ปล่อยให้ศศิรินทร์ได้สงสัยไม่นานทิพวรรณก็ออกมาพร้อมกับบรรดาช่างที่ถูกส่งมาดูแลเจ้าสาวโดยมีคณิตาเดินตามออกมาด้วยความไม่เข้าใจ
‘นี่มันอะไรกันคะคุณแม่ ทำไมถึงเรียกพวกช่างออกมา กี้ยังแต่งตัวไม่เสร็จเลย เดี๋ยวไม่ทันฤกษ์นะคะ’ คนจะได้เป็นเจ้าสาวหมื่นล้านถามทันทีด้วยความไม่เข้าใจ คุณหญิงศิกานต์ยิ้มใจเย็นก่อนจะปลายตามองเจ้าของคำถามด้วยสายตาว่างเปล่า
‘แต่งตัวไม่ทันฤกษ์ ก็คงไม่เป็นไม่ไรหรอกมั้ง...ไม่ใช่ตัวเอกของงานสักหน่อย’
‘อะ อะไรนะคะ ไม่ใช่ตัวเอกอะไร กี้เป็นเจ้าสาวนะคะคุณแม่’
‘เดี๋ยว ๆ เธอเข้าใจอะไรผิดแล้ว’ คนเป็นคุณหญิงร้องห้ามแล้วเมินดาราสาวหันมันสอบถามลูกสาว ‘เกรซ ผู้หญิงคนนี้เขาเป็นเจ้าสาวของพี่เราเหรอ’
‘เปล่านี่คะ...ใครบอกว่าคนนี้เป็นเจ้าสาวละเนี่ย’ ภานิกาตอบอย่างฉะฉานด้วยใบหน้าตื่นตกใจแต่แอบซ่อนรอยยิ้มที่มุมปากเอาไว้ ศศิรินทร์มองน้องสาวอดีตแฟนหนุ่มที แม่ของอีกฝ่ายทีก่อนจะมองสถานการณ์ต่อเงียบ ๆ ไม่ได้เข้าไปมีบทบาทกับเรื่องที่กำลังเกิดขึ้น...เธอมาเพื่อเป็นผู้ชมละครฉากใหญ่สินะ
‘นั่นสิ ใครบอกเธอว่าพวกฉันจะยอมให้เธอมาเป็นเจ้าสาวของตากันต์’
‘อะไรนะ นี่มันอะไรกัน ก็คุณแม่...’
ไม่ทันที่คณิตาจะได้พูดอะไรต่อคุณหญิงศิกานต์ก็เบรกอีกฝ่ายเข้าอีกครั้งพร้อมกับคำพูดที่ชวนให้เจ็บแสบ ‘ฉันไม่ใช่แม่เธอ ไม่ต้องมานับญาติฉัน ฉันไม่ได้ให้ค่ากับของเล่นของลูกชาย’
‘ของเล่น?’
‘ใช่ ของเล่นของพี่กันต์’ ภานิการับไม้ต่อจากผู้เป็นแม่ทันทีในขณะที่คณิตายังคงงุนงง ทายาทสาวของบ้านพงศ์พิริยากรยิ้มเยาะก่อนจะพูดต่อ ‘นี่เธอ เธอไปเอาความมั่นหน้ามั่นโหนกมาจากไหนว่าพี่กันต์จะคว้าเอาผู้หญิงอย่างเธอมาเป็นเมียตบเมียแต่ง อย่างเธอน่ะ เขาก็แค่เล่นด้วยชั่วคราวเท่านั้นแหละ...โง่จังเลย แค่นี้ก็ไม่รู้’
‘หมอเกรซพูดถูก ฉันจะบอกอะไรเธอให้นะคณิตา ต่อให้เธอจะพยายามจนตากันต์พลาดจากหนูโซ่ ก็ไม่ได้หมายความว่าตากันต์จะคว้าผู้หญิงที่มาแบให้เอาง่าย ๆ มาเป็นคู่ชีวิตหรอกนะ ถึงจะทำผิดไปบ้างแต่ตากันต์ก็รู้...ว่าใครควรค่า ใครแค่ของเล่น’ ประโยคที่ร้ายกาจถูกเอื้องเอ่ยออกมาทำเอาคณิตาหน้าซีดเผือดแต่นั่นก็ยังไม่จบ คุณหญิงศิกานต์ยังยกยิ้มมาดร้ายก่อนจะพูดต่ออย่างชัดถ้อยชัดคำ ‘ฉันจะพูดชัด ๆ เลยนะวันนี้เจ้าสาวของลูกชายฉัน...ไม่ใช่เธอ’
“ไม่จริง คุณกันต์จะแต่งงานกับกี้ คุณแม่ทำเรื่องพวกนี้ลับหลังคุณกันต์ใช่มั้ยคะ” คนที่วาดฝันจะเป็นสะใภ้หมื่นล้านส่ายหน้าพรืด ไม่ยอมรับในสิ่งที่ได้รับฟังราวกับคนเสียสติ ศศิรินทร์ที่เริ่มเข้าใจทุกอย่างมองแล้วก่อนส่ายหน้าอย่างระอาใจ
เหมือนมีคนจะตกจากสวรรค์ที่ปีนป่ายขึ้นไปเสียแล้วสิ
‘คุณแม่ทำลับหลังคุณกันต์แน่ ๆ กี้จะโทรไปถามคุณกันต์’
“โธ่ ยังโง่อยู่อีก จะบอกอะไรให้นะ...’ ภานิกาที่หัวเราะอย่างมีจริตพูดแล้วก็โน้มหน้าไปใกล้ ๆ หูของคณิตาก่อนจะพูดด้วยเสียงดังฟังชัด ‘พี่กันต์น่ะเป็นคนบอกคุณแม่เองว่าให้คุณแม่หาเจ้าสาวให้ พี่เขาไม่เคยบอกเลยนะว่าจะให้เธอมาเป็นเจ้าสาว’
