ผมมาถึงที่ทำงาน แฟ้มประวัติของปภาดายังวางเด่นอยู่บนโต๊ะ ผมโยนมันส่ง ๆ ไปรวมกับของที่ต้องนำไปทิ้ง ตั้งใจว่ายังไงก็ต้องกำจัดเธอออกไปจากสมองให้ได้
“แม่ง!” ผมหยิบมันขึ้นมาใหม่ เอารูปถ่ายของเธอออกมาเก็บไว้ในกระเป๋าเอกสาร
ผมเป็นอะไร ผู้หญิงคนนี้ทำอะไรกับผมกันแน่
หลังจากพยายามตั้งสมาธิเพื่อเริ่มงานถึงสามครั้งแต่ไม่สามารถทำได้ผมเลยหยิบมือถือมาเล่นเกม ผมมองออกไปนอกหน้าต่างสังเกตเห็นว่าคนมีเรื่องกัน จึงดึงดูดความสนใจของผม เหมือนว่าคนข้างล่างกำลังแย่งที่จอดรถกันอยู่ที่หน้าตึก คนขับลงจากรถมาด่ากันกลางถนนโดยไม่สนใจคนอื่นทำให้รถติดยาวเป็นพรวน แต่แล้วก็รู้สึกว่ามีคนเดินมาใกล้ ๆ จึงหันกลับไปดู สงสัยว่าใครกล้ามารบกวนแต่เช้า แต่ทว่ากลับกลายเป็นเธอ
แววตาที่มองผมเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ผมรู้ตัวทันทีว่าทำให้เธอตกใจกลัวอีกแล้ว เธอเดินถอยหลัง ทำให้อยู่ไกลเกินกว่าจะอ่านปากผมได้ ผมจึงรีบรั้งเธอไว้ก่อนที่จะหนีเตลิดไปอีก แต่เธอไวมาก แป๊บเดียวก็ไปถึงที่ประตูแล้ว ผมไม่รู้จะทำอย่างไรจึงเผลอตะโกนเรียกแม้จะรู้ว่าเธอไม่ได้ยินก็ตาม
“ปภาดาเดี๋ยวก่อน ฉันไม่ได้จะทำอะไรเธอ”
ผมหยุดเธอได้ก่อนที่เธอจะเปิดประตูออกจากห้อง ร่างเล็กยืนตัวแข็งทื่อตัวสั่นน้อย ๆ บ่งบอกว่าเธอกำลังหวาดกลัว ผมหมุนตัวเธอกลับมาเพื่อมองชัด ๆ เธอคงกลัวผมมากจนทำจดหมายและมือถือร่วงจากมือ ผมรวบเอวบางและตรึงเธอไว้กับกำแพงเพื่อให้เธอหยุดต่อต้านและมองหน้าผมชัด ๆ จะได้รู้ว่าผมไม่ได้ไม่พอใจเธออยู่ แต่มาคิดได้เมื่อสายไปเสียแล้วว่านี่ยิ่งจะทำให้สถานการณ์เลวร้ายยิ่งกว่าเดิม ยิ่งเธอไม่สามารถได้ยินผมพูดยิ่งแล้วใหญ่
จะเอาไงดีวะ!
ผมควรปล่อยเธอไป แต่หากทำแบบนั้นก็อย่าหวังว่าจะได้เจอเธออีกเลยในเมื่อเธอแสดงออกว่ากลัวผมซะขนาดนี้ ทว่าในขณะเดียวกันมันกลับปลุกความเป็นดอมในตัวผม สุดท้ายผมตัดสินใจปิดปากเธอด้วยปากผมเพื่อให้เธอสงบลง กลายเป็นว่ากลับทำให้เธอตัวแข็งทื่อเหมือนถูกสาปให้เป็นหิน ยกเว้นเสียแต่ริมฝีปากนุ่มที่ขยับตอบสนองจูบผม ผมครางด้วยความพึงพอใจกับสัมผัสอ่อนนุ่ม เธอถอนจูบเพื่อหยุดหายใจแล้วเริ่มจูบกันใหม่ ไม่คิดเลยว่าเธอจะกล้าจูบตอบผม และผมบอกได้คำเดียวว่าโคตรรู้สึกดี
แต่เมื่อคิดถึงสถานะของเธอ เธอไม่ใช่ซับแต่เป็นพนักงานคนหนึ่งซึ่งสามารถฟ้องร้องข้อหาล่วงละเมิดทางเพศได้ ทำให้ผมต้องหยุดการกระทำทุกอย่างด้วยความเสียดาย ผมถอยหลังออกมาเพื่อเป็นสัญญาณบอกให้เธอไปได้ แต่เจ้าหล่อนยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน มือสองคู่ยังอยู่ในท่าเดิมที่ถูกผมยึดไว้ก่อนหน้า ท่าทางอ่อนน้อมเชื่อฟังยิ่งกระตุ้นความเป็นดอมของผม และผมจำเป็นอย่างมากที่จะต้องให้เธอหยุดทำตัวเหมือนว่าตัวเองเป็นซับก่อนที่ผมจะจับเธอขึงพืดบนโต๊ะทำงานแล้วทำรักกับเธออย่างถึงใจ
ผมทำมือเป็นสัญญาณให้เธอเอาแขนลงได้ มองจนกระทั่งแขนทั้งสองข้างตกลงแนบลำตัว เธอก็ไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นอีกเหมือนกำลังรอคอยอะไรบางอย่าง
ให้ตายเถอะ! เธอกำลังรอฟังคำสั่งจากผมเหรอ หยุดเลยนะ อย่าทำแบบนั้น ผมต้องการให้เธอไป ผมพยายามกรอกหูตัวเองว่าเธอแค่กำลังกลัวผม เธอไม่ใช่ซับ!
