น้ำสีอำพันเพียว ๆ มีเพียงน้ำแข็งที่เจือปนถูกเสิร์ฟมาทันใจคนสั่งทว่าไม่ทันจะได้คว้ามากรอกปากมือหยาบกร้านก็ถือวิสาสะเลื่อนมาขวางไว้เสียก่อน
“คุณเมามากแล้วนะ” เขาเตือนสั้น ๆ พร้อมกับส่ายหน้าสื่อให้รู้ว่าเธอควรจะหยุดได้แล้ว ถึงจะเสียใจหรือเจ็บใจแค่ไหนก็ตามการที่ผู้หญิงคนนึงมานั่งดื่มจนดึกดื่นแบบนี้มันไม่ใคร่ดีนัก แม้ว่าบนนี้จะเงียบ และแขกหลายคนนั่งกันแบบต่างคนต่างอยู่แต่ก็มีสายตาของพวกนักล่ามองมาที่เธอเช่นกัน ถ้าเขาลุกออกไปเสือร้ายพวกนั้นต้องเข้ามาต้อนเหยื่ออย่างแน่นอน
“ยังไม่เมาซ๊ากหน่อย”
“แบบนี้น่ะเรียกว่าเมาแล้ว...ผมโทรหาคนที่บ้านให้มารับดีมั้ย”
คนเมาส่ายหน้าไปมากับคำถามก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “อึก ม่ายมีหรอก ม่ายต้องโทร.”
“ไม่มี?”
“อื้อ” เธอตอบรับสั้น ๆ ก่อนจะขยายความเมื่อสายตาคู่คมไม่ยอมละจากไปไหน “พ่อกับแม่ตายหมดแล้ว ญาติที่เรียกว่าดี ๆ ก็ม้ายมี มีน้องชายคนนึงก็เรียนอยู่ออสเตรเลียโน่นแหน่ะ มารับม้ายด้าย”
“งั้นเพื่อนล่ะ?”
คนเมาส่ายหน้าอีกครั้ง “ม่าย ฉ้านม้ายอยากให้เห็นสภาพตอนนี้”
“งั้นผมลงไปเปิดห้องให้มั้ย?”
“ม่าย ม่าย ม่ายเปิด เดี๋ยวเพื่อนเห็น” หญิงสาวพูดแล้วก็ส่ายหน้า สภาพที่ย่ำแย่แทบจะเดินไม่ตรงแบบนี้น่ะเธอไม่อยากให้เพื่อน ๆ เห็นหรอก และเจ้าของโรงแรมนี้เองก็เป็นคนนึงที่เธอไม่อยากให้เห็น
คนเสนอความคิดได้แทบอยากจะเกาหัว แล้วจะเอายังไงเนี่ย “โน่นก็ไม่ นี่ก็ไม่ คุณนี่ก็เป็นคนเข้าใจยากเหมือนกันนะ”
“ลองมาเป็นฉ้านสิ จาเข้าจาย”
“เป็นได้ที่ไหนเล่า เอางี้ งั้นผมไปส่งคุณที่รถแล้วกัน ตรงนี้หลายคนมองคุณไม่น่าไว้ใจเท่าไหร่”
ทันทีที่เขาพูดจบหญิงสาวก็ยื่นหน้าาเข้ามาใกล้จนทำให้ชายหนุ่มต้องยืดคอหนีพร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงทะเล้น “คุณไว้จายด้ายเหร๊อ”
“ผมไม่มั่นใจนะ ไม่มีผู้ชายคนไหนน่าไว้ใจหรอก” รังสิมันตุ์ตอบไปตามตรงแต่แล้วหญิงสาวกลับยิ้มชอบใจ
“คุณแปลกดีนะ ม่ายมั่นจายก็บอกม่ายมั่นจาย หาม่ายค่อยได้แล้วผู้ชายแบบนี้ อึก” หญิงสาวบอกเสียงยานคางพร้อม ๆ กับทิ้งตัวลงใส่ร่างกายแข็งแรงแทนที่จะหวาดระแวง รังสิมันตุ์ส่ายหน้าพรืดพร้อมกับพยายามยื่นหน้าออกห่าง ไม่ใช่ว่ารังเกียจเพียงแค่เห็นว่าใกล้ชิดเกินไปมันไม่ใคร่จะสมควร
“ว่าแต่ผมแปลก คุณเองก็แปลก ผมบอกว่าไม่มั่นใจ คุณก็ต้องพยายามตั้งสติสิ ไม่ใช่ล้มตัวมาพิงผมแบบนี้”
“ฉ้านไว้จายคุณ” น้ำเสียงหวานของคนเมาบอกก่อนจะกอดร่างกายแข็งแรงเอาไว้แน่นราวกับลูกน้อยอ้อนพ่อแม่อย่างไรอย่างนั้น รังสิมันตุ์หายใจเข้าสึก ๆ ควบคุมตัวเองไม่ให้สติเตลิดไปก่อนจะส่งสายตากับบาร์เทนเดอร์หนุ่มเพื่อให้คิดเงินจากนั้นจึงพยุงพาหญิงสาวที่ทำตัวเป็นลูกสาวไปยังประตูโดยไม่สนสายตาที่มองตามอย่างเสียดายของใครหลาย ๆ คน
การมีหญิงสาวติดสอยห้อยตามออกมาด้วยค่อนข้างจะทุลักทุเลเพราะสาวเจ้าเมามากแต่ก็ป่วนมากเช่นกัน เขาจะไปทางซ้าย เธอดันจะไปทางขวา เขาพาเดินหน้า เธอกลับเซถอยหลัง กว่าจะลงจากชั้นดาดฟ้ามายืนรอรถที่หน้าโรงแรมได้ก็เล่นเอาเหงื่อตก
“หยุดทามมายเหรอ” คนที่แทบจะไม่มีสติพึมพำถามเมื่อเห็นว่าคนแปลกหน้าที่คุยกันถูกคอหยุดเดินทั้งที่ก่อนนี้ยังพาเธอเดินไปเดินมาตั้งนาน
รังสิมันตุ์มองไปยังเส้นทางที่มักจะมีรถแท็กซี่ผ่านไปผ่านมาอยู่เสมอพร้อมกับตอบกลับ “ก็หาแท็กซี่น่ะสิ”
“หาทามมาย”
“ก็พาคุณไปส่งไง”
“ม่าย ๆ รถฉ้านอยู่ทางน้าน” หญิงสาวปฏิเสธพร้อมกับชี้ไปมั่ว ๆ แต่แล้วก็ต้องชะงัก “ทางหนายหว่า อะ ทางนี้ต่างหาก”
