ใบหน้าของกู้หยุนหลานเริ่มชา เมื่อได้ยินเรื่องนี้และพูดอย่างกังวลว่า “แม่คะ นี่แม่พูดอะไร? ทำไมถึงได้มีอคติกับหลี่โม่นัก?”ขณะพูด กู้หยุนหลานถือของเข้าไป เธอเหลือบมองหลี่โม่พร้อมส่งสายตาทำทีว่าอย่าโกรธเลยนะหวังฟางโกรธ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาอยู่กับพี่สาวคนโตในทุกวันนี้ เธอรู้สึกอึดอัดมากทุกครั้งที่ถูกล้อเลียนเรื่องหลี่โม่ทำไมเธอต้องทนกับเรื่องคนที่ไร้ประโยชน์อย่างหลี่โม่ด้วย!พูดง่าย ๆ คือ เธอไม่เคยทำดีกับหลี่โม่ เธอทั้งตวาดใส่เขา ทั้งสบถด้วยแววตาที่ดุร้าย “ดูมันสิ มองดูกี่ที ก็ทำหน้าอย่างกับคนตาย แบบนี้จะให้ฉันรับได้ยังไง?”หลังจากนั้น เธอก็พูดกับกู้หยุนหลาน “ลูกสาว ทำไมแกไม่ฟังแม่บ้าง? หลี่โม่สภาพแบบนี้ แกก็ไม่ใช่ไม่รู้ แล้วจะทนอยู่กับเขาไปทำไมกัน อยากเสียเวลาไปทั้งชีวิตเหรอ? ฟังนะ ทั้งหมดนี่เป็นนัดบอดที่แม่หามาให้ พรุ่งนี้ลองไปดู ถ้าไม่ดีจริง ๆ ฉวีเทียนไห่ก็เป็นตัวเลือกที่ดีนะ”เมื่อได้ยินเช่นนี้ หัวใจของหลี่โม่ก็เต้นแรงมากทีเดียว เขาแอบกำหมัด และสีหน้าของเขาก็เย็นชาเล็กน้อยอย่างไรก็ตาม หวังฟางก็ไม่สนใจเลยสักนิด แถมยังพูดว่า “หยุนหลาน แกฟังฉันบ้างได้ไหม? รีบตัดความสัมพันธ
เขาออมเงินห้าแสนบาทไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?เมื่อหวังฟางมองที่บัตรนั้น ใจของเธอก็กระวนกระวายเช่นกันในบัตรธนาคารของหลีโม่ใบนี้ มีอยู่ห้าแสนบาทจริง ๆ หรือ?เมื่อคิดว่าหลี่โม่ทำแบบนี้ เพื่อให้เกียรติเธอ ฉะนั้นก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะไม่ยอมรับบัตรใบนี้เธอหยิบบัตรขึ้นมาและพูดอย่างเสแสร้งว่า “เงินจำนวนนี้ควรเป็นเงินเราอยู่แล้ว เพื่อให้เกียรติแม่ยายและพ่อตาของแก หยุนหลาน แกไม่สังเกตเลยเหรอ หลี่โม่ซื้อ หรือมอบอะไรให้แม่กับพ่อบ้างในช่วงสี่ปีที่ผ่านมา? ถ้าใบนี้มีห้าแสนจริง ๆ ก็ไม่พอใช้หนี้พ่อกับแม่ตลอดสี่ปีที่ผ่านมาหรอก!”พอหยิบบัตรขึ้นมา หวังฟางก็รู้สึกว่าอย่างไรมันก็ต้องเป็นของเธออยู่แล้วเมื่อถึงจุดนี้ หวังฟางคิดว่าด่าไปก็เท่านั้น เธอจึงเลือกที่จะเพิกเฉยต่อหลี่โม่ บรรยากาศภายในห้องเริ่มตึงเครียดหลี่โม่เหลือบมองแล้วพูดว่า “ผมไปทำอาหารกลางวันก่อนนะครับ”หวังฟางจ้องมองเขา โดยไม่พูดอะไร คิดอะไรอยู่พักหนึ่ง เธอหยิบกระเป๋าของเธอขึ้นมาและลองตรวจสอบดูว่าบัตรที่หลี่โม่มอบให้นั้นมีมูลค่าห้าแสนบาทจริง ๆ หรือไม่ถ้าโกหกล่ะก็ กลับมาจะไล่ตะเพิดให้รู้แล้วรู้รอด!นี่ทำให้หลี่โม่ที่ทำอาหารมื้อเที่ยงอย
