเรื่องวิลล่าบนยอดเขาเหรอ?" “พี่ใหญ่ มีปัญหากันน่ะสิ ศิษย์พี่เกิ่งยังถูกทำร้ายจนเข่าหักแล้ว! ศิษย์พี่เกิ่งติดต่อกับอาจารย์โอวหยางไปแล้ว เรื่องนี้อภัยให้ไม่ได้แน่นอน!” คังหย่งเฉียนโกรธแค้นคังเหวินซิน ถ้าไม่ใช่เพราะคังเหวินซินพาหลี่โม่ไปที่นั่น เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น แต่ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว คังหย่งเฉียนเองก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ทำได้เพียงเอาความโมโหไปลงที่คังเหวินซินเท่านั้น “หย่งเฉียน ไม่ว่ายังไงก็ตาม แกต้องรับรองความปลอดภัยของเหวินซิน ฉันไม่สนว่า อาจารย์โอวหยางพวกเขาจะทำอะไรกับเพื่อนของเหวินซิน แต่พวกเขาจะทำร้ายเหวินซินไม่ได้เด็ดขาด!” “พี่ใหญ่ ฉันไม่กล้ารับประกันหรอก รับประกันได้แค่ลูกชายของพี่จะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงตายเท่านั้น ถ้าอาจารย์โอวหยางต้องการลงโทษลูกชายของพี่จริง ๆ ฉันจะไปขวางได้ยังไง ฉันขวางไม่ได้หรอก ไม่กล้าขวางด้วย!" คังหย่งอันขมวดคิ้วแน่น หากคังหย่งเฉียนอยู่ต่อหน้าคังหย่งอันในตอนนี้ คังหย่งอันจะต้องตบเขาให้ตายคามือแน่นอน “หย่งเฉียน! แกเป็นอาข
“ไอ้บัดซบเอ๊ย! ใครกล้ามาต่อกรกับฉันโอวหยางจื้อ มันผู้นั้นจะต้องตาย!” โอวหยางจื้อพึมพำอย่างด้วยความอาฆาตแค้น แล้วสั่งให้ลูกศิษย์ไปจองตั๋วเครื่องบิน ...... คังเหวินซินมาส่งหลี่โม่และคนอื่น ๆ ที่บ้าน หลังจากมองดูทั้งสามเดินเข้าไปข้างในแล้ว จึงสตาร์ทรถและขับออกไปอย่างช้า ๆ “อาเล็กถูกจัดการจนหมดท่าแล้ว ต้องบอกพ่อสักคำไหมนะ อาเล็กจะได้ไปตีไข่ใส่สีอีก” หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง คังเหวินซินก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดหมายเลขพ่อของเขาคังหย่งอัน “ฮัลโหล พ่อครับ ผมเพิ่งจะขายวิลล่าบนยอดเขาที่สวนหนานชุ่ยให้เพื่อผมไป ขายราคาต้นทุนน่ะครับ” คังหย่งอันขมวดคิ้ว "นั่นเป็นวิลล่าที่อาเล็กของแกจะเอาไม่ใช่เหรอ แกเอาไปให้เพื่อนได้ยังไง? ผู้จัดการฝ่ายขายว่ายังไงบ้าง?" คังเหวินซินอึ้งครู่หนึ่ง รู้สึกถึงความผิดปกติในคำพูดของคังหย่งอัน "พ่อ พ่อรู้ได้ยังไงว่าอาเล็กอยากได้วิลล่านั่น?” “อาเล็กของแกเคยบอกพ่อว่า วิลล่าหลังนั้นเป็นของขวัญที่เขาจะเก็บไว้ให้กับปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ในต่างประเทศโอวหยางจื้อ แกคงเคยได้ยินเกี่ยวกับโอวหยางจื้อมาบ้างใช่ไหม? เขาเคยรับหน้าที่เป็นผู้กำกับฉากแอ็คชั่นให้กับภาพย