‘ละ แล้วที่คุณแม่บอกว่างานนี้ต้องพึ่งกี้ล่ะ’
‘ก็พอดีว่าเจ้าสาวของพี่กันต์เนี่ยเขาเลือกไม่ค่อยเก่ง พวกเราก็เลยหวังพึ่งให้เธอเลือกชุดแต่งงานให้ไง เจตนาเราแค่นี้ นอกนั้นเธอทึกทักไปเองจ้า’ ภานิกาตอบแล้วก็ยักไหล่ ก็นะ ทุกอย่างมันก็เป็นแผนการของเธอกับผู้เป็นแม่ที่ทำให้คนตรงหน้าเข้าใจว่าจับพี่ชายเธอได้สำเร็จ ปล่อยให้อีกฝ่ายเลือกชุดแต่งงานสวย ๆ เครื่องประดับสวย ๆ อย่างย่ามใจเพื่อรอวันกระชากให้ตื่นจากฝันจริง ๆ แต่ก็ไม่ได้พูดว่าจะให้อีกฝ่ายเป็นเจ้าสาวสักหน่อย แค่ให้เลือกชุดให้เจ้าสาวของพี่ชายที่คุณแม่ของเธอเตรียมไว้ให้เท่านั้น
ก็...ทึกทักไปเองชัด ๆ
ยิ่งได้ฟังคณิตาก็ยิ่งคล้ายจะควบคุมสติไม่อยู่ เธอส่ายหน้าไปมาอย่างคนไม่ยอมรับความจริงและพุ่งเข้าไปหาชุดเจ้าสาวที่ถูกช่างแต่งตัวถือเอาไว้ก่อนจะกระชากมากอดเอาไว้แน่น ‘ไม่ ต้องไม่ใช่แบบนี้ คิดว่าทำแบบนี้แล้วจะขัดขวางกี้ได้เหรอ ไม่มีทางหรอก ชุดนี้เป็นของกี้’
‘ก็กอดแต่ชุดไปแล้วกัน’ คุณหญิงศิกานต์พูดแค่นั้นบอดี้การ์ดร่างสูงใหญ่ก็โผล่เข้ามารวบร่างของคณิตาและดึงอีกฝ่ายเข้าไปภายในห้อง
‘ช่วยอยู่ในนั้นจนกว่าบ่าวสาวเขาจะเข้าหอก็แล้วกันนะคณิตา อ้อ ...จะบอกว่าชุดหรูที่เธอกอดอยู่กับงานอาฟเตอร์ปาร์ตี้ที่เธอเลือกน่ะ ลูกสะใภ้ฉันบอกว่าไม่เอา ไว้เธอไปจ่ายค่าชุดกับค่าจัดงานด้วยนะ นั่นของของเธอ’ คุณหญิงศิกานต์บอกเล่าก่อนจะยกยิ้มอย่างมาดร้าย คิดจะมาจับลูกชายของเธอ แล้วคิดว่าเธอจะยอมง่าย ๆ หรือ
ไม่มีทางซะหรอก!
‘อ้อ...เกือบลืมเรื่องสำคัญแหน่ะ’ ราวกับเพิ่งนึกเรื่องสำคัญได้คุณหญิงศิกานต์ก็หันกลับไปหาและยกยิ้มเลือดเย็นส่งให้ ‘รูปกับบรรดาเสี่ยเลี้ยงเก่า ๆ ของเธอน่ะ อยู่ในมือฉันหมดแล้ว ถ้าเธอออกจากห้องนี้ไปทำให้ลูกชายฉันเสียหายล่ะก็ ฉันจะส่งคลิปพวกนี้ให้นักข่าวทั้งหมด’
‘เลือกเอานะคณิตา จะอยู่ในห้องเงียบ ๆ แล้วยังมีที่ยืนในวงการ หรือจะออกไปทำลายตัวเอง’
รูปที่คณิตากำลังคลอเคลียอยู่กับเสี่ยใหญ่วัยกลางคนหลายต่อหลายคนถูกบอดี้การ์ดยื่นมาให้ดูทำเอาคนในภาพไม่กล้าที่จะก้าวออกจากประตูอีก แม้มันจะเป็นอดีตเมื่อนานมาแล้วแต่ถ้านักข่าวรู้ แฟนคลับได้เห็น ชีวิตในวงการของเธอพังแน่
คุณหญิงศิกานต์หัวเราะเย้ยหยันในลำคอก่อนจะหันมาหาศศิรินทร์ที่ยังคงยืนมองอยู่ตลอดเวลา ‘เข้าไปในงานดีกว่าหนูโซ่ ทางนี้ให้สองคนนี้จัดการ...แม่นี่ไม่มีทางได้สมหวังหรอก’
ศศิรินทร์มองคนที่ถูกขวางไม่ให้ออกมาจากห้องที่กำลังอยู่ในอาการคล้ายคนสติแตกก่อนจะกระตุกยิ้มน้อย ๆ ไม่ได้รู้สึกสะใจมากมายนักหรอก แต่สมเพชซะมากกว่า คุณหญิงศิกานต์เอาคืนได้แสบสันจริง ๆ เล่นเอาแม่คนฉลาดชอบแทงข้างหลังคนอื่นถึงกับสติแตกเลย
‘เข้าใจถึงความรู้สึกตอนโดนหักหลังหรือยังล่ะ โอกาสของเธอยังไม่ถึงกับหมดหรอกนะคุกกี้ถ้าเธอไม่ทำลายตัวเองในวันนี้...’ หญิงสาวทิ้งทายก่อนจะตบไหล่เพื่อนที่ต่อจากนี้เธอไม่คิดจะสนใจอีก ‘ขอให้เธอสนุกกับการฝ่าฟันเป็นสะใภ้พงศ์พิริยากรล่ะ ฉันหวังว่าเธอจะมีความสุขมาก ๆ จนจุกอกนะเพื่อนรัก’
‘กรี๊ด!!!’
