“แน่นอนครับ คุณกู้หยุนหลานมีความสามารถ ฉลาด และยังมีความชื่นชอบเรื่องเปียโน ผมจึงอยากรับคุณเอาไว้ เพื่อมาเป็นลูกศิษย์น่ะครับ” คุณโจ ฮิซาอิชิกล่าวด้วยรอยยิ้มกู้หยุนหลานมีความสุขจนแทบจะเป็นลมคุณโจ ฮิซาอิชิต้องการรับเธอเป็นลูกศิษย์!จนกระทั่งออกมาจากห้องรับรอง กู้หยุนหลานยังคงรู้สึกเหมือนฝันไป เธอจึงพูดกับจินช่านน่าว่า “นาน่า ฉันไม่ได้ฝันใช่ไหม? ตอนนี้ฉันเป็นนักเรียนของคุณโจ ฮิซาอิชิแล้ว”จินช่านน่ายังพูดด้วยความอิจฉา “ไม่เลย ไม่เลยสักนิด นี่เป็นเรื่องจริง แต่เธอไม่คิดว่ามันแปลกไปหน่อยเหรอ? คุณโจ ฮิซาอิชิ ไม่รับนักเรียนมาห้าปีแล้วนะ ทำไมเขาถึงรับเธอเป็นนักเรียนเอาตอนนี้ล่ะ? ยังไม่รวมเรื่องบัตรเชิญนั่นอีก จะอธิบายยังไงล่ะ?”เมื่อกู้หยุนหลานคิดตามคำถามนี้เท่านั้น การแสดงออกของเธอก็ต่างไปจากเดิมทันที เธอกลับมาสงสัยมาก พร้อมส่ายหัวแล้วพูดว่า “ถ้ามันไม่ได้มาจากฉวีเทียนไห่ แล้วใครเป็นคนส่งมาล่ะ?”“นี่ กู้หยุนหลาน เธอบอกฉันมานะว่า เธอแอบไปไปมีกิ๊กกับคนรวยที่ไหนหรือเปล่า?” จินช่านน่าแกล้งถามเชิงล้อทำให้กู้หยุนหลานเขินจนหน้าแดง เธอพูดว่า “อย่าพูดไร้สาระสิ ฉันเป็นคนแบบนั้นเหรอ?”ทั้งสองเง
บรรยากาศเงียบสงัด!กู้หยุนหลานเหยียบรองเท้าส้นสูงและเดินไปจนสุดทาง สายตาของเธอจ้องไปที่หลินชิงหาน พร้อมกับยิ้มและพูดว่า “ขอโทษนะคะ ผู้จัดการหลิน ฉันขอรบกวนคุณสักครู่ค่ะ พอดีมีเรื่องจะถามนิดหน่อยค่ะ”หลินชิงหานรู้สึกสงสัย ใบหน้าของเธอก็ดูงง ๆ ไปด้วย ทำไมคุณกู้ถึงกลับมาอย่างกะทันหันแบบนี้?หรือว่าจะเป็นเรื่องคุณหลี่...เมื่อหันไปมอง หลินชิงหานก็ประหลาดใจ ด้านหลังของเธอไม่มีหลี่โม่แล้ว มีแค่หน้าต่างและม่านที่เปิดอยู่ นอกจากนั้น เฉียวเจิ้งหลงก็กำลังยืนชื่นชม คุณโจ ฮิซาอิชิด้วยใบหน้าที่แสดงความรู้สึกทึ่งกู้หยุนหลานหันกลับมา และยิ้มให้ คุณโจ ฮิซาอิชิเล็กน้อย “อาจารย์คะ”คุณโจ ฮิซาอิชิโล่งใจ เขาหันหน้าไปยิ้มให้กู้หยุนหลาน“ท่าน… ท่านเฉียว” กู้หยุนหลานเห็นเฉียวเจิ้งหลงยืนอยู่ข้าง ๆ และวันนี้เธอก็ได้พบเขาที่นี่เฉียวเจิ้งหลงก็ยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับพยักหน้า แล้วหยิบแก้วไวน์แดงขึ้นมาพูดว่า “พวกคุณคุยกันไปนะครับ ผมขอตัวไปสูบบุหรี่สักหน่อย”พูดจบ เขาก็เดินไปที่หน้าต่างที่เปิดอยู่ มองลงไป ก็เห็นผู้ชายรูปหล่อหันมายิ้มให้หวาดเสียวมาก!ทักษะของคุณหลี่นี่ ช่างน่าหวาดเสียวจริง ๆ !นี่ชั้น 3 ข