“ทางไหนก็จอดไว้อย่างนั้นแหละคุณ เมาไม่ขับ มันอันตราย”
“แล้วรถฉ้านจะโดนคาโมยเปล่า”
“ไม่น่านะ โรงแรมหรูแบบนี้ระบบรักษาความปลอดภัยน่าจะดี” พูดจบก็หันไปเห็นรถแท็กซี่กำลังมุ่งหน้ามาพอดีชายหนุ่มจึงยื่นมือออกไปโบกรถและกลับมาประคองคนตัวเล็กกว่าเอาไว้ไม่ให้ไปเถลไถลที่ไหนซะก่อนที่รถจะจอด
ครู่เดียวรถแท็กซี่ที่เรียกก็มาจอดอยู่ตรงหน้า ชายหนุ่มประคองหญิงสาวเข้าไปนั่งด้านหลัง สายตาคู่คมมองสำรวจชายคนขับแท็กซี่ก่อนที่จะเข้าไปนั่งกับหญิงสาวแทนที่จะทิ้งคนเมาให้บอกทางกลับเอง เกิดเขาปล่อยไปแล้วสาวเจ้าเจอเรื่องร้ายคงเป็นตราบาปไปตลอดชีวิต
ถึงคนขับแท็กซี่คนนี้จะดูซื่อ ๆ ไม่ได้น่าสงสัยก็เถอะ
“ไปไหนครับพี่”
“เดอะชายน์ แกรนด์ โอเรียนเต็ล” ไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้ตอบคนเมาก็ตะโกนตอบแล้วก็เอนตัวมาพิงร่างกายแข็งแรง กอดแขนเอาไว้ราวกับกอดแขนตุ๊กตา รังสิมันตุ์ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะช็อคกับการกระทำของหญิงสาวหรือว่าคำตอบของเธอกันแน่
ตอบชื่อโรงแรมไปเนี่ยนะ เดี๋ยวคนขับก็คิดว่าไปทำอะไรต่อมิอะไรกันต่อพอดี แม่คุณเอ้ย
“อ่า เดอะชายน์ แกรนด์ โอเรียนเต็ลนะครับพี่” คนขับแท็กซี่ทวนสถานที่พร้อมกับยิ้มกรุ่มกริ่ม รังสิมันตุ์มองรอยยิ้มที่โผล่ในกระจกก่อนจะถอนใจ เขาขอถอนความคิดที่คิดว่าไอ้หมอนี่หน้าตาซื่อ ๆ ไอ้นี่มันไม่ซื่อสักนิด
ดูก็รู้แล้วว่าคิดไปไกล ผับผ่าสิ
“เอ แต่เดอะชายน์อยู่ไกลเลยนา ใกล้ ๆ นี่มีโรงแรมนึงนะครับพี่ เปลี่ยนใจมั้ยครับ”
เปลี่ยนใจกับผีน่ะสิ ไอ้โรงแรมที่ว่านั่นมันม่านรูด
“เปลี่ยนใจมั้ยครับพี่ แยกข้างหน้าก็ถึงแล้วนะ” ชายคนขับแท็กซี่ที่คิดไปไกลแล้วถามย้ำอีกครั้งพร้อมกับมองมาทางกระจกด้วยสายตาที่ผู้ชายส่วนใหญ่รู้กันโดยไม่ต้องพูด
รังสิมันตุ์มองออกแต่ก็ไม่ได้เออออกับอีกฝ่าย เขาไม่ได้คิดจะทำเรื่องเกินเลยกับสาวเจ้าสักหน่อย จะเปลี่ยนใจแวะเข้าม่านรูดทำไมกัน
“ไปเดอะชายน์ แกรนด์ โอเรียนเต็ล”
“แหม่พี่ เดอะชายน์ก็เดอะชายน์ ไม่ต้องเสียงเข้มขนาดน๊าน”
ชายหนุ่มถอนใจไม่ต่อความยาวสาวความยืดปล่อยให้อีกฝ่ายขับรถไปเงียบ ๆ ทั้งที่อยากจะอธิบายเหลือเกินว่าไอ้สิ่งที่คิดกับความเป็นจริงนั้นมันไม่เหมือนกัน
แต่พอลองคิดไปแล้วก็ไม่เห็นความจำเป็นต้องอธิบาย เรื่องบางเรื่องต่อให้อธิบายจนปากฉีกถึงหูก็ใช่ว่าจะเข้าใจ จะคิดว่าเป็นการแก้ตัวไปซะเปล่า ๆ
ก็มันแปลกตั้งแต่ยืนรอรถหน้าโรงแรมเพื่อไปอีกโรงแรมแล้วแต่ไอ้คนขับมันไม่เห็นจะเอะใจ ดังนั้นพูดอะไรไปมันก็คงไม่ฟัง
แววตาอ่อนลงจากปกติหลายเท่าก้มมองคนที่กอดแขนเขาไว้และหลับไปราวกับไม่มีความกังวลใด ๆ ทั้งที่เพิ่งเจ็บช้ำใจมาแท้ ๆ แต่กลับหลับไปอย่างไม่เจ็บปวดหรือหวาดเกรงใด ๆ
ไม่กลัวถูกพาไปทำมิดีมิร้ายหรือไงกันนะ
เดอะชายน์ แกรนด์ โอเรียนเต็ลเป็นโรงแรมระดับห้าดาวที่เรียกได้ว่าหรูเกินกว่าที่นายตำรวจเงินเดือนน้อยอย่างรังสิมันตุ์จะกล้าเหยียบย่างเข้ามาก็ว่าได้ ที่นี่หรูยิ่งกว่าโรงแรมณิวาลัยที่เป็นต้นทางของการเดินทางซะอีก ทันทีที่เข้ามาภายในโถงทางเดินของโรงแรมชายหนุ่มก็ต้องพิจารณาแล้วพิจารณาอีก เป็นคนระดับไหนกันนะ ถึงได้คิดจะพักในโรงแรมหรูระดับไฮโซแบบนี้ส่งไว้แค่นี้ดีมั้ยเนี่ย ที่นี่มันช่างไม่เข้ากับเขาเอาซะเลย...แต่ถ้าปล่อยไว้แล้วมีใครมาพาไปทำเรื่องไม่ดีล่ะ...แบบนั้นไม่ดีแน่...