ปัจจุบันเสียงกรี๊ดร้องด้วยความเจ็บใจและคับแค้นของคณิตายังคงก้องอยู่ในหัวยามที่เผลอคิดไปถึงสิ่งที่ได้รู้ได้เห็นในวันนี้ถ้าเปรียบเป็นละครเรื่องหนึ่งก็คงเป็นละครน้ำเน่าเรื่องยาวที่ยังไม่จบบริบูรณ์แต่ก็ต้องมีตัวละครใดตัวละครหนึ่งถูกขีดฆ่าออกไปจากเรื่อง เพื่อจบตอนเท่านั้น และเธอขอเป็นตัวละครที่ถูกนักเขียนขีดฆ่าออกจากเรื่องก็แล้วกันละครเรื่องนี้จะยังคงดำเนินต่อไป ภานุกานต์ยังคงต้องวุ่นวายกับเรื่องของคณิตาอีกนานเพราะสาวเจ้าไม่น่าจะเป็นคนที่ยอมแพ้ง่าย ๆและนั่นก็คงเป็นผลของการนอกใจไม่ซื่อสัตย์ต่อกันละครชีวิตเรื่องนี้จะเป็นอย่างไรต่อก็แล้วแต่บุญนำกรรมแต่งของแต่ละคนก็แล้วกัน บทบาทของเธอมันจบแล้ว...จบกันทีศศิรินทร์ยกแก้วขึ้นดื่มอีกครั้งและบอกเล่าให้คนรอฟังอยู่ได้รับรู้ “สุดท้ายเขาก็แต่งกับคนอื่นที่เขาและครอบครัวมองว่าเหมาะสมกว่ายัยนั่น”“มันก็สะใจนะที่ยัยนั่นไม่สมหวัง แต่ก็ไม่สุด ใจนึงฉันคิดว่าฉันรักเขามากก็เลยเสียใจ แต่อีกใจมันก็ต่อต้านว่าฉันไม่ได้พูดเพื่อให้เขาง้อ แต่ต้องการจะตัดขาดจริง ๆ ฉันรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้อยากได้เขา แต่ก็รู้สึกไม่ยินยอมที่เห็นเขายิ้มหน้าระรื่นควงคนอื่น...คุณว่าฉันผ
น้ำสีอำพันเพียว ๆ มีเพียงน้ำแข็งที่เจือปนถูกเสิร์ฟมาทันใจคนสั่งทว่าไม่ทันจะได้คว้ามากรอกปากมือหยาบกร้านก็ถือวิสาสะเลื่อนมาขวางไว้เสียก่อน“คุณเมามากแล้วนะ” เขาเตือนสั้น ๆ พร้อมกับส่ายหน้าสื่อให้รู้ว่าเธอควรจะหยุดได้แล้ว ถึงจะเสียใจหรือเจ็บใจแค่ไหนก็ตามการที่ผู้หญิงคนนึงมานั่งดื่มจนดึกดื่นแบบนี้มันไม่ใคร่ดีนัก แม้ว่าบนนี้จะเงียบ และแขกหลายคนนั่งกันแบบต่างคนต่างอยู่แต่ก็มีสายตาของพวกนักล่ามองมาที่เธอเช่นกัน ถ้าเขาลุกออกไปเสือร้ายพวกนั้นต้องเข้ามาต้อนเหยื่ออย่างแน่นอน“ยังไม่เมาซ๊ากหน่อย”“แบบนี้น่ะเรียกว่าเมาแล้ว...ผมโทรหาคนที่บ้านให้มารับดีมั้ย”คนเมาส่ายหน้าไปมากับคำถามก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “อึก ม่ายมีหรอก ม่ายต้องโทร.”“ไม่มี?”“อื้อ” เธอตอบรับสั้น ๆ ก่อนจะขยายความเมื่อสายตาคู่คมไม่ยอมละจากไปไหน “พ่อกับแม่ตายหมดแล้ว ญาติที่เรียกว่าดี ๆ ก็ม้ายมี มีน้องชายคนนึงก็เรียนอยู่ออสเตรเลียโน่นแหน่ะ มารับม้ายด้าย”“งั้นเพื่อนล่ะ?”คนเมาส่ายหน้าอีกครั้ง “ม่าย ฉ้านม้ายอยากให้เห็นสภาพตอนนี้”“งั้นผมลงไปเปิดห้องให้มั้ย?”“ม่าย ม่าย ม่ายเปิด เดี๋ยวเพื่อนเห็น” หญิงสาวพูดแล้วก็ส่ายหน้า สภาพที่ย
เดอะชายน์ แกรนด์ โอเรียนเต็ลเป็นโรงแรมระดับห้าดาวที่เรียกได้ว่าหรูเกินกว่าที่นายตำรวจเงินเดือนน้อยอย่างรังสิมันตุ์จะกล้าเหยียบย่างเข้ามาก็ว่าได้ ที่นี่หรูยิ่งกว่าโรงแรมณิวาลัยที่เป็นต้นทางของการเดินทางซะอีก ทันทีที่เข้ามาภายในโถงทางเดินของโรงแรมชายหนุ่มก็ต้องพิจารณาแล้วพิจารณาอีก เป็นคนระดับไหนกันนะ ถึงได้คิดจะพักในโรงแรมหรูระดับไฮโซแบบนี้ส่งไว้แค่นี้ดีมั้ยเนี่ย ที่นี่มันช่างไม่เข้ากับเขาเอาซะเลย...แต่ถ้าปล่อยไว้แล้วมีใครมาพาไปทำเรื่องไม่ดีล่ะ...แบบนั้นไม่ดีแน่...ขณะที่กำลังคิดไม่ตกคนที่ชายหนุ่มเป็นกังวลถึงก็ลืมตาขึ้นมามองทั้งที่ยังไม่ส่างดีและพึมพำถาม “งืม...ที่หนายเนี่ย”“เดอะชายน์ แกรนด์ โอเรียนเต็ลไง”“เหรอ...งืม ขี่หลังหน่อย” คนเมาตอบอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะพยายามปีนป่ายขึ้นหลังอีกฝ่าย รังสิมันตุ์ร้องเสียงหลงแต่สุดท้ายก็ยอมให้สาวเจ้าขี่หลังและเดินเข้าไปในโรงแรมอย่างเสียมิได้ก็เล่นล็อคไว้แบบนี้จะทิ้งไว้ก็คงไม่ได้เอาวะ กระเป๋าฉีกก็ต้องยอมแล้วล่ะ“ปายที่ลิฟต์ ทางน้าน” คนที่เริ่มส่างบ้างแล้วแต่ก็ยังไม่ถึงกับประคองสติได้ดีพึมพำก่อนจะชี้ไปที่ลิฟต์อย่างคนรู้จักมักคุ้นกับสถานที่เป็นอย่า
ไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้ร่ำลาจบก็ถูกดึงลงมาจูบอีกครั้งพร้อม ๆ มือเล็ก ๆ ที่ประคองใบหน้าคมไว้ดึงรั้งให้คนตัวโตเดินตามเข้ามาภายในประตูที่ถูกเปิดอ้าซ่าอยู่นาทีนั้นรังสิมันตุ์ไม่ได้คิดจะกลับอีกแล้ว เขาบดจูบขบเม้นเรียวปากสวยอย่างไม่มีทีท่าจะหยุดพร้อม ๆ กับที่รวบเอาคนที่สูงเกือบจะเท่าแต่ก็ยังดูผอมบางเอาไว้และปิดประตูราวกับจะไม่สนใจเรื่องภายนอกอีกแล้วแม้จะประคองสติมาได้จนถึงตอนนี้แต่สติสัมปชัญญะของชายหนุ่มก็ไม่ได้เต็มร้อยพอได้สัมผัสริมฝีปากอ่อนนุ่มและหอมหวานเขาก็ควบคุมตัวเองเอาไว้ไม่ได้อีกต่อไปยิ่งเป็นเธอ ระบบความคิดก็เหมือนจะถูกปิดไปชั่วขณะ...คนตัวเล็กกว่าถูกพามาวางลงบนเตียงขนาดคิงไซส์พร้อมกับที่คนตัวโตกว่าทิ้งกายลงมาค่อมทับไว้ชายหนุ่มผละจูบมาจ้องมองใบหน้าหวานเยิ้มจากทั้งฤทธิ์น้ำเมาและฤทธิ์จูบด้วยสายตาอ่อนโยนก่อนจะโน้มลงมาฉกจูบอีกครั้งอย่างแผ่วเบา เป็นการฉกฉวยที่ไม่ได้เนิ่นนาน ศศิรินทร์มองคนที่ผละจูบอย่างรวดเร็วด้วยความเสียดายก่อนที่เขาจะมองด้วยสายตายากจะคาดเดา“หยุดมั้ย...ถ้าคุณบอกให้ผมหยุด ผมก็จะหยุด” เขาถามและบอกทว่าดวงตาคู่สวยก็ยังมองมาที่เขาด้วยสายตาที่ไม่ค่อยดีต่อหัวใจและการควบคุมข
สามเดือนก่อนหน้านี้นัยน์ตาคู่หวานเงยจากเอกสารหลายชิ้นที่กองอยู่บนโต๊ะขึ้นมามองใครคนนึงที่เปิดประตูเข้ามาภายในห้องโดยไม่คิดจะแจ้งล่วงหน้าก่อนจะวางมือจากงานที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาทำและเบือนหน้าหนีราวกับไม่อยากจะพูดจาใด ๆ กับอีกฝ่ายแม้แต่น้อยแต่ก็จำต้องพูด“ดิฉันว่าดิฉันพูดชัดเจนแล้วนะคะคุณภานุกานต์ ว่าเราไม่มีอะไรต้องเกี่ยวข้องกันอีก” สาวเจ้าของห้องอย่างศศิรินทร์ สิริธาราหรือซอโซ่ผู้บริหารสาวสวยวัยสามสิบสองปีของบริษัท ชายน์ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ บริษัทผลิตละครโทรทัศน์และสื่อโฆษณายักษ์ใหญ่ที่ใช้เวลาไม่กี่ปีก็ก้าวขึ้นมาอยู่อันดับต้น ๆ ของวงการบันเทิงเปิดฉากก่อนโดยไม่แม้แต่จะเชิญคนเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตให้นั่ง แววตาว่างเปล่าหันกลับมาจ้องมองคู่สนทนาอย่างพิจารณาคนตรงหน้าคือภานุกานต์ พงศ์พิริยกรอดีตแฟนหนุ่มที่เธอเพิ่งตัดความสัมพันธ์ไปเมื่อคืนวานนี้ด้วยข้อหาร้ายแรงชนิดที่เธอไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่ามันจะเกิดขึ้นเขานอกใจเธอ...ยิ่งไปกว่านั้นคู่ขาที่ร่วมสวมเขาให้เธอยังเป็นเพื่อนคนสนิทที่เธอผลักดันจนได้เป็นนักแสดงสาวคนดัง ที่เธอทั้งรักและไว้ใจราวกับเป็นญาติพี่น้อง...ความจริงที่ได้รู้ก็คือ คนพวกนี้สวม
“แล้ว...งานแต่งงานล่ะ”ทั้งที่พูดชัดเจนแต่ภานุกานต์ก็ยังไม่ตัดใจยอมแพ้ง่าย ๆ เขารู้ว่ามันยากที่จะให้อภัย รู้ว่าเธอทำใจไม่ได้ แต่การเตรียมงานแต่งงานก็เรียบร้อยไปเกินครึ่งแล้ว ทั้งเธอและเขาเป็นนักธุรกิจนะ จะเอาเงินหลายล้านไปทิ้งเปล่า ๆ งั้นเหรอ“จะให้ยกเลิกทั้งที่เสียเงินไปมากมาย แล้วคุณพ่อคุณแม่ก็เชิญแขกแล้วน่ะเหรอ”“แล้วจะให้ฉันฝืนทนแต่งงานกับผู้ชายที่นอกใจฉันไปนอนกับคนที่ย้ำยีมิตรภาพของฉันงั้นเหรอ” คนที่ควรจะเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวด้วยอารมณ์แจ่มใสแผดเสียงถามอีกรอบ เธอไม่เข้าใจตรรกะของคนตรงหน้าเลย ไม่เข้าใจเลยจริง ๆเขาเป็นอย่างนี้เสมอ...เป็นผู้ชายนิ่ง ๆ ที่ให้ความรู้สึกไม่เข้าใจ บางครั้งก็แข็งกระด้าง บางครั้งก็เป็นสุภาพบุรุษ ถ้าไม่ใช่เพราะเคยบอกรักเธอคงคิดไปแล้วว่าคนตรงหน้าเป็นผู้ชายไม่ยินดียินร้ายกับอะไรและแค่คบหากับเธอตามแรงเชียร์ของที่บ้านแต่ตอนนี้เธอก็คิดแบบนั้นขึ้นมาอีกแล้ว...หรือความจริงเขาแค่คบกับเธอเพราะที่บ้านเชียร์จริง ๆ และตอนนี้ก็มาตามคำสั่งของที่บ้านถึงไม่ได้สนใจเลยว่าเธอจะเจ็บปวดแค่ไหน“โซ่ เราหมดเงินไปกับการเตรียมงานตั้งเท่าไหร่ ไม่ใช่แค่เงินผม แต่เงินคุณเองก็ไม่ใช่น้อ
