กวิน
“คุณปล่อยให้เด็กฝึกงานเข้ามาตอนผมกำลังคุยเรื่องสำคัญกับวัลลภได้ยังไง ผมสั่งไว้แล้วนี่ว่าห้ามใครรบกวน” ผมเดินออกมาตวาดใส่ผู้ช่วยเลขาฯ หน้าห้อง เจ้าหล่อนก้มหน้าไม่กล้าสบตา
“ขอโทษค่ะ คุณชาร์มบอกแค่ว่าคุณเรียกคุณวัลลภเข้าพบเฉย ๆ ดิฉันเลยคิดว่าไม่เป็นไร”
“ไม่เป็นไรเหรอ เธอใช้อะไรคิด” ผมถามเสียงเย็นบังคับตัวเองไม่ให้ตวาดออกไปอีกรอบ
“คือดิฉันคิดว่าหมายถึงแขก...เอ่อ...”
คำตอบที่ได้เล่นเอาผมอึ้ง แขก คนทั่วไปจะมาหาผมได้ยังไงถ้าไม่ได้นัดหมายล่วงหน้ามาก่อน นั่นหมายความว่าผมรับรู้และอนุญาตแล้ว ยกเว้นแค่คนในครอบครัวผมเท่านั้นที่สามารถเข้ามาได้ตลอดเวลา ผมนับหนึ่งถึงสิบในใจเพื่อไม่ให้ระเบิดอารมณ์ใส่ผู้หญิงบื้อตรงหน้า
“โทรไปหาคุณจุ๋มหัวหน้าห้องจดหมายแล้วขอโทษสำหรับความผิดพลาดของคุณซะ” ผมรวบรัด เบื่อจะฟังคำแก้ตัวงี่เง่า
“ค่ะท่าน”
“คุณปลา แล้วกรุณาจำไว้ด้วยว่าเวลาที่ผมคุยธุระส่วนตัวอยู่ใครหน้าไหนก็ห้ามเข้ามารบกวนเป็นอันขาด เข้าใจมั้ยครับ”
“ทราบแล้วค่ะท่าน” หล่อนรับคำแล้วหยิบหูโทรศัพท์ขึ้นมาปฏิบัติตามคำสั่ง
นี่คือผลของการที่ผมยอมใจอ่อนรับเพื่อนน้องสาวเข้าทำงาน พวกเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ หัวสมองกลวง เอาแต่นั่งแต่งหน้าทาปากไปวัน ๆ แล้วผมจะไล่ออกก็ไม่ได้ด้วย
ผมเดินกลับเข้าห้องทำงาน พยายามสลัดเรื่องวุ่นวายนี่ออกแต่ไม่สามารถจดจ่ออะไรได้เลย ในหัวดันมีแต่ภาพนัยน์ตาสีน้ำตาลที่แฝงแววตื่นกลัวขณะจ้องผมอยู่ ปกติแล้วผมไม่เคยคิดใส่ใจ เรียกง่าย ๆ ว่าไม่เห็นหัวใครทั้งนั้น แต่กับเด็กสาวคนนั้นกลับรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างรบกวนจิตใจผมอยู่
ไม่เอาน่ากวิน แกแค่รู้สึกแย่ที่ไปตะคอกใส่คนพิการ
ผมพยายามให้เหตุผลกับตัวเอง แต่ว่ามันไม่สามารถอธิบายถึงปฏิกิริยาที่ในเป้ากางเกงผมแข็งโป๊กตอนคิดถึงใบหน้าสวยหวานนั้นได้
“สัส!” ผมสบถตัวเองเมื่อในหัวปรากฏภาพของเธอถูกมัดและกำลังอ้อนวอนให้ผมปลดปล่อยให้
ในเมื่อเป็นแบบนี้ ผมอยากรู้เรื่องราวของเธอมากขึ้น จึงไม่รอช้ากดโทรศัพท์ต่อสายหาบีมฝ่ายไอที เพราะรู้ว่าสิ่งที่ผมต้องการแผนกบุคคลไม่สามารถให้ได้ เขารับสายผมตั้งแต่สัญญาณแรกดัง
“มีอะไรให้ผมรับใช้ครับท่านประธาน” เสียงทุ้มออกจะติดกวนเอ่ยขึ้น ผมคิดว่าลูกน้องผมเป็นพวกชอบกวนประสาทแทบทุกคน
“ผมต้องการประวัติส่วนตัวโดยละเอียดของนักศึกษาฝึกงานชื่อปภาดาที่อยู่ห้องจดหมาย ด่วน คุณเข้าใจมั้ยว่าผมหมายถึงอะไร”
“ครับท่าน” ปลายสายตอบรับพร้อมเสียงรัวนิ้วลงบนแป้นคีย์บอร์ดดังขึ้น “ท่านต้องการข้อมูลส่วนตั๊วส่วนตัวแบบที่หาทั่วไปไม่ได้ใช่มั้ยครับ ให้เวลาผมสิบห้านาที”
ผมวางสาย หัวเราะพอใจที่ลูกน้องคนนี้ไม่เสียเวลาคิดเรื่องหลักจรรยาบรรณใด ๆ เลยสักนิด
สิบห้านาทีพอดีเป๊ะหนุ่มหน้าตี๋ใส่แว่นก็มาปรากฏตัวตรงหน้า ยื่นแฟ้มส่งให้
“ได้แล้วครับ”
“ชาร์มอยู่ข้างนอกรึเปล่า”
“อยู่ครับ” เขาตอบ แอบอมยิ้มเมื่อพูดถึงเลขาฯ ผม ไม่ปิดบังว่าแอบชอบหล่อนอยู่ แต่ผมมั่นใจว่าหล่อนไม่ชายตาแลลูกน้องผมคนนี้แน่ ดูสิว่าแต่งตัวยังไง แว่นหนาเตอะ ผมไม่หวี เสื้อยับ ๆ อย่างไรก็ตาม ผมไม่คิดพูดให้เสียกำลังใจ แต่ก็แอบเอาใจช่วยอยู่เหมือนกัน