ในแผนกดูแลพิเศษของโรงพยาบาล คังหย่งเฉียนและคนอื่น ๆ นั่งล้อมรอบเตียง มองดูพี่เกิ่งค่อย ๆ ฟื้นคืนสติ เข่าที่หักของพี่เกิ่งได้รับการผ่าตัดแล้ว แต่หลังการผ่าตัด พี่เกิ่งจะได้แต่นั่งอยู่บนรถเข็นเท่านั้น “ซี๊ด ขากับเข่าฉันเป็นยังไงบ้าง?” พี่เกิ่งถามอย่างร้อนใจ “ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวล ผ่าตัดเสร็จแล้ว เพียงแต่ระดับการรักษาของที่นี่ยังต่ำไปหน่อย หลังจากฟื้นตัวแล้วพี่ต้องนั่งรถเข็น” คังหย่งเฉียนพูดเสียงเบาหวิว “ไอ้บัดซบ! ฉันไม่อยากนั่งรถเข็น! ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้!” พี่เกิ่งคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว รู้สึกเลวร้ายไปทั้งร่างกาย ชีวิตบนรถเข็น ไม่ใช่ชีวิตที่พี่เกิ่งต้องการเลย ถ้าต้องนั่งรถเข็นแล้ว ต่อไปจะฝึกศิลปะการต่อสู้ หรือออกไปรังแกคนอื่นอย่างไร แล้วจะไปจีบสาว ๆ ได้อย่างไร! “ฉันจะย้ายโรงพยาบาล ฉันจะไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลที่ดีที่สุด!” “พี่เกิ่งอย่าเพิ่งตื่นตูม หมอบอกว่า รอพี่ฟื้นตัวดีแล้ว ก็สามารถทำการผ่าตัดครั้งที่สองในโรงพยาบาลที่ดีกว่านี้เพื่อเปลี่ยนข้อต่อเทียมได้” คังหย่งเฉียนปลอบใจพี่เกิ่งไปพลางก็ขยิบตาให้กับพวกพี่น้องคนอื่น ๆ ส่งสัญญาณให้พวกเขารีบมาช่วยกันโน้มน้าว ศิษย์พี่ห
พี่เกิ่งร้องโหยหวนออกมา รู้สึกว่าขาซ้ายพลิกกลับไปด้านหลัง พลันสูญเสียการทรงตัวและล้มหงายไปข้างหลังทันที พลั่ก พี่เกิ่งล้มหงายลงกับพื้น ปากก็ร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา คังหย่งเฉียนถูกกระตุ้นด้วยเสียงร้องของพี่เกิ่งจนตัวสั่นไปทั้งตัว เสียงวิ้ง ๆ ที่ดังอยู่ในหัวยิ่งชัดเจนขึ้นมาทันใด คังหย่งเฉียนกุมใบหน้าที่บวมแดงไปครึ่งหนึ่งมองไปทางศิษย์พี่เกิ่ง ดวงตาของคังหย่งเฉียนก็แทบจะหลุดออกจากเบ้า ศิษย์พี่เกิ่งที่คังหย่งเฉียนเคยคิดว่า แข็งแกร่งไร้เทียมทานนั้น ตอนนี้กำลังร้องคร่ำครวญราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังจะตาย เมื่อมองขาขวาของพี่เกิ่งหักงอในองศาที่ผิดธรรมชาติ คังหย่งเฉียนก็รู้สึกว่า เลือดทั่วร่างกายเย็นเฉียบขึ้นมา นี่เป็นเรื่องที่มนุษย์สามารถทำได้อย่างนั้นเหรอ? นี่เป็นผลลัพธ์ที่สามารถใช้กำปั้นทำได้เหรอ? นี่มันซูเปอร์ไซย่าในตำนานหรืออย่างไรกัน?! พวกศิษย์น้องของพี่เกิ่งหลายคนต่างหวาดกลัวกับความเผด็จการของหลี่โม่ ทั้งกลุ่มพลันหมดความโอหังไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาลากพี่เกิ่งขึ้นมาจากพื้นแล้ววิ่งตะบึงออกไปข้างนอกอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่คำพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในที่นี้คือศิษย์
คังเหวินซินรออยู่สามวินาที แต่ละวินาทีราวกับยาวนานเป็นปี รออยู่นานฝ่ามือของพี่เกิ่งก็ยังไม่ตบลงมาสักที คังเหวินซินจึงลืมตาขึ้น เมื่อเอียงหน้ามองเห็นฝ่ามือของพี่เกิ่งอยู่ห่างจากหน้าตนแค่เฉียดฉิว หัวใจของคังเหวินซินแทบจะกระโดดออกมาจากปาก หลังจากที่เห็นข้อมือของพี่เกิ่งถูกหลี่โม่คว้าไว้ คังเหวินซินถึงได้รู้สึกว่า หัวใจของตัวเองกลับเข้าที่ได้แล้ว คังเหวินซินที่สงบลงแล้ว รีบถอยไปหลบด้านหลังหลี่โม่ แล้วร้องตะโกนด้วยน้ำตาแห่งความซาบซึ้ง "อาจารย์!" “นายอย่าร้องไห้น่าสมเพชนักสิ มันทำฉันขายหน้านะ” หลี่โม่พูดด้วยรอยยิ้ม คังเหวินซินตะลีตะลานเช็ดเบ้าตา