การที่ต้องมาปรากฎตัวในงานแต่งงานของอดีตแฟนเก่าเพราะเจ้าบ่าวอุตส่าห์ส่งการ์ดเชิญมาเย้ยจบลงด้วยการปั้นหน้าไม่รู้สึกอะไรและปลีกตัวออกมาในช่วงท้าย ๆ ของงานด้วยความคิดที่สับสน กว่าจะรู้ตัวอีกทีหญิงสาวก็มาหยุดบนดาดฟ้าของโรงแรมที่ทางโรงแรมจัดเป็นบาร์ลอยฟ้าเสียแล้วมันเจ็บจี๊ดขึ้นมาเมื่อคิดขึ้นมาว่าที่นี่คือสถานที่ที่เขาคนนั้นขอเธอแต่งงานแต่หญิงสาวก็ไม่ได้คิดจะกลับลงไป ไหน ๆ ก็มาแล้ว ดื่มให้ลืม ๆ ไปสักหน่อยจะเป็นไรไปท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบของบาร์เรียบหรูบนชั้นดาดฟ้าที่ลูกค้าส่วนใหญ่ต่างจับจองที่นั่งสั่งเครื่องดื่มมาดื่มกันเงียบ ๆ รับลมและชมบรรยากาศท้องฟ้ายามค่ำคืน โดยไม่ให้ความสนใจโต๊ะอื่น ๆ มากนัก ศศรินทร์ก้าวเข้าไปนั่งที่เคาน์เตอร์บาร์ด้วยโดยไม่สนสายตาที่บาร์เทนเดอร์มองมาด้วยความสงสัยรวมถึงสายตาของใครหลายคนที่มองจ้องมา“ออน เดอะ ร็อค” “อะ ออน เดอะ ร็อค เหรอครับ” บาร์เทนเดอร์หนุ่มทวนคำสั่ง ใบหน้าของเขาบ่งบอกว่าไม่มั่นใจนักว่าเขาเข้าใจสิ่งใดผิดไปหรือไม่ หญิงสาวหน้าตาสะสวยอย่างนี้จะดื่มเพียว ๆ เลยหรือ เธอเหมาะกับค็อกเทลสีสันหวาน ๆ ซะมากกว่า...จะดื่มแบบออน เดอะ ร็อค จริง ๆ น่ะหรือ“ผมว่าเป็น
หลายนาทีต่อมาทั้งที่คิดและตั้งใจไม่สนใจแต่สายตาเจ้ากรรมก็ไม่วายเผลอไปมองแม่สาวบรรยากาศรอบตัวดูหมอง ๆ อยู่หลายครั้งราวกับมีแรงดึงดูดที่ไม่สามารถอธิบายได้ ทั้งที่ตรงนี้มืดพอสมควรแต่เขาก็ยังเหลือบไปมองอยู่หลายครั้ง...เป็นโรคจิตไปแล้วหรือไงกันนะใช่เพียงชายหนุ่มที่เหลือบมองอยู่หลายครั้ง ศศิรินทร์เองก็รู้สึกราวกับมีอะไรดึงดูดให้ต้องเผลอเหลือบไปมองคนที่เข้ามาทักแต่โดนปฏิเสธไปอย่างไร้เยื่อใยอยู่เหมือนกันอาจจะเพราะดื่มไปหลายแก้วเธอถึงได้ทำอะไรแปลก ๆ แบบนี้ทั้งที่ไม่คิดที่จะทำตัวรักสนุกหรือสานต่อความสัมพันธ์กับใครในสถานที่แบบนี้หรืออาจจะเพราะเขาคนนี้ให้ความรู้สึกเหมือนกับใครบางคนที่เคยรู้จักเมื่อนานมาแล้วเธอถึงได้รู้สึกราวกับถูกดึงดูดแบบนี้ทั้งคู่ต่างก็เป็นคนแปลกหน้าที่ไม่มีความจำเป็นต้องสนทนาปราศรัยกันแต่ก็ราวกับมีอะไรดึงดูดให้เผลอมองกันอยู่หลายครั้งยิ่งดึก ฤทธิ์น้ำเมาก็ยิ่งลดทอนสติสัมปชัญญะ คนที่นั่งต่างคนต่างดื่มลอบมองกันอยู่บ่อย ๆ ก็เปลี่ยนเป็นหันหน้าเข้าหากันระบายเรื่องอัดอั้นอยู่ในใจราวกับพบเจอคนช่วยปรับทุกข์...แต่ความจริงแล้วคล้ายจะเป็นฝ่ายหญิงเท่านั้นที่ระบายความเจ็บช้ำโดยมีฝ่ายชาย
ไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้ร่ำลาจบก็ถูกดึงลงมาจูบอีกครั้งพร้อม ๆ มือเล็ก ๆ ที่ประคองใบหน้าคมไว้ดึงรั้งให้คนตัวโตเดินตามเข้ามาภายในประตูที่ถูกเปิดอ้าซ่าอยู่นาทีนั้นรังสิมันตุ์ไม่ได้คิดจะกลับอีกแล้ว เขาบดจูบขบเม้นเรียวปากสวยอย่างไม่มีทีท่าจะหยุดพร้อม ๆ กับที่รวบเอาคนที่สูงเกือบจะเท่าแต่ก็ยังดูผอมบางเอาไว้และปิดประตูราวกับจะไม่สนใจเรื่องภายนอกอีกแล้วแม้จะประคองสติมาได้จนถึงตอนนี้แต่สติสัมปชัญญะของชายหนุ่มก็ไม่ได้เต็มร้อยพอได้สัมผัสริมฝีปากอ่อนนุ่มและหอมหวานเขาก็ควบคุมตัวเองเอาไว้ไม่ได้อีกต่อไปยิ่งเป็นเธอ ระบบความคิดก็เหมือนจะถูกปิดไปชั่วขณะ...