“ผมรับรองว่าท่านจะได้ข้อมูลทุกอย่างที่ท่านต้องการในแฟ้มนี้ มีอะไรให้ผมรับใช้อีกมั้ยครับ”
“นายลองออกไปเปิดหูเปิดตาซะบ้างก็ดี อย่ามัวแต่หมกตัวอยู่กับหน้าจอคอมฯ ทั้งวัน “ผมแนะนำ
“ครับท่าน” บีมรับคำอย่างรวดเร็วแต่ผมรู้ว่าไม่ทำตามหรอก
คล้อยหลังบีมผมจึงเปิดแฟ้มออกดู ตาลุกวาวเมื่อเห็นภาพถ่ายส่วนตัวของปภาดา ลูกน้องคนนี้ช่างรู้ในผมเสียจริง เห็นทีควรจะขึ้นเงินเดือนให้ซะหน่อย แต่ก็แอบสงสัยว่าหมอนี่จะรู้รึเปล่าว่าผมสนใจเธออยู่ ผมสลัดความคิดนั้นทิ้ง อย่างเจ้านั้นคงคิดว่าผมไม่พอใจเธอย่างมากและต้องการไล่เธอออกมากกว่า
ผมเพ่งสายตาดูรูปถ่ายของเด็กสาวในแฟ้ม เธอเกล้าผมเป็นมวยไว้ด้านหลังหมือนกับวันนี้ สายตาหลุบต่ำกำลังอ่านหนังสือที่อยู่ในมือ ทำให้ดูเหมือนเป็นซับเชื่อง ๆ แม้กระนั้นผมก็ยังเห็นดวงตาสีน้ำตาลใสแจ๋วคู่นั้นได้ชัดเจน เธอไม่ได้แต่งหน้า แต่ผิวขาวเนียนไม่มีจุดด่างดำเลยสักจุด ผมไล้นิ้วผ่านรูปเธอ อยากจะสัมผัสเธอจริง ๆ
ความต้องการผมอัดแน่นจนกลางกายที่แข็งขึงอยู่แล้วเริ่มมีน้ำซึมออกมา จึงเปิดผ่านเพื่ออ่านประวัติของเธอเพื่อเติมเต็มความอยากรู้อยากเห็น ปภาดา ชื่อเล่นว่าปราย ชื่อเพราะหมาะสมกับตัวเธอ แล้วผมก็สะดุดเมื่ออ่านถึงที่ว่าเธอย้ายมาเรียนโรงเรียนสำหรับคนหูหนวกโดยเฉพาะเมื่อตอนอายุสิบห้า แสดงว่าไม่ได้หูหนวกตั้งแต่เกิด อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่ แต่ก็ยั้งตัวเองไม่ให้สั่งให้บีมแฮ็กประวัติทางการแพทย์เธอมาให้ดู
“เกิดอะไรขึ้นกับเธอนะปราย”
ปรายฉันถอนใจด้วยความโล่งอกเมื่อพี่จุ๋มบอกว่าคุณปลาโทรมาขอโทษที่สื่อสารผิดพลาด ถ้าเป็นแบบนี้หวังว่าท่านประธานคงไม่เอาเรื่องวันถัดมาฉันมาทำงานตามปกติ หลังจากตอกบัตรเข้างานก็ไปนั่งแยกจดหมายซึ่งเป็นงานหลักของฉัน เห็นซองที่จ่าหน้าถึงผู้บริหารก็รู้ทันทีว่าความสงบในการทำงานของฉันได้ถูกทำลายลงแล้ว พอตรวจเช็กดูว่าครบไม่มีอะไรตกหล่นแล้วฉันก็หยิบซองจดหมายที่ว่าตรงขึ้นไปยังชั้นบนสุดฉันใช้นิ้วชี้ไปที่ซองจดหมายในมือ แล้วชี้ไปที่ประตูห้องทำงานท่านประธานที่อยู่ด้านหลังคุณชาร์มเพื่อบอกจุดประสงค์ คุณชาร์มบอกให้ฉันนำไปส่งถึงมือท่านประธานได้เลย พอเห็นว่าฉันลังเลเธอก็เลยขอโทษสำหรับเรื่องเมื่อวาน ฉันพยักหน้าเข้าใจ สูดหายใจเข้าเพื่อเรียกความกล้าถึงค่อยเปิดประตูเข้าไปฉันไม่เห็นคุณกวินที่โต๊ะทำงานจึงกวาดตามองไปรอบห้องเพื่อมองหา เห็นเขายืนอยู่ริมหน้าต่างเหมือนกำลังมองดูอะไรอยู่ ไม่ได้สนใจว่ามีคนเดินเข้ามาเพราะเขาไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมา ฉันเรียกความกล้าตัวเอง แล้วทำเสียงที่คิดว่าดังพอเพื่อเรียกความสนใจของเขา เมื่อฉันเดินไปจนถึงหน้าโต๊ะทำงานเขาถึงเพิ่งจะหันมาดูจากคิ้วเข้มที่ขมวดเข้าหากันแน่นอนเลยว่าที่ฉันเ