หวังฟางงงเป็นไก่ตาแตก!แทบยืนไร้ลมหายใจและไร้ซึ่งคำพูดใด ๆ !สะ… แสนล้านอย่างนั้นเหรอ?!สะอึก...หวังฟางหน้ามืด จนเป็นลมล้มลงกับพื้น เธอชักอยู่ตรงนั้น!ตอนนี้เอง ผู้คนจำนวนมากมุงดูเธอกันเพียบ“แย่แล้ว นี่โรคล้มบ้าหมูกำเริบ โทรเรียกรถพยาบาลเร็ว!”“ไปเรียกคนมาช่วยเร็ว!”“อาการนี้ไม่ค่อยรุนแรงเท่าไหร่นัก ฉันพอสังเกตได้…”ไม่นาน พนักงานธนาคารและรปภ.ก็เข้ามาช่วยประคองหวังฟางไปนั่งพัก ลมชักกำเริบแบบนี้ ต้องพาจิบน้ำเสียหน่อยในที่สุด พอหวังฟางตื่นขึ้น มือของเธอก็ยังสั่น ตาลอย และเธอก็ชี้ไปที่เครื่องกดเงินสด พร้อมกับพึมพำ “สะ… แสนล้าน”บรรดาผู้ที่เห็นเหตุการณ์ต่างตกตะลึงและมองหน้ากันในทันทีผู้หญิงคนนี้บ้าไปแล้วเหรอ?แสนล้านอะไรกัน?ในเวลานี้ หลี่โม่และกู้หยุนหลานก็รีบเข้าไปพวกเขาได้รับโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่ธนาคาร และได้แจ้งที่อยู่ให้ทราบ“แม่คะ แม่เป็นอะไรไหม? ไม่เป็นไรแล้วนะ เดี๋ยวหนูพาแม่ไปโรงพยาบาลเอง”กู้หยุนหลานวิ่งเข้ามาและนั่งยอง ๆ ตรงหน้าหวังฟาง พร้อมกับจับมือของหล่อนด้วยความกังวลอย่างไรหวังฟางก็เป็นแม่ แม้ว่าจะทะเลาะกันบ้าง แต่สายสัมพันธ์แม่ลูกก็ยังคงแข็งแกร่งเม
“ให้ตายสิ ฉันได้ยินไม่ผิดใช่ไหม แสนล้านเหรอ?”“ป้าคนนี้ดูเหมือนจะป่วยนิด ๆ นะ เธอมีอาการประสาทหลอนหรือเปล่านะ”“ดูเหมือนจะมีอาการทางประสาทนะ ทุกคนแยกย้ายกันได้แล้ว หนูจ๊ะ ส่งแม่ของหนูไปโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุดจะดีกว่านะ ไม่น่าจะมีอะไรร้ายแรง รักษาแต่เนิ่น ๆ คงจะหายดี”ผู้คนรอบ ๆ ต่างออกความเห็น เพราะปกติแล้วพวกเขาจะไม่เชื่อเรื่องตลกที่ผู้หญิงบ้าพูดถึงเงินแสนล้านทุกคนคิดว่าหวังฟางเป็นโรคทางประสาทแม้แต่พนักงานธนาคารก็ส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้ จนต้องหันไปทำงานต่อหวังฝางร้อนรนและตะโกนบอกฝูงชนตรงหน้า “มันมีเงินแสนล้านจริง ๆ นะ ฉันไม่ได้โกหก บัตรใบนี้ยังอยู่ในมือของฉันอยู่เลย”หวังฟางที่ปกติดี ถูกทุกคนมองว่าเป็นโรคประสาทไปเสียแล้ว ดังนั้นเธอจึงต้องรีบปฏิเสธเมื่อเธอลุกขึ้น ก็จ้องมองไปทีละคน เธอบอกว่าเธอในบัตรนี้มีเงินอยู่แสนล้านกู้หยุนหลานปวดหัวมาก พอฟังหวังฟางพูด เธอก็พยายามเกลี้ยกล่อม “แม่คะ อย่าพูดเรื่องไร้สาระเลย กลับบ้านกันเถอะ มีเงินแสนล้านที่ไหนล่ะ แม่เข้าใจผิดแล้ว”หวังฟางปฏิเสธ สะบัดมือออกจากกู้หยุนหลาน แล้ววิ่งเหยาะ ๆ ไปที่หลี่โม่ และมองไปที่เขาอย่างกระตือรือร้น เธอพูดว่า
“คุณผู้ชายคะ กรุณารอสักครู่ ดิฉันจะติดต่อผู้จัดการให้เดี๋ยวนี้เลยค่ะ”หญิงสาวที่เคาน์เตอร์เพิ่งกลับมาได้สติ เธอก้มตัวโค้งคำนับทันที แล้วเดินโซเซวิ่งไปที่ห้องผู้จัดการยังไม่ทันได้เคาะประตู เธอก็พรวดเข้าไปในห้องทำงาน และตะโกนว่า “ผู้จัดการคะ เกิดเรื่องแล้วค่ะ!”