เมื่อคืนผมลองเรียนภาษามือตอนที่คิดเรื่องเธอ ตอนนี้โอกาสมาอยู่ตรงหน้าแล้ว ผมพยายามสื่อสารภาษามือกับเธอว่าผมขอโทษ ผมเป็นคนหยิ่งไม่เคยเอ่ยปากขอโทษใคร แต่ถ้าคำนี้จะทำให้เธอเลิกตอบสนองผมแบบที่ทำอยู่ผมก็ยินดี
ไหล่ที่แข็งเกร็งตรงหน้าผ่อนคลายลง ใบหน้าสวยหวานปรากฏรอยยิ้มบาง เธอใช้ภาษามือโต้ตอบกับผมแต่เธอขยับมือเร็วเกินไปจนผมตาลายเพราะในคลิปยูทูปที่สอนภาษามือไม่ได้ขยับเร็วแบบนี้ สุดท้ายจึงไม่รู้ว่าเธอต้องการพูดอะไรด้วยอยู่ดี
ปราย“ขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจเป็นแบบนี้ต่อหน้าคุณ แต่ยังไงก็ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ ที่มารวบกวนคุณ” ฉันทำมือบอกท่านประธานริมฝีปากฉันยังร้อนวูบวาบจากจูบเมื่อครู่ วิธีการที่เขาใช้ควบคุมคนไม่ให้ตกใจกลัวช่างดีจริง ๆ และโชคดีมาก ๆ ที่เขารู้จักภาษามือ ไม่อย่างนั้นสถานการณ์คงอิหลักอิเหลื่อน่าดู แต่ว่าเขารู้จักภาษามือได้ยังไง เมื่อเห็นเขายกมือขึ้นห้าม ฉันจึงค่อยรู้ว่าเขาไม่เข้าใจสิ่งที่ฉันต้องการบอกเลยสักนิด“เธออ่านปากได้มั้ย” เขาถามและฉันพยักหน้าท่าทางโล่งอกของท่านประธานทำให้ฉันอยากหัวเราะ เดาว่าอันที่จริงแล้วเขาคงไม่ได้รู้ภาษามือจริง ๆ หรอก แต่อดแอบคิดไม่ได้ว่าเขาไปเรียนภาษามือเพื่อคุยกับฉันโดยเฉพาะ แล้วก็ต้องสั่งให้ตัวเองหยุดคิด ฉันไม่ใช่คนหูหนวกคนเดียวซะหน่อยที่อยู่ในโครงการเขา แน่นอนว่าเขาจำเป็นต้องเรียนรู้ไว้เพื่อ…เอ่อ…แสดงความสุภาพฉันอยากคุยกับเขาแต่ไม่รู้ว่ามือถือหายไปไหน แล้วก็เห็นมันตกอยู่ที่พื้นข้าง ๆ กับจดหมายของท่านประธานจึงหยิบมันขึ้นมา ฉันสำรวจดูมือถือ โล่งอกที่ไม่มีส่วนไหนแตกหักหรือเสียหาย รีบพิมพ์สิ่งที่ฉันต้อง
ปราย“เกิดอะไรขึ้นกันแน่” คุณชาร์มดึงฉันไปถามใกล้ ๆ ฉันยักไหล่เพราะไม่รู้เหมือนกัน “ไม่เอาน่า บอกพี่มาน้องปราย คราวหน้าเธอเข้ามาในนี้ได้เลยไม่ต้องกังวล เธอเป็นที่ต้อนรับเสมอ น้องทำอะไรกับท่านประธานกันแน่ เขาไม่เคยดีกับใครแบบนี้มาก่อน” คุณชาร์มเลียนเสียงและท่าทางของคนที่อยู่ด้านใน“ใครไม่เคยดีกับใคร บอสเหรอ” คุณวัลลภถามเมื่อเดินมาหยุดหน้าพวกเรา“แต่ว่าเขาก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งเหมือนกัน ฉันว่าเขาต้องชอบน้อปราย” คุณชาร์มออกความเห็น“แหงะซะ เมื่อวานเขาแทบจะกินหัวผมตอนที่น้องปรายหนีออกไปจากห้อง” คุณลภเสริม ทำท่ากรอกตามองบนฉันมองทั้งสองคนที่กำลังนินทาเจ้านายอย่างสนุกปากสลับกันไปมา เห็นว่าไม่ควรพาตัวเข้าไปยุ่งจึงคิดถอยออกมาดีกว่า“ปรายขอตัวก่อนดีกว่าค่ะ “ฉันพิมพ์ขอความผ่านมือถือฉันกลับมาที่ห้องจดหมาย ความคิดเกี่ยวกับท่านประธานที่ฉันมีเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง วันนี้เขาดีกับฉันมาก คงจะรู้สึกแย่ที่โมโหใส่ฉัน แต่ว่า...ถ้าหากเขาจะโมโหใส่แล้วปลอบด้วยการจูบแบบวันนี้ละก็...ฉันคงจะยินดี ฉันไม่เคยถูกจูบแบบนั้นมาก่อน ส
