สองเดือนต่อมา...
“ฉันว่ารถคันนั้นมันคุ้นๆ นะ แกว่ามั้ย?”
ทอฝันที่กำลังง่วนอยู่กับการพิมพ์งานวิจัยหน้าแล็ปท็อปในตอนแรกเงยหน้าขึ้นพร้อมกับใช้มือนวดหลังคอตัวเองเบาๆ เพื่อบรรเทาความเมื่อยล้าที่เกิดจากการจดจ่ออยู่กับงานเป็นเวลานาน
สายตาของเธอหันไปเห็นรถยุโรปสีดำเงาคันหรูซึ่งจอดชิดริมฟุตบาทอยู่ไม่ไกลจากใต้ตึกคณะบริหารธุรกิจที่พวกเธอกำลังนั่งอยู่พร้อมเอ่ยขึ้นด้วยความรู้สึกแปลกใจ
เจ้าของใบหน้าหวานที่กำลังจ้องหน้าจอแล็ปท็อปพร้อมกับจรดนิ้วเรียวลงบนแป้นพิมพ์อย่างตั้งใจในตอนแรกหยุดลง ดารินเงยหน้าขึ้นแล้วหันไปมองตามสิ่งที่ทอฝันพูด ครั้นพอเห็นรถคันนั้นเธอก็ครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วก็จำได้ว่าเป็นคันเดิมที่มักจะมาจอดอยู่บริเวณนั้นประจำและทุกครั้งที่พวกเธอนั่งตรงนี้ก็จะเห็นทุกครั้ง
“อืม ฉันก็เห็นรถคันนี้บ่อยเหมือนกัน”
“เขาแอบมามองใครรึเปล่าวะ” ทอฝันมองหน้าดารินอย่างจริงจังแล้วพึมพำด้วยความสงสัย ทว่าอยู่ดีๆ เธอก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงกลั้นหัวเราะ
“หรือว่าคนที่อยู่ในรถคันนั้นจะแอบชอบฉัน”
“แหม~ แกแอบไปโปรยเสน่ห์ใส่ใครมารึไง”ดารินพูดพร้อมกับย่นจมูกใส่เพื่อนด้วยความหมั่นไส้
“ฉันล้อเล่นน่า แกก็รู้ว่าฉันไม่ได้สนใจใครอยู่แล้ว แกเองรึเปล่าเถอะที่ไปหว่านเสน่ห์ใส่ใครเข้า”
ดารินส่ายหน้ารัวๆ ทันทีหลังจากได้ยินคำพูดของเพื่อนสาว เพราะเธอไม่ได้คุยหรือคบหาดูใจกับใครเลยแม้แต่คนเดียว ทว่า จู่ๆ เรื่องราวของผู้ชายคนนั้นเมื่อสองเดือนก่อนก็ผุดขึ้นมาในความคิด ดารินพยายามสลัดความคิดที่เกิดขึ้นให้ออกไปเพราะเธอไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองว่าเป็นเขา
เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นเธอกับเขาได้พูดคุยทำความเข้าใจกันเรียบร้อยแล้ว และไม่มีเหตุผลอะไรที่หนุ่มหล่ออย่างเขาจะมาตามติดชีวิตเธอ
“อย่าไปสนใจเลย เรารีบทำวิจัยให้เสร็จเถอะ จะได้กลับบ้านกัน”ดารินพูดด้วยน้ำเสียงสดใสเพื่อกลบความรู้สึกภายในใจตัวเองแล้วใช้สายตาจดจ่อไปยังหน้าจออีกครั้ง
“ก็ฉันสงสัยนี่นา”ทอฝันพึมพำเสียงแผ่วแล้วมองไปที่รถคันนั้นอีกครั้ง จากนั้นก็ก้มลงพิมพ์งานในส่วนของตัวเองต่อ
คนที่บอกเพื่อนให้รีบทำงานกลับหันไปมองรถคันเดิมอีกครั้งก็เห็นว่ามันกำลังเคลื่อนตัวออกไปอย่างช้าๆ กระทั่งหายไปจากบริเวณนั้นในที่สุด เธอจึงกลับมาให้ความสนใจกับงานตรงหน้าต่อ
อีกสามชั่วโมงต่อมา งานของทั้งสองก็เป็นอันเสร็จสมบูรณ์ ครั้งนี้จะเป็นการส่งวิจัยครั้งสุดท้าย หลังจากถูกแก้มาแล้วถึงสองรอบ และในอีกสองอาทิตย์ข้างหน้าก็จะมีการสอบปลายภาคเพื่อสิ้นสุดการศึกษาปีที่สามของพวกเธอ
สองสาวในชุดนักศึกษากระโปรงทรงเอเหนือเข่า เดินไปส่งงานไว้บนโต๊ะอาจารย์เสร็จก็เดินออกมาด้วยความโล่งอก จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังลานจอดรถที่มีรถมินิคูเปอร์สีฟ้าสดใสของทอฝันจอดเด่นอยู่ ก่อนสองสาวจะขึ้นรถ ทอฝันที่รู้สึกหิวเนื่องจากเป็นเวลาบ่ายสามแล้วหันไปพูดกับเพื่อนน้ำเสียงออดอ้อนพร้อมทำตาปริบๆ
“แก ไปกินชาบูกันมั้ย?”