หลี่โม่ผงะ เขายิ้มมุมปาก พร้อมแตะที่หน้าผากของกู้หยุนหลาน แล้วพูดว่า “ก็ไม่มีไข้นะ ทำไมจู่ ๆ ถึงมาถามอะไรแบบนี้ล่ะ บัตรนั่นไม่ใช่ของฉวีเทียนไห่หรอกเหรอ?”อารมณ์ร้อนของกู้หยุนหลายก็ถูกระบายออกมา ดวงตาของเธอค่อย ๆ หรี่ลง และเธอก็ปล่อยมือของหลี่โม่นั่นน่ะสิ นี่เธอคิดอะไรอยู่?จะเป็นหลี่โม่ได้อย่างไร?กู้หยุนหลานดูเหม่อลอย และเหนื่อยล้า เธอพูดว่า "ไม่เป็นไร ฉันแค่เหนื่อยนิดหน่อยน่ะ ฉันไปพักผ่อนก่อนนะ"หลี่โม่มองตามหลังของกู้หยุนหลาน และถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้‘หยุนหลาน ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากบอกคุณนะ เพียงแต่ว่าผมมีเรื่องที่พูดไม่ได้เหมือนกัน’‘แดนมังกร ปัญหาทั้งภายในและภายนอก ผมไม่อยากจะลากคุณเข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้’‘เมื่อผมมีกำลังอำนาจพอที่จะปกป้องคุณและซีซี ผมจะบอกคุณทุกอย่างเอง’วันรุ่งขึ้น หวังฟางนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น และพูดคุยกับกู้เจี้ยนหมินเรื่องการนัดบอดให้กู้หยุนหลานบนโต๊ะกาแฟ มีรูปถ่ายมากมายที่เธอได้มาจากบริษัทจัดหาคู่ทั้งหมดล้วนเป็นผู้มีฐานะในเมืองฮั่น“นี่ คุณดูรูปพวกนี้สิ พวกเขาทั้งหล่อ ทั้งมีความสามารถมาก มาจากครอบครัวที่ดี และพวกเขาก็มีฐานะการเงินดีด้วย”“ยังม
ใบหน้าของกู้หยุนหลานเริ่มชา เมื่อได้ยินเรื่องนี้และพูดอย่างกังวลว่า “แม่คะ นี่แม่พูดอะไร? ทำไมถึงได้มีอคติกับหลี่โม่นัก?”ขณะพูด กู้หยุนหลานถือของเข้าไป เธอเหลือบมองหลี่โม่พร้อมส่งสายตาทำทีว่าอย่าโกรธเลยนะหวังฟางโกรธ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาอยู่กับพี่สาวคนโตในทุกวันนี้ เธอรู้สึกอึดอัดมากทุกครั้งที่ถูกล้อเลียนเรื่องหลี่โม่ทำไมเธอต้องทนกับเรื่องคนที่ไร้ประโยชน์อย่างหลี่โม่ด้วย!พูดง่าย ๆ คือ เธอไม่เคยทำดีกับหลี่โม่ เธอทั้งตวาดใส่เขา ทั้งสบถด้วยแววตาที่ดุร้าย “ดูมันสิ มองดูกี่ที ก็ทำหน้าอย่างกับคนตาย แบบนี้จะให้ฉันรับได้ยังไง?”หลังจากนั้น เธอก็พูดกับกู้หยุนหลาน “ลูกสาว ทำไมแกไม่ฟังแม่บ้าง? หลี่โม่สภาพแบบนี้ แกก็ไม่ใช่ไม่รู้ แล้วจะทนอยู่กับเขาไปทำไมกัน อยากเสียเวลาไปทั้งชีวิตเหรอ? ฟังนะ ทั้งหมดนี่เป็นนัดบอดที่แม่หามาให้ พรุ่งนี้ลองไปดู ถ้าไม่ดีจริง ๆ ฉวีเทียนไห่ก็เป็นตัวเลือกที่ดีนะ”เมื่อได้ยินเช่นนี้ หัวใจของหลี่โม่ก็เต้นแรงมากทีเดียว เขาแอบกำหมัด และสีหน้าของเขาก็เย็นชาเล็กน้อยอย่างไรก็ตาม หวังฟางก็ไม่สนใจเลยสักนิด แถมยังพูดว่า “หยุนหลาน แกฟังฉันบ้างได้ไหม? รีบตัดความสัมพันธ
เขาออมเงินห้าแสนบาทไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?เมื่อหวังฟางมองที่บัตรนั้น ใจของเธอก็กระวนกระวายเช่นกันในบัตรธนาคารของหลีโม่ใบนี้ มีอยู่ห้าแสนบาทจริง ๆ หรือ?เมื่อคิดว่าหลี่โม่ทำแบบนี้ เพื่อให้เกียรติเธอ ฉะนั้นก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะไม่ยอมรับบัตรใบนี้เธอหยิบบัตรขึ้นมาและพูดอย่างเสแสร้งว่า “เงินจำนวนนี้ควรเป็นเงินเราอยู่แล้ว เพื่อให้เกียรติแม่ยายและพ่อตาของแก หยุนหลาน แกไม่สังเกตเลยเหรอ หลี่โม่ซื้อ หรือมอบอะไรให้แม่กับพ่อบ้างในช่วงสี่ปีที่ผ่านมา? ถ้าใบนี้มีห้าแสนจริง ๆ ก็ไม่พอใช้หนี้พ่อกับแม่ตลอดสี่ปีที่ผ่านมาหรอก!”พอหยิบบัตรขึ้นมา หวังฟางก็รู้สึกว่าอย่างไรมันก็ต้องเป็นของเธออยู่แล้วเมื่อถึงจุดนี้ หวังฟางคิดว่าด่าไปก็เท่านั้น เธอจึงเลือกที่จะเพิกเฉยต่อหลี่โม่ บรรยากาศภายในห้องเริ่มตึงเครียดหลี่โม่เหลือบมองแล้วพูดว่า “ผมไปทำอาหารกลางวันก่อนนะครับ”หวังฟางจ้องมองเขา โดยไม่พูดอะไร คิดอะไรอยู่พักหนึ่ง เธอหยิบกระเป๋าของเธอขึ้นมาและลองตรวจสอบดูว่าบัตรที่หลี่โม่มอบให้นั้นมีมูลค่าห้าแสนบาทจริง ๆ หรือไม่ถ้าโกหกล่ะก็ กลับมาจะไล่ตะเพิดให้รู้แล้วรู้รอด!นี่ทำให้หลี่โม่ที่ทำอาหารมื้อเที่ยงอย
หวังฟางงงเป็นไก่ตาแตก!แทบยืนไร้ลมหายใจและไร้ซึ่งคำพูดใด ๆ !สะ… แสนล้านอย่างนั้นเหรอ?!สะอึก...หวังฟางหน้ามืด จนเป็นลมล้มลงกับพื้น เธอชักอยู่ตรงนั้น!ตอนนี้เอง ผู้คนจำนวนมากมุงดูเธอกันเพียบ“แย่แล้ว นี่โรคล้มบ้าหมูกำเริบ โทรเรียกรถพยาบาลเร็ว!”“ไปเรียกคนมาช่วยเร็ว!”“อาการนี้ไม่ค่อยรุนแรงเท่าไหร่นัก ฉันพอสังเกตได้…”ไม่นาน พนักงานธนาคารและรปภ.ก็เข้ามาช่วยประคองหวังฟางไปนั่งพัก ลมชักกำเริบแบบนี้ ต้องพาจิบน้ำเสียหน่อยในที่สุด พอหวังฟางตื่นขึ้น มือของเธอก็ยังสั่น ตาลอย และเธอก็ชี้ไปที่เครื่องกดเงินสด พร้อมกับพึมพำ “สะ… แสนล้าน”บรรดาผู้ที่เห็นเหตุการณ์ต่างตกตะลึงและมองหน้ากันในทันทีผู้หญิงคนนี้บ้าไปแล้วเหรอ?แสนล้านอะไรกัน?ในเวลานี้ หลี่โม่และกู้หยุนหลานก็รีบเข้าไปพวกเขาได้รับโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่ธนาคาร และได้แจ้งที่อยู่ให้ทราบ“แม่คะ แม่เป็นอะไรไหม? ไม่เป็นไรแล้วนะ เดี๋ยวหนูพาแม่ไปโรงพยาบาลเอง”กู้หยุนหลานวิ่งเข้ามาและนั่งยอง ๆ ตรงหน้าหวังฟาง พร้อมกับจับมือของหล่อนด้วยความกังวลอย่างไรหวังฟางก็เป็นแม่ แม้ว่าจะทะเลาะกันบ้าง แต่สายสัมพันธ์แม่ลูกก็ยังคงแข็งแกร่งเม