ขณะที่กำลังคิดไม่ตกคนที่ชายหนุ่มเป็นกังวลถึงก็ลืมตาขึ้นมามองทั้งที่ยังไม่ส่างดีและพึมพำถาม “งืม...ที่หนายเนี่ย”“เดอะชายน์ แกรนด์ โอเรียนเต็ลไง”“เหรอ...งืม ขี่หลังหน่อย” คนเมาตอบอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะพยายามปีนป่ายขึ้นหลังอีกฝ่าย รังสิมันตุ์ร้องเสียงหลงแต่สุดท้ายก็ยอมให้สาวเจ้าขี่หลังและเดินเข้าไปในโรงแรมอย่างเสียมิได้ก็เล่นล็อคไว้แบบนี้จะทิ้งไว้ก็คงไม่ได้เอาวะ กระเป๋าฉีกก็ต้องยอมแล้วล่ะ“ปายที่ลิฟต์ ทางน้าน” คนที่เริ่มส่างบ้างแล้วแต่ก็ยังไม่ถึงกับประคองสติได้ดีพึมพำก่อนจะชี้ไปที่ลิฟต์อย่างคนรู้จักมักคุ้นกับสถานที่เป็นอย่า
ไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้ร่ำลาจบก็ถูกดึงลงมาจูบอีกครั้งพร้อม ๆ มือเล็ก ๆ ที่ประคองใบหน้าคมไว้ดึงรั้งให้คนตัวโตเดินตามเข้ามาภายในประตูที่ถูกเปิดอ้าซ่าอยู่นาทีนั้นรังสิมันตุ์ไม่ได้คิดจะกลับอีกแล้ว เขาบดจูบขบเม้นเรียวปากสวยอย่างไม่มีทีท่าจะหยุดพร้อม ๆ กับที่รวบเอาคนที่สูงเกือบจะเท่าแต่ก็ยังดูผอมบางเอาไว้และปิดประตูราวกับจะไม่สนใจเรื่องภายนอกอีกแล้วแม้จะประคองสติมาได้จนถึงตอนนี้แต่สติสัมปชัญญะของชายหนุ่มก็ไม่ได้เต็มร้อยพอได้สัมผัสริมฝีปากอ่อนนุ่มและหอมหวานเขาก็ควบคุมตัวเองเอาไว้ไม่ได้อีกต่อไปยิ่งเป็นเธอ ระบบความคิดก็เหมือนจะถูกปิดไปชั่วขณะ...คนตัวเล็กกว่าถูกพามาวางลงบนเตียงขนาดคิงไซส์พร้อมกับที่คนตัวโตกว่าทิ้งกายลงมาค่อมทับไว้ชายหนุ่มผละจูบมาจ้องมองใบหน้าหวานเยิ้มจากทั้งฤทธิ์น้ำเมาและฤทธิ์จูบด้วยสายตาอ่อนโยนก่อนจะโน้มลงมาฉกจูบอีกครั้งอย่างแผ่วเบา เป็นการฉกฉวยที่ไม่ได้เนิ่นนาน ศศิรินทร์มองคนที่ผละจูบอย่างรวดเร็วด้วยความเสียดายก่อนที่เขาจะมองด้วยสายตายากจะคาดเดา“หยุดมั้ย...ถ้าคุณบอกให้ผมหยุด ผมก็จะหยุด” เขาถามและบอกทว่าดวงตาคู่สวยก็ยังมองมาที่เขาด้วยสายตาที่ไม่ค่อยดีต่อหัวใจและการควบคุมข
สามเดือนก่อนหน้านี้นัยน์ตาคู่หวานเงยจากเอกสารหลายชิ้นที่กองอยู่บนโต๊ะขึ้นมามองใครคนนึงที่เปิดประตูเข้ามาภายในห้องโดยไม่คิดจะแจ้งล่วงหน้าก่อนจะวางมือจากงานที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาทำและเบือนหน้าหนีราวกับไม่อยากจะพูดจาใด ๆ กับอีกฝ่ายแม้แต่น้อยแต่ก็จำต้องพูด“ดิฉันว่าดิฉันพูดชัดเจนแล้วนะคะคุณภานุกานต์ ว่าเราไม่มีอะไรต้องเกี่ยวข้องกันอีก” สาวเจ้าของห้องอย่างศศิรินทร์ สิริธาราหรือซอโซ่ผู้บริหารสาวสวยวัยสามสิบสองปีของบริษัท ชายน์ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ บริษัทผลิตละครโทรทัศน์และสื่อโฆษณายักษ์ใหญ่ที่ใช้เวลาไม่กี่ปีก็ก้าวขึ้นมาอยู่อันดับต้น ๆ ของวงการบันเทิงเปิดฉากก่อนโดยไม่แม้แต่จะเชิญคนเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตให้นั่ง แววตาว่างเปล่าหันกลับมาจ้องมองคู่สนทนาอย่างพิจารณาคนตรงหน้าคือภานุกานต์ พงศ์พิริยกรอดีตแฟนหนุ่มที่เธอเพิ่งตัดความสัมพันธ์ไปเมื่อคืนวานนี้ด้วยข้อหาร้ายแรงชนิดที่เธอไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่ามันจะเกิดขึ้นเขานอกใจเธอ...ยิ่งไปกว่านั้นคู่ขาที่ร่วมสวมเขาให้เธอยังเป็นเพื่อนคนสนิทที่เธอผลักดันจนได้เป็นนักแสดงสาวคนดัง ที่เธอทั้งรักและไว้ใจราวกับเป็นญาติพี่น้อง...ความจริงที่ได้รู้ก็คือ คนพวกนี้สวม
