หวังฟางงงเป็นไก่ตาแตก!แทบยืนไร้ลมหายใจและไร้ซึ่งคำพูดใด ๆ !สะ… แสนล้านอย่างนั้นเหรอ?!สะอึก...หวังฟางหน้ามืด จนเป็นลมล้มลงกับพื้น เธอชักอยู่ตรงนั้น!ตอนนี้เอง ผู้คนจำนวนมากมุงดูเธอกันเพียบ“แย่แล้ว นี่โรคล้มบ้าหมูกำเริบ โทรเรียกรถพยาบาลเร็ว!”“ไปเรียกคนมาช่วยเร็ว!”“อาการนี้ไม่ค่อยรุนแรงเท่าไหร่นัก ฉันพอสังเกตได้…”ไม่นาน พนักงานธนาคารและรปภ.ก็เข้ามาช่วยประคองหวังฟางไปนั่งพัก ลมชักกำเริบแบบนี้ ต้องพาจิบน้ำเสียหน่อยในที่สุด พอหวังฟางตื่นขึ้น มือของเธอก็ยังสั่น ตาลอย และเธอก็ชี้ไปที่เครื่องกดเงินสด พร้อมกับพึมพำ “สะ… แสนล้าน”บรรดาผู้ที่เห็นเหตุการณ์ต่างตกตะลึงและมองหน้ากันในทันทีผู้หญิงคนนี้บ้าไปแล้วเหรอ?แสนล้านอะไรกัน?ในเวลานี้ หลี่โม่และกู้หยุนหลานก็รีบเข้าไปพวกเขาได้รับโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่ธนาคาร และได้แจ้งที่อยู่ให้ทราบ“แม่คะ แม่เป็นอะไรไหม? ไม่เป็นไรแล้วนะ เดี๋ยวหนูพาแม่ไปโรงพยาบาลเอง”กู้หยุนหลานวิ่งเข้ามาและนั่งยอง ๆ ตรงหน้าหวังฟาง พร้อมกับจับมือของหล่อนด้วยความกังวลอย่างไรหวังฟางก็เป็นแม่ แม้ว่าจะทะเลาะกันบ้าง แต่สายสัมพันธ์แม่ลูกก็ยังคงแข็งแกร่งเม
“ให้ตายสิ ฉันได้ยินไม่ผิดใช่ไหม แสนล้านเหรอ?”“ป้าคนนี้ดูเหมือนจะป่วยนิด ๆ นะ เธอมีอาการประสาทหลอนหรือเปล่านะ”“ดูเหมือนจะมีอาการทางประสาทนะ ทุกคนแยกย้ายกันได้แล้ว หนูจ๊ะ ส่งแม่ของหนูไปโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุดจะดีกว่านะ ไม่น่าจะมีอะไรร้ายแรง รักษาแต่เนิ่น ๆ คงจะหายดี”ผู้คนรอบ ๆ ต่างออกความเห็น เพราะปกติแล้วพวกเขาจะไม่เชื่อเรื่องตลกที่ผู้หญิงบ้าพูดถึงเงินแสนล้านทุกคนคิดว่าหวังฟางเป็นโรคทางประสาทแม้แต่พนักงานธนาคารก็ส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้ จนต้องหันไปทำงานต่อหวังฝางร้อนรนและตะโกนบอกฝูงชนตรงหน้า “มันมีเงินแสนล้านจริง ๆ นะ ฉันไม่ได้โกหก บัตรใบนี้ยังอยู่ในมือของฉันอยู่เลย”หวังฟางที่ปกติดี ถูกทุกคนมองว่าเป็นโรคประสาทไปเสียแล้ว ดังนั้นเธอจึงต้องรีบปฏิเสธเมื่อเธอลุกขึ้น ก็จ้องมองไปทีละคน เธอบอกว่าเธอในบัตรนี้มีเงินอยู่แสนล้านกู้หยุนหลานปวดหัวมาก พอฟังหวังฟางพูด เธอก็พยายามเกลี้ยกล่อม “แม่คะ อย่าพูดเรื่องไร้สาระเลย กลับบ้านกันเถอะ มีเงินแสนล้านที่ไหนล่ะ แม่เข้าใจผิดแล้ว”หวังฟางปฏิเสธ สะบัดมือออกจากกู้หยุนหลาน แล้ววิ่งเหยาะ ๆ ไปที่หลี่โม่ และมองไปที่เขาอย่างกระตือรือร้น เธอพูดว่า