ผมมาถึงที่ทำงาน แฟ้มประวัติของปภาดายังวางเด่นอยู่บนโต๊ะ ผมโยนมันส่ง ๆ ไปรวมกับของที่ต้องนำไปทิ้ง ตั้งใจว่ายังไงก็ต้องกำจัดเธอออกไปจากสมองให้ได้“แม่ง!” ผมหยิบมันขึ้นมาใหม่ เอารูปถ่ายของเธอออกมาเก็บไว้ในกระเป๋าเอกสารผมเป็นอะไร ผู้หญิงคนนี้ทำอะไรกับผมกันแน่หลังจากพยายามตั้งสมาธิเพื่อเริ่มงานถึงสามครั้งแต่ไม่สามารถทำได้ผมเลยหยิบมือถือมาเล่นเกม ผมมองออกไปนอกหน้าต่างสังเกตเห็นว่าคนมีเรื่องกัน จึงดึงดูดความสนใจของผม เหมือนว่าคนข้างล่างกำลังแย่งที่จอดรถกันอยู่ที่หน้าตึก คนขับลงจากรถมาด่ากันกลางถนนโดยไม่สนใจคนอื่นทำให้รถติดยาวเป็นพรวน แต่แล้วก็รู้สึกว่ามีคนเดินมาใกล้ ๆ จึงหันกลับไปดู สงสัยว่าใครกล้ามารบกวนแต่เช้า แต่ทว่ากลับกลายเป็นเธอแววตาที่มองผมเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ผมรู้ตัวทันทีว่าทำให้เธอตกใจกลัวอีกแล้ว เธอเดินถอยหลัง ทำให้อยู่ไกลเกินกว่าจะอ่านปากผมได้ ผมจึงรีบรั้งเธอไว้ก่อนที่จะหนีเตลิดไปอีก แต่เธอไวมาก แป๊บเดียวก็ไปถึงที่ประตูแล้ว ผมไม่รู้จะทำอย่างไรจึงเผลอตะโกนเรียกแม้จะรู้ว่าเธอไม่ได้ยินก็ตาม“ปภาดาเดี๋ยวก่อน ฉันไม่ได้จะทำอะไรเธอ”ผมหยุดเธอได้ก่อนที่เธอจะเปิดประตูออกจากห้อง ร่างเ
ปราย“ขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจเป็นแบบนี้ต่อหน้าคุณ แต่ยังไงก็ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ ที่มารวบกวนคุณ” ฉันทำมือบอกท่านประธานริมฝีปากฉันยังร้อนวูบวาบจากจูบเมื่อครู่ วิธีการที่เขาใช้ควบคุมคนไม่ให้ตกใจกลัวช่างดีจริง ๆ และโชคดีมาก ๆ ที่เขารู้จักภาษามือ ไม่อย่างนั้นสถานการณ์คงอิหลักอิเหลื่อน่าดู แต่ว่าเขารู้จักภาษามือได้ยังไง เมื่อเห็นเขายกมือขึ้นห้าม ฉันจึงค่อยรู้ว่าเขาไม่เข้าใจสิ่งที่ฉันต้องการบอกเลยสักนิด“เธออ่านปากได้มั้ย” เขาถามและฉันพยักหน้าท่าทางโล่งอกของท่านประธานทำให้ฉันอยากหัวเราะ เดาว่าอันที่จริงแล้วเขาคงไม่ได้รู้ภาษามือจริง ๆ หรอก แต่อดแอบคิดไม่ได้ว่าเขาไปเรียนภาษามือเพื่อคุยกับฉันโดยเฉพาะ แล้วก็ต้องสั่งให้ตัวเองหยุดคิด ฉันไม่ใช่คนหูหนวกคนเดียวซะหน่อยที่อยู่ในโครงการเขา แน่นอนว่าเขาจำเป็นต้องเรียนรู้ไว้เพื่อ…เอ่อ…แสดงความสุภาพฉันอยากคุยกับเขาแต่ไม่รู้ว่ามือถือหายไปไหน แล้วก็เห็นมันตกอยู่ที่พื้นข้าง ๆ กับจดหมายของท่านประธานจึงหยิบมันขึ้นมา ฉันสำรวจดูมือถือ โล่งอกที่ไม่มีส่วนไหนแตกหักหรือเสียหาย รีบพิมพ์สิ่งที่ฉันต้อง
ปราย“เกิดอะไรขึ้นกันแน่” คุณชาร์มดึงฉันไปถามใกล้ ๆ ฉันยักไหล่เพราะไม่รู้เหมือนกัน “ไม่เอาน่า บอกพี่มาน้องปราย คราวหน้าเธอเข้ามาในนี้ได้เลยไม่ต้องกังวล เธอเป็นที่ต้อนรับเสมอ น้องทำอะไรกับท่านประธานกันแน่ เขาไม่เคยดีกับใครแบบนี้มาก่อน” คุณชาร์มเลียนเสียงและท่าทางของคนที่อยู่ด้านใน“ใครไม่เคยดีกับใคร บอสเหรอ” คุณวัลลภถามเมื่อเดินมาหยุดหน้าพวกเรา“แต่ว่าเขาก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งเหมือนกัน ฉันว่าเขาต้องชอบน้อปราย” คุณชาร์มออกความเห็น“แหงะซะ เมื่อวานเขาแทบจะกินหัวผมตอนที่น้องปรายหนีออกไปจากห้อง” คุณลภเสริม ทำท่ากรอกตามองบนฉันมองทั้งสองคนที่กำลังนินทาเจ้านายอย่างสนุกปากสลับกันไปมา เห็นว่าไม่ควรพาตัวเข้าไปยุ่งจึงคิดถอยออกมาดีกว่า“ปรายขอตัวก่อนดีกว่าค่ะ “ฉันพิมพ์ขอความผ่านมือถือฉันกลับมาที่ห้องจดหมาย ความคิดเกี่ยวกับท่านประธานที่ฉันมีเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง วันนี้เขาดีกับฉันมาก คงจะรู้สึกแย่ที่โมโหใส่ฉัน แต่ว่า...ถ้าหากเขาจะโมโหใส่แล้วปลอบด้วยการจูบแบบวันนี้ละก็...ฉันคงจะยินดี ฉันไม่เคยถูกจูบแบบนั้นมาก่อน ส