“แล้ว...งานแต่งงานล่ะ”ทั้งที่พูดชัดเจนแต่ภานุกานต์ก็ยังไม่ตัดใจยอมแพ้ง่าย ๆ เขารู้ว่ามันยากที่จะให้อภัย รู้ว่าเธอทำใจไม่ได้ แต่การเตรียมงานแต่งงานก็เรียบร้อยไปเกินครึ่งแล้ว ทั้งเธอและเขาเป็นนักธุรกิจนะ จะเอาเงินหลายล้านไปทิ้งเปล่า ๆ งั้นเหรอ“จะให้ยกเลิกทั้งที่เสียเงินไปมากมาย แล้วคุณพ่อคุณแม่ก็เชิญแขกแล้วน่ะเหรอ”“แล้วจะให้ฉันฝืนทนแต่งงานกับผู้ชายที่นอกใจฉันไปนอนกับคนที่ย้ำยีมิตรภาพของฉันงั้นเหรอ” คนที่ควรจะเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวด้วยอารมณ์แจ่มใสแผดเสียงถามอีกรอบ เธอไม่เข้าใจตรรกะของคนตรงหน้าเลย ไม่เข้าใจเลยจริง ๆเขาเป็นอย่างนี้เสมอ...เป็นผู้ชายนิ่ง ๆ ที่ให้ความรู้สึกไม่เข้าใจ บางครั้งก็แข็งกระด้าง บางครั้งก็เป็นสุภาพบุรุษ ถ้าไม่ใช่เพราะเคยบอกรักเธอคงคิดไปแล้วว่าคนตรงหน้าเป็นผู้ชายไม่ยินดียินร้ายกับอะไรและแค่คบหากับเธอตามแรงเชียร์ของที่บ้านแต่ตอนนี้เธอก็คิดแบบนั้นขึ้นมาอีกแล้ว...หรือความจริงเขาแค่คบกับเธอเพราะที่บ้านเชียร์จริง ๆ และตอนนี้ก็มาตามคำสั่งของที่บ้านถึงไม่ได้สนใจเลยว่าเธอจะเจ็บปวดแค่ไหน“โซ่ เราหมดเงินไปกับการเตรียมงานตั้งเท่าไหร่ ไม่ใช่แค่เงินผม แต่เงินคุณเองก็ไม่ใช่น้อ
การที่ต้องมาปรากฎตัวในงานแต่งงานของอดีตแฟนเก่าเพราะเจ้าบ่าวอุตส่าห์ส่งการ์ดเชิญมาเย้ยจบลงด้วยการปั้นหน้าไม่รู้สึกอะไรและปลีกตัวออกมาในช่วงท้าย ๆ ของงานด้วยความคิดที่สับสน กว่าจะรู้ตัวอีกทีหญิงสาวก็มาหยุดบนดาดฟ้าของโรงแรมที่ทางโรงแรมจัดเป็นบาร์ลอยฟ้าเสียแล้วมันเจ็บจี๊ดขึ้นมาเมื่อคิดขึ้นมาว่าที่นี่คือสถานที่ที่เขาคนนั้นขอเธอแต่งงานแต่หญิงสาวก็ไม่ได้คิดจะกลับลงไป ไหน ๆ ก็มาแล้ว ดื่มให้ลืม ๆ ไปสักหน่อยจะเป็นไรไปท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบของบาร์เรียบหรูบนชั้นดาดฟ้าที่ลูกค้าส่วนใหญ่ต่างจับจองที่นั่งสั่งเครื่องดื่มมาดื่มกันเงียบ ๆ รับลมและชมบรรยากาศท้องฟ้ายามค่ำคืน โดยไม่ให้ความสนใจโต๊ะอื่น ๆ มากนัก ศศรินทร์ก้าวเข้าไปนั่งที่เคาน์เตอร์บาร์ด้วยโดยไม่สนสายตาที่บาร์เทนเดอร์มองมาด้วยความสงสัยรวมถึงสายตาของใครหลายคนที่มองจ้องมา“ออน เดอะ ร็อค” “อะ ออน เดอะ ร็อค เหรอครับ” บาร์เทนเดอร์หนุ่มทวนคำสั่ง ใบหน้าของเขาบ่งบอกว่าไม่มั่นใจนักว่าเขาเข้าใจสิ่งใดผิดไปหรือไม่ หญิงสาวหน้าตาสะสวยอย่างนี้จะดื่มเพียว ๆ เลยหรือ เธอเหมาะกับค็อกเทลสีสันหวาน ๆ ซะมากกว่า...จะดื่มแบบออน เดอะ ร็อค จริง ๆ น่ะหรือ“ผมว่าเป็น
หลายนาทีต่อมาทั้งที่คิดและตั้งใจไม่สนใจแต่สายตาเจ้ากรรมก็ไม่วายเผลอไปมองแม่สาวบรรยากาศรอบตัวดูหมอง ๆ อยู่หลายครั้งราวกับมีแรงดึงดูดที่ไม่สามารถอธิบายได้ ทั้งที่ตรงนี้มืดพอสมควรแต่เขาก็ยังเหลือบไปมองอยู่หลายครั้ง...เป็นโรคจิตไปแล้วหรือไงกันนะใช่เพียงชายหนุ่มที่เหลือบมองอยู่หลายครั้ง ศศิรินทร์เองก็รู้สึกราวกับมีอะไรดึงดูดให้ต้องเผลอเหลือบไปมองคนที่เข้ามาทักแต่โดนปฏิเสธไปอย่างไร้เยื่อใยอยู่เหมือนกันอาจจะเพราะดื่มไปหลายแก้วเธอถึงได้ทำอะไรแปลก ๆ แบบนี้ทั้งที่ไม่คิดที่จะทำตัวรักสนุกหรือสานต่อความสัมพันธ์กับใครในสถานที่แบบนี้หรืออาจจะเพราะเขาคนนี้ให้ความรู้สึกเหมือนกับใครบางคนที่เคยรู้จักเมื่อนานมาแล้วเธอถึงได้รู้สึกราวกับถูกดึงดูดแบบนี้ทั้งคู่ต่างก็เป็นคนแปลกหน้าที่ไม่มีความจำเป็นต้องสนทนาปราศรัยกันแต่ก็ราวกับมีอะไรดึงดูดให้เผลอมองกันอยู่หลายครั้งยิ่งดึก ฤทธิ์น้ำเมาก็ยิ่งลดทอนสติสัมปชัญญะ คนที่นั่งต่างคนต่างดื่มลอบมองกันอยู่บ่อย ๆ ก็เปลี่ยนเป็นหันหน้าเข้าหากันระบายเรื่องอัดอั้นอยู่ในใจราวกับพบเจอคนช่วยปรับทุกข์...แต่ความจริงแล้วคล้ายจะเป็นฝ่ายหญิงเท่านั้นที่ระบายความเจ็บช้ำโดยมีฝ่ายชาย