คนตัวเล็กกว่าถูกพามาวางลงบนเตียงขนาดคิงไซส์พร้อมกับที่คนตัวโตกว่าทิ้งกายลงมาค่อมทับไว้ชายหนุ่มผละจูบมาจ้องมองใบหน้าหวานเยิ้มจากทั้งฤทธิ์น้ำเมาและฤทธิ์จูบด้วยสายตาอ่อนโยนก่อนจะโน้มลงมาฉกจูบอีกครั้งอย่างแผ่วเบา เป็นการฉกฉวยที่ไม่ได้เนิ่นนาน ศศิรินทร์มองคนที่ผละจูบอย่างรวดเร็วด้วยความเสียดายก่อนที่เขาจะมองด้วยสายตายากจะคาดเดา“หยุดมั้ย...ถ้าคุณบอกให้ผมหยุด ผมก็จะหยุด” เขาถามและบอกทว่าดวงตาคู่สวยก็ยังมองมาที่เขาด้วยสายตาที่ไม่ค่อยดีต่อหัวใจและการควบคุมข
เดอะชายน์ แกรนด์ โอเรียนเต็ลเป็นโรงแรมระดับห้าดาวที่เรียกได้ว่าหรูเกินกว่าที่นายตำรวจเงินเดือนน้อยอย่างรังสิมันตุ์จะกล้าเหยียบย่างเข้ามาก็ว่าได้ ที่นี่หรูยิ่งกว่าโรงแรมณิวาลัยที่เป็นต้นทางของการเดินทางซะอีก ทันทีที่เข้ามาภายในโถงทางเดินของโรงแรมชายหนุ่มก็ต้องพิจารณาแล้วพิจารณาอีก เป็นคนระดับไหนกันนะ ถึงได้คิดจะพักในโรงแรมหรูระดับไฮโซแบบนี้ส่งไว้แค่นี้ดีมั้ยเนี่ย ที่นี่มันช่างไม่เข้ากับเขาเอาซะเลย...แต่ถ้าปล่อยไว้แล้วมีใครมาพาไปทำเรื่องไม่ดีล่ะ...แบบนั้นไม่ดีแน่...ขณะที่กำลังคิดไม่ตกคนที่ชายหนุ่มเป็นกังวลถึงก็ลืมตาขึ้นมามองทั้งที่ยังไม่ส่างดีและพึมพำถาม “งืม...ที่หนายเนี่ย”“เดอะชายน์ แกรนด์ โอเรียนเต็ลไง”“เหรอ...งืม ขี่หลังหน่อย” คนเมาตอบอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะพยายามปีนป่ายขึ้นหลังอีกฝ่าย รังสิมันตุ์ร้องเสียงหลงแต่สุดท้ายก็ยอมให้สาวเจ้าขี่หลังและเดินเข้าไปในโรงแรมอย่างเสียมิได้ก็เล่นล็อคไว้แบบนี้จะทิ้งไว้ก็คงไม่ได้เอาวะ กระเป๋าฉีกก็ต้องยอมแล้วล่ะ“ปายที่ลิฟต์ ทางน้าน” คนที่เริ่มส่างบ้างแล้วแต่ก็ยังไม่ถึงกับประคองสติได้ดีพึมพำก่อนจะชี้ไปที่ลิฟต์อย่างคนรู้จักมักคุ้นกับสถานที่เป็นอย่า
น้ำสีอำพันเพียว ๆ มีเพียงน้ำแข็งที่เจือปนถูกเสิร์ฟมาทันใจคนสั่งทว่าไม่ทันจะได้คว้ามากรอกปากมือหยาบกร้านก็ถือวิสาสะเลื่อนมาขวางไว้เสียก่อน“คุณเมามากแล้วนะ” เขาเตือนสั้น ๆ พร้อมกับส่ายหน้าสื่อให้รู้ว่าเธอควรจะหยุดได้แล้ว ถึงจะเสียใจหรือเจ็บใจแค่ไหนก็ตามการที่ผู้หญิงคนนึงมานั่งดื่มจนดึกดื่นแบบนี้มันไม่ใคร่ดีนัก แม้ว่าบนนี้จะเงียบ และแขกหลายคนนั่งกันแบบต่างคนต่างอยู่แต่ก็มีสายตาของพวกนักล่ามองมาที่เธอเช่นกัน ถ้าเขาลุกออกไปเสือร้ายพวกนั้นต้องเข้ามาต้อนเหยื่ออย่างแน่นอน“ยังไม่เมาซ๊ากหน่อย”“แบบนี้น่ะเรียกว่าเมาแล้ว...ผมโทรหาคนที่บ้านให้มารับดีมั้ย”คนเมาส่ายหน้าไปมากับคำถามก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “อึก ม่ายมีหรอก ม่ายต้องโทร.”“ไม่มี?”“อื้อ” เธอตอบรับสั้น ๆ ก่อนจะขยายความเมื่อสายตาคู่คมไม่ยอมละจากไปไหน “พ่อกับแม่ตายหมดแล้ว ญาติที่เรียกว่าดี ๆ ก็ม้ายมี มีน้องชายคนนึงก็เรียนอยู่ออสเตรเลียโน่นแหน่ะ มารับม้ายด้าย”“งั้นเพื่อนล่ะ?”คนเมาส่ายหน้าอีกครั้ง “ม่าย ฉ้านม้ายอยากให้เห็นสภาพตอนนี้”“งั้นผมลงไปเปิดห้องให้มั้ย?”“ม่าย ม่าย ม่ายเปิด เดี๋ยวเพื่อนเห็น” หญิงสาวพูดแล้วก็ส่ายหน้า สภาพที่ย