“เอาจริงดิครับ!” วัลลภถามเสียงสูง“ทำไม ฉันอยากได้เธอนี่”“คุณจะฟันเธอแล้วทิ้งจริง ๆ เหรอครับ”“ปกติฉันก็ทำแบบนั้นนี่” ผมตอบแบบที่คิด ที่ผมเอาแต่คิดถึงเธอไม่หยุดคงเป็นเพราะผมยังไม่ได้เธอนั่นเอง“ถ้าคุณอยากจะทำแบบนั้นจริง ๆ ผมแนะนำว่าไปหาผู้หญิงคนอื่นมาสนุกด้วยดีกว่า อย่าลืมว่าเธอยังเรียนไม่จบนะครับ”“เออก็จริง เธออายุเท่าไหร่นะ ฉันคงไม่โดนข้อหาพรากผู้เยาว์หรอกมั้ง”“คุณไม่ต้องคิดเรื่องอายุหรอกครับถ้าสนใจเธอ ถึงแม้ว่าเธอจะยังไม่ถึงยี่สิบจริง ๆ แต่ก็ทำให้คุณสนใจได้ ไม่อย่างนั้นคุณจะมีอาการอย่างนี้เหรอ แต่ขอแสดงความยินดีด้วยครับ น้องปรายอายุยี่สิบสองแล้ว”“ไม่ต้องย้ำได้มั้ย” ผมชักหงุดหงิดเมื่อพูดถึงเรื่องความต่างทางอายุระหว่างผมกับปราย“อ้าว ก็คุณพูดเองนี่ครับ”“เออ ๆ งั้นพอได้แล้ว”“ครับ ถ้าอย่างนั้นผมแนะนำว่าเจ้านายควรจะชวนเธอไปเดท”“แต่ว่าเธอเป็นพวกไม่มีประสบการณ์ ไม่ใช่สเปคฉัน ฉันชอบคนเป็นงาน อย่าทำเป็นไม่รู้”“คุณอาจจะเบื่อแบบเดิม ๆ ก็ได้ หรือไม่คุณก็อาจจะต้องการอะไรที่มากกว่าแค่วันไนท์สแตนด์ที่คุณ
ปราย“สวัสดีค่ะแม่” ฉันส่งภาษามือทักทายแม่ทันทีที่ลงจากรถ“เป็นไงบ้างลูก” แม่ถามกลับด้วยภาษามือเช่นเดียวกัน แล้วเราสองคนเดินก็กอดกันเข้าบ้าน“ลูกพ่อกลับมาแล้ว มาให้พ่อดูหน่อย” พ่อส่งภาษามือทัก ยิ้มกว้างพร้อมกางแขนออกต้อนรับ ฉันรีบกระโจนเข้าหาอ้อมกอดที่อบอุ่นที่สุดในโลก“ลูกดูตัวสูงขึ้นกว่าเดิมจากที่เจอกันครั้งก่อนอีกแล้ว” พ่อมักจะทักฉันเป็นเด็กเล็ก ๆ แบบนี้ทุกครั้ง แล้วพวกเราก็ได้แต่หัวเราะเพราะอายุเท่านี้ส่วนสูงไม่เพิ่มขึ้นแล้วพ่อออกไปช่วยฉันขนกระเป๋าเข้าบ้านแล้วถามขึ้นทันทีเมื่อเดินกลับเข้ามา “สติ๊กเกอร์ติดรถลูกไปไหน” พ่อหมายถึงสติ๊กเกอร์ที่บอกว่าคนขับรถคันนี้หูหนวก“หนูทำหายค่ะ เดี๋ยวหนูหาอันใหม่มาติด” ตอบเสร็จก็ทำเป็นเดินหนีเพราะไม่อยากเห็นพ่อบ่นอีก ฉันรู้ว่าท่านเป็นห่วงความปลอดภัยแล้วก็ลงทุนเรื่องอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ ในรถฉันไปมาก ซึ่งแต่ละอย่างค่อนข้างมีราคา ฉันไม่อยากให้ท่านเสียเงินมากกว่านี้ ท่านควรเก็บเงินไว้ใช้ตอนเกษียณดีกว่า“ตัวแสบไปไหนคะแม่” ฉันถามหาน้องชาย“ขลุกอยู่แต่ในห้องทั้งวัน ลูกไปล