“เล่าต่อสิ อะไรที่ไม่สบายใจ อย่าเก็บมันไว้เลย” น้ำเสียงที่ฟังแล้วอบอุ่นใจราวกับได้คุยกับคนคุ้นเคยพูดขึ้นอีกครั้งก่อนจะชักมือกลับ กลัวจะทำให้หญิงสาวไม่สบายใจ...ชายหญิงแปลกหน้าแตะเนื้อต้องตัวกันมากไปมันไม่เหมาะสมศศิรินทร์มองท่าทีเป็นสุภาพบุรุษของชายหนุ่มก่อนจะเลื่อนแก้วไปให้บาร์เทนเดอร์ชงให้อีกแก้วพลางบอกเล่าต่อ “วันนี้ควรเป็นวันแต่งงานของเรา แต่ฉันไม่แต่ง ฉันให้เขาไปหาเจ้าสาวใหม่เอาซะถ้ากลัวขายขี้หน้า”“แล้วไง เขาก็คว้าผู้หญิงคนนั้นมาเป็นเจ้าสาวเหรอ?”คำถามนั้นไมได้รับคำตอบ หญิงสาวส่ายหน้าไปมาก่อนจะหวนคิดไม่ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้เช้าวันนี้...‘พะ พี่โซ่’ เสียงอุทานทักราวกับตกใจที่ได้เห็นทำให้ศศิรินทร์ที่กำลังยืนมองภาพคู่บ่าวสาวที่ถูกวาดด้วยสีน้ำมันแสนสวยต้องละสายตาไปมอง ความจริงแล้วแม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ส่งเสียงทักเธอก็จะเลิกมองรูปนี้อยู่พอดีสาเหตุที่ไม่มองต่อก็เพราะมันเจ็บอยู่ลึก ๆ และมองไปก็ไร้ความหมายเพราะในภาพเห็นเพียงด้านหลังของคู่บ่าวสาวที่จูงมือกันอย่างกับไม่อยากให้ใครเห็นเจ้าสาวก่อนถึงเวลาอย่างไรอย่างนั้นจะทำแบบนั้นทำไมในเมื่อคนคนนั้นแทบจะโพนะนาไปทั่วแล้วว่าตัวเองกำลังจะเป
ต่างฝ่ายก็ต่างเงียบ ศศิรินทร์ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อในขณะที่ภานิกากำลังขบคิดบางสิ่งบางอย่าง และแล้วหญิงสาวก็ตัดสินใจได้ มือบางรีบยื่นไปกุมมือของอดีตคนรักของพี่ชายในทันที‘มันอาจไม่ได้ทำให้พี่โซ่หายเจ็บปวด แต่มากับเกรซหน่อยนะคะ เกรซอยากให้พี่โซ่ได้เห็น’ไม่เพียงแค่พูดแต่หญิงสาวยังออกแรงกระตุกแขนให้ศศิรินทร์เดินตามไปในทิศทางที่เธอตั้งใจจะไปตั้งแต่แรกอีกด้วย คนถูกกึ่งลากกึ่งจูงได้แต่มึนงงและร้องถามด้วยความสงสัย‘เดี๋ยวก่อนเกรซ เราจะพาพี่ไปไหนเนี่ย’‘ตามมาเถอะค่ะแล้วเดี๋ยวพี่โซ่จะเข้าใจเอง’ หญิงสาวอายุน้อยกว่าบอกเพียงแค่นั้นก็ออกแรงดึงให้อีกฝ่ายเดินตามให้เร็วขึ้น ‘เร็ว ๆ ค่ะ เดี๋ยวจะไม่ทัน’ศศิรินทร์ได้แต่เดินตามแรงดึงของหญิงสาวไปด้วยความงุนงง สาวรุ่นน้องไม่ยอมบอกเล่าอะไรทำเพียงจูงมือเธอให้เดินตามไปจนกระทั่งถึงหน้าห้องพักห้องหนึ่งมีคนวิ่งเข้าวิ่งออกเป็นว่าเล่น สาวรุ่นน้องไม่ได้เดินเข้าไปภายในห้องแต่พาเธอมาแอบมองอยู่ข้าง ๆ ประตูด้านในห้องนั้นมีเสียงที่คุ้นหูกำลังสั่งการและด่าทอผู้คนอยู่อย่างไม่ไว้หน้า พอลอบมองก็ได้เห็นว่าไม่ใช่ใครที่ไหน...คือคนคุ้นเคยของเธอเองคุกกี้ คณิตา ดาราสาวสวยที่กำลั
ไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้ร่ำลาจบก็ถูกดึงลงมาจูบอีกครั้งพร้อม ๆ มือเล็ก ๆ ที่ประคองใบหน้าคมไว้ดึงรั้งให้คนตัวโตเดินตามเข้ามาภายในประตูที่ถูกเปิดอ้าซ่าอยู่นาทีนั้นรังสิมันตุ์ไม่ได้คิดจะกลับอีกแล้ว เขาบดจูบขบเม้นเรียวปากสวยอย่างไม่มีทีท่าจะหยุดพร้อม ๆ กับที่รวบเอาคนที่สูงเกือบจะเท่าแต่ก็ยังดูผอมบางเอาไว้และปิดประตูราวกับจะไม่สนใจเรื่องภายนอกอีกแล้วแม้จะประคองสติมาได้จนถึงตอนนี้แต่สติสัมปชัญญะของชายหนุ่มก็ไม่ได้เต็มร้อยพอได้สัมผัสริมฝีปากอ่อนนุ่มและหอมหวานเขาก็ควบคุมตัวเองเอาไว้ไม่ได้อีกต่อไปยิ่งเป็นเธอ ระบบความคิดก็เหมือนจะถูกปิดไปชั่วขณะ...คนตัวเล็กกว่าถูกพามาวางลงบนเตียงขนาดคิงไซส์พร้อมกับที่คนตัวโตกว่าทิ้งกายลงมาค่อมทับไว้ชายหนุ่มผละจูบมาจ้องมองใบหน้าหวานเยิ้มจากทั้งฤทธิ์น้ำเมาและฤทธิ์จูบด้วยสายตาอ่อนโยนก่อนจะโน้มลงมาฉกจูบอีกครั้งอย่างแผ่วเบา เป็นการฉกฉวยที่ไม่ได้เนิ่นนาน ศศิรินทร์มองคนที่ผละจูบอย่างรวดเร็วด้วยความเสียดายก่อนที่เขาจะมองด้วยสายตายากจะคาดเดา“หยุดมั้ย...ถ้าคุณบอกให้ผมหยุด ผมก็จะหยุด” เขาถามและบอกทว่าดวงตาคู่สวยก็ยังมองมาที่เขาด้วยสายตาที่ไม่ค่อยดีต่อหัวใจและการควบคุมข