“วันนี้ฉันต้องไปทำงานนะ พอดีพี่อีกคนเค้าขอลา เลยต้องไปแทน โทษทีนะแก”
“เหรอ ไม่เป็นไร ไว้วันหลังก็ได้ งั้นเดี๋ยวฉันไปส่งแกที่ทำงานก่อนแล้วกัน”
"ขอบใจน๊า"
ทั้งสองขึ้นรถแล้วมุ่งหน้าไปยังสถานที่ทำงานของดารินซึ่งเป็นคาเฟ่เล็กๆที่อยู่ภายในซอย เธอทำงานที่นี่มาตั้งแต่เข้าปีหนึ่ง จนกระทั่งตอนนี้เธอกำลังจะจบปีสามในอีกไม่กี่วัน
หญิงสาวจะมาทำงานสัปดาห์ละห้าวันสลับกับพนักงานอีกคน หรือแล้วแต่จะตกลงกัน เพื่อหาค่าขนมเล็กๆน้อยๆ แต่ยิ่งพอถึงช่วงใกล้สอบ จำนวนวันที่ต้องทำก็น้อยลงเพื่อจะได้มีเวลาอ่านหนังสือมากขึ้น เธอแค่อยากมีผลการเรียนดีอย่างสม่ำเสมอเพื่อหวังไว้ว่าเมื่อเรียนจบ จะได้เข้าทำงานในบริษัทใหญ่ๆ
หลังจากทอฝันมาส่งเธอเสร็จก็กลับไป ดารินจึงรีบเข้าไปในร้านเพื่อทำหน้าที่ของตัวเองต่อ
“แกดูรถคันนั้นสิ สวยมากเลย”
“ฉันว่าคนขับต้องหล่อแน่นอน”
ลูกค้าโต๊ะหนึ่งภายในร้านที่กำลังนั่งพูดคุยกันเรียกความสนใจให้กับดารินไม่น้อย มือเล็กกำลังเลื่อนไปเปิดตู้จะเติมขนมชะงักพร้อมกับเงยหน้ามองตาม ก็เห็นว่าเป็นรถคันเดิมอีกแล้ว ยิ่งเธอเห็นรถคันนี้หลายๆครั้งก็เริ่มตงิดใจมากขึ้นและพยายามบอกให้ตัวเองระวังตัวเข้าไว้
กระทั่งถึงเวลาเลิกงานซึ่งเป็นเวลาเกือบสองทุ่ม หญิงสาวเดินออกมาจากร้านก็เห็นว่ารถคันเดิมยังคงจอดอยู่ จึงรีบจ้ำอ้าวเพื่อเดินออกไปหน้าปากซอยที่เป็นถนนใหญ่ ทว่าประตูจากฝั่งคนขับถูกเปิดออกมาพร้อมกับการปรากฏตัวของชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งเธอไม่รู้จักและไม่คุ้นหน้า
ชายคนนั้นรีบเดินมาขวางเธอไว้พร้อมกับเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“สวัสดีครับ คุณดารินใช่มั้ยครับ”
หนุ่มในชุดสูทสีดำ หน้าตาหล่อเหลามองหน้าหญิงสาวนิ่งอย่างรอคำตอบ แม้ว่าความเป็นจริงเขาจะรู้ข้อมูลทุกอย่างของเธอแล้วก็ตาม
“ค่ะ มีอะไรรึเปล่าคะ” เธอมองหน้าผู้ชายคนนั้นด้วยความสงสัยแล้วหันไปมองบริเวณรอบๆ เพราะหากว่าเกิดอะไรขึ้นจะได้ขอความช่วยเหลือได้ แต่ดูเหมือนว่าร้านอาหารแถวนั้นจะปิดหมดแล้ว
“ไม่ต้องกลัวหรอกครับ ผมไม่ได้จะทำอะไร พอดีเจ้านายของผมต้องการเจอคุณนะครับ”อคินเห็นท่าทางของเธอก็บอกจุดประสงค์ที่เขามาปรากฏตัวอยู่ตรงนี้และต้องคอยตามติดชีวิตเธออยู่เกือบสองเดือนเต็ม
เขารู้เรื่องราวทุกอย่างของเจ้านายกับผู้หญิงคนนี้ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อสองเดือนก่อนและไม่แปลกใจเลยที่เจ้านายของเขาจะให้มาคอยตามดูเธอ และจากการที่เขาตามเธอมานานก็เห็นว่าหญิงสาวเป็นคนที่ดูไม่มีพิษมีภัยอะไรแถมยังสดใสและน่ารักอีกด้วย
“คะ?”เธอมองเขาอย่างไม่เข้าใจ
“คุณภาคินัยต้องการเจอคุณครับ”เขาบอกเธออีกครั้ง
หญิงสาวได้ยินชื่อนั้นก็ถึงกับหน้าถอดสี เพราะเธอจำได้ดีว่าชายหนุ่มที่ชื่อภาคินัยคือใคร แต่เธอกับเขาก็ตกลงกันรู้เรื่องแล้วตั้งแต่วันนั้น มีอะไรที่จะต้องคุยกันอีก เธอยืนคิดแล้วบอกปฏิเสธชายหนุ่มตรงหน้า
“แต่ฉันไม่ต้องการเจอเขาค่ะ ขอโทษนะคะ”
หญิงสาวพูดจบก็รีบเดินไปจากตรงนั้นเพื่อไปขึ้นรถโดยสารหน้าปากซอย ทว่าชายหนุ่มกลับเดินมาขวางเธอไว้อีกครั้ง จนหญิงสาวต้องเม้มปากเข้าหากันแล้วเงยหน้ามองเขา
“หลีกไปเถอะค่ะ”
“ไปกับผมเถอะนะครับ คุณภามต้องการเจอคุณจริงๆ”
ดารินไม่สนใจคำพูดของเขาแล้วพยายามเดินต่อไป แต่เหมือนฟ้าฝนจะกลั่นแกล้งเพราะแค่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวเม็ดฝนเม็ดเล็กก็โปรยลงมาจากบนฟ้า และบริเวณนั้นก็ไม่มีที่ให้หลบเสียด้วย
เนื่องจากคาเฟ่ที่เธอพึ่งออกมา เจ้าของร้านได้ทำการปิดและกลับบ้านไปแล้ว หญิงสาวจึงรีบเดินต่อเพราะคิดว่าอาจจะถึงหน้าปากซอยก่อนที่ฝนจะตกลงมามากกว่านี้ แต่มันกลับกระหน่ำลงมาเรื่อยๆ จนเสื้อนักศึกษาที่สวมอยู่เริ่มเปียก
“ขึ้นรถเถอะครับ ตกหนักแน่ๆ”
หญิงสาวหันไปมองหน้าเขาสลับกับสายฝนที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่องก็ตัดสินใจขึ้นรถพร้อมกับถามอคินอีกเล็กน้อย จากนั้นรถก็เคลื่อนตัวออกไป
ไม่นานรถก็มาจอดบริเวณลานจอดโดยมีอคินเดินนำไปบนเพนต์เฮาส์หลังใหญ่ที่ดูเรียบหรู เธอหันมองระหว่างทางเดินด้วยความรู้สึกตื่นตาตื่นใจไม่น้อย