“เดี๋ยวก่อนพี่ปราย พี่ชอบใครอะ พี่ตูนเหรอ”“ถามอะไรนักหนา ไม่ใช่ตูน เขาแก่กว่าพี่ตั้งเยอะ”“อืม...ให้ผมเดา พี่แอบชอบอาจารย์เหรอ”ฉันเลิกคิ้วมอง “ทำไมถึงคิดว่าพี่แอบชอบอาจารย์”“ก็พี่บอกว่าเขาแก่กว่า แล้วเหมือนพี่จะเคยพูดถึงอาจารย์คนหนึ่งให้ผมฟังว่าพี่ปลื้มเขามาก”“ไม่ใช่!”“ถ้างั้น แล้วใครล่ะ”ฉันถอนใจอีกรอบ “เจ้านายพี่เอง”“หา!”“แต่ก็ไม่มีอะไรหรอก พี่แค่แบบว่าแอบปลื้มเขาเฉย ๆ ไรงี้ เขาหล่อรวย มีแต่คนชอบเขา คนอย่างเขาไม่มีทางขาดแคลนผู้หญิง เพราะฉะนั้นเขาไม่มีทางมาชายตาแลพี่หรอก” พูดเองแล้วทำไมถึงรู้สึกแอบเศร้านะ“ผมจะบอกอะไรให้นะ ใครได้พี่เป็นแฟนอะโครตโชคดี ถ้าใครปฏิเสธพี่แม่งก็โง่เต็มที”“โห น้อย ๆ หน่อย พูดอย่างนี้อยากได้อะไรเนี่ย”“เปล่าซะหน่อย ผมพูดจริง พี่สาวผมออกจะสวยเพอร์เฟกต์ราวกับนางฟ้ามาจุติซะขนาดนี้”“เวอร์!” ฉันพยายามกลั้นยิ้มกับคำชม “พอ ๆ ออกไปได้แล้ว พี่จะนอนแล้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า”โชคดีที่เจ้าเปรมไม่เซ้าซี้ต่อ ยอมออกจากห้องไปแต่โดยดี แต่ฉันเนี่ยสิ ทำยังไงก็นอนไม่หล
“ว่าไงไอ้น้องชาย มีอะไรถึงได้โทรตามฉันมา” พี่ชายผมเดินถือเบียร์มาสมทบที่โต๊ะพูล“คิดถึงพี่มั้ง” ผมตอบส่ง ๆถ้าจะมีใครทำให้ผมเลิกคิดถึงเรื่องผู้หญิงได้ก็มีแต่กฤตฤณพี่ชายผมคนเดียวนี่แหละ เป็นคนที่รู้ไส้รู้พุงผมถึงแก่นจนนึกอยากเกลียด“เอาละ บอกมามีเรื่องอะไร”ผมไหวไหล่ กระดกเบียร์ไปทีหนึ่ง โดยมีสายตาของพี่ชายจ้องเขม็ง“คือผมเจอผู้หญิงคนนึง”“ผู้หญิง” พี่เลิกคิ้วมอง“ผมเพิ่งเจอเธอเมื่อไม่กี่วันก่อนแต่ว่าหยุดคิดถึงเธอไม่ได้เลย”“แล้วนายได้ขอเบอร์เธอไว้รึเปล่า”“เธอเป็นนักศึกษาฝึกงานที่บริษัท”“นักศึกษาฝึกงาน!”ผมเห็นหน้าพี่ชายแล้วอยากขำแต่ขำไม่ออก เขาอึ้งไปพักแล้วพูดต่อ“เออดี งั้นก็ง่ายขึ้นหน่อย ลองชวนเธอไปเดทสิ”“ถ้าง่ายขนาดนี้ก็ดีสิ ผมไม่อยากให้เธอปฏิเสธ”“อะไรกันวะ กวิน นายมีทั้งเงินทั้งอำนาจ หน้าตาก็หล่อถึงแม้ว่าจะน้อยกว่าฉันก็ตาม ยังจะมัวคิดมากอะไรอยู่อีก ผู้หญิงที่ไหนเห็นนายมีแต่จะวิ่งตาม”“แต่ไม่ใช่กับเธอน่ะสิ”พี่ชายทำหน้าประหลาดใจอีกรอบพลางใช้ความคิด สัก
ปราย“เจอที่ถูกใจรึยัง” ฝันทำมือถามหลังจากที่นำบรั่นดีโอลด์แฟชั่นแก้วที่สองมาวางตรงหน้า“นอกจากแก้วนี้แล้วก็ยัง” ฉันทำมือตอบ เสร็จแล้วก็ดึงชุดหนังเกาะอกให้สูงขึ้นเพื่อปิดเนินอกที่ทะลักออกมา“เธอน่ะเลือกมาก ลองลดมาตรฐานตัวเองลงหน่อย”ฉันหมุนแก้วในมือมองก้อนน้ำแข็งกลิ้งไปมาเล่น ฉันจะทำแบบที่ว่าได้ยังไงในเมื่อรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ผู้ชายที่มีความรับผิดชอบ ไม่เห็นแก่ตัวเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว ให้เกียรติกันในฐานะคนรัก ดูแลเอาใจใส่ทั้งร่างกายและจิตใจ ส่วนฝันไม่ชอบให้ผู้ชายมาดูแล ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน รายนั้นชอบเป็นผู้นำ เป็นดอม ส่วนฉันเลือกที่จะมองหาคนที่ใช่ ไม่งั้นก็เลือกที่จะอยู่คนเดียวเสียดีกว่าฉันคิดว่าคุณกวินมีทุกอย่างที่ฉันมองหาในผู้ชายคนหนึ่ง วิธีการที่เขาใช้ควบคุมให้ฉันตกอยู่ใต้อำนาจตอนที่ตกใจกลัวทำให้ฉันคิดว่าเขาเป็นแบบที่คิด ตอนนั้นฉันรู้สึกยอมจำนนอย่างเต็มตัวเต็มใจ ฉันคิดว่าเขาต้องเป็นดอมแน่ แต่หลังจากที่ไปเดท ปรากฏว่าฉันคิดผิด หลังเวลางานเขาเป็นผู้ชายปกติธรรมดาคนหนึ่ง น่าจะถูกของฝ