เดอะชายน์ แกรนด์ โอเรียนเต็ลเป็นโรงแรมระดับห้าดาวที่เรียกได้ว่าหรูเกินกว่าที่นายตำรวจเงินเดือนน้อยอย่างรังสิมันตุ์จะกล้าเหยียบย่างเข้ามาก็ว่าได้ ที่นี่หรูยิ่งกว่าโรงแรมณิวาลัยที่เป็นต้นทางของการเดินทางซะอีก ทันทีที่เข้ามาภายในโถงทางเดินของโรงแรมชายหนุ่มก็ต้องพิจารณาแล้วพิจารณาอีก เป็นคนระดับไหนกันนะ ถึงได้คิดจะพักในโรงแรมหรูระดับไฮโซแบบนี้ส่งไว้แค่นี้ดีมั้ยเนี่ย ที่นี่มันช่างไม่เข้ากับเขาเอาซะเลย...แต่ถ้าปล่อยไว้แล้วมีใครมาพาไปทำเรื่องไม่ดีล่ะ...แบบนั้นไม่ดีแน่...ขณะที่กำลังคิดไม่ตกคนที่ชายหนุ่มเป็นกังวลถึงก็ลืมตาขึ้นมามองทั้งที่ยังไม่ส่างดีและพึมพำถาม “งืม...ที่หนายเนี่ย”“เดอะชายน์ แกรนด์ โอเรียนเต็ลไง”“เหรอ...งืม ขี่หลังหน่อย” คนเมาตอบอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะพยายามปีนป่ายขึ้นหลังอีกฝ่าย รังสิมันตุ์ร้องเสียงหลงแต่สุดท้ายก็ยอมให้สาวเจ้าขี่หลังและเดินเข้าไปในโรงแรมอย่างเสียมิได้ก็เล่นล็อคไว้แบบนี้จะทิ้งไว้ก็คงไม่ได้เอาวะ กระเป๋าฉีกก็ต้องยอมแล้วล่ะ“ปายที่ลิฟต์ ทางน้าน” คนที่เริ่มส่างบ้างแล้วแต่ก็ยังไม่ถึงกับประคองสติได้ดีพึมพำก่อนจะชี้ไปที่ลิฟต์อย่างคนรู้จักมักคุ้นกับสถานที่เป็นอย่า
น้ำสีอำพันเพียว ๆ มีเพียงน้ำแข็งที่เจือปนถูกเสิร์ฟมาทันใจคนสั่งทว่าไม่ทันจะได้คว้ามากรอกปากมือหยาบกร้านก็ถือวิสาสะเลื่อนมาขวางไว้เสียก่อน“คุณเมามากแล้วนะ” เขาเตือนสั้น ๆ พร้อมกับส่ายหน้าสื่อให้รู้ว่าเธอควรจะหยุดได้แล้ว ถึงจะเสียใจหรือเจ็บใจแค่ไหนก็ตามการที่ผู้หญิงคนนึงมานั่งดื่มจนดึกดื่นแบบนี้มันไม่ใคร่ดีนัก แม้ว่าบนนี้จะเงียบ และแขกหลายคนนั่งกันแบบต่างคนต่างอยู่แต่ก็มีสายตาของพวกนักล่ามองมาที่เธอเช่นกัน ถ้าเขาลุกออกไปเสือร้ายพวกนั้นต้องเข้ามาต้อนเหยื่ออย่างแน่นอน“ยังไม่เมาซ๊ากหน่อย”“แบบนี้น่ะเรียกว่าเมาแล้ว...ผมโทรหาคนที่บ้านให้มารับดีมั้ย”คนเมาส่ายหน้าไปมากับคำถามก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “อึก ม่ายมีหรอก ม่ายต้องโทร.”“ไม่มี?”“อื้อ” เธอตอบรับสั้น ๆ ก่อนจะขยายความเมื่อสายตาคู่คมไม่ยอมละจากไปไหน “พ่อกับแม่ตายหมดแล้ว ญาติที่เรียกว่าดี ๆ ก็ม้ายมี มีน้องชายคนนึงก็เรียนอยู่ออสเตรเลียโน่นแหน่ะ มารับม้ายด้าย”“งั้นเพื่อนล่ะ?”คนเมาส่ายหน้าอีกครั้ง “ม่าย ฉ้านม้ายอยากให้เห็นสภาพตอนนี้”“งั้นผมลงไปเปิดห้องให้มั้ย?”“ม่าย ม่าย ม่ายเปิด เดี๋ยวเพื่อนเห็น” หญิงสาวพูดแล้วก็ส่ายหน้า สภาพที่ย
ปัจจุบันเสียงกรี๊ดร้องด้วยความเจ็บใจและคับแค้นของคณิตายังคงก้องอยู่ในหัวยามที่เผลอคิดไปถึงสิ่งที่ได้รู้ได้เห็นในวันนี้ถ้าเปรียบเป็นละครเรื่องหนึ่งก็คงเป็นละครน้ำเน่าเรื่องยาวที่ยังไม่จบบริบูรณ์แต่ก็ต้องมีตัวละครใดตัวละครหนึ่งถูกขีดฆ่าออกไปจากเรื่อง เพื่อจบตอนเท่านั้น และเธอขอเป็นตัวละครที่ถูกนักเขียนขีดฆ่าออกจากเรื่องก็แล้วกันละครเรื่องนี้จะยังคงดำเนินต่อไป ภานุกานต์ยังคงต้องวุ่นวายกับเรื่องของคณิตาอีกนานเพราะสาวเจ้าไม่น่าจะเป็นคนที่ยอมแพ้ง่าย ๆและนั่นก็คงเป็นผลของการนอกใจไม่ซื่อสัตย์ต่อกันละครชีวิตเรื่องนี้จะเป็นอย่างไรต่อก็แล้วแต่บุญนำกรรมแต่งของแต่ละคนก็แล้วกัน บทบาทของเธอมันจบแล้ว...