กระทั่งลิฟต์เปิดออกก็เห็นบริเวณห้องโถงกว้างตรงหน้าเป็นลำดับแรกและสิ่งต่อมาที่เธอเห็นคือชายหนุ่มในชุดเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนสีเข้มสบายๆหันมามองเธอด้วยสีหน้าราบเรียบ
หญิงสาวเดินไปหยุดยืนตรงหน้าเขาแล้วถามออกมาอย่างไม่เต็มเสียงนักเพราะเธอไม่ได้เจอเขาเลยตั้งแต่วันนั้น
“คุณมีอะไรจะคุยกับฉันเหรอคะ”เธอมองหน้าเขาแค่แวบเดียวแล้วเสมองไปทางอื่น
“นั่งลงสิ”
“ขอบคุณค่ะ”เธอนั่งลงตามที่เขาว่าพร้อมกับใช้มือลูบสัมผัสผิวไปมา เนื่องจากอากาศในนี้ค่อนข้างหนาวและเสื้อเธอก็เปียกไปมากเหมือนกัน
“ช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง”จู่ๆ เขาก็ถามในสิ่งที่ทำให้เธอค่อนข้างแปลกใจ
“เอ่อ ก็สบายดีค่ะ”ในเมื่อเขาให้เลขาตามติดเธอขนาดนั้น ยังจะต้องถามอีก หญิงสาวคิดในใจ
“…” ชายหนุ่มหันไปมองหน้าเลขาของตัวเองแล้วส่งสัญญาณว่าให้ออกไปก่อน จากนั้นก็หันกลับมาพูดกับหญิงสาวตรงหน้าต่อ
“ผมแค่อยากเจอคุณ”
“เจอทำไมคะ”ดารินเลิกคิ้วมองเขาอย่างไม่เข้าใจ
ชายหนุ่มมองมือเล็กที่ลูบสัมผัสผิวตัวเองอยู่บ่อยครั้งแล้วไล่สายตาไปยังเสื้อนักศึกษาที่เปียกจนแนบผิวซึ่งเห็นบราสีดำด้านในก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง จนเธอต้องมองตามว่าเขาจะทำอะไร
“เดี๋ยวพาไปเปลี่ยนชุด ตัวซีดหมดแล้วนั่น”
“ไม่เป็นไรดีกว่าค่ะ”
ภาคินัยไม่ฟังคำปฏิเสธ เขาถือวิสาสะจับมือเธอให้ลุกขึ้น หญิงสาวรีบดึงมือตัวเองกลับราวกับโดนของร้อน ทว่าเมื่อเห็นสายตาคมกริบที่มีแววจริงจังมองอยู่ เธอจึงลุกขึ้นแล้วเดินตามไปอย่างว่าง่าย ตอนนี้ขนกายของเธอลุกซู่ ไม่รู้ว่าหนาวจากหยาดน้ำฝน หรือรังสีความดุที่แผ่ซ่านมาจากคนตัวสูงกันแน่
ชายหนุ่มพาเธอเดินเข้าไปยังห้องนอนขนาดใหญ่ที่ตกแต่งด้วยสีขาวสลับทองดูสบายตาแล้วพาไปยังห้องแต่งตัวที่อยู่ด้านใน เขาใช้มือเลื่อนประตูตู้เสื้อผ้าออก จนเห็นเสื้อผ้าผู้หญิงมากมายซึ่งมีหลากหลายแบบและหลากสีดูละลานตา
“อยากใส่ตัวไหนก็เลือกเอา”
หญิงสาวมองหน้าเขาสลับกับเสื้อผ้าพวกนั้นด้วยความสงสัย หากมีเสื้อผ้าผู้หญิงมากมายขนาดนี้ อาจจะหมายถึงเขามีคนรักแล้วอย่างนั้นหรือ ดารินยืนนิ่งพร้อมกับครุ่นคิด
ภาคินัยเห็นเธอนิ่งไปก็พูดขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ดูจริงจังเป็นพิเศษ
“เสร็จแล้วก็รีบออกมา จะได้คุยกันถึงเรื่องของเรา”
หลังจากภาคินัยพูดจบ เขาก็เดินออกไปจากห้องทันทีเพื่อให้หญิงสาวได้ใช้เวลาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ดารินยืนมองเสื้อผ้าแต่ละตัวด้วยความรู้สึกแปลกใจ เนื่องจากเธอเป็นคนรูปร่างเล็กและชุดต่างๆในตู้นี้ก็ล้วนแต่เป็นไซซ์เธอทั้งนั้น หญิงสาวไม่รอช้ารีบเลือกชุดที่คิดว่าใส่สบายที่สุดออกมาแล้วเปลี่ยนมันโดยใช้เวลาแค่ไม่นานและด้วยความอยากรู้อยากเห็นทำให้เธอแอบเดินสำรวจห้องนั้นในเวลาต่อมา ตอนแรกเธอคิดว่าเป็นห้องนอนของชายหนุ่ม แต่ทว่ามันกลับไม่ใช่อย่างที่คิดเพราะดูเหมือนห้องนี้แทบไม่ได้ใช้งานด้วยซ้ำ ดารินได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจแล้วเดินออกไปจากห้องหญิงสาวในชุดเสื้อยืดสีขาวพอดีตัวกับกางเกงวอร์มขายาวสีเทาเดินไปนั่งลงตรงข้ามภาคินัยที่กำลังมองเธออยู่อย่างไม่ละสายตา ดารินเห็นดังนั้นก็มองเขากลับเช่นเดียวกันพร้อมกับถามในสิ่งที่เธอรู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก“ทำไมต้องให้คนของคุณคอยตามฉันด้วยคะ”ชายหนุ่มที่ได้ยินคำถามนั้นนิ่งไปครู่หนึ่งเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง เขาตอบออกมาด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งในข้ออ้างที่เขาพึ่งคิดได้“ผมแค่อยากมั่นใจว่าไม่ได้มีลูกของผมติดท้องคุณไปด้วย”“ถ้าเป็นเรื่องนั้นสบายใจได้ค่ะ ไม่มีแน่นอ