กวินเดทครั้งนี้เป็นความผิดพลาดที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตผมเลยก็ว่าได้ ผมรับไม่ได้อย่างแรงเพราะมันเป็นแบบผู้ชายธรรมดาไปออกเดทกับผู้หญิงธรรมดา มันคือวานิลลา! เอาน่า อย่างน้อยก็ได้ลองแล้ว ทำให้รู้ว่ามันไม่เวิร์ค เพราะฉะนั้นควรมูฟออนได้แล้วแต่ตอนที่ได้ใกล้ชิดกัน ตอนที่เธอนั่งซบ ให้ความรู้สึกดีมาก ๆ ทุกอย่างมันถูกต้องเหมาะสมไปซะหมดเหมือนว่าเธอถูกกำหนดให้เป็นของผม แต่ถ้าเธอจะสามารถรองรับความต้องการรุนแรงของผมได้แล้วละก็ ผมจะนับว่าเป็นผู้ชายที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเธอ ทว่าความจริงไม่เป็นแบบนั้น เธอสมควรได้รับสิ่งที่ดีกว่าที่ผมจะเสนอให้นรกเหอะ! ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเสนออะไรให้เธอ ก่อนหน้านี้ผมยังมีความตั้งใจที่จะค่อย ๆ เรียนรู้ไปพร้อมกับเธอ แต่ตอนนี้ผมมั่นใจว่าตัวเองจะต้องทำทุกอย่างพัง ผมพยายามอย่างมากที่จะแสร้งทำตัวให้เป็นสุภาพบุรุษ มันยากมาก ผมเกือบจะหลุดแสดงความเป็นตัวตนตั้งหลายหน ปรายบริสุทธิ์อ่อนหวานเกินกว่าที่จะมาเสียเวลากับคนอย่างผมอย่างที่บอก ผมจำเป็นต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลม แต่ว่าก็ยังอยากได้เธออยู่ อยากครอบครองเป็นเจ้าของ จับเธอฟา
ผมเห็นเธอกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อยแล้วมีความสุข ไม่เหมือนพวกดารานางแบบที่ผมเจอที่มักจะกัดคำสองคำเพราะกลัวอ้วนทั้งที่ตัวผอมแห้งเป็นไม้เสียบผีไม่เห็นจะสวยตรงไหนเธอทำมือบอกว่าอาหารอร่อยและเธอชอบ ส่วนที่ผมชอบก็คือท่าทางตอนเธอเคี้ยวอาหารตุ้ย ๆ แต่น่าเสียดายที่อาหารมื้อนี้จบลงเร็วไปหน่อยแต่ผมยังอยากใช้เวลากับเธอต่ออีกสักนิด“ไปเดินเล่นริมน้ำกันมั้ย” ผมชวนหลังจากที่จ่ายเงินเรียบร้อยแล้วปรายพยักหน้าเห็นด้วย ผมลุกขึ้น เดินอ้อมไปด้านหลังเธอเพื่อช่วยดึงเก้าอี้ให้ เธอส่งยิ้มเป็นประกายที่เล่นเอาผู้ตาลายผมจูงมือเธอเดินไปเรื่อย ๆ ตามทางเรียบริมน้ำที่ทำเป็นสวนสาธารณะแล้วนั่งลงที่ม้านั่งหันหน้าเข้าแม่น้ำเพื่อดูพระอาทิตย์ตกด้วยกัน“คุณเล่าเรื่องครอบครัวคุณให้ฟังได้มั้ยคะ”“ครอบครัวฉันเธอ ไม่มีอะไรน่าสนใจหรอก”“ยังไงคะ ฉันชักสงสัยแล้วเนี่ย”ผมไม่ได้รังเกียจที่เธอถามและจะเล่าเรื่องที่คิดว่าเป็นส่วนตัวแบบเรื่องครอบครัวให้เธอฟัง ว่ามีพี่ชายที่แก่กว่าห้าปีแต่ไม่รู้จักโตอย่างพี่ตฤณหนึ่งคน มิรา น้องสาวสุดรักแต่น่ารำคาญไปพร้อมกันซึ่งเป็นล
ผมไม่ได้พาเธอไปห้องอาหารตามโรงแรมหรู แต่เป็นร้านอาหารริมน้ำที่บรรยากาศเป็นส่วนตัว เมื่อไปถึงพนักงานก็เดินนำไปยังโต๊ะส่วนตัวที่จองไว้ เป็นโต๊ะประจำของผม พอนั่งลงแล้วปรายมองไปรอบ ๆ ริมฝีปากคลี่ยิ้มน้อย ๆ เหมือนกำลังรำลึกถึงอะไรสักอย่าง ผมนึกสงสัยว่าจะเป็นยังไงหากต้องการซึมซับบรรยากาศและทำความคุ้นเคยกับสถานที่หนึ่งโดยที่ต้องพึ่งพาแค่ประสาทสัมผัสทางสายตาอย่างเดียว ไม่รู้ว่าหากเป็นผม จะทนได้ยังไงถ้าไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย ผมเอื้อมมือไปแตะมือเธอเพื่อดึงความสนใจ เธอหันกลับมาสบตา“เธอเคยมาที่นี่มาก่อนเหรอ” ผมเดาจากท่าทางที่เห็น“ค่ะ พ่อเคยพามาฉลองตอนที่ฉันเข้ามหาลัย”“เธอชอบมหาลัยมั้ย” ผมอยากรู้จริง ๆ เพราะมหาวิทยาลัยนี้ผมตั้งใจก่อตั้งสำหรับผู้พิการโดยเฉพาะ ในทุกชั้นเรียนและหลักสูตรการศึกษาถูกออกแบบมาเพื่ออำนวยความสะดวกส่งเสริมให้กับนักศึกษาพิการทุกประเภท ถึงผมจะงี่เง่าแค่ไหนแต่ผมอยากให้คนกลุ่มนี้ได้รับโอกาสในสังคม“ฉันชอบมากค่ะ พอนึกว่ากำลังจะเรียนจบฉันก็อดคิดถึงไม่ได้ ขอบคุณนะคะที่ก่อตั้งมหาลัยนี้ขึ้นมา”ในฐานะคนก่อตั้งพอได้รับฟีดแบ็กแบบนี้ก็
กวินศร คนขับรถและผู้ช่วยส่วนตัวเลี้ยวรถเข้าจอดที่ลานจอดรถหน้าหอพักของปภาดา ตอนแรกผมกะว่าจะขับรถมาเอง แต่คิดอีกทีน่าจะยุ่งยากน่าดูตอนที่สื่อสารกับเธอเลยให้สอนขับรถให้ในขณะที่ผมจะได้โฟกัสกับเธอได้เต็มที่ หวังว่าเธอจะไม่เกร็งเวลาที่อยู่กับผมนายทำได้น่ากวิน แค่คืนเดียวเอง ปกปิดดอมที่อยู่ในตัวนายซะ วานิลลาก็ไม่ได้แย่ คืนนี้นายต้องเป็นผู้ชายปกติที่กำลังไปเดทกับผู้หญิงปกติ พูดคุย ยิ้ม หัวเราะ ทำทุกอย่างให้เป็นปกติลื่นไหล อย่าแม้แต่จะคิดควบคุมอะไร แล้วอย่าลืมว่านายไม่ได้รับอนุญาตให้ทำโทษเธอผมย้ำกับตัวเองระหว่างเดินไปหาปภาดาที่ห้อง ผมกดกริ่ง สงสัยอยู่เหมือนกันว่าเธอจะรู้ได้ไงว่ามีคนมาหา รอไม่นานก็มีเด็กผู้หญิงรุ่นราวคราวเดียวกันเปิดประตูออกมาทัก“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อเหมือนฝัน เป็นรูมเมทของปราย” หล่อนพูดเสียงเรียบเป็นโทนเดียวแต่ก็สามารถเข้าใจได้ เธอยิ้มให้เหมือนว่ารู้จักผมมาก่อน แต่อาจเป็นเพราะเมื่อก่อนผมเคยอยู่ในวงการบันเทิง ผมมั่นใจว่าไม่เคยเจอเธอมาก่อนผมเดินเข้าด้านในตามคำเชิญ มองสำรวจรอบ ๆ ไม่ต่างจากที่
เมื่อเงยหน้าขึ้นมาสมตาผมเข้าพอดี เธอจ้องผมตาค้าง ก่อนที่จะเลื่อนสายตาลงมองปากที่อ้าออกแทบน้ำลายหกเพราะอยากกลืนกินเธอ ผมเห็นว่าเธอหายใจติดขัดขึ้นเล็กน้อย รีบยิ้มให้เพื่อบอกว่าผมมาดี เธอถอนหายใจด้วยความโล่งอก หันมองไปรอบห้องเหมือนกำลังหาตัวช่วยหรือไม่ก็ทางหนีทีไล่ ผมไม่มีวันยอมให้เธอทำอย่างนั้นจึงเดินรุกเข้าหา“ปภาดา” ผมเรียกเมื่อเข้าใกล้ในระยะที่คิดว่าเธอสามารถอ่านปากได้ “ฉันอยากขอโทษเธออีกครั้งสำหรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะเมื่อครั้งสุดท้าย”เธอมองไปรอบ ๆ อีกครั้ง เล่นเอาผมประหม่าคิดว่าเธอไม่อยากคุยด้วย แต่ในที่สุดผมก็รู้เหตุผล เธอต้องการหาเครื่องมือสื่อสาร คงคิดว่าระหว่างนั่งแยกจดหมายไม่จำเป็นต้องใช้มือถือจึงไม่ได้หยิบติดมือมาด้วย ผมสามารถถามแล้วให้เธอพยักหน้าหรือส่ายหน้าได้ แต่ถ้าเธอปฏิเสธผมก็อยากรู้เหตุผลว่าทำไมถึงไม่อยากไปกับผม สุดท้ายเธอได้กระดาษโน้ตกับปากกามาด้ามหนึ่ง“ไม่เป็นไรค่ะท่านประธาน”ผมพยักหน้า เงียบไปสักพัก จู่ ๆ ก็รู้สึกติดขัดขึ้นมา ไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดจุดประสงค์จริง ๆ ที่มาอยู่ตรงนี้ยังไงดีพูดไปสิวะ กล้า ๆ หน่