เฉาเจิ้น ผู้จัดการธนาคาร กำลังพลอดรักกับคนรักของเขาในสำนักงาน และคนรักของเขาเองก็เป็นพนักงานฝากถอนประจำล็อบบี้ของธนาคารด้วยโจวเสวี่ยบุกเข้าไปโดยบังเอิญ เธอจึงรีบหันหลังและเดินจากไป “ขอโทษทีนะคะ งั้นฉันจะออกไปก่อน”ใบหน้าของเฉาเจิ้นขรึมลง และเขาบอกให้พนักงานหญิงคนดังกล่าว ออกไปรอที่โต๊ะของเขา แล้วพูดอย่างนิ่งเฉย “โจวเสวี่ย อะไรจะวุ่นวายขนาดนั้น คุณไม่รู้เหรอว่าข้อบังคับข้อที่ 13 ของพนักงานคืออะไร?”โจวเสวี่ยกลัวมาก เธอก้มศีรษะลงและกล่าวขอโทษทันทีพนักงานสาวของเขาก็สวมเสื้อผ้าเรียบร้อย จากนั้นก็เดินผ่านโจวเสวี่ยไปอย่างเหยียด ๆ “ว่ามา เกิดอะไรขึ้น?” เฉาเจิ้นดูอารมณ์เสียมาก เขาจึงสูบบุหรี่ เนื่องจากถูกขัดจังหวะ เขารู้สึกอึดอัดมากโจวเสวี่ยรีบก้าวไปข้างหน้า และพูดว่า “ผู้จัดการคะ มีลูกค้ารายใหญ่อยู่ข้างนอก และมีเงินฝากอยู่ใ
เรื่องนี้ต้องปิดบังไว้ก่อน หากปล่อยให้หวังฟางและกู้หยุนหลานรู้เรื่องเงินจำนวนมหาศาลนี้ ผลที่ตามมาจะเป็นหายนะอย่างแน่นอนไม่ต้องบอกว่าก็รู้ ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีกอย่าง ตัวตนของหลี่โม่ก็จะสร้างปัญหาตามมาได้ ถ้าถูกเปิดเผย ควรจะอธิบายอย่างไรดี?แถมตอนนี้ มีตาหลายคู่จ้องมาที่เขาราชินีมังกรจะปล่อยเขาไปง่าย ๆ ไหมนะ?สิ่งที่เกิดขึ้นในครั้งนั้น ล้วนเกิดจากผู้หญิงคนนั้น เธออยากให้เขาตายไปเสียหลี่โม่ต้องรับรองความปลอดภัยขอกู้หยุนหลานและลูกสาวของเขาเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเปิดเผยตัวตนในตอนนี้“รับทราบครับ ผมจะทำตามคำขอของคุณหลี่ครับ” เฉาเจิ้นพยักหน้าซ้ำ ๆ ด้วยรอยยิ้มที่เคารพและประจบสอพลอ พร้อมกล่าวว่า “คุณหลี่ครับ ถ้าคุณไม่รังเกียจ ผมขอทราบเหตุผลได้ไหม?”เฉาเจิ้นอยากรู้ตัวตนของหลี่โม่จริง ๆ คนแบบนี้ ถ้าทำความรู้จักเอาไว้ ในอนาคตเขาจะกลายเป็นที่รู้จักแน่นอน!“ผู้จัดการเฉาครับ คุณไม่รู้จะดีกว่านะครับ” หลี่โม่พูดถึงขนาดนี้ เฉาเจิ้นก็ไม่ควรถามอีกต่อไปเมื่อเห็นว่าเฉาเจิ้นอึดอัดเล็กน้อย หลี่โม่ก็เข้าใจในสิ่งที่เฉาเจิ้นคิดเมื่อสองสามปีก่อน ผู้จัดการและประธานธนาคารหลายสิบคนมาที่ประตูทุกวัน ค
กู้หยุนหลานก็ไม่รู้ว่าตัวเองคิดอะไรอยู่ เพียงแค่รู้สึกว่าเมื่อสักครู่หลี่โม่มีบางอย่างปิดบังตัวเองอยู่แน่ เนื่องจากฉากที่เกิดขึ้นในธนาคารเมื่อครู่นี้ เธอเห็นปฏิกิริยาของพนักงานตรงเคาท์เตอร์หลาย ๆ คนอย่างชัดเจน แล้วจึงไปหาผู้จัดการด้วยความตื่นตระหนก แน่นอนว่าเป็นเพราะเห็นอะไรเข้าบางอย่างถึงได้แสดงอาการตื่นตะลึงแบบนั้น! ใบหน้าเฉาเจิ้นเต็มใบด้วยความรู้สึกขอโทษ “คุณผู้หญิงกู้ มีเงินเพียงเงินห้าแสนบาทจริง ๆ ครับ ระบบมีปัญหา ผมต้องขออภัยอย่างสูงจริง ๆ ครับ ผมสัญญาเลยว่า เดี๋ยวผมจะไปเยี่ยมและไปขอโทษถึงที่ด้วยตัวเองเลยครับ” เมื่อได้ยินเช่นนี้กู้หยุนหลานก็ไม่ได้ตั้งคำถามอีกต่อไป เธอพยักหน้าก่อนจะกล่าวขอโทษแล้วเดินออกไป