“คุณผู้ชายคะ กรุณารอสักครู่ ดิฉันจะติดต่อผู้จัดการให้เดี๋ยวนี้เลยค่ะ”หญิงสาวที่เคาน์เตอร์เพิ่งกลับมาได้สติ เธอก้มตัวโค้งคำนับทันที แล้วเดินโซเซวิ่งไปที่ห้องผู้จัดการยังไม่ทันได้เคาะประตู เธอก็พรวดเข้าไปในห้องทำงาน และตะโกนว่า “ผู้จัดการคะ เกิดเรื่องแล้วค่ะ!”เฉาเจิ้น ผู้จัดการธนาคาร กำลังพลอดรักกับคนรักของเขาในสำนักงาน และคนรักของเขาเองก็เป็นพนักงานฝากถอนประจำล็อบบี้ของธนาคารด้วยโจวเสวี่ยบุกเข้าไปโดยบังเอิญ เธอจึงรีบหันหลังและเดินจากไป “ขอโทษทีนะคะ งั้นฉันจะออกไปก่อน”ใบหน้าของเฉาเจิ้นขรึมลง และเขาบอกให้พนักงานหญิงคนดังกล่าว ออกไปรอที่โต๊ะของเขา แล้วพูดอย่างนิ่งเฉย “โจวเสวี่ย อะไรจะวุ่นวายขนาดนั้น คุณไม่รู้เหรอว่าข้อบังคับข้อที่ 13 ของพนักงานคืออะไร?”โจวเสวี่ยกลัวมาก เธอก้มศีรษะลงและกล่าวขอโทษทันทีพนักงานสาวของเขาก็สวมเสื้อผ้าเรียบร้อย จากนั้นก็เดินผ่านโจวเสวี่ยไปอย่างเหยียด ๆ “ว่ามา เกิดอะไรขึ้น?” เฉาเจิ้นดูอารมณ์เสียมาก เขาจึงสูบบุหรี่ เนื่องจากถูกขัดจังหวะ เขารู้สึกอึดอัดมากโจวเสวี่ยรีบก้าวไปข้างหน้า และพูดว่า “ผู้จัดการคะ มีลูกค้ารายใหญ่อยู่ข้างนอก และมีเงินฝากอยู่ใ
เรื่องนี้ต้องปิดบังไว้ก่อน หากปล่อยให้หวังฟางและกู้หยุนหลานรู้เรื่องเงินจำนวนมหาศาลนี้ ผลที่ตามมาจะเป็นหายนะอย่างแน่นอนไม่ต้องบอกว่าก็รู้ ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีกอย่าง ตัวตนของหลี่โม่ก็จะสร้างปัญหาตามมาได้ ถ้าถูกเปิดเผย ควรจะอธิบายอย่างไรดี?แถมตอนนี้ มีตาหลายคู่จ้องมาที่เขาราชินีมังกรจะปล่อยเขาไปง่าย ๆ ไหมนะ?สิ่งที่เกิดขึ้นในครั้งนั้น ล้วนเกิดจากผู้หญิงคนนั้น เธออยากให้เขาตายไปเสียหลี่โม่ต้องรับรองความปลอดภัยขอกู้หยุนหลานและลูกสาวของเขาเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเปิดเผยตัวตนในตอนนี้“รับทราบครับ ผมจะทำตามคำขอของคุณหลี่ครับ” เฉาเจิ้นพยักหน้าซ้ำ ๆ ด้วยรอยยิ้มที่เคารพและประจบสอพลอ พร้อมกล่าวว่า “คุณหลี่ครับ ถ้าคุณไม่รังเกียจ ผมขอทราบเหตุผลได้ไหม?”เฉาเจิ้นอยากรู้ตัวตนของหลี่โม่จริง ๆ คนแบบนี้ ถ้าทำความรู้จักเอาไว้ ในอนาคตเขาจะกลายเป็นที่รู้จักแน่นอน!“ผู้จัดการเฉาครับ คุณไม่รู้จะดีกว่านะครับ” หลี่โม่พูดถึงขนาดนี้ เฉาเจิ้นก็ไม่ควรถามอีกต่อไปเมื่อเห็นว่าเฉาเจิ้นอึดอัดเล็กน้อย หลี่โม่ก็เข้าใจในสิ่งที่เฉาเจิ้นคิดเมื่อสองสามปีก่อน ผู้จัดการและประธานธนาคารหลายสิบคนมาที่ประตูทุกวัน ค