ปัจจุบันเสียงกรี๊ดร้องด้วยความเจ็บใจและคับแค้นของคณิตายังคงก้องอยู่ในหัวยามที่เผลอคิดไปถึงสิ่งที่ได้รู้ได้เห็นในวันนี้ถ้าเปรียบเป็นละครเรื่องหนึ่งก็คงเป็นละครน้ำเน่าเรื่องยาวที่ยังไม่จบบริบูรณ์แต่ก็ต้องมีตัวละครใดตัวละครหนึ่งถูกขีดฆ่าออกไปจากเรื่อง เพื่อจบตอนเท่านั้น และเธอขอเป็นตัวละครที่ถูกนักเขียนขีดฆ่าออกจากเรื่องก็แล้วกันละครเรื่องนี้จะยังคงดำเนินต่อไป ภานุกานต์ยังคงต้องวุ่นวายกับเรื่องของคณิตาอีกนานเพราะสาวเจ้าไม่น่าจะเป็นคนที่ยอมแพ้ง่าย ๆและนั่นก็คงเป็นผลของการนอกใจไม่ซื่อสัตย์ต่อกันละครชีวิตเรื่องนี้จะเป็นอย่างไรต่อก็แล้วแต่บุญนำกรรมแต่งของแต่ละคนก็แล้วกัน บทบาทของเธอมันจบแล้ว...จบกันทีศศิรินทร์ยกแก้วขึ้นดื่มอีกครั้งและบอกเล่าให้คนรอฟังอยู่ได้รับรู้ “สุดท้ายเขาก็แต่งกับคนอื่นที่เขาและครอบครัวมองว่าเหมาะสมกว่ายัยนั่น”“มันก็สะใจนะที่ยัยนั่นไม่สมหวัง แต่ก็ไม่สุด ใจนึงฉันคิดว่าฉันรักเขามากก็เลยเสียใจ แต่อีกใจมันก็ต่อต้านว่าฉันไม่ได้พูดเพื่อให้เขาง้อ แต่ต้องการจะตัดขาดจริง ๆ ฉันรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้อยากได้เขา แต่ก็รู้สึกไม่ยินยอมที่เห็นเขายิ้มหน้าระรื่นควงคนอื่น...คุณว่าฉันผ
ปล่อยให้ศศิรินทร์ได้สงสัยไม่นานทิพวรรณก็ออกมาพร้อมกับบรรดาช่างที่ถูกส่งมาดูแลเจ้าสาวโดยมีคณิตาเดินตามออกมาด้วยความไม่เข้าใจ‘นี่มันอะไรกันคะคุณแม่ ทำไมถึงเรียกพวกช่างออกมา กี้ยังแต่งตัวไม่เสร็จเลย เดี๋ยวไม่ทันฤกษ์นะคะ’ คนจะได้เป็นเจ้าสาวหมื่นล้านถามทันทีด้วยความไม่เข้าใจ คุณหญิงศิกานต์ยิ้มใจเย็นก่อนจะปลายตามองเจ้าของคำถามด้วยสายตาว่างเปล่า‘แต่งตัวไม่ทันฤกษ์ ก็คงไม่เป็นไม่ไรหรอกมั้ง...ไม่ใช่ตัวเอกของงานสักหน่อย’‘อะ อะไรนะคะ ไม่ใช่ตัวเอกอะไร กี้เป็นเจ้าสาวนะคะคุณแม่’‘เดี๋ยว ๆ เธอเข้าใจอะไรผิดแล้ว’ คนเป็นคุณหญิงร้องห้ามแล้วเมินดาราสาวหันมันสอบถามลูกสาว ‘เกรซ ผู้หญิงคนนี้เขาเป็นเจ้าสาวของพี่เราเหรอ’‘เปล่านี่คะ...ใครบอกว่าคนนี้เป็นเจ้าสาวละเนี่ย’ ภานิกาตอบอย่างฉะฉานด้วยใบหน้าตื่นตกใจแต่แอบซ่อนรอยยิ้มที่มุมปากเอาไว้ ศศิรินทร์มองน้องสาวอดีตแฟนหนุ่มที แม่ของอีกฝ่ายทีก่อนจะมองสถานการณ์ต่อเงียบ ๆ ไม่ได้เข้าไปมีบทบาทกับเรื่องที่กำลังเกิดขึ้น...เธอมาเพื่อเป็นผู้ชมละครฉากใหญ่สินะ‘นั่นสิ ใครบอกเธอว่าพวกฉันจะยอมให้เธอมาเป็นเจ้าสาวของตากันต์’‘อะไรนะ นี่มันอะไรกัน ก็คุณแม่...’ไม่ทันที่คณิตาจะได
ต่างฝ่ายก็ต่างเงียบ ศศิรินทร์ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อในขณะที่ภานิกากำลังขบคิดบางสิ่งบางอย่าง และแล้วหญิงสาวก็ตัดสินใจได้ มือบางรีบยื่นไปกุมมือของอดีตคนรักของพี่ชายในทันที‘มันอาจไม่ได้ทำให้พี่โซ่หายเจ็บปวด แต่มากับเกรซหน่อยนะคะ เกรซอยากให้พี่โซ่ได้เห็น’ไม่เพียงแค่พูดแต่หญิงสาวยังออกแรงกระตุกแขนให้ศศิรินทร์เดินตามไปในทิศทางที่เธอตั้งใจจะไปตั้งแต่แรกอีกด้วย คนถูกกึ่งลากกึ่งจูงได้แต่มึนงงและร้องถามด้วยความสงสัย‘เดี๋ยวก่อนเกรซ เราจะพาพี่ไปไหนเนี่ย’‘ตามมาเถอะค่ะแล้วเดี๋ยวพี่โซ่จะเข้าใจเอง’ หญิงสาวอายุน้อยกว่าบอกเพียงแค่นั้นก็ออกแรงดึงให้อีกฝ่ายเดินตามให้เร็วขึ้น ‘เร็ว ๆ ค่ะ เดี๋ยวจะไม่ทัน’ศศิรินทร์ได้แต่เดินตามแรงดึงของหญิงสาวไปด้วยความงุนงง สาวรุ่นน้องไม่ยอมบอกเล่าอะไรทำเพียงจูงมือเธอให้เดินตามไปจนกระทั่งถึงหน้าห้องพักห้องหนึ่งมีคนวิ่งเข้าวิ่งออกเป็นว่าเล่น สาวรุ่นน้องไม่ได้เดินเข้าไปภายในห้องแต่พาเธอมาแอบมองอยู่ข้าง ๆ ประตูด้านในห้องนั้นมีเสียงที่คุ้นหูกำลังสั่งการและด่าทอผู้คนอยู่อย่างไม่ไว้หน้า พอลอบมองก็ได้เห็นว่าไม่ใช่ใครที่ไหน...คือคนคุ้นเคยของเธอเองคุกกี้ คณิตา ดาราสาวสวยที่กำลั