“ไม่ ไม่ดื้อแล้ว”ดวงตากลมโตมองหน้าหล่อคมคายพร้อมกับส่ายหน้ารัวๆ“ดี! เข้าไปรอในห้องก่อน”ดารินพยักหน้าเข้าใจแล้วพาตัวเองเดินมุ่งหน้าไปยังห้องนอนตามที่เขาสั่งด้วยหัวใจสั่นระรัวจนแทบจะหายใจไม่ออกหญิงสาวเดินไปนั่งลงบนเตียงนุ่มสีขาวสะอาดแล้วยกมือขึ้นมาสัมผัสใบหน้าร้อนฉ่าของตัวเองเบาๆ พร้อมกับพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรงเป็นการเรียกสติ นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มกวาดมองไปยังข้าวของภายในห้องอีกครั้งเพื่อเป็นการฆ่าเวลารอชายหนุ่มดารินนั่งรอไปสักพักก็เริ่มรู้สึกหนาวจนขนกายชูชัน รีบดึงผ้านวมผืนหนาขึ้นมาคลุมไว้บนไหล่เพื่อให้ร่างกายอบอุ่น“ฮัดชิ่ว!”หญิงสาวจามออกมาอย่างแรงพร้อมกับใช้หลังมือถูไปมาที่จมูกจนแดงก่ำสักพักภาคินัยก็เดินเข้ามาพร้อมกับถ้วยใส่ยาและน้ำเปล่าอีกหนึ่งแก้วยื่นให้เธอ หญิงสาวรับมันมาส่งยาเข้าปาก จากนั้นก็เอ่ยขอบคุณเขาแล้วล้มตัวลงนอนเพราะเริ่มรู้สึกปวดหัว“โดนฝนนิดหน่อยก็ป่วยแล้ว เด็กน้อยจริงๆ”ชายหนุ่มที่ยืนมองเธออยู่พึมพำออกมาเบาๆ ทว่าหญิงสาวกลับได้ยินอย่างชัดเจน"ถ้าจะว่ากัน ทีหลังก็พูดเบาๆหน่อยสิคะ"ดารินพูดน้ำเสียงประชดเล็กน้อย ทว่าดวงตากลมโตมองไปที่ใบหน้าของเขาด้วยความรู้สึกขอบคุณ อย่าง
หญิงสาวก้มหน้าลงแล้วใช้หน้าผากโขกกับโต๊ะไม้เบาๆหลายครั้งจนเกิดรอยแดงเป็นปื้น ราวกับว่ากำลังลงโทษตัวเองที่ได้ตัดสินใจอะไรพลาดไป ขณะนี้เธอกลับมาบ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้วโดยมีอคินมาส่งในช่วงบ่ายของวัน ดารินพยายามตั้งสติตัวเองเพื่อจะเริ่มอ่านหนังสือสอบ แต่ทว่าสมองกลับไม่ให้ความร่วมมือเธอแม้แต่น้อย เพราะเอาแต่นึกถึงเรื่องก่อนหน้านี้จนต้องระบายออกมาอย่างหัวเสีย “บ้า บ้าที่สุดเลย!”‘ฉันไม่เห็นนะ ว่าในสัญญาระบุอะไรแบบนั้น’ ‘แต่คุณก็เซ็นมันไปแล้วนี่ แค่ผมเพิ่มข้อความขึ้นมามันจะไปยากอะไรกัน หรือจะให้ยกเลิก’ ‘ยกเลิกได้เหรอ'‘ได้สิ ถ้าคุณมีเงินจ่ายผมห้าล้าน ในสัญญาก็ระบุอยู่นะ’ ‘หะ ห้าล้าน คุณนี่มัน...’ก็เพราะว่าเธอไม่มีปัญญาคืนเงินจำนวนนั้นในการยกเลิกสัญญานะสิ เลยทำได้เพียงยอมรับชะตากรรมในความผิดพลาดของตัวเองไป“อีตาบ้า มาหลอกฉันแบบนี้ได้ยังไงกัน”เมื่อนึกถึงหน้าของชายหนุ่มก็รู้สึกโกรธอย่างบอกไม่ถูกแถมยังไม่รู้เหตุผลอีกว่าทำไมเขาถึงอยากได้เธอนัก ในเมื่อสามารถหาผู้หญิงคนอื่นที่แซ่บและสวยกว่าได้เป็นร้อยๆคนดารินยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจจึงพยายามเรียกสติตัวเองให้กลับมาจดจ่อกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
@ เกาะเสม็ดสองสาวเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่บนเตียงสีขาวสะอาดภายในบังกะโลหลังขนาดกลางกำลังรื้อของออกจากกระเป๋าเดินทางเพื่อจัดวางให้เป็นระเบียบ หลังจากพึ่งมาถึงได้ไม่นานทอฝันมองใบหน้าของดารินที่กำลังง่วนอยู่กับของตรงหน้าแล้วครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่เป็นเวลาหลายนาทีพร้อมเอ่ยถามออกมา“แกมีเรื่องอะไรในใจใช่มั้ย”“เปล่านี่”ดารินเงยหน้าสบตาเพื่อนแวบหนึ่งแล้วก้มลงไปจัดการของต่อ“แน่ใจ?”ทอฝันยังคงมองใบหน้าหวานพร้อมกับหรี่ตาราวกับจับผิด แต่ทว่าก็ไม่ได้ถามอะไรต่อเพราะรู้นิสัยของเพื่อนดี ถ้าหากดารินอยากพูดก็จะพูดมันออกมาเองโดยไม่ต้องไปคาดคั้นอะไร“ฉัน..” ดารินเห็นสีหน้าของเพื่อนก็อ้ำอึ้งเพราะไม่รู้จะเริ่มยังไง “ไว้แกพร้อมแล้วค่อยบอกก็ได้” ทอฝันพูดอย่างเข้าใจแล้วระบายรอยยิ้มบาง“คือว่า...” หญิงสาวรวบรามกล้าแล้วตัดสินใจเล่าเรื่องราวทุกอย่างที่พึ่งเกิดขึ้นให้เพื่อนฟังเพราะทอฝันรู้เรื่องราวเมื่อสองเดือนก่อนอยู่แล้วจึงอธิบายไม่นานก็เป็นอันรู้เรื่องและเรื่องราวทุกอย่างที่ได้ถ่ายทอดออกมาจากปากของดารินก็จบลงพร้อมกับเสียงถอนหายใจอย่างหนัก“ฉันอยากจะด่าแกจริงๆ”“ด่าได้ เต็มที่เลย” ดารินยอมจำนนด้วยสีหน้ากัง