กู้หยุนหลานก็ไม่รู้ว่าตัวเองคิดอะไรอยู่ เพียงแค่รู้สึกว่าเมื่อสักครู่หลี่โม่มีบางอย่างปิดบังตัวเองอยู่แน่ เนื่องจากฉากที่เกิดขึ้นในธนาคารเมื่อครู่นี้ เธอเห็นปฏิกิริยาของพนักงานตรงเคาท์เตอร์หลาย ๆ คนอย่างชัดเจน แล้วจึงไปหาผู้จัดการด้วยความตื่นตระหนก แน่นอนว่าเป็นเพราะเห็นอะไรเข้าบางอย่างถึงได้แสดงอาการตื่นตะลึงแบบนั้น! ใบหน้าเฉาเจิ้นเต็มใบด้วยความรู้สึกขอโทษ “คุณผู้หญิงกู้ มีเงินเพียงเงินห้าแสนบาทจริง ๆ ครับ ระบบมีปัญหา ผมต้องขออภัยอย่างสูงจริง ๆ ครับ ผมสัญญาเลยว่า เดี๋ยวผมจะไปเยี่ยมและไปขอโทษถึงที่ด้วยตัวเองเลยครับ” เมื่อได้ยินเช่นนี้กู้หยุนหลานก็ไม่ได้ตั้งคำถามอีกต่อไป เธอพยักหน้าก่อนจะกล่าวขอโทษแล้วเดินออกไป หลังจากที่กู้หยุนหลานออกไปแล้ว เฉาเจิ้นก็โทรหาหลี่โม่แล้วพูดด้วยรอยยิ้มที่เคารพ และประจบประแจง “คุณชายหลี่ คุณผู้หญิงกู้เพิ่งมาหาผม ผมพูดไปแค่สิ่งที่คุณสั่งไว้ครับ" หลี่โม่กำลังจะออกจากโรงพยาบาล เขาพยักหน้าและตอบกลับว่าเยี่ยม จากนั้นก็วางสาย สูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่งแล้วหลี่โม่ก็ครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นตัดสินใจเตรียมจองร้านอาหารสำหรับมื้อค่ำใต้แสงเทียน ถือว่าเป็นก
เดิมทีหลี่โม่อยากจะปฏิเสธ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ เมื่อเลือกที่นั่งแล้ว ทั้งสามก็นั่งลง ซูหย่ารอเป็นเวลานานก่อนที่เธอจะลุกขึ้นอย่างไม่พอใจ และพูดว่า "เหวินเหวิน เธอนั่งรอสักครู่ เดี๋ยวฉันจะไปสั่งกาแฟให้"พูดจบเธอก็จ้องไปที่หลี่โม่อย่างดูถูกเหยียดหยาม คนไร้ประโยชน์นี้ เขาช่างไม่เข้าใจมารยาทสุภาพบุรุษเลยจริง ๆ เธอลากเขาเข้ามาแล้ว เขายังไม่รู้จักที่จะไปสั่งกาแฟเองอีกเหรอ? อย่างไรก็ตาม เธอและซ่งเหวินเหวินล้วนเป็นสาวงาม แต่เขากลับนั่งอยู่ที่นั่นอย่างไม่รู้สึกรู้สา ช่างไม่รู้เรื่องรู้ราวเลยจริง ๆ เชยจริง ๆ ดูจากรสนิยมการแต่งตัวเองก็แต่งได้แย่มาก เมื่อกาแฟมาถึง ซูหย่ามองไปที่หลี่โม่ด้วยความหงุดหงิดและถามว่า "นายยังทำงานในร้านนั้นอยู่ไหม?" หลี่โม่ยิ้มและพยักหน้าตอบ “อืม ยังทำอยู่” ขณะพูดเขาก็มองไปที่ประตูและดูเหมือนจะรอใครสักคนอยู่ ซูหย่าถอนหายใจและพูดตอบอย่างยิ้ม ๆ “ฮ่าฮ่า คิดไม่ถึงว่านายจะน่าเวทนาขนาดนี้แล้วยังทำงานที่นั่นอยู่ ดูฉันสิ ฉันออกจากงานไปเมื่อปีที่แล้ว ตอนนี้ฉันเป็นผู้จัดการร้านสปาความงามแล้ว ถ้านายรู้สึกทำไมไหว แล้วยังอยากจะทำอยู่ มาสมัครที่ฉันได้นะ ฉันจะช่วยฝากนาย