“เอาจริงดิครับ!” วัลลภถามเสียงสูง“ทำไม ฉันอยากได้เธอนี่”“คุณจะฟันเธอแล้วทิ้งจริง ๆ เหรอครับ”“ปกติฉันก็ทำแบบนั้นนี่” ผมตอบแบบที่คิด ที่ผมเอาแต่คิดถึงเธอไม่หยุดคงเป็นเพราะผมยังไม่ได้เธอนั่นเอง“ถ้าคุณอยากจะทำแบบนั้นจริง ๆ ผมแนะนำว่าไปหาผู้หญิงคนอื่นมาสนุกด้วยดีกว่า อย่าลืมว่าเธอยังเรียนไม่จบนะครับ”“เออก็จริง เธออายุเท่าไหร่นะ ฉันคงไม่โดนข้อหาพรากผู้เยาว์หรอกมั้ง”“คุณไม่ต้องคิดเรื่องอายุหรอกครับถ้าสนใจเธอ ถึงแม้ว่าเธอจะยังไม่ถึงยี่สิบจริง ๆ แต่ก็ทำให้คุณสนใจได้ ไม่อย่างนั้นคุณจะมีอาการอย่างนี้เหรอ แต่ขอแสดงความยินดีด้วยครับ น้องปรายอายุยี่สิบสองแล้ว”“ไม่ต้องย้ำได้มั้ย” ผมชักหงุดหงิดเมื่อพูดถึงเรื่องความต่างทางอายุระหว่างผมกับปราย“อ้าว ก็คุณพูดเองนี่ครับ”“เออ ๆ งั้นพอได้แล้ว”“ครับ ถ้าอย่างนั้นผมแนะนำว่าเจ้านายควรจะชวนเธอไปเดท”“แต่ว่าเธอเป็นพวกไม่มีประสบการณ์ ไม่ใช่สเปคฉัน ฉันชอบคนเป็นงาน อย่าทำเป็นไม่รู้”“คุณอาจจะเบื่อแบบเดิม ๆ ก็ได้ หรือไม่คุณก็อาจจะต้องการอะไรที่มากกว่าแค่วันไนท์สแตนด์ที่คุณ
ปราย“สวัสดีค่ะแม่” ฉันส่งภาษามือทักทายแม่ทันทีที่ลงจากรถ“เป็นไงบ้างลูก” แม่ถามกลับด้วยภาษามือเช่นเดียวกัน แล้วเราสองคนเดินก็กอดกันเข้าบ้าน“ลูกพ่อกลับมาแล้ว มาให้พ่อดูหน่อย” พ่อส่งภาษามือทัก ยิ้มกว้างพร้อมกางแขนออกต้อนรับ ฉันรีบกระโจนเข้าหาอ้อมกอดที่อบอุ่นที่สุดในโลก“ลูกดูตัวสูงขึ้นกว่าเดิมจากที่เจอกันครั้งก่อนอีกแล้ว” พ่อมักจะทักฉันเป็นเด็กเล็ก ๆ แบบนี้ทุกครั้ง แล้วพวกเราก็ได้แต่หัวเราะเพราะอายุเท่านี้ส่วนสูงไม่เพิ่มขึ้นแล้วพ่อออกไปช่วยฉันขนกระเป๋าเข้าบ้านแล้วถามขึ้นทันทีเมื่อเดินกลับเข้ามา “สติ๊กเกอร์ติดรถลูกไปไหน” พ่อหมายถึงสติ๊กเกอร์ที่บอกว่าคนขับรถคันนี้หูหนวก“หนูทำหายค่ะ เดี๋ยวหนูหาอันใหม่มาติด” ตอบเสร็จก็ทำเป็นเดินหนีเพราะไม่อยากเห็นพ่อบ่นอีก ฉันรู้ว่าท่านเป็นห่วงความปลอดภัยแล้วก็ลงทุนเรื่องอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ ในรถฉันไปมาก ซึ่งแต่ละอย่างค่อนข้างมีราคา ฉันไม่อยากให้ท่านเสียเงินมากกว่านี้ ท่านควรเก็บเงินไว้ใช้ตอนเกษียณดีกว่า“ตัวแสบไปไหนคะแม่” ฉันถามหาน้องชาย“ขลุกอยู่แต่ในห้องทั้งวัน ลูกไปล
“เดี๋ยวก่อนพี่ปราย พี่ชอบใครอะ พี่ตูนเหรอ”“ถามอะไรนักหนา ไม่ใช่ตูน เขาแก่กว่าพี่ตั้งเยอะ”“อืม...ให้ผมเดา พี่แอบชอบอาจารย์เหรอ”ฉันเลิกคิ้วมอง “ทำไมถึงคิดว่าพี่แอบชอบอาจารย์”“ก็พี่บอกว่าเขาแก่กว่า แล้วเหมือนพี่จะเคยพูดถึงอาจารย์คนหนึ่งให้ผมฟังว่าพี่ปลื้มเขามาก”“ไม่ใช่!”“ถ้างั้น แล้วใครล่ะ”ฉันถอนใจอีกรอบ “เจ้านายพี่เอง”“หา!”