ร่างเล็กเดินออกจากบังกะโลของชายหนุ่มด้วยความรู้สึกหงุดหงิดใจไม่น้อยกับการกระทำของเขา แล้วรีบมุ่งหน้าไปหาทอฝันที่คาดว่าน่าจะยังอยู่บริเวณเดิม ครั้นพอไปถึงก็เห็นว่าเพื่อนสาวกำลังยืนโพสท่าราวกับเป็นนางแบบชุดว่ายน้ำโดยมีอคินทำหน้าที่ถ่ายรูปให้สีหน้าของชายหนุ่มไม่แสดงอารมณ์ใดๆ จนดูไม่ออกว่าเต็มใจหรือไม่เต็มใจกันแน่ แต่ดารินคิดว่าน่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า คนตัวเล็กเดินเข้าไปหยุดยืนใกล้ๆแล้วมองหน้าคนทั้งสองสลับไปมาทอฝันที่เห็นเพื่อนหยุดยืนอยู่ตรงหน้าก็โล่งอกเป็นอย่างมาก เพราะก่อนหน้าเธอพยายามจะวิ่งไปช่วยดารินตั้งหลายครั้ง แต่ชายหนุ่มข้างๆกลับรวบตัวเธอไว้ทุกครั้งจนเหนื่อยอ่อนและยอมแพ้ไป อีกทั้งยังคิดว่าภาคินัยคงจะไม่ทำอะไรรุนแรงกับเพื่อนของเธอ“แกเป็นฝ่ายชนะล่ะสิ ถึงออกมายืนยิ้มแบบนี้”ดารินได้ยินดังนั้นก็ยักคิ้วแล้วขยิบตาส่งให้เพื่อน ส่วนชายหนุ่มที่ยืนฟังอยู่กลับขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัยว่าทำไมเจ้านายของตนถึงปล่อยเธอออกมาง่ายดายขนาดนี้“คุณภามล่ะครับ”“ไม่รู้สิคะ คงนอนโอดครวญอยู่มั้ง” ดารินยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจอคินได้ยินดังนั้นก็วิ่งไปหาเจ้านายอย่างรวดเร็วเพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนทั้
“แต่คุณจะทำแบบนั้นกับฉันไม่ได้นะคะ” พูดเสร็จก็รีบหมุนตัวเพื่อพาตัวเองออกไปจากตรงนั้นทว่าคนตัวสูงกลับรวบตัวเธอไว้จนแผ่นหลังบางชนเข้ากับหน้าอกแกร่งของเขาอย่างแรง ตามมาด้วยเสียงที่เปล่งถามอย่างไม่จริงจังนัก“ทำไมผมจะทำไม่ได้"“ก็..ก็มันยังไม่ถึงเวลาที่เราตกลงกันไว้นี่ ฉันมีสิทธิ์ที่จะไม่ทำตามคำสั่งของคุณค่ะ” เธอพยายามหาข้ออ้างแล้วหยิบยกเรื่องสัญญานั้นขึ้นมาพูดอีกครั้งเพื่อเป็นการย้ำเตือน“ถ้าอย่างนั้น ผมจะเพิ่มเงินให้อีกห้าแสนแล้วนอนกับผม..เดี๋ยวนี้” เขาพูดอย่างออกคำสั่ง กระชับอ้อมแขนที่กอดเธออยู่ให้แน่นขึ้นจนหญิงสาวแทบจะหายใจไม่ออก“ไม่ค่ะ” เธอปฏิเสธอย่างหนักแน่นแล้วพยายามแกะมือของเขาออก แต่มันกลับไม่เป็นผลจนต้องดิ้นขลุกขลักอยู่อย่างนั้น ทว่าจู่ๆเธอก็อุทานออกมาเสียงดัง“โอ๊ะ!”ภาคินัยที่กระชับอ้อมแขนแน่นในตอนแรกค่อยๆ คลายออกแล้วหมุนคนตัวเล็กให้เผชิญหน้ากับเขา คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัยว่าเธอจะเล่นตุกติกอะไรอีก“เป็นอะไร”“ฉันต้องรีบเข้าห้องน้ำค่ะ”“คิดจะหนีอย่างนั้นเหรอ” เขาถามอย่างนึกขันแล้วจับแขนเธอไว้แน่น คิดว่าหญิงสาวจะหนีเขาไปอยู่ในห้องน้ำนั่น“เปล่านะ ปล่อยก่อนสิคะ มันจะไ
ช่วงบ่ายของวัน...ดารินในชุดเดรสผ้าลินินสีขาวนั่งอยู่บนเก้าอี้ภายในร้านขนมหวานเล็กๆที่ตกแต่งด้วยโทนสีชมพูพาสเทลน่ารักกำลังตักเค้กเนื้อส้มชุ่มฉ่ำในจานขึ้นมาแล้วส่งเข้าปากอย่างอารมณ์ดีซึ่งแตกต่างจากเมื่อคืนอย่างเห็นได้ชัดราวกับเป็นคนละคนเส้นผมลอนยาวสีน้ำตาลอ่อนถูกเหน็บไว้หลังใบหูทั้งสองข้างจนเห็นใบหน้าหวานได้อย่างชัดเจนซึ่งกำลังหันไปมองวิวชายหาดทางขวามือของตัวเองอย่างเพลิดเพลินใจโดยมือยังคงถือช้อนอยู่อย่างนั้น“อารมณ์ดีแล้วสินะ”ครั้นได้ยินคำพูดของคนที่พาเธอมาก็ละสายตาจากสิ่งนั้นแล้วหันมาให้ความสนใจกับชายหนุ่มตรงหน้าที่อยู่ในชุดเสื้อฮาวายสีฟ้ากับกางเกงขาสามส่วนสีขาวซึ่งกำลังนั่งกอดอกพิงเก้าอี้มองเธออยู่ดวงตาคู่คมภายใต้แว่นกันแดดสีชามองเธออยู่ราวพักใหญ่ โดยที่หญิงสาวไม่ได้สังเกตเห็นว่าแววตาของเขาเต็มนั้นมันเต็มไปด้วยความเอ็นดูดารินยกแก้วชานมไข่มุกของตัวเองขึ้นมาดูดแล้ววางลงที่เดิม จากนั้นก็หันมาพูดคุยกับเขา หลังจากตนเองมัวแต่เพลิดเพลินกับขนมและทิวทัศน์ตรงหน้า“ไม่ชิมเค้กหน่อยเหรอคะ”“ผมไม่ชอบของหวานนะ” เขาตอบและยังคงจ้องใบหน้าหวานอยู่อย่างนั้น“แต่เค้กร้านนี้อร่อยมากเลยนะ ลองชิมดูค่ะ”
ภาคินัยมองใบหน้าแดงก่ำของหนูน้อยที่กำลังยืนร้องไห้อยู่อย่างทำอะไรไม่ถูก จึงตัดสินใจถอดแว่นกันแดดมาเหน็บไว้ที่คอเสื้อเพราะคิดว่าหากได้เห็นใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน เด็กคนนี้อาจจะกลัวน้อยลงแล้วเลิกร้องไห้ ทว่ามันกลับไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิดไว้เพราะยิ่งเป็นการทำให้หนูน้อยร้องไห้หนักกว่าเดิมจนเขาเกรงว่าคนที่เดินผ่านไปมาบริเวณนั้นจะคิดว่ากำลังรังแกเด็ก จึงจ้องไปยังใบหน้าของคนที่กำลังร้องไห้เพื่อปรามให้เงียบ พร้อมความคิดที่ผุดขึ้นมาว่า เขาน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ?ดารินเห็นสถานการณ์ไม่ค่อยดีจึงตัดสินใจลุกขึ้นจากชิงช้าแล้วอุ้มหนูน้อยขึ้นพร้อมกับกวาดสายตามองไปทั่วบริเวณเพื่อหาผู้ปกครองที่เธอคิดว่าน่าจะอยู่แถวๆนี้เด็กผู้ชายวัยเกือบสามขวบเอียงคอมองคนที่กำลังอุ้มตนเองอยู่ก็ค่อยๆ ลดเสียงที่ตะเบ็งออกมาในตอนแรกให้เบาลง กระทั่งเหลือเพียงเสียงสะอึกสะอื้น มือป้อมยกมาปาดน้ำตาออกโดยมองไปที่ใบหน้าของดารินด้วยความรู้สึกอุ่นใจและปลอดภัยในเวลาเดียวกันจากนั้นก็ค่อยๆ เลื่อนศีรษะเล็กซบลงที่ไหล่ของดารินโดยมีสายตาของภาคินัยมองอยู่อย่างไม่ค่อยเข้าใจนักเพราะเด็กคนนั้นดูไว้วางใจหญิงสาวเสียเหลือเกินต่างจากเขาที่พร้อมจ
หญิงสาวเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มกว้างอย่างคนดีใจกับสิ่งที่พึ่งรับรู้มา มือเล็กกำแท่งพลาสติกไว้แน่นเพื่อจะเอาไปให้ผู้เป็นสามีดูและคิดว่าเขาต้องดีใจมากอย่างแน่นอน แต่ครั้นเดินไปหาบริเวณเตียงนอนที่เขาเล่นอยู่กับลูกสาวในตอนแรกก็พบเพียงความว่างเปล่า“อยู่ไหนกันนะ”ดารินพึมพำแผ่วเบาแล้วเดินไปในห้องของลูกสาวตัวน้อยก็ไม่เจอใคร จึงคิดว่าห้องสุดท้ายที่ทั้งสองน่าจะอยู่ก็คงหนีไม่พ้นห้องนั่งเล่นภาคินัยนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกซึ่งมีลูกสาวตัวน้อยนอนซบอยู่บนหน้าอกแกร่งดูเหมือนว่ากำลังจะเข้าสู่ห้วงนิทราในเวลาไม่นาน ทำให้ชายหนุ่มที่เห็นคนตัวเล็กกำลังจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่างรีบยกมือขึ้นห้ามเพราะเห็นว่าลูกสาวสุดที่รักกำลังจะหลับ“ชู่ว”หญิงสาวถึงกับส่ายหน้าให้ท่าทางของเขาอย่างไม่จริงจังนัก เธอจึงเดินเข้าไปอย่างเงียบๆ แล้วก้มไปหอมแก้มลูกสาวเบาๆ ก่อนสามีหนุ่มจะทำแก้มป่องเป็นเชิงว่าตัวเองจะขอแบบนั้นด้วย หญิงสาวจึงก้มลงแล้วไม่ลืมที่จะให้เขาหอมแก้มเธอด้วย“ฉันมีข่าวดีจะบอกค่ะ”เสียงหวานเอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกตื่นเต้น“ครับ ว่า?”“ลูกมาแล้วค่ะ”“อืม ฮะ!” คนที่บอกให้เธอลดเสียงในตอนแรกถึงกับอุทา
ร่างเล็กบนเตียงกว้างมีอาการสะลึมสะลือเล็กน้อย เมื่อได้ยินเสียงรบกวนเข้าสู่โสตประสาท เนื่องจากเธอพึ่งจะได้นอนหลับไปแค่ไม่กี่ชั่วโมงเพราะโดนสามีหนุ่มคอยรังแกเกือบทั้งคืน ดวงตากลมโตค่อยๆ เปิดขึ้นทีละน้อยครั้นได้ยินเสียงสองของคนข้างกายที่มักจะใช้พูดคุยหยอกล้อกับลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของเขาซึ่งดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะกำลังหัวเราะและส่งเสียงอ้อแอ้ออกมาอย่างชอบใจตามประสาเด็ก เสียงนี้เองที่ทำให้ร่างเล็กบนเตียงรีบลืมตาขึ้นมาก่อนจะมองไปยังนาฬิกาบนผนังก็เห็นว่าเป็นเวลาแปดโมงเช้า และที่ประเทศไทยก็คงจะบ่ายโมงพอดีใบหน้าหวานมองชายหนุ่มที่นอนหันหลังให้เธอแล้วชะโงกไปยังจอสมาร์ทโฟนในมือเขาก็เห็นใบหน้าจิ้มลิ้มของลูกสาวที่มีคุณแม่สามีเป็นคนถือกล้องให้ เด็กตัวน้อยกำลังมองมาที่ผู้เป็นพ่อตาแป๋วแล้วหัวเราะคิกด้วยความสดใสภาคินัยรับรู้ได้ว่าภรรยาสุดที่รักของเขาตื่นเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็รีบนอนหงายเพื่อให้หญิงสาวเข้ามาร่วมจอด้วยกัน ก่อนจะทักทายแก้วตาดวงใจ“ไออุ่นจ๋า” เสียงหวานเรียกลูกสาวตัวน้อยเบาๆ พร้อมส่งยิ้มให้ด้วยความคิดถึง“เอิ๊กๆ” หนูน้อยไออุ่นวัยเก้าเดือนผู้มีใบหน้าจิ้มลิ้มและตัวจ้ำม่ำน่ากอดมองใบหน้าผู้ให้กำ
ภายในห้องนอนขนาดใหญ่ของโรงแรมสุดหรูสามารถมองเห็นหอคอยเหล็กกล้าตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางกรุงปารีสซึ่งเป็นแลนด์มาร์กสำคัญของที่นี่ได้อย่างเต็มตา ช่วงฤดูหนาวของเดือนแห่งความรักอย่างกุมภาพันธ์จึงมักจะเต็มไปด้วยคู่รักและบรรดาครอบครัวที่พากันมาเยือนเมืองสุดแสนจะโรแมนติกแห่งนี้กันอย่างล้นหลามอุณหภูมิสองถึงห้าองศาด้านนอกเต็มไปด้วยม่านหมอกและหิมะขาวโพลนตกลงมาปกคลุมยอดหอไอเฟลขนาดใหญ่ทำให้ในยามค่ำคืนการนั่งจิบไวน์และมองดูวิวเป็นอะไรที่สวยงามไปอีกแบบ“สวย”“สวยมาก”“สวยเหลือเกิน”เสียงทุ้มเอ่ยชมไม่ขาดปากราวกับว่าถูกใจสิ่งที่กำลังมองอย่างสุดหัวใจ“ผมไม่คิดว่าปารีสตอนกลางคืนมันจะดีขนาดนี้มาก่อน”สภาพอากาศด้านนอกที่แค่มองก็รับรู้ได้ถึงความเย็นยะเยือกนั้นไม่มีผลต่อคู่สามีภรรยาที่อยู่ภายในห้องนอนสุดแสนจะอบอุ่น มันอบอุ่นจนค่อนไปทางร้อนเสียมากกว่า หากดูจากหยาดเหงื่อไหลย้อยที่เคลือบผิวกายของร่างเปลือยเปล่าทั้งสอง“ที่รักชอบมันหรือเปล่า”“อึก อื้อ!”ริมฝีปากเล็กกัดเข้าหากันจนห้อเลือดเพื่อสะกดกลั้นเสียงไม่ให้ดังจนเกินไปและเลือกที่จะไม่ตอบคำถามของอีกฝ่ายด้วยเช่นกันครั้นภาคินัยเห็นว่าคำถามของตนไร้เสียงตอบรับใ