หลังจากที่กู้หยุนหลานออกไปแล้ว เฉาเจิ้นก็โทรหาหลี่โม่แล้วพูดด้วยรอยยิ้มที่เคารพ และประจบประแจง “คุณชายหลี่ คุณผู้หญิงกู้เพิ่งมาหาผม ผมพูดไปแค่สิ่งที่คุณสั่งไว้ครับ" หลี่โม่กำลังจะออกจากโรงพยาบาล เขาพยักหน้าและตอบกลับว่าเยี่ยม จากนั้นก็วางสาย สูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่งแล้วหลี่โม่ก็ครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นตัดสินใจเตรียมจองร้านอาหารสำหรับมื้อค่ำใต้แสงเทียน ถือว่าเป็นก
เดิมทีหลี่โม่อยากจะปฏิเสธ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ เมื่อเลือกที่นั่งแล้ว ทั้งสามก็นั่งลง ซูหย่ารอเป็นเวลานานก่อนที่เธอจะลุกขึ้นอย่างไม่พอใจ และพูดว่า "เหวินเหวิน เธอนั่งรอสักครู่ เดี๋ยวฉันจะไปสั่งกาแฟให้"พูดจบเธอก็จ้องไปที่หลี่โม่อย่างดูถูกเหยียดหยาม คนไร้ประโยชน์นี้ เขาช่างไม่เข้าใจมารยาทสุภาพบุรุษเลยจริง ๆ เธอลากเขาเข้ามาแล้ว เขายังไม่รู้จักที่จะไปสั่งกาแฟเองอีกเหรอ? อย่างไรก็ตาม เธอและซ่งเหวินเหวินล้วนเป็นสาวงาม แต่เขากลับนั่งอยู่ที่นั่นอย่างไม่รู้สึกรู้สา ช่างไม่รู้เรื่องรู้ราวเลยจริง ๆ เชยจริง ๆ ดูจากรสนิยมการแต่งตัวเองก็แต่งได้แย่มาก เมื่อกาแฟมาถึง ซูหย่ามองไปที่หลี่โม่ด้วยความหงุดหงิดและถามว่า "นายยังทำงานในร้านนั้นอยู่ไหม?" หลี่โม่ยิ้มและพยักหน้าตอบ “อืม ยังทำอยู่” ขณะพูดเขาก็มองไปที่ประตูและดูเหมือนจะรอใครสักคนอยู่ ซูหย่าถอนหายใจและพูดตอบอย่างยิ้ม ๆ “ฮ่าฮ่า คิดไม่ถึงว่านายจะน่าเวทนาขนาดนี้แล้วยังทำงานที่นั่นอยู่ ดูฉันสิ ฉันออกจากงานไปเมื่อปีที่แล้ว ตอนนี้ฉันเป็นผู้จัดการร้านสปาความงามแล้ว ถ้านายรู้สึกทำไมไหว แล้วยังอยากจะทำอยู่ มาสมัครที่ฉันได้นะ ฉันจะช่วยฝากนาย
คังหย่งอันกดหมายเลขของคังหย่งเฉียน แล้วพูดเสียงเข้ม "หย่งเฉียน ฉันได้ยินมาว่า แกกับเหวินซินมีปัญหากันเรื่องวิลล่าบนยอดเขาเหรอ?" “พี่ใหญ่ มีปัญหากันน่ะสิ ศิษย์พี่เกิ่งยังถูกทำร้ายจนเข่าหักแล้ว! ศิษย์พี่เกิ่งติดต่อกับอาจารย์โอวหยางไปแล้ว เรื่องนี้อภัยให้ไม่ได้แน่นอน!” คังหย่งเฉียนโกรธแค้นคังเหวินซิน ถ้าไม่ใช่เพราะคังเหวินซินพาหลี่โม่ไปที่นั่น เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น แต่ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว คังหย่งเฉียนเองก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ทำได้เพียงเอาความโมโหไปลงที่คังเหวินซินเท่านั้น “หย่งเฉียน ไม่ว่ายังไงก็ตาม แกต้องรับรองความปลอดภัยของเหวินซิน ฉันไม่สนว่า อาจารย์โอวหยางพวกเขาจะทำอะไรกับเพื่อนของเหวินซิน แต่พวกเขาจะทำร้ายเหวินซินไม่ได้เด็ดขาด!” “พี่ใหญ่ ฉันไม่กล้ารับประกันหรอก รับประกันได้แค่ลูกชายของพี่จะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงตายเท่านั้น ถ้าอาจารย์โอวหยางต้องการลงโทษลูกชายของพี่จริง ๆ ฉันจะไปขวางได้ยังไง ฉันขวางไม่ได้หรอก ไม่กล้าขวางด้วย!" คังหย่งอันขมวดคิ้วแน่น หากคังหย่งเฉียนอยู่ต่อหน้าคังหย่งอันในตอนนี้ คังหย่งอันจะต้องตบเขาให้ตายคามือแน่นอน “หย่งเฉียน! แกเป็นอาข