“แต่ก็ไม่มีอะไรหรอก พี่แค่แบบว่าแอบปลื้มเขาเฉย ๆ ไรงี้ เขาหล่อรวย มีแต่คนชอบเขา คนอย่างเขาไม่มีทางขาดแคลนผู้หญิง เพราะฉะนั้นเขาไม่มีทางมาชายตาแลพี่หรอก” พูดเองแล้วทำไมถึงรู้สึกแอบเศร้านะ“ผมจะบอกอะไรให้นะ ใครได้พี่เป็นแฟนอะโครตโชคดี ถ้าใครปฏิเสธพี่แม่งก็โง่เต็มที”“โห น้อย ๆ หน่อย พูดอย่างนี้อยากได้อะไรเนี่ย”“เปล่าซะหน่อย ผมพูดจริง พี่สาวผมออกจะสวยเพอร์เฟกต์ราวกับนางฟ้ามาจุติซะขนาดนี้”“เวอร์!” ฉันพยายามกลั้นยิ้มกับคำชม “พอ ๆ ออกไปได้แล้ว พี่จะนอนแล้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า”โชคดีที่เจ้าเปรมไม่เซ้าซี้ต่อ ยอมออกจากห้องไปแต่โดยดี แต่ฉันเนี่ยสิ ทำยังไงก็นอนไม่หล
“ว่าไงไอ้น้องชาย มีอะไรถึงได้โทรตามฉันมา” พี่ชายผมเดินถือเบียร์มาสมทบที่โต๊ะพูล“คิดถึงพี่มั้ง” ผมตอบส่ง ๆถ้าจะมีใครทำให้ผมเลิกคิดถึงเรื่องผู้หญิงได้ก็มีแต่กฤตฤณพี่ชายผมคนเดียวนี่แหละ เป็นคนที่รู้ไส้รู้พุงผมถึงแก่นจนนึกอยากเกลียด“เอาละ บอกมามีเรื่องอะไร”ผมไหวไหล่ กระดกเบียร์ไปทีหนึ่ง โดยมีสายตาของพี่ชายจ้องเขม็ง“คือผมเจอผู้หญิงคนนึง”“ผู้หญิง” พี่เลิกคิ้วมอง“ผมเพิ่งเจอเธอเมื่อไม่กี่วันก่อนแต่ว่าหยุดคิดถึงเธอไม่ได้เลย”“แล้วนายได้ขอเบอร์เธอไว้รึเปล่า”“เธอเป็นนักศึกษาฝึกงานที่บริษัท”“นักศึกษาฝึกงาน!”ผมเห็นหน้าพี่ชายแล้วอยากขำแต่ขำไม่ออก เขาอึ้งไปพักแล้วพูดต่อ“เออดี งั้นก็ง่ายขึ้นหน่อย ลองชวนเธอไปเดทสิ”“ถ้าง่ายขนาดนี้ก็ดีสิ ผมไม่อยากให้เธอปฏิเสธ”“อะไรกันวะ กวิน นายมีทั้งเงินทั้งอำนาจ หน้าตาก็หล่อถึงแม้ว่าจะน้อยกว่าฉันก็ตาม ยังจะมัวคิดมากอะไรอยู่อีก ผู้หญิงที่ไหนเห็นนายมีแต่จะวิ่งตาม”“แต่ไม่ใช่กับเธอน่ะสิ”พี่ชายทำหน้าประหลาดใจอีกรอบพลางใช้ความคิด สัก
เมื่อเงยหน้าขึ้นมาสมตาผมเข้าพอดี เธอจ้องผมตาค้าง ก่อนที่จะเลื่อนสายตาลงมองปากที่อ้าออกแทบน้ำลายหกเพราะอยากกลืนกินเธอ ผมเห็นว่าเธอหายใจติดขัดขึ้นเล็กน้อย รีบยิ้มให้เพื่อบอกว่าผมมาดี เธอถอนหายใจด้วยความโล่งอก หันมองไปรอบห้องเหมือนกำลังหาตัวช่วยหรือไม่ก็ทางหนีทีไล่ ผมไม่มีวันยอมให้เธอทำอย่างนั้นจึงเดินรุกเข้าหา“ปภาดา” ผมเรียกเมื่อเข้าใกล้ในระยะที่คิดว่าเธอสามารถอ่านปากได้ “ฉันอยากขอโทษเธออีกครั้งสำหรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะเมื่อครั้งสุดท้าย”เธอมองไปรอบ ๆ อีกครั้ง เล่นเอาผมประหม่าคิดว่าเธอไม่อยากคุยด้วย แต่ในที่สุดผมก็รู้เหตุผล เธอต้องการหาเครื่องมือสื่อสาร คงคิดว่าระหว่างนั่งแยกจดหมายไม่จำเป็นต้องใช้มือถือจึงไม่ได้หยิบติดมือมาด้วย ผมสามารถถามแล้วให้เธอพยักหน้าหรือส่ายหน้าได้ แต่ถ้าเธอปฏิเสธผมก็อยากรู้เหตุผลว่าทำไมถึงไม่อยากไปกับผม สุดท้ายเธอได้กระดาษโน้ตกับปากกามาด้ามหนึ่ง“ไม่เป็นไรค่ะท่านประธาน”ผมพยักหน้า เงียบไปสักพัก จู่ ๆ ก็รู้สึกติดขัดขึ้นมา ไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดจุดประสงค์จริง ๆ ที่มาอยู่ตรงนี้ยังไงดีพูดไปสิวะ กล้า ๆ หน่