พิธีวิวาห์ของคู่รักต่างวัยถูกจัดขึ้นที่บ้านทางภาคเหนือของครอบครัวชายหนุ่ม โดยหญิงสาวเป็นคนเลือกสถานที่แห่งนี้เพราะรู้สึกตกหลุมรักธรรมชาติตั้งแต่ครั้งก่อนที่ได้มาสัมผัส ซึ่งทุกคนก็ต่างเห็นด้วยกับการใช้สถานที่แห่งนี้จัดงานครั้งอดีตพื้นที่บริเวณนี้เคยเป็นสถานที่จัดพิธีแต่งงานอย่างใหญ่โตของนายภักดีกับคุณหญิงมัทนาและไม่คิดว่าอีกสามสิบปีต่อมาจะได้ใช้จัดงานมงคลอีกครั้ง ถึงแม้จะไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมายอย่างครั้งก่อน แต่บรรยากาศภายในงานล้วนอบอุ่นและอบอวลไปด้วยความรัก จากบรรดาแขกเหรื่อทางฝ่ายเจ้าบ่าวที่มักจะเป็นคนสนิทสนมกันเสียส่วนใหญ่แม้ว่าแขกทางฝ่ายเจ้าสาวจะมีแค่ทอฝันกับสายหมอก แต่เธอกลับรับรู้ได้ถึงความจริงใจและความเอ็นดูจากบุคคลแปลกหน้าที่มาร่วมแสดงความยินดี ส่วนน้าสาวเพียงคนเดียวของเธอเผอิญติดธุระอยู่ต่างประเทศและไม่สามารถมาร่วมงานได้ แต่ถึงอย่างนั้นดารินก็เข้าใจเพราะงานที่จัดขึ้นดูจะสายฟ้าแลบไปหน่อยก่อนหน้านี้พวกเขามีเวลาจัดเตรียมงานและเตรียมตัวเองแค่หนึ่งเดือนเท่านั้น เนื่องจากเป็นช่วงที่หญิงสาวสอบเสร็จพอดี และสุขภาพของเธอก็พร้อมสำหรับงานวิวาห์ที่จะเกิดขึ้นแต่เหนือสิ่งอื่นใดเลยคือดาริน
ลัลล้า~ดวงตาคู่คมเหลือบมองคนตัวเล็กข้างกายที่ดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษด้วยรอยยิ้มจาง หลังได้ออกจากโรงพยาบาลที่เธอต้องไปใช้ชีวิตอยู่นานกว่าสองสัปดาห์ ส่วนเขาเองก็ต้องนอนให้น้ำเกลือเพื่อดูอาการไปอีกหนึ่งคืนเลขาคนสนิทอย่างอคินเป็นคนทำหน้าที่ไปรับทั้งสองกลับมายังเพนต์เฮาส์ในช่วงเย็นของวันนี้ ถึงแม้ภาคินัยจะอาการยังไม่ค่อยปกติมากนัก แต่คนดื้อและเอาแต่ใจอย่างเขาก็รบเร้าคุณหมอเพื่อที่จะกลับบ้านให้ได้และผลก็อย่างที่เห็น เพราะชายหนุ่มมายืนอยู่ภายในลิฟต์ส่วนตัวของเพนต์เฮาส์เป็นที่เรียบร้อยแล้วติ้ง ปัง ปิ้ว~เมื่อประตูลิฟต์เปิดออกทำให้ทั้งสองถึงกับสะดุ้งเล็กน้อย จากเสียงพลุของเล่นที่ดังขึ้นพร้อมเศษกระดาษตกลงสู่พื้นประปราย สายตาสองคู่มองไปยังฝีมือของคนตรงหน้าก็เห็นว่าเป็นภรัณยูกับทอฝันกำลังยืนต้อนรับพวกเขาด้วยรอยยิ้ม "คิดถึงแกจังเลย"ดารินเอ่ยออกมาเป็นคนแรกด้วยน้ำเสียงดีใจเมื่อเห็นเพื่อนสาวคนสนิทมองมาที่เธอ"แหม พึ่งเจอกันเมื่อสองวันที่แล้วเองย่ะ"ทอฝันเบะปากใส่เพื่อนสาวอย่างไม่จริงจังนัก แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ดีใจมากที่เพื่อนได้ออกจากโรงพยาบาลเสียทีนายภักดีและคุณหญิงมัทนายืนมองลูกชายคนโตกับว่าที่สะใภ
คนตัวเล็กฟังประโยคเหล่านั้นที่ถูกเปล่งออกมาจากปากของเขาก็ได้แต่ยืนนิ่งเพราะความรู้สึกหลากหลายที่ก่อเกิดขึ้นภายในใจ ส่วนคนที่อยู่ในท่าคุกเข่าเห็นว่าอีกฝ่ายกลับแน่นิ่งไปและไม่ยอมตอบตกลง จึงเปล่งเสียงถามออกมาใหม่อีกครั้งพร้อมส่งสายตามองเธอเป็นเชิงว่าห้ามปฏิเสธ“แต่งงานกันนะครับ...”ดารินทำได้แค่พยักหน้าเร็วๆเพื่อเป็นการตอบรับพร้อมกับริมฝีปากเล็กที่ค่อยๆเบะทีละน้อย อีกทั้งดวงตากลมโตที่มีแค่น้ำใสๆรื้นขึ้นบริเวณขอบตาในตอนแรก บัดนี้มันไหลลงมาอาบแก้มทั้งสองข้างของเธออย่างกลั้นไม่อยู่อีกต่อไป จนอีกฝ่ายรู้สึกตกใจไม่น้อยเมื่อเห็นเธอปล่อยโฮออกมา แล้วรีบสวมแหวนให้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะลุกขึ้นกอดคนตัวเล็กไว้ในอ้อมแขน“ฮึก ฮือ~”“ที่ร้องไห้นี่คือดีใจใช่มั้ย?”เขาแสร้งหยอกอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู แต่เธอกลับบ่นกระปอดกระแปดพร้อมใช้กำปั้นเล็กๆทุบลงบนอกของเขาไปสองที“คนบ้า! ทำไมไม่บอกกันก่อนเล่าว่าจะขอแต่งงาน ฉันจะได้แต่งตัวสวยๆ”“เอ๊ะ! ที่ร้องไห้นี่...เพราะไม่ได้แต่งตัวสวยๆอย่างนั้นเหรอ แต่เดี๋ยวนะ ถ้าบอกก่อนแล้วจะเรียกว่าเซอร์ไพรส์เหรอ? แต่ก็เอาน่าเมียผมสวยตลอดอยู่แล้ว ขนาดร้องไห้ยังสวยเลย”คนปากหวานเอ่ยชมเธอ