“ไอ้บัดซบเอ๊ย! ใครกล้ามาต่อกรกับฉันโอวหยางจื้อ มันผู้นั้นจะต้องตาย!” โอวหยางจื้อพึมพำอย่างด้วยความอาฆาตแค้น แล้วสั่งให้ลูกศิษย์ไปจองตั๋วเครื่องบิน ...... คังเหวินซินมาส่งหลี่โม่และคนอื่น ๆ ที่บ้าน หลังจากมองดูทั้งสามเดินเข้าไปข้างในแล้ว จึงสตาร์ทรถและขับออกไปอย่างช้า ๆ “อาเล็กถูกจัดการจนหมดท่าแล้ว ต้องบอกพ่อสักคำไหมนะ อาเล็กจะได้ไปตีไข่ใส่สีอีก” หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง คังเหวินซินก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดหมายเลขพ่อของเขาคังหย่งอัน “ฮัลโหล พ่อครับ ผมเพิ่งจะขายวิลล่าบนยอดเขาที่สวนหนานชุ่ยให้เพื่อผมไป ขายราคาต้นทุนน่ะครับ” คังหย่งอันขมวดคิ้ว "นั่นเป็นวิลล่าที่อาเล็กของแกจะเอาไม่ใช่เหรอ แกเอาไปให้เพื่อนได้ยังไง? ผู้จัดการฝ่ายขายว่ายังไงบ้าง?" คังเหวินซินอึ้งครู่หนึ่ง รู้สึกถึงความผิดปกติในคำพูดของคังหย่งอัน "พ่อ พ่อรู้ได้ยังไงว่าอาเล็กอยากได้วิลล่านั่น?” “อาเล็กของแกเคยบอกพ่อว่า วิลล่าหลังนั้นเป็นของขวัญที่เขาจะเก็บไว้ให้กับปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ในต่างประเทศโอวหยางจื้อ แกคงเคยได้ยินเกี่ยวกับโอวหยางจื้อมาบ้างใช่ไหม? เขาเคยรับหน้าที่เป็นผู้กำกับฉากแอ็คชั่นให้กับภาพย
ในแผนกดูแลพิเศษของโรงพยาบาล คังหย่งเฉียนและคนอื่น ๆ นั่งล้อมรอบเตียง มองดูพี่เกิ่งค่อย ๆ ฟื้นคืนสติ เข่าที่หักของพี่เกิ่งได้รับการผ่าตัดแล้ว แต่หลังการผ่าตัด พี่เกิ่งจะได้แต่นั่งอยู่บนรถเข็นเท่านั้น “ซี๊ด ขากับเข่าฉันเป็นยังไงบ้าง?” พี่เกิ่งถามอย่างร้อนใจ “ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวล ผ่าตัดเสร็จแล้ว เพียงแต่ระดับการรักษาของที่นี่ยังต่ำไปหน่อย หลังจากฟื้นตัวแล้วพี่ต้องนั่งรถเข็น” คังหย่งเฉียนพูดเสียงเบาหวิว “ไอ้บัดซบ! ฉันไม่อยากนั่งรถเข็น! ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้!” พี่เกิ่งคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว รู้สึกเลวร้ายไปทั้งร่างกาย ชีวิตบนรถเข็น ไม่ใช่ชีวิตที่พี่เกิ่งต้องการเลย ถ้าต้องนั่งรถเข็นแล้ว ต่อไปจะฝึกศิลปะการต่อสู้ หรือออกไปรังแกคนอื่นอย่างไร แล้วจะไปจีบสาว ๆ ได้อย่างไร! “ฉันจะย้ายโรงพยาบาล ฉันจะไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลที่ดีที่สุด!” “พี่เกิ่งอย่าเพิ่งตื่นตูม หมอบอกว่า รอพี่ฟื้นตัวดีแล้ว ก็สามารถทำการผ่าตัดครั้งที่สองในโรงพยาบาลที่ดีกว่านี้เพื่อเปลี่ยนข้อต่อเทียมได้” คังหย่งเฉียนปลอบใจพี่เกิ่งไปพลางก็ขยิบตาให้กับพวกพี่น้องคนอื่น ๆ ส่งสัญญาณให้พวกเขารีบมาช่วยกันโน้มน้าว ศิษย์พี่ห