กวินศร คนขับรถและผู้ช่วยส่วนตัวเลี้ยวรถเข้าจอดที่ลานจอดรถหน้าหอพักของปภาดา ตอนแรกผมกะว่าจะขับรถมาเอง แต่คิดอีกทีน่าจะยุ่งยากน่าดูตอนที่สื่อสารกับเธอเลยให้สอนขับรถให้ในขณะที่ผมจะได้โฟกัสกับเธอได้เต็มที่ หวังว่าเธอจะไม่เกร็งเวลาที่อยู่กับผมนายทำได้น่ากวิน แค่คืนเดียวเอง ปกปิดดอมที่อยู่ในตัวนายซะ วานิลลาก็ไม่ได้แย่ คืนนี้นายต้องเป็นผู้ชายปกติที่กำลังไปเดทกับผู้หญิงปกติ พูดคุย ยิ้ม หัวเราะ ทำทุกอย่างให้เป็นปกติลื่นไหล อย่าแม้แต่จะคิดควบคุมอะไร แล้วอย่าลืมว่านายไม่ได้รับอนุญาตให้ทำโทษเธอผมย้ำกับตัวเองระหว่างเดินไปหาปภาดาที่ห้อง ผมกดกริ่ง สงสัยอยู่เหมือนกันว่าเธอจะรู้ได้ไงว่ามีคนมาหา รอไม่นานก็มีเด็กผู้หญิงรุ่นราวคราวเดียวกันเปิดประตูออกมาทัก“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อเหมือนฝัน เป็นรูมเมทของปราย” หล่อนพูดเสียงเรียบเป็นโทนเดียวแต่ก็สามารถเข้าใจได้ เธอยิ้มให้เหมือนว่ารู้จักผมมาก่อน แต่อาจเป็นเพราะเมื่อก่อนผมเคยอยู่ในวงการบันเทิง ผมมั่นใจว่าไม่เคยเจอเธอมาก่อนผมเดินเข้าด้านในตามคำเชิญ มองสำรวจรอบ ๆ ไม่ต่างจากที่
หกเดือนต่อมากวินผมกลับถึงบ้านก่อนที่เข็มนาฬิกาจะแตะเลขสิบสองเพียงเล็กน้อย ช่วงนี้ผมต้องทำงานชดเชยเวลาที่หยุดไปฮันนีมูนที่ยุโรป ดังนั้นงานจึงกองสุมหัว พอเปิดประตูเข้าไปก็เจอกับเจ้าลาเต้ที่กระดิกหางต้อนรับอยู่ มันเดินตามผมเข้ามาถึงในห้องนอน“อ้าวยังไม่นอนอีกเหรอที่รัก”“ปรายนอนไม่หลับค่ะ กังวลเรื่องพรุ่งนี้กลัวว่าทุกสิ่งที่ทำไปจะสูญเปล่า”ผมเข้าใจ พรุ่งนี้เรามีนัดกับหมอเพื่อฟังผลการรักษาหลังจากที่ปรายเข้ารับการผ่าตัดเมื่อสามเดือนก่อนผมประคองหน้าเธอไว้ด้วยสองมือ โน้มลงไปจูบหน้าผากมนเบา ๆ เพื่อให้กำลังใจ“ไม่ต้องกังวล เชื่อฉันสิ ทุกสิ่งจะผ่านไปได้ด้วยดี”คำปลอบใจไม่ช่วยให้เธอดีขึ้น ผมยิ้มมองคนที่ตอนนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นภรรยา“ช่วยรักปรายหน่อยได้มั้ยคะ ปรายต้องการคุณ”คำขอร้องจากปากเธอทำให้ผมคราง ท่าทางและน้ำเสียงเว้าวอนแบบนี้ปลุกความเป็นดอมในตัวผม แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้ผมแทบละลายทุกครั้งที่เธอพูดแบบนี้ระหว่างมื้ออา
สองสัปดาห์ต่อมาปรายเพิ่งจะได้รับการตรวจเช็กจากหมอผู้เชี่ยวชาญที่นัดไว้ ตอนนี้กำลังรอฟังผลอยู่ ผมวางมือลงบนมือปรายที่วางอยู่บนหน้าตักเธอจึงหันมามองหน้า“ไม่ต้องกลัว” บอกพร้อมบีบมือให้กำลังใจ รู้ว่าการรอคอยเรื่องสำคัญเช่นนี้มันกระวนกระวายแค่ไหน“ขอโทษที่ให้รอนานค่ะ คุณหมอให้เชิญพวกคุณเข้าไปด้านในค่ะ” ผู้ช่วยสาวเดินออกมาบอก ทำท่าผายมือไปทางห้องทำงานคุณหมอ“เชิญนั่งครับ” คุณหมอยิ้มเมื่อเห็นเรานั่งลงตรงข้าม “คุณคงอยากจะทราบผลแล้วนะครับ หลังจากที่ตรวจและวินิจฉัยแล้วผมขอแจ้งว่านี่เป็นข่าวดี จุดที่เสียหายในระบบการได้ยินของคุณไม่ใช่จุดหลัก เพราะฉะนั้นเราแค่ต้องจัดการอะไรนิด ๆ หน่อย ๆ ตรงเส้นประสาทการรับรู้ที่จะเป็นตัวแปรในการได้ยินเสียงของคุณ”ผมยิ่งฟังก็ยิ่งงง แต่เหนืออื่นใดคือยินดีมากที่รู้ว่าปรายจะสามารถกลับมาได้ยินอีกครั้ง“ยังไงคะ คุณหมอหมายถึงการใส่ประสาทหูเทียมแบบนั้นเหรอคะ” ปรายทำมือถาม เพราะนี่ถือเป็นวิธีการทั่วไปที่ใช้รักษา“ครับผมการใส่ประสาทหูเทียมจะทำให้คุณกลับมาได้ยินอีกครั้ง
แสงอาทิตย์ยามเช้าลอดผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง ทำไมเวลามีปรายในอ้อมกอดแล้วรู้สึกว่าเช้าวันใหม่มาเร็วเหลือเกิน สักพักรู้สึกว่าร่างบนตัวเริ่มขยับยุกยิกไปมา“เอ๊ะ! ปรายมาอยู่ท่านี้ได้ยังไงคะ” เสียงงัวเงียตามก่อนที่จะหัวเราะเมื่อผมรัดตัวเธอแน่นขึ้น ท่านี้ที่ว่าคือนอนคว่ำหน้าท้องพาดบนแขนที่ผมเพิ่งสอดมือลงไปกุมกุหลาบที่อยู่ตรงหว่างขา“ของฉัน” ผมบอก แกล้งเป่าลมหายใจรดข้างหูจนปรายขนลุก เธอพยายามขืนตัวออก เมื่อทำไม่ได้จึงเปลี่ยนมาจูบปากผมแทนผมอยากจะทำรักกับเธอเร็ว ๆ แต่รู้ว่าวันนี้พ่อแม่เธอจะมาหาจึงอดกลั้นไว้ผมตื่นเต้นประสาทแดกตั้งแต่เช้า ครั้งสุดท้ายที่จำความรู้สึกนี้ได้คือตอนที่ขายเรือลำแรกสำเร็จ แต่วันนี้เหมือนจะเป็นมากว่าตอนนั้นเสียอีก“ใจเย็น ๆ สิคะ” เสียงปรายดังแทรกเข้ามาในหัว แต่ผมอดมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความกังวลไม่ได้ “ยังไงปรายก็จะแต่งงานกับคุณอยู่ดี”ผมพยักหน้าเรียกความเชื่อมั่นกับตัวเอง ถึงอย่างนั้นก็รู้ดีว่าปรายให้ความสำคัญกับครอบครัวมาก เธออยากให้พ่อแม่ยอมรับผม เสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น ผมหันมองหน
ปรายคืนนี้ฉันไม่ได้อยากหยิบยกเรื่องนี้มาพูด แต่คุณกวินคิดมากและจริงจังเกินไป เขารู้ว่าที่ฉันพูดเป็นเรื่องจริงทั้งหมดแต่ไม่ยอมรับ“ไม่ นี่ไม่ใช่ทางออก ไม่มีทาง ฉันไม่ยอมให้เกิดขึ้นแน่”“ปรายไม่เหมาะกับโลกของคุณหรอกค่ะ”“ใครอยากให้เธอเหมาะกับโลกของฉัน ไม่เหมาะก็ไม่เหมาะสิ”“เห็นมั้ยคะ คุณพูดออกมาเอง คิดมั้ยคะว่าถ้าเราอยู่ด้วยกันไปนานเข้าแล้วปรายยังเข้ากับโลกของคุณไม่ได้คุณจะรู้สึกยังไง อาจะเบื่อหรือรำคาญ”“โลกบ้าบออะไร ช่างแม่ง เธอคิดไปเอง ฉันจะบอกให้นะ ที่ฉันทำโครงการช่วยเหลือคนพิการก็เพื่ออุทิศให้กวี ไม่ว่าตอนนี้เจ้านั่นจะอยู่ที่ไหนฉันเชื่อว่าจะต้องชอบเธอ ทุกคนในครอบครัวของฉันชอบเธอ โลกของฉันคือเธอ ฉันไม่เคยเป็นของใครจนกระทั่งได้พบกับเธอ เธอเองก็เป็นของฉันเหมือนกัน บอกสิว่าเธอคิดเหมือนกัน”“ค่ะ ปรายคิดเหมือนกันคุณก็รู้”คุณกวินถอนใจยาวเมื่อเห็นว่าฉันไม่ตั้งหน้าตั้งตาเถียงอีก ฉันจะเอาอะไรมาเถียงในเมื่อเขาเปรียบดั่งลมหายใจ“ถ้างั้นทางออกอื่นล่ะ”“ทองออกที่สองคือคุณจะต้องตัดปรายออกจากงานท