ไม่ยอมให้ตัวเองร้องไห้ออกมา พี่เกิ่งจ้องมองหลี่โม่อย่างโมโห แอบพยายามดึงข้อมือของตัวเองกลับมาอย่างลับ ๆ แต่ไม่ว่าพี่เกิ่งจะพยายามออกแรงแค่ไหน มือของหลี่โม่ก็ราวกับคีมปากเสือหนีบข้อมือของพี่เกิ่งเอาไว้แน่น จนข้อมือของพี่เกิ่งไม่มีทางสลัดหลุดได้เลย “ปล่อยมือฉัน!” พี่เกิ่งตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยว “แกบอกให้ปล่อยก็ต้องปล่อยเหรอ? แกน่าจะอธิบายเรื่องที่จะลงไม้ลงมือกับลูกศิษย์ฉันเมื่อกี้นี้มาสักหน่อยไหม?” หลี่โม่พูดอย่างเย็นชา คังเหวินซินส
กู้หยุนหลานมองไปยังหลี่โม่อย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นหลี่โม่ขยิบตาให้ เธอจึงไม่พูดอะไรและเก็บความสงสัยไว้ในใจ ผู้จัดการหวังโบกมือให้พนักงานขายสาว พนักงานสาวที่ถือสัญญาอยู่แล้วเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ผู้จัดการหวัง นี่เป็นสัญญาของวิลล่ายอดเขาค่ะ แต่ราคานี้มัน…” สีหน้าของพนักงานสาวดูบูดเบี้ยวเล็กน้อย ถ้าขายวิลล่านี้ออกไปในราคาต้นทุน เธอคงไม่ได้รับค่าคอมมิชชั่นเลยสักแดง! ที่ผ่านมาเศรษฐีในเมืองฮั่นจำนวนมากต่างก็ถูกใจวิลล่าแห่งนี้ แต่เพราะมีการปิดกั้นการซื้อขาย เลยไม่ได้ขายอย่างเป็นทางการ เดิมทีพวกพนักงานสาวนั้นเตรียมพร้อมที่จะทำกำไรมหาศาลด้วยการขายวิลล่าหลังนี้หลังจากที่เปิดการขายแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ความฝันของพวกเธอกำลังจะมลายหายไปซะแล้ว “พวกเธอมีสิทธิ์พูดงั้นเหรอ? นี่คือการตัดสินใจของคุณชายใหญ่!” ผู้จัดการหวังตำหนิพนักงานขายสาว พนักงานสาวหดคอและปิดปากเงียบไม่กล้าพูดอีก ผู้จัดการหวังเปิดสัญญาตรวจดู หลังจากยืนยันความถูกต้องแล้ว เขาก็ถือสัญญาเดินไปหาหลี่โม่ “อ่านสัญญาดูก่อนนะครับ หากไม่มีปัญหาอะไร เราจะไปเซ็นสัญญาที่สำนักงานของผมกัน ผมไม่สามารถนำตราประทับอะไรพวกนั้นพกติดต
“คุณชาย อย่ามาขู่ผมเลยครับ ผมไม่กลัวหรอกนะ สิ่งที่ผมพูดไปเมื่อครู่ล้วนมีเหตุมีผล หากไม่เชื่อก็ถามซินแสที่มาดูฮวงจุ้ยให้ได้เลยครับ คำพูดพวกนี้เขาเป็นคนพูดเองกับปากทั้งนั้น” ผู้จัดการหวังแข็งขืน ไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย หลี่โม่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม "เหวินซิน อย่าหุนหันพลันแล่น ผู้จัดการหวังพูดถูกแล้ว คนที่โชคชะตาบารมีไม่ถึง ไม่มีทางข่มพลังฮวงจุ้ยอันยอดเยี่ยมได้แน่นอน” คังเหวินซินพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม "อาจารย์พูดถูกแล้วครับ แต่ด้วยบารมีของอาจารย์ จะต้องสามารถข่มมันได้อย่างแน่นอน พวกเรามาดูกันดีกว่า ที่นี่ล้วนได้รับการตกแต่งอย่างดี คุณหิ้วกระเป๋าเข้ามาอยู่ได้เลย เหลือแค่ดูว่าวิลล่าหลังนี้ถูกใจคุณหรือเปล่าก็พอครับ” เมื่อเห็นคังเหวินซินพยายามเอาอกเอาใจหลี่โม่ ผู้จัดการหวังก็เกิดความสงสัยเล็กน้อย หรือว่าตนจะมองผิดไป? ผู้ชายที่สวมเสื้อผ้าแผงลอยทั้งตัวคนนี้ เป็นคุณชายเศรษฐีที่มาลองสัมผัสประสบการณ์ชีวิตงั้นเหรอ? ไม่อย่างนั้นทำไมคุณชายของตนถึงได้ไปประจบเอาใจเขาขนาดนี้กัน? “คุณชาย ท่านนี้คืออาจารย์ของคุณเหรอครับ?” ผู้จัดการหวังถามอย่างสงสัย “นี่คืออาจารย์ของฉันหลี่โม่ นายสุภาพกับอาจารย์ของฉัน