พี่เกิ่งร้องโหยหวนออกมา รู้สึกว่าขาซ้ายพลิกกลับไปด้านหลัง พลันสูญเสียการทรงตัวและล้มหงายไปข้างหลังทันที พลั่ก พี่เกิ่งล้มหงายลงกับพื้น ปากก็ร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา คังหย่งเฉียนถูกกระตุ้นด้วยเสียงร้องของพี่เกิ่งจนตัวสั่นไปทั้งตัว เสียงวิ้ง ๆ ที่ดังอยู่ในหัวยิ่งชัดเจนขึ้นมาทันใด คังหย่งเฉียนกุมใบหน้าที่บวมแดงไปครึ่งหนึ่งมองไปทางศิษย์พี่เกิ่ง ดวงตาของคังหย่งเฉียนก็แทบจะหลุดออกจากเบ้า ศิษย์พี่เกิ่งที่คังหย่งเฉียนเคยคิดว่า แข็งแกร่งไร้เทียมทานนั้น ตอนนี้กำลังร้องคร่ำครวญราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังจะตาย เมื่อมองขาขวาของพี่เกิ่งหักงอในองศาที่ผิดธรรมชาติ คังหย่งเฉียนก็รู้สึกว่า เลือดทั่วร่างกายเย็นเฉียบขึ้นมา นี่เป็นเรื่องที่มนุษย์สามารถทำได้อย่างนั้นเหรอ? นี่เป็นผลลัพธ์ที่สามารถใช้กำปั้นทำได้เหรอ? นี่มันซูเปอร์ไซย่าในตำนานหรืออย่างไรกัน?! พวกศิษย์น้องของพี่เกิ่งหลายคนต่างหวาดกลัวกับความเผด็จการของหลี่โม่ ทั้งกลุ่มพลันหมดความโอหังไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาลากพี่เกิ่งขึ้นมาจากพื้นแล้ววิ่งตะบึงออกไปข้างนอกอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่คำพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในที่นี้คือศิษย์
คังเหวินซินรออยู่สามวินาที แต่ละวินาทีราวกับยาวนานเป็นปี รออยู่นานฝ่ามือของพี่เกิ่งก็ยังไม่ตบลงมาสักที คังเหวินซินจึงลืมตาขึ้น เมื่อเอียงหน้ามองเห็นฝ่ามือของพี่เกิ่งอยู่ห่างจากหน้าตนแค่เฉียดฉิว หัวใจของคังเหวินซินแทบจะกระโดดออกมาจากปาก หลังจากที่เห็นข้อมือของพี่เกิ่งถูกหลี่โม่คว้าไว้ คังเหวินซินถึงได้รู้สึกว่า หัวใจของตัวเองกลับเข้าที่ได้แล้ว คังเหวินซินที่สงบลงแล้ว รีบถอยไปหลบด้านหลังหลี่โม่ แล้วร้องตะโกนด้วยน้ำตาแห่งความซาบซึ้ง "อาจารย์!" “นายอย่าร้องไห้น่าสมเพชนักสิ มันทำฉันขายหน้านะ” หลี่โม่พูดด้วยรอยยิ้ม คังเหวินซินตะลีตะลานเช็ดเบ้าตา ไม่ยอมให้ตัวเองร้องไห้ออกมา พี่เกิ่งจ้องมองหลี่โม่อย่างโมโห แอบพยายามดึงข้อมือของตัวเองกลับมาอย่างลับ ๆ แต่ไม่ว่าพี่เกิ่งจะพยายามออกแรงแค่ไหน มือของหลี่โม่ก็ราวกับคีมปากเสือหนีบข้อมือของพี่เกิ่งเอาไว้แน่น จนข้อมือของพี่เกิ่งไม่มีทางสลัดหลุดได้เลย “ปล่อยมือฉัน!” พี่เกิ่งตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยว “แกบอกให้ปล่อยก็ต้องปล่อยเหรอ? แกน่าจะอธิบายเรื่องที่จะลงไม้ลงมือกับลูกศิษย์ฉันเมื่อกี้นี้มาสักหน่อยไหม?” หลี่โม่พูดอย่างเย็นชา คังเหวินซินส