“ว่าไงไอ้น้องชาย มีอะไรถึงได้โทรตามฉันมา” พี่ชายผมเดินถือเบียร์มาสมทบที่โต๊ะพูล“คิดถึงพี่มั้ง” ผมตอบส่ง ๆถ้าจะมีใครทำให้ผมเลิกคิดถึงเรื่องผู้หญิงได้ก็มีแต่กฤตฤณพี่ชายผมคนเดียวนี่แหละ เป็นคนที่รู้ไส้รู้พุงผมถึงแก่นจนนึกอยากเกลียด“เอาละ บอกมามีเรื่องอะไร”ผมไหวไหล่ กระดกเบียร์ไปทีหนึ่ง โดยมีสายตาของพี่ชายจ้องเขม็ง“คือผมเจอผู้หญิงคนนึง”“ผู้หญิง” พี่เลิกคิ้วมอง“ผมเพิ่งเจอเธอเมื่อไม่กี่วันก่อนแต่ว่าหยุดคิดถึงเธอไม่ได้เลย”“แล้วนายได้ขอเบอร์เธอไว้รึเปล่า”“เธอเป็นนักศึกษาฝึกงานที่บริษัท”“นักศึกษาฝึกงาน!”ผมเห็นหน้าพี่ชายแล้วอยากขำแต่ขำไม่ออก เขาอึ้งไปพักแล้วพูดต่อ“เออดี งั้นก็ง่ายขึ้นหน่อย ลองชวนเธอไปเดทสิ”“ถ้าง่ายขนาดนี้ก็ดีสิ ผมไม่อยากให้เธอปฏิเสธ”“อะไรกันวะ กวิน นายมีทั้งเงินทั้งอำนาจ หน้าตาก็หล่อถึงแม้ว่าจะน้อยกว่าฉันก็ตาม ยังจะมัวคิดมากอะไรอยู่อีก ผู้หญิงที่ไหนเห็นนายมีแต่จะวิ่งตาม”“แต่ไม่ใช่กับเธอน่ะสิ”พี่ชายทำหน้าประหลาดใจอีกรอบพลางใช้ความคิด สัก
“เดี๋ยวก่อนพี่ปราย พี่ชอบใครอะ พี่ตูนเหรอ”“ถามอะไรนักหนา ไม่ใช่ตูน เขาแก่กว่าพี่ตั้งเยอะ”“อืม...ให้ผมเดา พี่แอบชอบอาจารย์เหรอ”ฉันเลิกคิ้วมอง “ทำไมถึงคิดว่าพี่แอบชอบอาจารย์”“ก็พี่บอกว่าเขาแก่กว่า แล้วเหมือนพี่จะเคยพูดถึงอาจารย์คนหนึ่งให้ผมฟังว่าพี่ปลื้มเขามาก”“ไม่ใช่!”“ถ้างั้น แล้วใครล่ะ”ฉันถอนใจอีกรอบ “เจ้านายพี่เอง”“หา!”“แต่ก็ไม่มีอะไรหรอก พี่แค่แบบว่าแอบปลื้มเขาเฉย ๆ ไรงี้ เขาหล่อรวย มีแต่คนชอบเขา คนอย่างเขาไม่มีทางขาดแคลนผู้หญิง เพราะฉะนั้นเขาไม่มีทางมาชายตาแลพี่หรอก” พูดเองแล้วทำไมถึงรู้สึกแอบเศร้านะ“ผมจะบอกอะไรให้นะ ใครได้พี่เป็นแฟนอะโครตโชคดี ถ้าใครปฏิเสธพี่แม่งก็โง่เต็มที”“โห น้อย ๆ หน่อย พูดอย่างนี้อยากได้อะไรเนี่ย”“เปล่าซะหน่อย ผมพูดจริง พี่สาวผมออกจะสวยเพอร์เฟกต์ราวกับนางฟ้ามาจุติซะขนาดนี้”“เวอร์!” ฉันพยายามกลั้นยิ้มกับคำชม “พอ ๆ ออกไปได้แล้ว พี่จะนอนแล้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า”โชคดีที่เจ้าเปรมไม่เซ้าซี้ต่อ ยอมออกจากห้องไปแต่โดยดี แต่ฉันเนี่ยสิ ทำยังไงก็นอนไม่หล
ปราย“สวัสดีค่ะแม่” ฉันส่งภาษามือทักทายแม่ทันทีที่ลงจากรถ“เป็นไงบ้างลูก” แม่ถามกลับด้วยภาษามือเช่นเดียวกัน แล้วเราสองคนเดินก็กอดกันเข้าบ้าน“ลูกพ่อกลับมาแล้ว มาให้พ่อดูหน่อย” พ่อส่งภาษามือทัก ยิ้มกว้างพร้อมกางแขนออกต้อนรับ ฉันรีบกระโจนเข้าหาอ้อมกอดที่อบอุ่นที่สุดในโลก“ลูกดูตัวสูงขึ้นกว่าเดิมจากที่เจอกันครั้งก่อนอีกแล้ว” พ่อมักจะทักฉันเป็นเด็กเล็ก ๆ แบบนี้ทุกครั้ง แล้วพวกเราก็ได้แต่หัวเราะเพราะอายุเท่านี้ส่วนสูงไม่เพิ่มขึ้นแล้วพ่อออกไปช่วยฉันขนกระเป๋าเข้าบ้านแล้วถามขึ้นทันทีเมื่อเดินกลับเข้ามา “สติ๊กเกอร์ติดรถลูกไปไหน” พ่อหมายถึงสติ๊กเกอร์ที่บอกว่าคนขับรถคันนี้หูหนวก“หนูทำหายค่ะ เดี๋ยวหนูหาอันใหม่มาติด” ตอบเสร็จก็ทำเป็นเดินหนีเพราะไม่อยากเห็นพ่อบ่นอีก ฉันรู้ว่าท่านเป็นห่วงความปลอดภัยแล้วก็ลงทุนเรื่องอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ ในรถฉันไปมาก ซึ่งแต่ละอย่างค่อนข้างมีราคา ฉันไม่อยากให้ท่านเสียเงินมากกว่านี้ ท่านควรเก็บเงินไว้ใช้ตอนเกษียณดีกว่า“ตัวแสบไปไหนคะแม่” ฉันถามหาน้องชาย“ขลุกอยู่แต่ในห้องทั้งวัน ลูกไปล