ห้าล้านนี่มันเยอะไปเหรอ? ประโยคนี้ทำให้ซูหย่าและซ่งเหวินเหวินตกตะลึงไปสักพัก น้ำเสียงหลี่โม่คนนี้ฟังดูใหญ่โตเกินไปแล้ว! ซูหย่าขมวดคิ้ว และเธอไม่อยากเชื่อเลยว่า เกิดอะไรขึ้นกับสิ่งที่หลี่โม่พูดไปเมื่อครู่นี้ ผู้ชายคนนี้น่าสมเพชไม่ใช่เหรอ เขาไม่มีสถานะในตระกูลกู้ เขาไปเอาเงินมากมายขนาดนี้มาจากไหน? “ฮ่าฮ่า ฉันเข้าใจแล้ว นายคงไม่ได้ใช้เงินของภรรยาหรอกนะ” ซูหย่าเลิกคิ้วขึ้นและใบหน้าเต็มใบด้วยความเยาะเย้ยอย่างมีชัย ต้องเป็นแบบนี้แน่ ไม่อย่างนั้นคนไร้ประโยชน์แบบนี้จะไปเอาเงินห้าล้านมาจากไหนเพื่อจองภัตตาคารฮัวกู่? ซ่งเหวินเหวินก็พยักหน้าตามและเสริมว่า “พี่หย่าหยา พี่พูดถูก มันต้องเป็นแบบนี้แน่ ไม่คิดเลยว่าผู้ชายแบบนี้จะน่าอับอายขนาดนี้” ในทางกลับกัน หลี่โม่ยิ้มจาง ๆ ส่ายหัวแล้วพูดว่า "ไม่ใช่ภรรยาฉัน พอดีฉันเปิดร้านเป็นของตัวเองน่ะ ไม่ไหว ๆ จะตกเป็นเป้าให้คนมาหัวเราะเยาะเย้ยตลอดเสียคงจะไม่ได้ นาน ๆ ทีจะอวดสักหน่อยคงไม่เป็นไร เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซ่งเหวินเหวินก็ลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นเต้นทันที ดวงตาโตของเธอเป็นประกาย จ้องมองไปที่หลี่โม่อย่างตั้งใจ และอุทานด้วยความประหลาดใจ "น
ตอนนี้หลี่โม่ได้เปิดร้านแล้ว และเขายอมควักเงินจ่ายถึงห้าล้านบาท ดูเหมือนว่าจะมีเงินไม่น้อย หลี่โม่แตะจมูกของเขา คิดแล้วคิดอีก แล้วตอบว่า "ก็ได้" อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้เขาก็ไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้ว ส่วนอาหารมื้อค่ำใต้แสงเทียนที่จองไว้ให้กู้หยุนหลานก็เป็นคืนพรุ่งนี้เช่นกัน ไม่มีอะไรต้องกังวล นั่งอยู่ในร้านกาแฟครู่หนึ่ง ซูหย่าและซ่งเหวินเหวินพาหลี่โมไปที่คาราโอเกะในห้างสรรพสินค้าใกล้เคียง “จ้าวไห่และคนอื่น ๆ มาร้องคาราโอเกะที่นี่ หลังจากร้องเพลงเสร็จก็จะไปที่ภัตตาคารกวนเกรินถัง” ซูหย่าพูดอย่างยิ้ม ๆ และเข้าไปคว้าแขนของหลี่โม่ เลิกคิ้วขึ้น แล้วพูดอย่างมีเลศนัยว่า “หลี่โม่ นายรู้ไหม ช่วงนี้จ้าวไห่ก็เพิ่งเปิดร้าน ซึ่งเป็นร้านเกี่ยวกับความงามและการดูแลร่างกาย ว่ากันว่าเขาทำเงินได้ห้าสิบล้านในครึ่งปี และกำลังวางแผนที่จะเปิดร้านเพิ่มอีกสามสาขาในเมืองฮั่นวันนี้! การรวมตัวงานเลี้ยงของพนักงานเก่าในครั้งนี้ก็เป็นความคิดเขานั่นแหละ" หลี่โม่รู้สึกรังเกียจซูหย่ามากที่จับตัวเขา ดังนั้นเขาจึงเข้าใจได้โดยสัญชาตญาณว่า ผู้หญิงคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ จากนั้นดึงมือของซูหย่าออกอย่างสุภาพมาก หลี่โม่พยัก