กู้หยุนหลานมองไปยังหลี่โม่อย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นหลี่โม่ขยิบตาให้ เธอจึงไม่พูดอะไรและเก็บความสงสัยไว้ในใจ ผู้จัดการหวังโบกมือให้พนักงานขายสาว พนักงานสาวที่ถือสัญญาอยู่แล้วเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ผู้จัดการหวัง นี่เป็นสัญญาของวิลล่ายอดเขาค่ะ แต่ราคานี้มัน…” สีหน้าของพนักงานสาวดูบูดเบี้ยวเล็กน้อย ถ้าขายวิลล่านี้ออกไปในราคาต้นทุน เธอคงไม่ได้รับค่าคอมมิชชั่นเลยสักแดง! ที่ผ่านมาเศรษฐีในเมืองฮั่นจำนวนมากต่างก็ถูกใจวิลล่าแห่งนี้ แต่เพราะมีการปิดกั้นการซื้อขาย เลยไม่ได้ขายอย่างเป็นทางการ เดิมทีพวกพนักงานสาวนั้นเตรียมพร้อมที่จะทำกำไรมหาศาลด้วยการขายวิลล่าหลังนี้หลังจากที่เปิดการขายแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ความฝันของพวกเธอกำลังจะมลายหายไปซะแล้ว “พวกเธอมีสิทธิ์พูดงั้นเหรอ? นี่คือการตัดสินใจของคุณชายใหญ่!” ผู้จัดการหวังตำหนิพนักงานขายสาว พนักงานสาวหดคอและปิดปากเงียบไม่กล้าพูดอีก ผู้จัดการหวังเปิดสัญญาตรวจดู หลังจากยืนยันความถูกต้องแล้ว เขาก็ถือสัญญาเดินไปหาหลี่โม่ “อ่านสัญญาดูก่อนนะครับ หากไม่มีปัญหาอะไร เราจะไปเซ็นสัญญาที่สำนักงานของผมกัน ผมไม่สามารถนำตราประทับอะไรพวกนั้นพกติดต
“คุณชาย อย่ามาขู่ผมเลยครับ ผมไม่กลัวหรอกนะ สิ่งที่ผมพูดไปเมื่อครู่ล้วนมีเหตุมีผล หากไม่เชื่อก็ถามซินแสที่มาดูฮวงจุ้ยให้ได้เลยครับ คำพูดพวกนี้เขาเป็นคนพูดเองกับปากทั้งนั้น” ผู้จัดการหวังแข็งขืน ไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย หลี่โม่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม "เหวินซิน อย่าหุนหันพลันแล่น ผู้จัดการหวังพูดถูกแล้ว คนที่โชคชะตาบารมีไม่ถึง ไม่มีทางข่มพลังฮวงจุ้ยอันยอดเยี่ยมได้แน่นอน” คังเหวินซินพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม "อาจารย์พูดถูกแล้วครับ แต่ด้วยบารมีของอาจารย์ จะต้องสามารถข่มมันได้อย่างแน่นอน พวกเรามาดูกันดีกว่า ที่นี่ล้วนได้รับการตกแต่งอย่างดี คุณหิ้วกระเป๋าเข้ามาอยู่ได้เลย เหลือแค่ดูว่าวิลล่าหลังนี้ถูกใจคุณหรือเปล่าก็พอครับ” เมื่อเห็นคังเหวินซินพยายามเอาอกเอาใจหลี่โม่ ผู้จัดการหวังก็เกิดความสงสัยเล็กน้อย หรือว่าตนจะมองผิดไป? ผู้ชายที่สวมเสื้อผ้าแผงลอยทั้งตัวคนนี้ เป็นคุณชายเศรษฐีที่มาลองสัมผัสประสบการณ์ชีวิตงั้นเหรอ? ไม่อย่างนั้นทำไมคุณชายของตนถึงได้ไปประจบเอาใจเขาขนาดนี้กัน? “คุณชาย ท่านนี้คืออาจารย์ของคุณเหรอครับ?” ผู้จัดการหวังถามอย่างสงสัย “นี่คืออาจารย์ของฉันหลี่โม่ นายสุภาพกับอาจารย์ของฉัน