“เล่าต่อสิ อะไรที่ไม่สบายใจ อย่าเก็บมันไว้เลย” น้ำเสียงที่ฟังแล้วอบอุ่นใจราวกับได้คุยกับคนคุ้นเคยพูดขึ้นอีกครั้งก่อนจะชักมือกลับ กลัวจะทำให้หญิงสาวไม่สบายใจ...ชายหญิงแปลกหน้าแตะเนื้อต้องตัวกันมากไปมันไม่เหมาะสมศศิรินทร์มองท่าทีเป็นสุภาพบุรุษของชายหนุ่มก่อนจะเลื่อนแก้วไปให้บาร์เทนเดอร์ชงให้อีกแก้วพลางบอกเล่าต่อ “วันนี้ควรเป็นวันแต่งงานของเรา แต่ฉันไม่แต่ง ฉันให้เขาไปหาเจ้าสาวใหม่เอาซะถ้ากลัวขายขี้หน้า”“แล้วไง เขาก็คว้าผู้หญิงคนนั้นมาเป็นเจ้าสาวเหรอ?”คำถามนั้นไมได้รับคำตอบ หญิงสาวส่ายหน้าไปมาก่อนจะหวนคิดไม่ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้เช้าวันนี้...‘พะ พี่โซ่’ เสียงอุทานทักราวกับตกใจที่ได้เห็นทำให้ศศิรินทร์ที่กำลังยืนมองภาพคู่บ่าวสาวที่ถูกวาดด้วยสีน้ำมันแสนสวยต้องละสายตาไปมอง ความจริงแล้วแม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ส่งเสียงทักเธอก็จะเลิกมองรูปนี้อยู่พอดีสาเหตุที่ไม่มองต่อก็เพราะมันเจ็บอยู่ลึก ๆ และมองไปก็ไร้ความหมายเพราะในภาพเห็นเพียงด้านหลังของคู่บ่าวสาวที่จูงมือกันอย่างกับไม่อยากให้ใครเห็นเจ้าสาวก่อนถึงเวลาอย่างไรอย่างนั้นจะทำแบบนั้นทำไมในเมื่อคนคนนั้นแทบจะโพนะนาไปทั่วแล้วว่าตัวเองกำลังจะเป
หลายนาทีต่อมาทั้งที่คิดและตั้งใจไม่สนใจแต่สายตาเจ้ากรรมก็ไม่วายเผลอไปมองแม่สาวบรรยากาศรอบตัวดูหมอง ๆ อยู่หลายครั้งราวกับมีแรงดึงดูดที่ไม่สามารถอธิบายได้ ทั้งที่ตรงนี้มืดพอสมควรแต่เขาก็ยังเหลือบไปมองอยู่หลายครั้ง...เป็นโรคจิตไปแล้วหรือไงกันนะใช่เพียงชายหนุ่มที่เหลือบมองอยู่หลายครั้ง ศศิรินทร์เองก็รู้สึกราวกับมีอะไรดึงดูดให้ต้องเผลอเหลือบไปมองคนที่เข้ามาทักแต่โดนปฏิเสธไปอย่างไร้เยื่อใยอยู่เหมือนกันอาจจะเพราะดื่มไปหลายแก้วเธอถึงได้ทำอะไรแปลก ๆ แบบนี้ทั้งที่ไม่คิดที่จะทำตัวรักสนุกหรือสานต่อความสัมพันธ์กับใครในสถานที่แบบนี้หรืออาจจะเพราะเขาคนนี้ให้ความรู้สึกเหมือนกับใครบางคนที่เคยรู้จักเมื่อนานมาแล้วเธอถึงได้รู้สึกราวกับถูกดึงดูดแบบนี้ทั้งคู่ต่างก็เป็นคนแปลกหน้าที่ไม่มีความจำเป็นต้องสนทนาปราศรัยกันแต่ก็ราวกับมีอะไรดึงดูดให้เผลอมองกันอยู่หลายครั้งยิ่งดึก ฤทธิ์น้ำเมาก็ยิ่งลดทอนสติสัมปชัญญะ คนที่นั่งต่างคนต่างดื่มลอบมองกันอยู่บ่อย ๆ ก็เปลี่ยนเป็นหันหน้าเข้าหากันระบายเรื่องอัดอั้นอยู่ในใจราวกับพบเจอคนช่วยปรับทุกข์...แต่ความจริงแล้วคล้ายจะเป็นฝ่ายหญิงเท่านั้นที่ระบายความเจ็บช้ำโดยมีฝ่ายชาย
การที่ต้องมาปรากฎตัวในงานแต่งงานของอดีตแฟนเก่าเพราะเจ้าบ่าวอุตส่าห์ส่งการ์ดเชิญมาเย้ยจบลงด้วยการปั้นหน้าไม่รู้สึกอะไรและปลีกตัวออกมาในช่วงท้าย ๆ ของงานด้วยความคิดที่สับสน กว่าจะรู้ตัวอีกทีหญิงสาวก็มาหยุดบนดาดฟ้าของโรงแรมที่ทางโรงแรมจัดเป็นบาร์ลอยฟ้าเสียแล้วมันเจ็บจี๊ดขึ้นมาเมื่อคิดขึ้นมาว่าที่นี่คือสถานที่ที่เขาคนนั้นขอเธอแต่งงานแต่หญิงสาวก็ไม่ได้คิดจะกลับลงไป ไหน ๆ ก็มาแล้ว ดื่มให้ลืม ๆ ไปสักหน่อยจะเป็นไรไปท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบของบาร์เรียบหรูบนชั้นดาดฟ้าที่ลูกค้าส่วนใหญ่ต่างจับจองที่นั่งสั่งเครื่องดื่มมาดื่มกันเงียบ ๆ รับลมและชมบรรยากาศท้องฟ้ายามค่ำคืน โดยไม่ให้ความสนใจโต๊ะอื่น ๆ มากนัก ศศรินทร์ก้าวเข้าไปนั่งที่เคาน์เตอร์บาร์ด้วยโดยไม่สนสายตาที่บาร์เทนเดอร์มองมาด้วยความสงสัยรวมถึงสายตาของใครหลายคนที่มองจ้องมา“ออน เดอะ ร็อค” “อะ ออน เดอะ ร็อค เหรอครับ” บาร์เทนเดอร์หนุ่มทวนคำสั่ง ใบหน้าของเขาบ่งบอกว่าไม่มั่นใจนักว่าเขาเข้าใจสิ่งใดผิดไปหรือไม่ หญิงสาวหน้าตาสะสวยอย่างนี้จะดื่มเพียว ๆ เลยหรือ เธอเหมาะกับค็อกเทลสีสันหวาน ๆ ซะมากกว่า...จะดื่มแบบออน เดอะ ร็อค จริง ๆ น่ะหรือ“ผมว่าเป็น