จบกันทีศศิรินทร์ยกแก้วขึ้นดื่มอีกครั้งและบอกเล่าให้คนรอฟังอยู่ได้รับรู้ “สุดท้ายเขาก็แต่งกับคนอื่นที่เขาและครอบครัวมองว่าเหมาะสมกว่ายัยนั่น”“มันก็สะใจนะที่ยัยนั่นไม่สมหวัง แต่ก็ไม่สุด ใจนึงฉันคิดว่าฉันรักเขามากก็เลยเสียใจ แต่อีกใจมันก็ต่อต้านว่าฉันไม่ได้พูดเพื่อให้เขาง้อ แต่ต้องการจะตัดขาดจริง ๆ ฉันรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้อยากได้เขา แต่ก็รู้สึกไม่ยินยอมที่เห็นเขายิ้มหน้าระรื่นควงคนอื่น...คุณว่าฉันผ
ปล่อยให้ศศิรินทร์ได้สงสัยไม่นานทิพวรรณก็ออกมาพร้อมกับบรรดาช่างที่ถูกส่งมาดูแลเจ้าสาวโดยมีคณิตาเดินตามออกมาด้วยความไม่เข้าใจ‘นี่มันอะไรกันคะคุณแม่ ทำไมถึงเรียกพวกช่างออกมา กี้ยังแต่งตัวไม่เสร็จเลย เดี๋ยวไม่ทันฤกษ์นะคะ’ คนจะได้เป็นเจ้าสาวหมื่นล้านถามทันทีด้วยความไม่เข้าใจ คุณหญิงศิกานต์ยิ้มใจเย็นก่อนจะปลายตามองเจ้าของคำถามด้วยสายตาว่างเปล่า‘แต่งตัวไม่ทันฤกษ์ ก็คงไม่เป็นไม่ไรหรอกมั้ง...ไม่ใช่ตัวเอกของงานสักหน่อย’‘อะ อะไรนะคะ ไม่ใช่ตัวเอกอะไร กี้เป็นเจ้าสาวนะคะคุณแม่’‘เดี๋ยว ๆ เธอเข้าใจอะไรผิดแล้ว’ คนเป็นคุณหญิงร้องห้ามแล้วเมินดาราสาวหันมันสอบถามลูกสาว ‘เกรซ ผู้หญิงคนนี้เขาเป็นเจ้าสาวของพี่เราเหรอ’‘เปล่านี่คะ...ใครบอกว่าคนนี้เป็นเจ้าสาวละเนี่ย’ ภานิกาตอบอย่างฉะฉานด้วยใบหน้าตื่นตกใจแต่แอบซ่อนรอยยิ้มที่มุมปากเอาไว้ ศศิรินทร์มองน้องสาวอดีตแฟนหนุ่มที แม่ของอีกฝ่ายทีก่อนจะมองสถานการณ์ต่อเงียบ ๆ ไม่ได้เข้าไปมีบทบาทกับเรื่องที่กำลังเกิดขึ้น...เธอมาเพื่อเป็นผู้ชมละครฉากใหญ่สินะ‘นั่นสิ ใครบอกเธอว่าพวกฉันจะยอมให้เธอมาเป็นเจ้าสาวของตากันต์’‘อะไรนะ นี่มันอะไรกัน ก็คุณแม่...’ไม่ทันที่คณิตาจะได
ต่างฝ่ายก็ต่างเงียบ ศศิรินทร์ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อในขณะที่ภานิกากำลังขบคิดบางสิ่งบางอย่าง และแล้วหญิงสาวก็ตัดสินใจได้ มือบางรีบยื่นไปกุมมือของอดีตคนรักของพี่ชายในทันที‘มันอาจไม่ได้ทำให้พี่โซ่หายเจ็บปวด แต่มากับเกรซหน่อยนะคะ เกรซอยากให้พี่โซ่ได้เห็น’ไม่เพียงแค่พูดแต่หญิงสาวยังออกแรงกระตุกแขนให้ศศิรินทร์เดินตามไปในทิศทางที่เธอตั้งใจจะไปตั้งแต่แรกอีกด้วย คนถูกกึ่งลากกึ่งจูงได้แต่มึนงงและร้องถามด้วยความสงสัย‘เดี๋ยวก่อนเกรซ เราจะพาพี่ไปไหนเนี่ย’‘ตามมาเถอะค่ะแล้วเดี๋ยวพี่โซ่จะเข้าใจเอง’ หญิงสาวอายุน้อยกว่าบอกเพียงแค่นั้นก็ออกแรงดึงให้อีกฝ่ายเดินตามให้เร็วขึ้น ‘เร็ว ๆ ค่ะ เดี๋ยวจะไม่ทัน’ศศิรินทร์ได้แต่เดินตามแรงดึงของหญิงสาวไปด้วยความงุนงง สาวรุ่นน้องไม่ยอมบอกเล่าอะไรทำเพียงจูงมือเธอให้เดินตามไปจนกระทั่งถึงหน้าห้องพักห้องหนึ่งมีคนวิ่งเข้าวิ่งออกเป็นว่าเล่น สาวรุ่นน้องไม่ได้เดินเข้าไปภายในห้องแต่พาเธอมาแอบมองอยู่ข้าง ๆ ประตูด้านในห้องนั้นมีเสียงที่คุ้นหูกำลังสั่งการและด่าทอผู้คนอยู่อย่างไม่ไว้หน้า พอลอบมองก็ได้เห็นว่าไม่ใช่ใครที่ไหน...คือคนคุ้นเคยของเธอเองคุกกี้ คณิตา ดาราสาวสวยที่กำลั