“ให้ตายสิ ฉันได้ยินไม่ผิดใช่ไหม แสนล้านเหรอ?”“ป้าคนนี้ดูเหมือนจะป่วยนิด ๆ นะ เธอมีอาการประสาทหลอนหรือเปล่านะ”“ดูเหมือนจะมีอาการทางประสาทนะ ทุกคนแยกย้ายกันได้แล้ว หนูจ๊ะ ส่งแม่ของหนูไปโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุดจะดีกว่านะ ไม่น่าจะมีอะไรร้ายแรง รักษาแต่เนิ่น ๆ คงจะหายดี”ผู้คนรอบ ๆ ต่างออกความเห็น เพราะปกติแล้วพวกเขาจะไม่เชื่อเรื่องตลกที่ผู้หญิงบ้าพูดถึงเงินแสนล้านทุกคนคิดว่าหวังฟางเป็นโรคทางประสาทแม้แต่พนักงานธนาคารก็ส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้ จนต้องหันไปทำงานต่อหวังฝางร้อนรนและตะโกนบอกฝูงชนตรงหน้า “มันมีเงินแสนล้านจริง ๆ นะ ฉันไม่ได้โกหก บัตรใบนี้ยังอยู่ในมือของฉันอยู่เลย”หวังฟางที่ปกติดี ถูกทุกคนมองว่าเป็นโรคประสาทไปเสียแล้ว ดังนั้นเธอจึงต้องรีบปฏิเสธเมื่อเธอลุกขึ้น ก็จ้องมองไปทีละคน เธอบอกว่าเธอในบัตรนี้มีเงินอยู่แสนล้านกู้หยุนหลานปวดหัวมาก พอฟังหวังฟางพูด เธอก็พยายามเกลี้ยกล่อม “แม่คะ อย่าพูดเรื่องไร้สาระเลย กลับบ้านกันเถอะ มีเงินแสนล้านที่ไหนล่ะ แม่เข้าใจผิดแล้ว”หวังฟางปฏิเสธ สะบัดมือออกจากกู้หยุนหลาน แล้ววิ่งเหยาะ ๆ ไปที่หลี่โม่ และมองไปที่เขาอย่างกระตือรือร้น เธอพูดว่า
“คุณผู้ชายคะ กรุณารอสักครู่ ดิฉันจะติดต่อผู้จัดการให้เดี๋ยวนี้เลยค่ะ”หญิงสาวที่เคาน์เตอร์เพิ่งกลับมาได้สติ เธอก้มตัวโค้งคำนับทันที แล้วเดินโซเซวิ่งไปที่ห้องผู้จัดการยังไม่ทันได้เคาะประตู เธอก็พรวดเข้าไปในห้องทำงาน และตะโกนว่า “ผู้จัดการคะ เกิดเรื่องแล้วค่ะ!”เฉาเจิ้น ผู้จัดการธนาคาร กำลังพลอดรักกับคนรักของเขาในสำนักงาน และคนรักของเขาเองก็เป็นพนักงานฝากถอนประจำล็อบบี้ของธนาคารด้วยโจวเสวี่ยบุกเข้าไปโดยบังเอิญ เธอจึงรีบหันหลังและเดินจากไป “ขอโทษทีนะคะ งั้นฉันจะออกไปก่อน”ใบหน้าของเฉาเจิ้นขรึมลง และเขาบอกให้พนักงานหญิงคนดังกล่าว ออกไปรอที่โต๊ะของเขา แล้วพูดอย่างนิ่งเฉย “โจวเสวี่ย อะไรจะวุ่นวายขนาดนั้น คุณไม่รู้เหรอว่าข้อบังคับข้อที่ 13 ของพนักงานคืออะไร?”โจวเสวี่ยกลัวมาก เธอก้มศีรษะลงและกล่าวขอโทษทันทีพนักงานสาวของเขาก็สวมเสื้อผ้าเรียบร้อย จากนั้นก็เดินผ่านโจวเสวี่ยไปอย่างเหยียด ๆ “ว่ามา เกิดอะไรขึ้น?” เฉาเจิ้นดูอารมณ์เสียมาก เขาจึงสูบบุหรี่ เนื่องจากถูกขัดจังหวะ เขารู้สึกอึดอัดมากโจวเสวี่ยรีบก้าวไปข้างหน้า และพูดว่า “ผู้จัดการคะ มีลูกค้ารายใหญ่อยู่ข้างนอก และมีเงินฝากอยู่ใ