สายลมเอื่อยๆ ยามค่ำคืนพัดสัมผัสผิวกายคนทั้งสองที่กำลังพูดคุยกันอย่างเพลิดเพลินบนเก้าอี้ตัวยาวบริเวณดาดฟ้าของโรงพยาบาล โดยมีร่างสูงนอนหนุนตักคนตัวเล็กพร้อมเงยมองใบหน้าหวานซึ่งริมฝีปากกำลังเปล่งเสียงเจื้อยแจ้วออกมาไม่มีทีท่าว่าจะหยุดหญิงสาวในชุดผู้ป่วยที่ปราศจากสายน้ำเกลือเชื่อมต่อรู้สึกราวกับว่าตัวเองได้รับอิสระคืนมาอีกครั้ง หลังจากใช้ชีวิตอยู่โรงพยาบาลมาจะครบสองสัปดาห์แล้ว และคาดว่าน่าจะได้กลับบ้านเร็วๆนี้ ซึ่งอาจจะด้วยข่าวดีที่รู้มาว่าตนเองกำลังจะได้ออกจากที่นี่ทำให้คนช่างพูดช่างเจรจาส่งเสียงออกมาไม่ขาดสาย โดยมีผู้ฟังที่ดีนอนยิ้มให้กับท่าทางของเธอเป็นครั้งคราวดวงตากลมโตมองไปยังวิวเบื้องหน้าที่มีแสงสีส่องสว่างออกมาตามตึกสูงระฟ้า เสียงแตรจากรถราสัญจรไปมาดังเป็นระยะตามแบบฉบับของเมืองศิวิไลซ์ที่ค่อนข้างวุ่นวาย จนเธออดที่จะคิดถึงบรรยากาศเก่าๆ ตอนนั่งดูดาวกับชายหนุ่มที่ภาคเหนือไม่ได้อย่างน้อยๆ วันนี้คนข้างกายของเธอก็ยังคงเป็นเขาและการได้ออกมาแบบนี้มันก็ย่อมดีกว่าต้องนอนอุดอู้ภายในห้องทั้งวัน และเหนือสิ่งอื่นใดกลับมีสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจอยู่อย่างหนึ่งก็คือ บนนี้มีการตกแต่งด้วยโค
ช่วงค่ำของวันเดียวกัน...ชายหนุ่มเดินเข้ามาในห้องพร้อมนำของพะรุงพะรังพวกนั้นวางลงบนโต๊ะ หลังออกไปเลือกซื้อของใช้ที่จำเป็นมาจากห้างสรรพสินค้าใกล้ๆ แล้วถือถุงอีกใบติดมือไปทางหญิงสาวที่เอนหลังดูทีวีอยู่โดยไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย“ไม่สนใจกันเลยนะ” พูดพลางหย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงแล้วดึงหนังสือประมาณสี่ห้าเล่มออกมาจากถุง พร้อมวางลงบนตักเธอเบาๆ ซึ่งมีทั้งนิตยสารเกี่ยวกับคุณแม่มือใหม่และเครื่องประดับต่างๆ แต่เล่มที่ดูจะสะดุดตาเธอคงจะเป็นนิตยสารที่มีนักแสดงสาวชื่อดังอย่างแคนเดิลปรากฏอยู่บนหน้าปกในคอลเล็คชั่นถ่ายแบบชุดแต่งงานแบรนด์ดังดารินเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงเพราะพึ่งเห็นนักแสดงคนโปรดถ่ายแบบชุดแต่งงานเป็นครั้งแรก ก่อนจะหยิบรีโมทกดปิดทีวีอย่างรวดเร็วเพราะมีสิ่งที่น่าสนใจกว่าอยู่ตรงหน้าแล้ว อย่างที่รู้ๆกัน หากใครมีไอดอลในดวงใจและไม่ว่าคนๆนั้นจะทำอะไร เรามักจะชื่นชอบ ชื่นชมและยินดีในทุกเรื่อง“โห! สวยจัง”หญิงสาวอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้น จนคนที่มองอยู่ถึงกับอมยิ้มให้กับท่าทางนั้น‘เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงดูตื่นเต้นอย่างกับได้ใส่ชุดพวกนั้นเอง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ดีใจที่เธอดูมีความสุขเป
สัปดาห์ต่อมา...“มันไม่โหดไปเหรอคะ” ร่างเล็กที่นอนติดเตียงอยู่เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์เต็มเอ่ยถามเสียงแผ่ว หลังจากเลขาคนสนิทของชายหนุ่มขอปลีกตัวออกไปข้างนอกเพื่อให้พวกเขาได้อยู่กันตามลำพังช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองจะดีขึ้นมากเป็นพิเศษ หลังจากทำการเซ็นยกเลิกสัญญาฉบับนั้นกันเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งชายหนุ่มยังคงทำหน้าที่ดูแลเธอได้ไม่ขาดตกบกพร่องอีกต่างหากประโยคก่อนหน้าที่ดารินเอ่ยออกมาก็เพราะได้ฟังคำรายงานบางอย่างจากปากของอคิน ซึ่งเป็นข่าวที่ทำให้ใบหน้าเรียบนิ่งของภาคินัยมีแววพึงพอใจอย่างเห็นได้ชัด และข่าวดีที่ว่าก็ไม่พ้นเรื่องราวที่เขาให้ไปจัดการตอนนี้คนก่อเหตุอย่างอันนากำลังได้รับโทษทางกฎหมายในสิ่งที่ตัวเองก่อ และมันไม่ใช่แค่นั้นเพราะเขาขุดคุ้ยเบื้องหลังอันเน่าเฟะของบริษัทที่เธอก่อตั้งขึ้นแบบไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เพราะฉะนั้นอันนาจะมีคดีความติดตัวสองคดี และคาดว่าจะมีมาอีกเรื่อยๆเพราะมีคนบางกลุ่มออกมาฟ้องร้องถึงค่าเสียหายต่างๆ ที่เธอเคยฉ้อโกงไว้ ไม่ช้าไม่นานเธอก็ไม่ต่างจากบุคคลล้มละลาย“ไม่เห็นจะโหดตรงไหนเลย มันก็คู่ควรกับการกระทำของเธอ เพราะคนเราทำอะไรไว้ก็ย่อม