“เล่าต่อสิ อะไรที่ไม่สบายใจ อย่าเก็บมันไว้เลย” น้ำเสียงที่ฟังแล้วอบอุ่นใจราวกับได้คุยกับคนคุ้นเคยพูดขึ้นอีกครั้งก่อนจะชักมือกลับ กลัวจะทำให้หญิงสาวไม่สบายใจ...ชายหญิงแปลกหน้าแตะเนื้อต้องตัวกันมากไปมันไม่เหมาะสมศศิรินทร์มองท่าทีเป็นสุภาพบุรุษของชายหนุ่มก่อนจะเลื่อนแก้วไปให้บาร์เทนเดอร์ชงให้อีกแก้วพลางบอกเล่าต่อ “วันนี้ควรเป็นวันแต่งงานของเรา แต่ฉันไม่แต่ง ฉันให้เขาไปหาเจ้าสาวใหม่เอาซะถ้ากลัวขายขี้หน้า”“แล้วไง เขาก็คว้าผู้หญิงคนนั้นมาเป็นเจ้าสาวเหรอ?”คำถามนั้นไมได้รับคำตอบ หญิงสาวส่ายหน้าไปมาก่อนจะหวนคิดไม่ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้เช้าวันนี้...‘พะ พี่โซ่’ เสียงอุทานทักราวกับตกใจที่ได้เห็นทำให้ศศิรินทร์ที่กำลังยืนมองภาพคู่บ่าวสาวที่ถูกวาดด้วยสีน้ำมันแสนสวยต้องละสายตาไปมอง ความจริงแล้วแม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ส่งเสียงทักเธอก็จะเลิกมองรูปนี้อยู่พอดีสาเหตุที่ไม่มองต่อก็เพราะมันเจ็บอยู่ลึก ๆ และมองไปก็ไร้ความหมายเพราะในภาพเห็นเพียงด้านหลังของคู่บ่าวสาวที่จูงมือกันอย่างกับไม่อยากให้ใครเห็นเจ้าสาวก่อนถึงเวลาอย่างไรอย่างนั้นจะทำแบบนั้นทำไมในเมื่อคนคนนั้นแทบจะโพนะนาไปทั่วแล้วว่าตัวเองกำลังจะเป
หลายนาทีต่อมาทั้งที่คิดและตั้งใจไม่สนใจแต่สายตาเจ้ากรรมก็ไม่วายเผลอไปมองแม่สาวบรรยากาศรอบตัวดูหมอง ๆ อยู่หลายครั้งราวกับมีแรงดึงดูดที่ไม่สามารถอธิบายได้ ทั้งที่ตรงนี้มืดพอสมควรแต่เขาก็ยังเหลือบไปมองอยู่หลายครั้ง...เป็นโรคจิตไปแล้วหรือไงกันนะใช่เพียงชายหนุ่มที่เหลือบมองอยู่หลายครั้ง ศศิรินทร์เองก็รู้สึกราวกับมีอะไรดึงดูดให้ต้องเผลอเหลือบไปมองคนที่เข้ามาทักแต่โดนปฏิเสธไปอย่างไร้เยื่อใยอยู่เหมือนกันอาจจะเพราะดื่มไปหลายแก้วเธอถึงได้ทำอะไรแปลก ๆ แบบนี้ทั้งที่ไม่คิดที่จะทำตัวรักสนุกหรือสานต่อความสัมพันธ์กับใครในสถานที่แบบนี้หรืออาจจะเพราะเขาคนนี้ให้ความรู้สึกเหมือนกับใครบางคนที่เคยรู้จักเมื่อนานมาแล้วเธอถึงได้รู้สึกราวกับถูกดึงดูดแบบนี้ทั้งคู่ต่างก็เป็นคนแปลกหน้าที่ไม่มีความจำเป็นต้องสนทนาปราศรัยกันแต่ก็ราวกับมีอะไรดึงดูดให้เผลอมองกันอยู่หลายครั้งยิ่งดึก ฤทธิ์น้ำเมาก็ยิ่งลดทอนสติสัมปชัญญะ คนที่นั่งต่างคนต่างดื่มลอบมองกันอยู่บ่อย ๆ ก็เปลี่ยนเป็นหันหน้าเข้าหากันระบายเรื่องอัดอั้นอยู่ในใจราวกับพบเจอคนช่วยปรับทุกข์...แต่ความจริงแล้วคล้ายจะเป็นฝ่ายหญิงเท่านั้นที่ระบายความเจ็บช้ำโดยมีฝ่ายชาย
การที่ต้องมาปรากฎตัวในงานแต่งงานของอดีตแฟนเก่าเพราะเจ้าบ่าวอุตส่าห์ส่งการ์ดเชิญมาเย้ยจบลงด้วยการปั้นหน้าไม่รู้สึกอะไรและปลีกตัวออกมาในช่วงท้าย ๆ ของงานด้วยความคิดที่สับสน กว่าจะรู้ตัวอีกทีหญิงสาวก็มาหยุดบนดาดฟ้าของโรงแรมที่ทางโรงแรมจัดเป็นบาร์ลอยฟ้าเสียแล้วมันเจ็บจี๊ดขึ้นมาเมื่อคิดขึ้นมาว่าที่นี่คือสถานที่ที่เขาคนนั้นขอเธอแต่งงานแต่หญิงสาวก็ไม่ได้คิดจะกลับลงไป ไหน ๆ ก็มาแล้ว ดื่มให้ลืม ๆ ไปสักหน่อยจะเป็นไรไปท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบของบาร์เรียบหรูบนชั้นดาดฟ้าที่ลูกค้าส่วนใหญ่ต่างจับจองที่นั่งสั่งเครื่องดื่มมาดื่มกันเงียบ ๆ รับลมและชมบรรยากาศท้องฟ้ายามค่ำคืน โดยไม่ให้ความสนใจโต๊ะอื่น ๆ มากนัก ศศรินทร์ก้าวเข้าไปนั่งที่เคาน์เตอร์บาร์ด้วยโดยไม่สนสายตาที่บาร์เทนเดอร์มองมาด้วยความสงสัยรวมถึงสายตาของใครหลายคนที่มองจ้องมา“ออน เดอะ ร็อค” “อะ ออน เดอะ ร็อค เหรอครับ” บาร์เทนเดอร์หนุ่มทวนคำสั่ง ใบหน้าของเขาบ่งบอกว่าไม่มั่นใจนักว่าเขาเข้าใจสิ่งใดผิดไปหรือไม่ หญิงสาวหน้าตาสะสวยอย่างนี้จะดื่มเพียว ๆ เลยหรือ เธอเหมาะกับค็อกเทลสีสันหวาน ๆ ซะมากกว่า...จะดื่มแบบออน เดอะ ร็อค จริง ๆ น่ะหรือ“ผมว่าเป็น