“ไอ้สารเลวคนไหนไม่ดูตาม้าตาเรือ กล้ามาแย่งวิลล่าของอาจารย์ พวกแกยังมัวแต่กินอะไรกันอีก ไปดูด้วยกัน จัดการไอ้พวกสารเลวนั่นซะ” “ศิษย์พี่เกิ่งพูดถูก พวกเราทุกคนต้องไปดูด้วยกัน บ้านของอาจารย์ต้องดีที่สุดเท่านั้น จะผิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว” ศิษย์พี่เกิ่งและคนอื่น ๆ พากันลุกขึ้นทีละคน เมื่อเห็นเช่นนี้คังหย่งเฉียนก็เรียกให้พนักงานคิดเงินทันที แล้วจึงพาพวกของศิษย์พี่เกิ่งมุ่งตรงไปยังสวนหนานชุ่ย ... รถเมอร์เซเดสเบนซ์ขับเข้าไปในสวนหนานชุ่ย และขับตรงไปตามทางขึ้นยอดเขา ใกล้กับยอดเขาของเขาหนานชุ่ยนั้นมีที่ราบอยู่บริเวณหนึ่ง ที่ราบนี้ถูกนำมาใช้สร้างวิลล่า พร้อมทั้งปลูกต้นไม้พืชพรรณเขียวชอุ่มรอบ ๆ วิลล่าอีกด้วย ด้านหน้าวิลล่ายังมีลำธารที่ไหลมาจากยอดเขา ทำให้ฮวงจุ้ยของวิลล่านี้ยอดเยี่ยมมากไร้ที่ติ หน้าน้ำหลังเขา ตำแหน่งปากมังกรจัดวางฮวงจุ้ยอย่างดี ทำให้วิลล่าบนยอดเขาหลังนี้เลิศล้ำไม่มีใครเทียม รถเมอร์เซเดสเบนซ์จอดสนิทหน้าประตูวิลล่ายอดเขา ผู้จัดการหวังและพนักงานขายสาวสองคนยืนรอที่ประตูวิลล่าอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นรถเบนซ์จอดนิ่ง ผู้จัดการหวังก็รีบวิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปช่วยเปิดประตูรถ
ผู้จัดการหวังหยิบบุหรี่ออกมาคาบที่มุมปาก เตรียมจะสูบบุหรี่เพื่อสงบสติอารมณ์ คำขอของคังเหวินซินทำให้ผู้จัดการหวังตั้งตัวไม่ติด การจะดูบ้านมันไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าอีกฝ่ายถูกใจขึ้นมาจริง ๆ จะทำอย่างไรล่ะ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องราคาต้นทุนหรือเปล่า ถ้าคังหย่งเฉียนเข้ามาครอบครองวิลล่าหลังนี้ เขาก็คงไม่ได้เงินเลยสักแดงเดียว พอนึกถึงคังหย่งเฉียนขึ้นมาผู้จัดการหวังรู้สึกปวดจี๊ด ๆ ขึ้นมา เจ้านั่นเป็นปีศาจเจ้าสำราญแห่งตระกูลคัง วัน ๆ เอาแต่เกียจคร้าน กินดื่มเที่ยวเล่น ยิ่งกว่านั้นยังคบค้ากับพวกอันธพาล ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสตระกูลคังก็ยังถูกคังหย่งเฉียนยั่วโมโหจนเส้นเลือดในสมองตีบ แทบทุกคนในตระกูลคังล้วนทำเป็นไม่สนใจคังหย่งเฉียน ตราบใดที่คังหย่งเฉียนไม่ได้ก่อปัญหา ก็ไม่มีใครสนใจว่า คังหย่งเฉียนจะทำอะไร ถ้าหากยกวิลล่าให้เพื่อนของคังเหวินซินจริง ๆ คังหย่งเฉียนคงจะพาคนมาสับเขาเป็นชิ้น ๆ ถึงที่แน่ หลังจากสูบบุหรี่หมดมวน ผู้จัดการหวังก็ขยี้ก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ รู้สึกว่ายังไงก็ควรแจ้งให้คังหย่งเฉียนรู้สักหน่อย ส่วนคังหย่งเฉียนจะต่อสู้กับคังเหวินซินอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องระหว่างพวกเขา