กวินปาร์ตี้ใกล้จะเลิก ผมกับปรายนั่งในมุมค่อนข้างส่วนตัว เธอไม่ใช่สาวปาร์ตี้ ที่มานี่เพราะอยากเจอน้องสาวผมมากกว่า ผมเห็นแม่สอดส่ายสายตาไปรอบ ๆ พอมองมาทางนี้ก็ยิ้มพร้อมพยักหน้า แล้วก็มองไปที่คู่ของมิรากับแฟนหนุ่มตรงข้างสระว่ายน้ำ ต่อด้วยพี่ตฤณกับหยกตรงข้างบาร์เครื่องดื่ม แล้วก็วกกลับมาทางผมกับปรายอีกครั้ง เป็นที่เข้าใจได้เพราะแม่ไม่เคยเห็นผมใกล้ชิดกับผู้หญิงคนไหนมากเท่านี้มาก่อน ผมเลิกสนใจ หันมาหาปรายที่นั่งซบในอ้อมแขน โน้มหน้าจูบขมับเธอเบา ๆ แล้วก็เห็นพ่อผ่านทางหางตากำลังเดินไปหาแม่ คว้าตัวมาโอบกอดซึ่งเป็นภาพที่เห็นจนชินตา แล้วก็ต้องขมวดคิ้วสงสัยเมื่อเห็นพ่อเช็ดน้ำตาให้แม่ แต่ก็คลายลงเมื่อเห็นแม่ตีอกพ่อที่หัวเราะเธอ เดาว่าพ่อน่าจะแซวแม่เรื่องอารมณ์อ่อนไหว ผมส่ายหัวก่อนที่จะหลับตาลงผ่อนคลายไปกับบรรยากาศผมน่าจะใจลอยเกินไปหน่อย มารู้ตัวอีกทีตอนที่ปลายขยับเข้ามากระซิบข้างหู“คุณกวินคะ ปรายขอตัวไปเข้าห้องน้ำหน่อยนะคะ”หลังจากที่ปรายลุกไปแล้วผมก็นั่งปล่อยใจมองคนโน้นคนนี้แต่ไม่เก็บมาใส่ใจจนกระทั่งสักพักเห็นปรายยืนข้างสระน้ำกับมิราและ
กวิน“ไม่คิดว่าเธอจะตอบตกลง” ผมพูดขณะขับรถพาปรายไปร่วมปาร์ตี้ของน้องสาวที่บ้าน“ปรายว่าน่าจะสนุกดี แต่ความจริงแล้วปรายอยากเจอน้องสาวคุณมากกว่า”พอกันทีกับผู้หญิงที่ก่อนหน้าตื่นเต้นแทบตายเมื่อจะได้ไปเจอครอบครัวผม ผมได้แต่ยิ้มให้กับตัวเอง“คุณยิ้มอะไรคะ ““เปล๊า” ผมตอบแล้วขับรถต่อผมยังไม่ได้ประกาศเรื่องหมั้นของเราสองคนให้ครอบครัวได้รับรู้ เพราะพี่ชายปากมากผมเลยต้องเปลี่ยนแผน จำได้ว่าวันนั้นหลังจากกลับบ้าน เจอปรายรออยู่ในห้องนอน พอเธอเห็นผมก็ฉีกยิ้มกว้างต้อนรับ“เธออ่านปากพี่ตฤณใช่มั้ย”“คะ?” แกล้งทำหน้าใสซื่อ“เธอรู้ว่าฉันหมายถึงเรื่องอะไร”“ก็…ค่ะ ปรายแค่จับใจความได้นิด ๆ หน่อย ๆ เกี่ยวกับเรื่องสวมแหวนอะไรนี่แหละค่ะ”ผมถอนใจ ยืนทิ้งสะโพกกับโต๊ะเครื่องแป้งมองปราย“ฉันอยากทำอะไรที่ถูกต้อง อยากไปคุยกับพ่อแม่เธอจริง ๆ จัง ๆ ขอให้พวกท่านยกลูกสาวให้ เชื่อมั้ยว่าฉันเกร็งแค่ไหนเพราะไม่รู้ว่าจะพูดยังไงดี”“แต่คุณยังไม่ได้ถามปรายก่อนเลย” เธอเดินมากอดคอ“อืม” ผ
กวิน“ทีนี้เรื่องไปญี่ปุ่นสรุปว่าเคลียร์แล้วนะคะ” ปรายถามขณะอยู่ในลิฟต์“เคลียร์” ผมตอบ แต่ไม่ลืม ตั้งใจว่าจะพาเธอไปเที่ยวหลังเรียนจบปรายพ่นลมหายใจอย่างโล่งอกก่อนที่จะเอียงหัวซบไหล่ผม แต่ก็ต้องสะดุ้งรีบขยับตัวออกห่างเมื่อสัญญาณลิฟต์ดังขึ้นแล้วประตูก็เปิดออกพร้อมกับเจนศิลป์เดินเข้ามา“สวัสดีครับคุณกวิน”“สวัสดี”ผมทักส่ง ๆ แล้วกรอกตาเมื่อได้ยินเสียงมือถือปรายทักสวัสดี เสียงเหมือนกับว่าดีใจเหลือเกินที่ได้เจอ ผมหงุดหงิดแม้ว่านี่จะเป็นเสียงพูดจากมือถือก็ตาม