“ไอ้สารเลวคนไหนไม่ดูตาม้าตาเรือ กล้ามาแย่งวิลล่าของอาจารย์ พวกแกยังมัวแต่กินอะไรกันอีก ไปดูด้วยกัน จัดการไอ้พวกสารเลวนั่นซะ” “ศิษย์พี่เกิ่งพูดถูก พวกเราทุกคนต้องไปดูด้วยกัน บ้านของอาจารย์ต้องดีที่สุดเท่านั้น จะผิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว” ศิษย์พี่เกิ่งและคนอื่น ๆ พากันลุกขึ้นทีละคน เมื่อเห็นเช่นนี้คังหย่งเฉียนก็เรียกให้พนักงานคิดเงินทันที แล้วจึงพาพวกของศิษย์พี่เกิ่งมุ่งตรงไปยังสวนหนานชุ่ย ... รถเมอร์เซเดสเบนซ์ขับเข้าไปในสวนหนานชุ่ย และขับตรงไปตามทางขึ้นยอดเขา ใกล้กับยอดเขาของเขาหนานชุ่ยนั้นมีที่ราบอยู่บริเวณหนึ่ง ที่ราบนี้ถูกนำมาใช้สร้างวิลล่า พร้อมทั้งปลูกต้นไม้พืชพรรณเขียวชอุ่มรอบ ๆ วิลล่าอีกด้วย ด้านหน้าวิลล่ายังมีลำธารที่ไหลมาจากยอดเขา ทำให้ฮวงจุ้ยของวิลล่านี้ยอดเยี่ยมมากไร้ที่ติ หน้าน้ำหลังเขา ตำแหน่งปากมังกรจัดวางฮวงจุ้ยอย่างดี ทำให้วิลล่าบนยอดเขาหลังนี้เลิศล้ำไม่มีใครเทียม รถเมอร์เซเดสเบนซ์จอดสนิทหน้าประตูวิลล่ายอดเขา ผู้จัดการหวังและพนักงานขายสาวสองคนยืนรอที่ประตูวิลล่าอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นรถเบนซ์จอดนิ่ง ผู้จัดการหวังก็รีบวิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปช่วยเปิดประตูรถ
ผู้จัดการหวังหยิบบุหรี่ออกมาคาบที่มุมปาก เตรียมจะสูบบุหรี่เพื่อสงบสติอารมณ์ คำขอของคังเหวินซินทำให้ผู้จัดการหวังตั้งตัวไม่ติด การจะดูบ้านมันไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าอีกฝ่ายถูกใจขึ้นมาจริง ๆ จะทำอย่างไรล่ะ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องราคาต้นทุนหรือเปล่า ถ้าคังหย่งเฉียนเข้ามาครอบครองวิลล่าหลังนี้ เขาก็คงไม่ได้เงินเลยสักแดงเดียว พอนึกถึงคังหย่งเฉียนขึ้นมาผู้จัดการหวังรู้สึกปวดจี๊ด ๆ ขึ้นมา เจ้านั่นเป็นปีศาจเจ้าสำราญแห่งตระกูลคัง วัน ๆ เอาแต่เกียจคร้าน กินดื่มเที่ยวเล่น ยิ่งกว่านั้นยังคบค้ากับพวกอันธพาล ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสตระกูลคังก็ยังถูกคังหย่งเฉียนยั่วโมโหจนเส้นเลือดในสมองตีบ แทบทุกคนในตระกูลคังล้วนทำเป็นไม่สนใจคังหย่งเฉียน ตราบใดที่คังหย่งเฉียนไม่ได้ก่อปัญหา ก็ไม่มีใครสนใจว่า คังหย่งเฉียนจะทำอะไร ถ้าหากยกวิลล่าให้เพื่อนของคังเหวินซินจริง ๆ คังหย่งเฉียนคงจะพาคนมาสับเขาเป็นชิ้น ๆ ถึงที่แน่ หลังจากสูบบุหรี่หมดมวน ผู้จัดการหวังก็ขยี้ก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ รู้สึกว่ายังไงก็ควรแจ้งให้คังหย่งเฉียนรู้สักหน่อย ส่วนคังหย่งเฉียนจะต่อสู้กับคังเหวินซินอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องระหว่างพวกเขา