เจนศิลป์ยืนข้างหน้าพวกเรา หันหลังกลับมามองที่ปรายแล้วถูกผมจ้องใส่ด้วยสายตาไม่พอใจจึงหันกลับไป แต่ยังหันกลับมามองผมสลับกับปรายอีกครั้ง ปรายดูท่าทางอึดอัดอย่างเห็นได้ชัด แต่ผมแสยะยิ้มในใจ หึ! ไอ้หมอนี่มองออก ดีแล้ว จะได้รู้ว่าใครเป็นของใครพอประตูลิฟต์เปิดออกเจนศิลป์ขยับให้ปรายเดินออกไปก่อนแล้ว ปรายก้มหัวให้ผมทีหนึ่งก่อนเดินออกจากลิฟต์ เจนศิลป์ก้มหัวทำความเคารพผมเหมือนกันแล้วก็เดิมตามออกไป แต่ผมกดหยุดประตูลิฟต์ที่กำลังจะปิดไว้เมื่อได้ยินเสียงปรายหัวเราะอะไรบา
“ทำไมเธอไม่เคยบอกฉันเรื่องนี้มาก่อน”“ปรายสมัครไว้ตั้งนานแล้ว เลยไม่คิดว่าปรายจะได้ ปรายลืมไปแล้วด้วยซ้ำ”ผมเดินตรงขึ้นบันได เปิดประตูแล้วเดินต่อโดยไม่รู้ทิศทางว่าจะไปไหน แต่ก็ไม่ได้ไปไกลเกินกว่าห้องนั่งเล่นแล้วนั่งลงที่โซฟาโดยที่ปรายเดินตามมานั่งด้านข้าง“คุณกวินคะ คุณพูดอะไรหน่อยสิคะ”เธออยากจะให้ผมพูดอะไร ผมไม่มีอะไรจะบอก ไม่มีอะไรจะมาเสนอนอกจากสิ่งที่ผมเพิ่งบอกกับเธอไปหมดแล้วก่อนหน้า ไม่รู้ว่ามันเพียงพอจะรั้งเธอไว้ได้มั้ย“ฉันแสดงความยินดีกับเธอไปแล้วไง เธอจะให้ฉันพูดอะไรอีกล่ะ”“ปรายไม่รู้ ปรายแค่อยากฟังความเห็นคุณ”“มันจะไปมีประโยชน์อะไรเพราะมันเป็นความต้องการของเธอที่ตั้งใจไว้แต่แรก”“ก็ใช่ค่ะ นี่เป็นโอกาสที่ดี ปรายจะได้ประสบการณ์ใหม่ ๆ เพื่อมาต่อยอดในอนาคต”“ฉันรู้แล้ว” ผมไม่อยากฟังต่อ ไม่อยากรับรู้ว่าทุนนี้ดีแค่ไหนเพราะมันทำให้เธอต้องจากผมไปไกล “ก็อย่างที่บอก นี่เป็นโอกาสที่ดีของเธอ”“คุณอยากให้ปรายไปจริงเหรอคะ”ผมลุกขึ้น เว้นระยะห่างระหว่างเรา แต่แน่นอนว่าปรายยังอยู่ตรงนี้ ตอนนี้ผมรู
ผมดึงมือเล็กมาจับไว้ขณะที่เดินนำเข้าบ้านพ่อแม่ ปรายตื่นเต้นแต่ควบคุมตัวเองได้ดี สองสามวันที่ผ่านมานี้ผมกับปรายฝึกภาษามือกันตลอด ตอนแรกเธอแปลกใจไม่คิดว่าผมจะรู้จักภาษามือได้มากขนาดนี้ เรื่องนี้ทำให้เธอประทับใจมาก แต่ก็เกือบจะถูกไล่ไปไกล ๆ เมื่อผมใช้ภาษามือสื่อสารในสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควร เชื่อมั้ยว่าผมถึงขั้นรู้ว่าจะสบถยังไง ปรายไม่ยอมบอกแต่ผมแอบสังเกตจนเดาได้“นั่นไง มากันแล้ว” ผมได้ยินเสียงพ่อดังจากในบ้านเมื่อพวกเราถึงหน้าประตู“พวกเราออกไปกันทีละคนดีกว่า ฉันไม่อยากให้ยัยหนูตกใจ” เสียงแม่แนะนำ“ก็ดีเหมือนกันที่รัก” พ่อเห็นด้วย“งั้นฉันไปก่อนนะคุณ”ผมแทบจะจินตนาการภาพแม่ผลักพ่อให้พ้นทางแล้วรีบเดินออกมาก่อนที่พ่อจะทันได้พูดอะไรได้เลย“พ่อแพ้ได้ไงเนี่ย” เสียงตฤณพูดพร้อมหัวเราะเสียงดัง“กวินมากันแล้วเหรอลูก” แม่ทักผมก่อนแต่มองไปที่ปรายด้วยรอยยิ้มอบอุ่นผมบีบมือให้กำลังใจปรายเพราะรู้สึกถึงเหงื่อชื้น ๆ“ปรายดีใจที่ได้เจอหนูนะ” แม่ทักและอ้าแขนดึงปรายเข้ามากอด ผมเห็นปรายยืนตัวเกร็งทำอะไรไม่ถูก คงตกใจ ไม่คิดว่าจะได้ร